LOGINบนโต๊ะอาหารไม้หอมภายในตำหนักหลงเยว่ มีเพียงเสียงช้อนกระทบถ้วยเบาๆ กับเสียงลมยามค่ำที่พัดผ่านม่านหน้าต่าง หลิงอันนั่งกินข้าวอย่างสำรวมท่วงท่าเรียบร้อยตามแบบสตรีในวังแต่ไม่ถึงกับเกร็ง—เป็นความสบายที่ไม่ต้องเสแสร้ง
ตรงข้ามกันองค์ชายเยี่ยนหยาง… กลับไม่ได้แตะตะเกียบมานานแล้วสายตาของเขาหยุดอยู่ที่นาง ไม่ใช่เพราะอาหารไม่ถูกปากแต่เพราะภาพตรงหน้ามันทับซ้อนกับความทรงจำที่เขาไม่อาจควบคุมได้ ในอดีต—ในชีวิตของ เฟิงเหยาหญิงสาวคนหนึ่งเคยนั่งตรงนี้ยิ้มให้เขาแบบเดียวกัน เรียกเขาด้วยเสียงแผ่วเบาว่า “ท่านอย่ามัวแต่มอง ข้าวจะเย็นเสียก่อน” “….” เยี่ยนหยางหลุบตาลงช้าๆ ริมฝีปากคลี่ยิ้มบางโดยไม่รู้ตัวหลิงอันชะงักแล้วเงยหน้าขึ้นเล็กน้อย “ฝ่าบาท…?” “อาหารไม่ถูกพระโอษฐ์หรือเจ้าคะ” คำถามนั้นดึงเขากลับสู่ปัจจุบัน “ไม่” เสียงขององค์ชายต่ำ นุ่มกว่าที่เคย “เพียงแต่…” เขาหยุดคำพูดราวกับกำลังชั่งใจว่าจะพูดต่อดีหรือไม่ “…เจ้ากินแล้ว ดู…สบายใจดี” หลิงอันชะงักเล็กน้อยก่อนจะยิ้มบางๆ “เพราะที่นี่คือ ตำหนักของหม่อมฉันแล้วมิใช่หรือเจ้าคะ” “หม่อมฉันคิดว่า…การกินข้าวอย่างสงบ คือความสุขเล็ก ๆ ที่ควรรักษาไว้” คำตอบนั้นทำให้หัวใจของเยี่ยนหยางกระตุกวูบเหมือนเดิม...น้ำเสียง วิธีคิด… แม้แต่คำพูด เขายื่นมือไปหยิบตะเกียบคราวนี้เริ่มกินข้าวบ้าง แต่สายตายังคงลอบมองนางเป็นระยะหลิงอันสังเกตเห็นปลายหูขององค์ชาย… แดงจางๆ นางก้มหน้าลงเล็กน้อยแสร้งทำเป็นไม่เห็น แต่หัวใจกลับเต้นเร็วขึ้นอย่างไร้เหตุผล “วันนี้…” เยี่ยนหยางเอ่ยขึ้นอีกครั้ง “เรื่องเข้าเฝ้า… เจ้าไม่จำเป็นต้องกังวล” หลิงอันเงยหน้ามอง “องค์ชายใหญ่—เยี่ยนหมิง—พูดมากกว่าที่คิด” “แต่คำพูดของเขา ไม่มีสิ่งใดต้องเก็บมาใส่ใจ” หลิงอันยิ้มบาง “หม่อมฉันเข้าใจดีเจ้าค่ะ” นางเว้นจังหวะก่อนจะเอ่ยต่ออย่างแผ่วเบา “ตราบใดที่หม่อมฉันอยู่ในตำหนักหลงเยว่ก็จะเป็นคนขององค์ชายจันทรา” คำว่า คนของข้าแม้นางไม่ได้เอ่ยตรงๆแต่เยี่ยนหยางกลับได้ยินชัดเจนในหัวใจเขาวางตะเกียบลงช้าๆ แล้วเอื้อมมือไปข้างหน้า ไม่ได้จับเพียงแค่วางมือไว้ใกล้มือของนางใกล้พอให้รับรู้ถึงความอบอุ่น “เช่นนั้น…” เสียงของเขานุ่มลงอย่างเห็นได้ชัด “คืนนี้…พักผ่อนให้ดี” “พรุ่งนี้ ข้าจะให้คนพาเจ้าไปเดินสวนดอกเหมย” “…ข้าคิดว่า เจ้าน่าจะชอบ” หลิงอันพยักหน้าเบาๆ ริมฝีปากโค้งขึ้นอย่างอ่อนโยน “เพคะ” ใต้แสงตะเกียงอุ่นสองเงาร่างนั่งอยู่ตรงข้ามกันไม่ต้องเอ่ยคำหวานใด แต่ความรู้สึกกลับแผ่ซ่านทั่วทั้งตำหนักหลงเยว่และในใจขององค์ชายเยี่ยนหยางเสียงหนึ่งกระซิบซ้ำแล้วซ้ำเล่า หลังมื้ออาหารสิ้นสุดลง คนรับใช้ค่อย ๆ เก็บสำรับออกจากตำหนักหลงเยว่ ทิ้งไว้เพียงความเงียบสงบที่แฝงด้วยความอ่อนโยนบางอย่าง หลิงอันยกถ้วยน้ำชาขึ้นจิบตามมารยาท ก่อนจะลุกขึ้นเล็กน้อย “หม่อมฉันขอตัวกลับเรือนพักนะเพคะ วันนี้องค์ชายคงเหนื่อยจากการเข้าเฝ้า” นางพูดเรียบง่าย ไม่ได้สังเกตเลยว่าสายตาขององค์ชายเยี่ยนหยาง…จับจ้องนางอยู่นานตั้งแต่เมื่อใด “เดี๋ยว” เสียงทุ้มเรียกไว้หลิงอันชะงัก หันกลับมาอย่างสงสัยองค์ชายเยี่ยนหยางลุกจากที่ประทับ เดินเข้ามาใกล้กว่านางเพียงก้าวเดียว ระยะห่างนั้นไม่ใกล้จนเสียมารยาท แต่ก็ไม่ไกลจนเย็นชา “เรื่องที่เข้าเฝ้าเมื่อเช้า…” เขาเอ่ยช้า ๆ ราวกับเลือกคำ “เสด็จพ่อทรงถามว่า เจ้า… อยู่ที่ตำหนักนี้เป็นอย่างไร” หลิงอันชะงักเล็กน้อย ก่อนจะยิ้มบาง “หม่อมฉันตอบแทนองค์ชายไม่ได้หรอกเพคะ” “ข้าตอบไปแล้ว” เขาพูดต่อทันที “ข้าบอกว่า… เจ้าอยู่ดี” คำว่า อยู่ดี จากปากเขาทำให้หัวใจหลิงอันเต้นแรงอย่างไม่ทราบสาเหตุ “องค์ชาย…” นางลังเลเล็กน้อย “แล้วองค์ชายล่ะเพคะ ถูกซักถามอะไรอีกหรือไม่” เยี่ยนหยางหัวเราะเบา ๆ เสียงนั้นไม่แข็ง ไม่เย็น “เสด็จพ่อถามว่าข้าจะรับชายาเอกเมื่อใด” หลิงอันเผลอกำมือแน่นแต่เขากลับพูดต่อด้วยน้ำเสียงราบเรียบ “ข้าบอกว่า… ยังไม่ถึงเวลา” เขามองนางตรงๆ สายตานั้นทำให้นางรู้สึกแปลก—ไม่ใช่สายตาขององค์ชายต่อชายาแต่คล้าย… คนที่กำลังรอคอยบางสิ่ง “หลิงอัน” เขาเรียกชื่อนาง ไม่ใช่ยศ ไม่ใช่ตำแหน่ง “เจ้าไม่จำเป็นต้องรีบทำอะไร” “อยู่ที่ตำหนักหลงเยว่… ในแบบที่เจ้าเป็นก็พอ” คำพูดนั้นเรียบง่ายแต่สำหรับเขา—มันคือคำมั่นหลิงอันก้มศีรษะต่ำแก้มขึ้นสีระเรื่อโดยไม่รู้ตัว “เพคะ…” นางหมุนตัวจากไปทิ้งไว้เพียงกลิ่นหอมอ่อนของชาและดอกไม้ติดปลายแขนเสื้อ --- เยี่ยนหยางยืนอยู่ที่เดิมนานมากก่อนจะยกมือขึ้นแตะอกซ้ายของตนเองหัวใจเต้นแรง—แรงเกินกว่าที่ควรเป็นภาพในอดีตแทรกเข้ามาอีกครั้งหญิงสาวคนหนึ่งเรียกเขาเบาๆ “เฟิงเหยา…” “อันอันอยู่นี่” เขาหลับตา แล้วแย้มยิ้มอ่อนๆ โดยไม่รู้ตัว “อันอัน…” เสียงนั้นเบาจนแทบไม่ได้ยินคืนนี้…จันทร์เหนือวังหลวงสว่างกว่าทุกคืนที่ผ่านมา สวนดอกเหมยใต้แสงอาทิตย์อ่อน ลมปลายฤดูพัดผ่านอย่างแผ่วเบา กลีบดอกเหมยสีขาวอมชมพูร่วงโปรยลงมาดั่งหิมะบางเบาหลิงอันเดินช้าๆ ไปตามทางหิน มือประสานกันไว้ด้านหน้า เสื้อคลุมบางสีอ่อนสะท้อนแสงแดดยามสาย “ที่นี่… สงบดีนะเพคะ” นางเอ่ยเสียงเบา คล้ายเกรงว่าหากดังเกินไปจะรบกวนบรรยากาศองค์ชายเยี่ยนหยางเดินเคียงข้าง ไม่ได้ตอบในทันทีสายตาของเขากลับหยุดอยู่ที่ใบหน้าของนาง—รอยยิ้มบาง ดวงตาที่สงบแต่แฝงความแข็งแกร่งภาพหนึ่งซ้อนทับขึ้นมาในความทรงจำโดยไม่ตั้งใจ ‘อันอัน… เจ้าอย่าเดินเร็วนัก’ เขาชะงักไปครู่หนึ่ง ก่อนจะเผลอยิ้มอ่อนออกมา หลิงอันหันมาเห็นพอดี “ฝ่าบาท… ยิ้มอะไรหรือเพคะ?” เยี่ยนหยางสะดุ้งเล็กน้อย ก่อนจะเบือนหน้าหนีอย่างแนบเนียน “เปล่า” เสียงตอบเรียบ แต่ปลายเสียงกลับนุ่มลงกว่าทุกครา เขายื่นมือไปแตะกิ่งเหมยกิ่งหนึ่ง ดึงลงมาเบา ๆ กลีบดอกสั่นไหว ก่อนจะเด็ดดอกเหมยสีอ่อนดอกหนึ่งออกมาหลิงอันยังไม่ทันเอ่ยถาม—ปลายนิ้วของเขาก็เอื้อมมาใกล้ “…อย่าขยับ” นางชะงักตามคำบอกเยี่ยนหยางทัดดอกเหมยไว้ข้างหูของนางอย่างแผ่วเบา นิ้วมือเฉียดผ่านเส้นผมดำสนิท หัวใจของเขากลับเต้นแรงอย่างไม่เคยเป็นมาก่อน “เหมาะ” เขาพูดสั้น ๆ แต่ชัดเจน หลิงอันหน้าแดงขึ้นเล็กน้อย “ฝ่าบาท—” “อยู่กันสองคน เรียกข้าว่าเยี่ยนหยางเถิด” น้ำเสียงนั้นอ่อนลงอย่างเห็นได้ชัด ต่างจากองค์ชายผู้เย็นชาที่คนทั้งวังกล่าวขาน หลิงอันเม้มริมฝีปาก ก่อนจะพยักหน้าเบาๆ “…เพคะ” ภาพนั้น—ช่างอ่อนโยนเกินไปและมันก็ไม่พ้นสายตาของใครบางคน “บังเอิญจริง ๆ” เสียงหนึ่งดังแทรกเข้ามาองค์ชายเยี่ยนหมิงยืนอยู่ไม่ไกล เสื้อคลุมสีเข้มตัดกับรอยยิ้มที่ดูสุภาพ แต่ดวงตากลับเย็นเฉียบ เยี่ยนหยางขยับตัวมาข้างหน้าหลิงอันโดยอัตโนมัติ เป็นท่าทางปกป้องที่เขาเองก็ไม่รู้ตัวว่าทำไปตั้งแต่เมื่อใด “พี่ใหญ่” น้ำเสียงเรียบ แต่แฝงความเย็นเยี่ยนหมิงกวาดตามองดอกเหมยที่ทัดอยู่ข้างหูของหลิงอัน ก่อนจะยิ้มกว้างขึ้นเล็กน้อย “ชายาของเจ้าดู… งดงามกว่าที่ลือกันนัก” หลิงอันก้มศีรษะทำความเคารพตามมารยาท แต่ไม่เอ่ยคำใดสัญชาตญาณบางอย่างบอกนาง—ชายตรงหน้าคืออันตราย “หากไม่มีธุระ พี่ใหญ่ควรหลีกทาง” เยี่ยนหยางเอ่ยตรงไปตรงมา ดวงตาคมกริบขึ้นชัดเจนเยี่ยนหมิงหัวเราะเบา ๆ “แน่นอน ข้าแค่ผ่านมา” แต่ก่อนจะเดินจากไป เขาเหลือบมองหลิงอันอีกครั้ง ราวกับจะจดจำภาพนั้นไว้ให้ลึกที่สุด ข่าวเล็กๆ จากสวนดอกเหมย แพร่กระจายเร็วเกินคาดในอีกมุมหนึ่งของวัง—หญิงสาวผู้หนึ่งฟังคำรายงานจากคนใช้ด้วยสีหน้าประหลาด “เจ้าว่าอย่างไรนะ… หลิงอันยังมีชีวิตอยู่?” คนใช้ก้มหน้า “ข่าวลือเพคะ ไม่รู้รายละเอียด เพียงบอกว่านางอยู่ในวัง… ดูไม่ได้บาดเจ็บ” หญิงสาวหัวเราะเบาไม่ใช่เสียงดีใจ หากเป็นเสียงสะใจ “ช่างอึดนัก” นางเอ่ยพลางยกถ้วยชา “ไม่ตายก็ดี… จะได้เห็นกับตาว่าชีวิตในวังนี้ ไม่ได้งดงามอย่างที่คิด” ริมฝีปากยกยิ้มแววตาฉายความพอใจปนริษยาในขณะที่สวนดอกเหมยยังอบอวลด้วยกลิ่นหอมเมล็ดแห่งความอิจฉาและการชิงดีชิงเด่น—ก็เริ่มแตกหน่อเงียบๆ เช่นกันบนโต๊ะอาหารไม้หอมภายในตำหนักหลงเยว่ มีเพียงเสียงช้อนกระทบถ้วยเบาๆ กับเสียงลมยามค่ำที่พัดผ่านม่านหน้าต่าง หลิงอันนั่งกินข้าวอย่างสำรวมท่วงท่าเรียบร้อยตามแบบสตรีในวังแต่ไม่ถึงกับเกร็ง—เป็นความสบายที่ไม่ต้องเสแสร้ง ตรงข้ามกันองค์ชายเยี่ยนหยาง… กลับไม่ได้แตะตะเกียบมานานแล้วสายตาของเขาหยุดอยู่ที่นาง ไม่ใช่เพราะอาหารไม่ถูกปากแต่เพราะภาพตรงหน้ามันทับซ้อนกับความทรงจำที่เขาไม่อาจควบคุมได้ ในอดีต—ในชีวิตของ เฟิงเหยาหญิงสาวคนหนึ่งเคยนั่งตรงนี้ยิ้มให้เขาแบบเดียวกัน เรียกเขาด้วยเสียงแผ่วเบาว่า “ท่านอย่ามัวแต่มอง ข้าวจะเย็นเสียก่อน” “….” เยี่ยนหยางหลุบตาลงช้าๆ ริมฝีปากคลี่ยิ้มบางโดยไม่รู้ตัวหลิงอันชะงักแล้วเงยหน้าขึ้นเล็กน้อย “ฝ่าบาท…?” “อาหารไม่ถูกพระโอษฐ์หรือเจ้าคะ” คำถามนั้นดึงเขากลับสู่ปัจจุบัน “ไม่” เสียงขององค์ชายต่ำ นุ่มกว่าที่เคย “เพียงแต่…” เขาหยุดคำพูดราวกับกำลังชั่งใจว่าจะพูดต่อดีหรือไม่ “…เจ้ากินแล้ว ดู…สบายใจดี” หลิงอันชะงักเล็กน้อยก่อนจะยิ้มบางๆ “เพราะที่นี่คือ ตำหนักของหม่อมฉันแล้วมิใช่หรือเจ้าคะ” “หม่อมฉันคิดว่า…การกินข้าวอย่างสงบ คือความสุขเล็ก ๆ ที่ควรรักษาไว้” คำต
แสงอรุณอ่อนสาดลอดม่านหน้าต่างเข้ามาในตำหนักหลงเยว่ หลิงอันลืมตาขึ้นช้า ๆ ราวกับไม่คุ้นชินกับความเงียบสงบเช่นนี้ ในอดีต…เวลานี้เธอคงต้องลุกขึ้นก่อนฟ้าสาง เตรียมรับคำดูแคลน คำสั่ง และการกลั่นแกล้งแต่ในชาตินี้—ไม่มีเสียงใดเร่งเร้า ไม่มีใครตะโกน มีเพียงกลิ่นชาหอมจาง ๆ และเสียงฝีเท้าเบาที่คุ้นเคย “ตื่นแล้วหรือ” เสียงทุ้มต่ำดังขึ้นจากด้านในหลิงอันสะดุ้งเล็กน้อย ก่อนจะหันไปมอง องค์ชายเยี่ยนหยางยืนอยู่ข้างโต๊ะชา ชุดสีเข้มเรียบง่าย แต่สะอาดเนี้ยบ ใบหน้าเย็นชาตามเคย ทว่าดวงตากลับอ่อนลงอย่างที่เธอเริ่มคุ้น “เพคะ” หลิงอันตอบ ก่อนจะลุกขึ้นนั่ง “หม่อมฉันตื่นสายหรือไม่” เยี่ยนหยางส่ายหน้า “ยังไม่ถึงยามเช้า ข้าเพียง… คิดว่าเจ้าคงไม่ชินกับที่นี่” คำว่า ไม่ชิน ทำให้หลิงอันยิ้มบางๆ รอยยิ้มที่ไม่ใช่ของหญิงสาวอ่อนแอในนิยายแต่เป็นรอยยิ้มของคนที่เคยผ่านความเจ็บปวดมามากเกินพอ “หม่อมฉันชินกับที่ใดก็ตาม… หากไม่ต้องระวังว่าจะมีใครผลักตกบันไดอีก” คำพูดนั้นหลุดออกมาโดยไม่ทันคิดบรรยากาศในตำหนักเงียบลงฉับพลัน เยี่ยนหยางชะงักมือที่ยกถ้วยชาค้างกลางอากาศสายตาคมเข้มจับจ้องนางนิ่ง—ไม่ใช่ด้วยความไม่พอใจ แต่เป็น
ตำหนักหลงเยว่ในยามค่ำสงัดเงียบมีเพียงเสียงลมพัดต้องผ้าม่าน หลิงอันนั่งอยู่ในห้องรองรับอันกว้างใหญ่ รอองค์ชายเยี่ยนหยางตามมารยาทของชายาใหม่ แม้เขาไม่เคยสั่งให้นางรอเลยก็ตาม ในนิยาย… องค์ชายเยี่ยนหยางไม่สนใจแม้แต่มองหน้าชายาแรกพบด้วยซ้ำ…แต่วันนี้ เขากลับช่วยข้าจากการล้ม… แม้สีพระพักตร์จะยังเย็นชาเหมือนเดิมก็ตาม ขณะที่ความคิดสับสนวนเวียนอยู่ เสียงฝีเท้าดังขึ้นจากทางเดินหินหน้าตำหนัก เงาร่างสูงในชุดองค์ชายสีดำทองก้าวเข้ามาอย่างสง่างาม ประตูเปิดออก องค์ชายเยี่ยนหยางยืนอยู่ตรงนั้น—คิ้วเข้ม ดวงตาเย็นสงบ แต่แววลึกในดวงตานั้น… แปลกประหลาด คล้ายจับจ้องนางคล้าย… คุ้นเคยเสียอย่างนั้น หลิงอันรีบลุกขึ้นคุกเข่า “ถวายพระพรเพคะ พระองค์กลับมาแล้ว” เยี่ยนหยางเดินตรงเข้ามาโดยไม่สั่งให้นางลุกขึ้นเสียก่อน แต่กลับหยุดยืนตรงหน้า มองนางอย่างพิจารณา แทบจะนานเกินมารยาทขององค์ชายผู้สุขุม “เจ้า…” น้ำเสียงทุ้มต่ำของเขาแผ่วลง “หน้าตาคล้ายคนคนหนึ่ง” หลิงอันเงยหน้าขึ้น “คล้ายผู้ใดเพคะ?” เยี่ยนหยางส่ายหน้าเบา ๆ ราวกับไม่อาจระบุได้ “ไม่รู้… แต่มันทำให้ข้าไม่อยากเมินเฉยใส่เจ้าอย่างที่ตั้งใจไว้” เขาพูดด้วยน้ำเส
สายลมนิ่งสงบของเช้าวันถัดมา ไม่ต่างจากความนิ่งเงียบภายในตำหนักรองที่หลิงอันต้องย้ายเข้ามาอยู่ชั่วคราวหลังอภิเษก หลิงอันในชุดชายาฉบับเรียบง่าย—ผ้าไหมสีอ่อนปักลายเมฆบาง—ยืนเงียบอยู่ริมบานหน้าต่าง มองบรรยากาศภายนอกที่เต็มไปด้วยต้นเหมยกำลังเริ่มผลิบาน ทว่าในใจกลับวุ่นวายยิ่งกว่าเมื่อวานหลายเท่า เมื่อคืน…หลังถูกพาตัวกลับจวน องค์ชายเยี่ยนหยางไม่ได้ตรัสอะไรอีก นอกจากให้คนพาหล่อนกลับตำหนักรอง เหมือนต้องการเว้นระยะห่าง เหมือนกำลังคิด…หรือกำลังระแวง… หลิงอันไม่แน่ใจ แต่สิ่งหนึ่งที่ชัดเจน—สายตาของเขาในวินาทีนั้นมันคุ้นเคยจนน่ากลัว เหมือนเขากำลังจ้อง “นาง” ตัวตนของหล่อนก่อนมาอยู่ในจวนใหม่… ก่อนหล่อนจะลบตนเองออกจากสายตาเขาไปเมื่อหลายปีก่อน เพียงแต่ตอนนี้ เขาไม่รู้ว่านางคือใคร หรืออาจ…ยังไม่แน่ใจเท่านั้น --- ช่วงสาย องค์ชายเยี่ยนหยางเสด็จออกจากตำหนักเพื่อไปศาลาว่าราชการฝ่ายทหาร เหล่าข้ารับใช้ในตำหนักรองรีบวิ่งวุ่นขึ้น เพราะก่อนเสด็จพระองค์ทรงรับสั่งให้คนเตรียมสิ่งหนึ่ง “พระชายาเพคะ องค์ชายทรงมีรับสั่งให้เข้ารับพระบัญชาในสวนด้านในเพคะ”นางกำนัลคนสนิทรายงานด้วยท่าทีเกรงตัว หลิงอันสะดุ้งเล็กน้
ลมหอบหนึ่งพัดผ่านกระจกบานกว้างของคฤหาสน์ตระกูลหลิน ราวกับต้องการเตือนให้หลินอันตั้งสติ แต่ทว่าความเจ็บร้าวที่กลางอกกลับทำให้เธอแทบหายใจไม่ออก เสียงพูดคุยคุ้นเคย—เสียงที่เธอไว้ใจที่สุดกลับทำให้โลกทั้งใบพังทลายลงอย่างไร้ชิ้นดี “ดีเหมือนกันนะที่มันตายนั่นแหละ”เสียงหัวเราะของ ไป๋เสวี่ยอัน เพื่อนสนิทที่เธอรักเหมือนพี่น้อง ดังลอดมาจากประตูที่แง้มไว้ “ก็เพราะแกนี่แหละ ถึงได้จัดการได้เนียนขนาดนั้น” ชายเสียงทุ้มตัวสูงที่เธอเคยเห็นเป็นคนดี—แฟนของเธอ—ตอบกลับ หัวใจหลินอันเหมือนถูกฉีกออกเป็นเสี่ยงๆ เธอตั้งใจเพียงจะเอาของฝากมาให้เพื่อนหลังกลับจากต่างจังหวัด แต่กลับได้ยินสิ่งที่ไม่ควรได้ยินที่สุดในชีวิต “หลินอัน…แค่ของเล่น ไม่มีประโยชน์อะไรสักอย่าง ใครจะไปทนคบกับผู้หญิงน่าเบื่อนั่นได้ล่ะ” เสียงหัวเราะเหยียดหยันตามมา มันคือเสียงของคนที่เคยบอกรักเธอ ขาเธออ่อนแรงจนแทบยืนไม่ไหว แต่ก็ยังยื้อประตูไว้ไม่ให้เปิดออก เธอรู้ดีว่าหากถูกพบตอนนี้ อะไรก็อาจเกิดขึ้นได้อีก “อย่างน้อยเธอก็ตายไปแล้ว เรื่องมันก็จบสักที” ไป๋เสวี่ยอันพูดอย่างไม่รู้สึกผิดแม้แต่น้อย “เอาจริง ๆ ฉันเคยอยากฆ่ามันตั้งแต่ปีที่แล้วด้วยซ







