เจ้าหมั่นโถว
"โอ้โหท่านแม่ เป็ดของท่านพี่ดำปิ๊ดปี๋"
แทนที่จะได้ทานส่วนที่อร่อยที่สุดของเป็ด นั่นคือหนังเป็ดอบกรอบ ๆ กลับกลายเป็นว่าเจียอีต้องใช้มีดเฉือนส่วนที่ไหม้ทิ้งไปให้เหลือเฉพาะเนื้อด้านในที่พอจะเอามาทานได้ นางก็แค่คนธรรมดาคนหนึ่งไม่ได้ทำอะไรก็สำเร็จดั่งใจปรารถนาไปทุกสิ่ง เคยก้าวพลาดนับไม่ถ้วนเหมือนคนอื่น ๆ แต่ทุกครั้งที่นางพลาดพลั้งนางไม่เคยท้อถอย ครั้งนี้ก็เช่นกัน แม้มิได้ทานหนังเป็ดที่กรุบกรอบอย่างน้อยเนื้อเป็ดยังทานได้อยู่เป็นบางส่วน
"เจียร์เอ๋อ ครั้งหน้าเจ้าทำอาหารจำพวกตุ๋นน้ำแกงเช่นเดิมน่าจะดีกว่า แม่ว่าเจ้าทำน้ำแกงอร่อยที่สุด"
"ใช่ เจ้าทำน้ำแกงอร่อยสุด ๆ ยายเห็นด้วย"
"ตาก็เห็นด้วย"
ลู่เสียนไม่กล้าพูดออกมาตามตรงนางจึงทำเสียงกระอ้อมกระแอ้มในลำคอ เจียอียิ้มรับหน้าแห้ง ๆ คีบเนื้อเป็ดเข้าปากเคี้ยวแล้วกลืนลงอย่างฝืดคอ ก็แน่ล่ะ...นางยังไม่เคยทำหม้อน้ำแกงไหม้ ตุ๋นน้ำแกงย่อมดีกว่าอยู่แล้ว
ทานมื้อค่ำจนอิ่มหนำสำราญเจียอีเดินออกจากบ้านมาดูล่อ นางจุดไฟเพื่อไล่ยุงและแมลงแล้วหอบฟางมาใส่รางหญ้าที่ตงซิ่วเพิ่งจะทำให้วันนี้ ส่วนคอกของล่อตงซิ่วกะว่าจะไปตัดไม้ไผ่มาล้อมในวันรุ่งขึ้น รวมไปถึงตัดไม้มาสำหรับประกอบเกวียนด้วย
"ท่านพี่"
อันฉีเดินมาหา เขาใช้มือเล็ก ๆ ลูบหัวล่อที่กำลังเคี้ยวเอื้องอยู่อย่างสนอกสนใจ มองดี ๆ เจ้าล่อตัวนี้น่ารักใช่ย่อย จะว่าเหมือนม้าก็ไม่ใช่ลาก็ไม่เชิง
"ท่านพี่ขี่ล่อเป็นหรือไม่ขอรับ"
"พี่ขี่ไม่เป็น เมื่อกลางวันท่านตาเป็นคนขี่มันกลับมา"
"มันชื่อว่าอะไรหรือขอรับท่านพี่"
"เอ...มันยังไม่มีชื่อ"
"เช่นนั้นข้าตั้งชื่อให้มันว่าเจ้าหมั่นโถวได้หรือไม่ขอรับ"
"ย่อมได้"
เป็นอันตกลงว่าเจ้าล่อตัวนี้มีชื่อว่าหมั่นโถว เมื่อนางจัดการทุกอย่างเสร็จแล้วก็พาน้องชายเข้าบ้าน คืนนี้ทุกคนนอนหลับไปอย่างอิ่มเอมใจ วันรุ่งขึ้นช่วงปลายยามเฉิน ตงซิ่วได้ไปยืมรถเข็นของเพื่อนบ้านมาเพื่อขนไม้ออกจากป่า ส่วนลู่เสียนและนางหวังรอรับซื้อหน่อไม้จากชาวบ้านที่นำมาขายส่งให้ที่บ้าน เจียอีและอันฉีออกไปติดป้ายประกาศรับซื้อหน่อไม้ในจุดต่าง ๆ อาทิเช่นทางแยกหมู่บ้านและเส้นทางก่อนเข้าสู่ตลาด
จำนวนการขายที่มากขึ้น กำลังการทำเหม่งสุ้นก็ต้องเพิ่มขึ้นตามมา เจียอีจึงเสนอให้จ้างคนงานเพื่อมาช่วยงาน นางหวังได้ไปทาบทามคนในหมู่บ้านมาสองคน เป็นคู่สามีภรรยา บุรุษอายุ 30 หนาวชื่อว่าเจ๋อฉาง สตรีอายุ 25 หนาวชื่อฟางซิน แต่งงานอยู่กินกันมาร่วมแปดหนาวแล้วยังไร้บุตร ทั้งคู่เป็นคนดีขยันขันแข็ง ปกติทำอาชีพหาของป่าขายและอยู่บ้านดูแลมารดาที่แก่ชราแล้วของเจ๋อฉาง เจียอีเสนอค่าจ้างให้วันละ 30 อีแปะต่อคน นับว่านางให้สูงกว่าค่าแรงที่ในเมืองกำหนด โดยค่าแรงที่ในเมืองกำหนดให้อยู่ที่ 25 ถึง 28 อีแปะ เวลาเริ่มงานคือยามเฉิน เวลาเลิกงานต้นยามเซิน
"การจะประสบผลสำเร็จนั้นเราต้องมีรายได้มากกว่าหนึ่งทางเจ้าค่ะ"
เจียอีนางพูดขึ้นในขณะที่ช่วยลู่เสียนห่อเหม่งสุ้น ลู่เสียนฟังแล้วก็เห็นด้วยอย่างยิ่งตามที่เจียอีบอก แต่จะทำอย่างไรจึงจะหาเงินเพิ่มมากขึ้นได้
สำหรับเจียอีแล้วสิ่งที่อยู่รอบตัวล้วนนำมาเปลี่ยนสภาพเป็นเงินได้ นางหยุดสายตาที่ไหน้ำผึ้งที่ตงซิ่วหามาพลางนึกในใจ สินค้าบำรุงบำเรอประทินโฉมคืออภิสิทธิ์ของผู้มีอันจะกิน หาเงินกับเครื่องบำรุงของอิสตรีชั้นสูงก็ดูน่าสนใจ
ชาดทาปากสมัยเก่ากับขี้ผึ้งทาปากยุคปัจจุบันมีวิธีการทำแตกต่างกันมากน้อยเพียงใดหนอ...หากนางลองทำชาดทาปากที่ทำจากขี้ผึ้งขึ้นมาจะพอทำเงินให้ได้หรือไม่
หรือว่าจะเป็นถั่วถูขี้ไคล (สบู่อาบน้ำแบบโบราณ) นางเคยอ่านเจอขั้นตอนการทำถั่วถูขี้ไคลผ่านทางอินเทอร์เน็ตเมื่อตอนยังอยู่ยุคปัจจุบัน มีส่วนผสมหนึ่งที่ทำให้นางสะพรึงไม่น้อย คือใช้ตับอ่อนของหมูที่รีดเลือดออกจนหมดมาบดเป็นส่วนผสมรวมกับถั่วเหลืองและสมุนไพรเครื่องหอม ใช้ไขมันจากสัตว์แทนเบส ในเมื่อนางมาจากยุคปัจจุบัน หากนางจะทำสบู่นางก็ควรจะพัฒนาสูตรส่วนประสมขึ้นมาใหม่
"ทำเครื่องประทินโฉมสตรีดีไหมเจ้าคะ"
"เครื่องประทินโฉมหรือ"
"เจ้าค่ะ ข้าขอไปเดินศึกษาดูตลาดในวันรุ่งขึ้นก่อนว่าสิ่งใดเป็นที่นิยม"
"เจ้าทำเป็นหรือ"
"ยายแก่ผมขาวบอกวิธีทำแก่ข้าได้เจ้าค่ะ ท่านแม่อย่าเป็นกังวล"
"แล้วนางลืมบอกวิธีอบเป็ดแก่เจ้าหรือ"
เอิ่ม...
ดูเถิด ลู่เสียนยังมีอารมณ์พูดหยอกลูกสาว เจียอียิ้มแก้เขิน ไม่คาดว่าจะถูกมารดาผู้แสนสงบเสงี่ยมเรียบร้อยพูดจาย้อนศร
"เช่นนั้นข้าไปเดินดูตลาดวันนี้เลยก็ได้เจ้าค่ะ"
"เจ้าแค่หาเรื่องอู้งาน"
"ท่านแม่เจ้าขา ตอนนี้ท่านแม่มีพี่เจ๋อฉางกับพี่ฟางซินช่วยงานท่านแม่แล้ว ส่วนตัวข้าแค่ขอออกไปหาแรงบันดาลใจในการทำเงินเจ้าค่ะ"
"เอาล่ะ ๆ พักนี้เจ้าเจรจาเก่งเกินไป อยากไปก็ไปเถิด เอาน้องชายเจ้าไปเป็นเพื่อนก็แล้วกัน"
"เข้าใจแล้วเจ้าค่ะ" เจียอีผงกศีรษะรับหน้าระรื่น จากนั้นหันไปหาคนงานที่เพิ่งมาทำงานวันแรก "ท่านพี่ทั้งสอง วันนี้ข้าขอฝากด้วยนะเจ้าคะ เป้าหมายคือ 2000 ชั่งภายใน 30 วัน"
แม้เรือจะออกทุก 35 วันแต่นางก็ยังเหลือ 5 วันไว้เตรียมการหากมีสิ่งใดผิดพลาด
"เราจะตั้งใจทำสุดกำลัง วางใจเถอะแม่นางเจียอี" เจ๋อฉางหันมาพูดน้ำเสียงหนักแน่น
"เรียกข้าว่าเจียเอ๋อร์เช่นท่านแม่ก็ได้เจ้าค่ะ ต่อไปนี้พวกพี่ทั้งสองต้องมาทำงานที่บ้านข้าเป็นประจำ เช่นนั้นเราก็จงอยู่ด้วยกันประหนึ่งคนในครอบครัวเถิดเจ้าค่ะ อย่าให้มีเส้นแบ่งแยกลูกน้องเจ้านายลูกจ้างนายจ้างกันเกินไป เคารพท่านแม่ของข้าดั่งพี่สาว มองตัวข้าเป็นดั่งน้องสาว หากมีสิ่งใดข้องใจก็จงรีบสอบถามอย่าได้ลังเล"
"ขอบใจเจ้ามากเจียเอ๋อร์ อายุเจ้าเท่านี้แต่ความคิดของเจ้าช่างลึกซึ้งนัก" ฟางซินยิ้มให้พูดน้ำเสียงอ่อนโยน
"ท่านแม่ ข้าไปนะเจ้าคะ"
วันนี้ตงซิ่วเพิ่งจะต่อคอกเจ้าหมั่นโถวเสร็จ ส่วนเกวียนกำลังเร่งมือประกอบ เจียอีเดินออกมาหาเจ้าหมั่นโถวเห็นอันฉีกำลังเล่นกับมันอยู่ เด็กน้อยเอาหญ้าป้อนเข้าในปากของล่อแล้วหัวเราะคิกคักชอบใจ
"อาฉี เจ้าไปตลาดเป็นเพื่อนพี่หน่อย"
"ขอรับ"
นางจับเชือกเจ้าหมั่นโถวจูงออกมาจากคอก อันฉีเห็นพี่สาวทำเช่นนั้นก็เอียงศีรษะมองด้วยความสงสัย
"ท่านพี่จะทำอะไรขอรับ"
"พี่ก็จะขี่เจ้าหมั่นโถวไปนะสิ"
"หา...ทะ ท่านพี่เคยบอกว่าขี่ล่อไม่เป็น"
"ไม่เป็นไร ๆ พี่เคยขี่มอเตอร์ไซด์มาก่อน"
"...มอตัวไซ เหมือนวัวที่ร้องมอ ๆ นะหรือขอรับ"
"ถูกเผง!"
"เช่นนั้นข้าก็ไม่กลัวแล้วขอรับ"
เจียอีกระโดดขึ้นไปบนหลังเจ้าหมั่นโถว ในตอนแรกมันก็ดิ้นอยู่บ้าง แต่พอนางฝึกบังคับบังเหียนได้เจ้าหมั่นโถวก็สงบลง เจียอียื่นมือมารับอันฉีดึงเขาขึ้นมาซ้อนด้านหลัง อันฉีกอดเอวเจียอีแนบแน่นหลับตาปี๋เกือบจะตลอดทาง พอรู้สึกว่าเจ้าหมั่นโถววิ่งได้อย่างนิ่มนวลขึ้นเขาถึงกล้าเปิดเปลือกตาขึ้นมามองทิวทัศน์ข้างทาง
"ท่านพี่ขอรับ"
"หือ"
"มอตัวไซกินหญ้าเก่งไหมขอรับ"
"ไม่ มันกินเฉพาะน้ำ"
"ดีมากเลยท่านพี่ ข้าอยากเลี้ยงมอตัวไซสักตัว"
"...เอ่อ ถ้าพี่ได้เข้าป่ากับท่านตาพี่จะหาไก่ป่ามาให้เจ้าเลี้ยงไปก่อน"
ก่อนเข้าตลาดสองพี่น้องได้เอาเจ้าหมั่นโถวไปฝากที่ลานจอดรถม้า ที่นี่คิดราคาค่าฝาก 1 อีแปะต่อ 1 ชั่วยาม แม้จะเสียเงินแต่ก็ยังรู้สึกสะดวกกว่า ไม่ต้องกลัวว่าสัตว์เลี้ยงที่นำมาฝากจะสูญหายเพราะมีคนดูแลให้เป็นอย่างดี ในช่วงที่ผู้คนอดอยากเพราะพิษสงครามโจรขโมยชุกชุม แม้แต่ล่อ รถม้า หรือเกวียนก็สามารถถูกขโมยไปเพื่อขายต่อได้ เมื่อไม่นานมานี้เจียอีได้ข่าวว่าเกวียนของเศรษฐีผู้หนึ่งใช้สำหรับขนธัญพืชถูกดักปล้นระหว่างทาง ดังนั้นนางจึงค่อนข้างหวาดระแวง
ก่อนไปเที่ยวชมตลาด เจียอีแวะเข้ามาหาเฟิ้งหรั่นก่อน เพราะเจียอีชอบสังเกตลักษณะคน เฟิ้งหรั่นเป็นสาวงามชอบแต่งเนื้อแต่งตัว ชอบการประทินโฉม นางน่าจะพอรู้จักร้านขายเครื่องประทินโฉมหลายแห่ง ถ้าหากสอบถามนางอาจจะช่วยได้บ้าง
"พี่เฟิ้งหรั่น"
"อ้าว เจียอี อาฉี พวกเจ้ามาได้อย่างไร เอ๊ะ หรือว่าถึงกำหนดวันส่งของเข้าร้านค้าแล้ว"
"กำหนดส่งของเข้าร้านของพี่เฟิ้งหรั่นอีก 3 วันเจ้าค่ะ แต่ต่อไปนี้ถ้าหากข้าไม่ว่างคงต้องให้คนงานมาส่งแทน เขามีนามว่าเจ๋อฉางเจ้าค่ะ"
"อ๋อ อย่างนี้นี่เอง ถ้าเช่นนั้นเจ้ามาทำไมล่ะ หรือว่าอาฉีหิวขนม"
"ข้าอยากสอบถามเกี่ยวกับร้านขายเครื่องประทินโฉมเจ้าค่ะ พี่เฟิ้งหรั่นคือสาวงามดูแลตัวเองดีเสมอ ดังนั้นข้าจึงอยากรู้ว่าพี่เฟิ้งหรั่นพอจะแนะนำร้านประทินโฉมที่คุณหนูตระกูลใหญ่ชอบเข้าไปเลือกซื้อให้ข้าได้หรือไม่เจ้าคะ"
เฟิ้งหรั่นทำสีหน้าครุ่นคิดไม่นานก็นึกออก ร้านประทินโฉมที่เหล่าคุณหนูแต่ละตระกูลชอบไปหาเลือกซื้อมีอยู่แค่ไม่กี่ร้าน และมีอยู่ร้านหนึ่งที่นางเป็นลูกค้าประจำ อยู่ห่างจากร้านขายของแห้งราว 1 ลี้ สามารถเดินเท้าไปได้
"ข้ารู้ เช่นนั้นเราไปด้วยกันเถิด ข้าเองก็อยากหาซื้อเครื่องประทินโฉมใหม่"
"เจ้าค่ะ"
เฟิ้งหรั่นหันไปสั่งคนงานฝากให้ดูแลร้าน จากนั้นก็เดินนำทางไป ระหว่างทางทั้งคู่หยุดเที่ยวชมร้านค้าร้านอื่นไปด้วยอย่างเพลิดเพลิน อาทิเช่นร้านขายเครื่องประดับสตรี ร้านขายอาภรณ์ ร้านขายขนมหวาน ซึ่งอย่างหลังนี้อันฉีจะถูกใจเป็นพิเศษ
เดินมาถึงร้านขายเครื่องประทินโฉม เจียอีเข้าไปด้านในยืนมองอย่างตื่นตาตื่นใจ ถ้าเป็นสมัยยุคปัจจุบันนางคง CF ให้ไปส่งที่บ้านเสียให้หมด มีแต่สิ่งของสวย ๆ งาม ๆ ถูกใจไปทุกสิ่ง หีบห่อของสินค้าที่ทำมาจากไม้แกะสลักงดงาม บางชิ้นทำจากงานกระเบื้อง บางชิ้นทำจากทองเหลืองงดงามจับตา เหมาะแล้วที่ร้านขายเครื่องประทินโฉมแห่งนี้เป็นแหล่งรวมสินค้าแก่คุณหนูตระกูลใหญ่ที่ร่ำรวย
"ข้าไม่คิดว่าจะเจอคนจนในสถานที่แบบนี้ เข้าร้านขายเครื่องประทินโฉมราคาแพงเจ้ามีปัญญาจ่ายไหวหรือ"
เสียงแหลม ๆ ของลู่จิวทำให้เจียอีต้องรีบหันหลังกลับมามอง คนที่มาด้วยกันกับลู่จิวนั้นคือจินเยว่ เฟิ้งหรั่นที่กำลังเลือกดูสินค้าอยู่ได้ยินจึงรีบเดินมาดูด้วย