ญาติดีกันตอนไหน
เมื่อทานอิ่มแล้วอู๋ห่างก็ปลีกตัวขอไปดูร้านขายหนังสัตว์ ก่อนออกจากโต๊ะอาหารจางหย่งหยิบขนมของจินเยว่ติดมือไปด้วยหนึ่งชิ้น จินเยว่ที่กำลังจะลุกตามจางหย่งไปถูกลู่จิวคว้าแขนเอาไว้ก่อนทำให้จำใจต้องนั่งลงที่เดิม นางรู้สึกขัดใจเป็นอย่างมากแต่ก็แสดงออกมาไม่ได้เพราะพยายามรักษาความเยือกเย็นเอาไว้ ทำได้เพียงฝืนยิ้มบาง ๆ ให้ลู่จิวพร้อมก่นด่าแต่ภายในใจ
...นังเด็กประสาทเสียผู้นี้น่ารำคาญเสียจริง
"ท่านพี่จินเยว่ เมื่อวานนี้ท่านพ่อเล่าให้ข้าฟังว่าท่านพี่ช่วยสตรีอัปลักษณ์นั่นคุยกับพ่อค้าหล่างคุน แล้วยังรับฝากสินบนของนางไปให้พ่อค้าหล่างคุนอีก ท่านพี่ไปญาติดีกับนางตอนไหนเจ้าคะ ข้าไม่ยอมนะเจ้าคะ"
"โธ่ น้องลู่จิว...เรื่องนั้นพี่เองก็ลำบากใจ เป็นเพราะเจียอีสืบทราบมาว่าพี่เป็นลูกสาวเจ้าของท่าเรือนางก็เลยมีเจตนาเข้าหาแล้วขอร้องอ้อนวอนให้พี่ช่วยเหลือนาง พี่เองก็สงสาร ครั้นจะไม่ช่วยเลยก็ไม่ได้ น้องลู่จิวอย่าโมโหพี่เลย"
"นางช่างร้ายนัก ท่านพี่ใจดีเกินไปต้องหัดปฏิเสธคนบ้าง เพราะเห็นว่าท่านพี่จินเยว่เป็นลูกสาวเจ้าของท่าเรือนี่เอง ข้าว่านางต้องสืบรู้นิสัยใจดีของพี่จินเยว่มาแน่ ๆ ว่าท่านพี่จินเยว่ชอบช่วยเหลือคนนางก็เลยหวังพึ่งพา นางช่างหน้าด้านหน้าทนเสียยิ่งกว่ากระเบื้องมุงหลังคาเสียอีกนะเจ้าคะ"
"น้องลู่จิวอย่าพูดเช่นนั้น"
ลู่จิวตบเข่าตนเองฉาดใหญ่ นัยน์ตาวาวโรจน์ดุจเปลวเพลิง ครั้นพอนึกขึ้นได้ว่าที่อู๋ห่างเล่าให้ฟังว่าเจียอีเสนอเงินให้หล่างคุนมากถึง 300 ตำลึงเงินนางก็เกิดสงสัยขึ้นมาอย่างประหลาด
"ท่านพี่จินเยว่ ข้าสงสัยอยู่ข้อหนึ่ง สตรีอัปลักษณ์นั่นยากจนขนาดนั้นนางไปเอา 300 ตำลึงเงินจากไหนมาให้พ่อค้าหล่างคุนเจ้าคะ"
"อะ...เอ่อ ระ เรื่องนั้นพี่จะไปทราบได้อย่างไร"
"น่าสงสัย หรือว่าแท้ที่จริงนางจะเป็นลูกสาวคนมีเงินตระกูลผู้ดีปลอมตัวมาเหมือนในบทละครงิ้วเจ้าคะ"
"...น้องลู่จิวอย่าคิดไกลเกินไป เรื่องแบบนั้นไม่มีอยู่จริง"
สัญชาติอีกามีหรือจะริอ่านกลายเป็นหงส์ แม้นจินเยว่จะทราบดีว่าลู่จิวไม่ค่อยฉลาดแต่นางโยงเรื่องมั่วซั่วเกินไป 300 ตำลึงเงินที่แสนเจ็บปวดนั้นก็มาจากนางอย่างไรเล่า เมื่อวานต้องประเคนหีบเงินมอบให้เจียอีนางก็เจ็บปวดหัวใจมากพอแล้ว มิอยากให้ผู้ใดกล่าวเรื่องนี้ให้ได้ยินอีก เดี๋ยวไฟโทสะจะลุกโชนขึ้นมาใหม่
"ช่างเถิดเจ้าค่ะ นางอาจจะไปขอทำสัญญากู้เงินจากใครมาก็ได้"
"อืม น่าจะเป็นเช่นนั้น"
ลู่จิวเบาเสียงลงหยิบขนมเข้าปาก มองอาหารที่ถูกปรุงขึ้นมาจากเหม่งสุ้นแล้วโพล่งออกมาอย่างหัวเสียอีกรอบ
"จะว่าไปท่านพี่จางหย่งก็เกินไป สองวันที่แล้วยังเอารถม้าไปส่งสตรีอัปลักษณ์นั่นถึงบ้าน"
"เจ้าว่าอย่างไรนะ"
"ท่านพี่จางหย่งให้หลินเจียอีติดรถม้าแล้วไปส่งนางถึงที่บ้านเจ้าค่ะ"
ต้องฟังถ้อยคำที่สุดแสนขัดใจโทสะของจินเยว่ดูเหมือนจะพุ่งถึงขีดสุด นางกัดริมฝีปากข่มใจ เมื่ออารมณ์สงบลงจึงพูดออกมาด้วยน้ำเสียงนิ่มนวล แต่มือทั้งสองยังกำจนแน่นก่อนจะเอ่ยคำที่สวนทางกับความคิด
"ท่านพี่จางหย่งแค่ใจดีพานางติดรถม้าไปส่งบ้าน เจ้าอย่าเก็บมาใส่ใจ"
หลังจากเรือออกจากท่าเจียอีได้เงินจากขายสินค้าครั้งแรกมา 28 ตำลึงเงิน แน่นอนว่าไม่สามารถพอจะซื้อม้าได้สักตัว หากไม่ได้เอามาเพื่ออวดบารมี เจียอีคิดว่าสมควรจะเอาลาหรือล่อมาทดแทนได้ นางพาตงซิ่วไปที่ตลาดขายสัตว์เลือกดูอยู่นานก็ถูกใจล่อตัวหนึ่ง
ล่อหรือฬอ สัตว์ชนิดนี้เกิดจากการผสมพันธุ์ของลาตัวผู้และม้าตัวเมีย ล่อที่เกิดจากการผสมพันธุ์ส่วนมากจะเป็นหมัน นิยมใช้เป็นพาหนะสำหรับขนสิ่งของ คุณสมบัติเด่นมีความอดทนและมีชีวิตที่ยืนยาวกว่าม้า เชื่องและฉลาดสามารถวิ่งได้เร็วกว่าด้วย
เจียอีซื้อล่อมาในราคา 7 ตำลึงเงิน อันที่จริงนางอยากได้ล่อสักสองตัว แต่ต้องเจียดเงินสำรองไว้เป็นค่ารับซื้อหน่อไม้จากชาวบ้าน ไว้รอเรือเที่ยวต่อไปมารับของอีก 35 วันเมื่อนั้นค่อยหาซื้อล่อเพิ่มอีกตัว หล่างคุนมีเรือทั้งหมดสามลำ ทุก 35 วันเรือแต่ละลำจะสลับสับเปลี่ยนกันเข้าท่า ดังนั้นทั้งขาไปขากลับเรือลำที่ขนสินค้าออกไปวันนี้จะใช้เวลาราว 110 วันในการกลับมารับสินค้ารอบใหม่ ส่วนอีกสองลำให้นับไปอีก 35 และ 70 วันตามลำดับคิวก่อนหลัง
"ท่านตาเจ้าคะ ข้าว่าเราพอจะหาซื้อเกวียนได้อีกหนึ่งคัน ท่านตาจะได้ไม่ลำบากไปตัดไม้มาประกอบเกวียน"
"ไม่ต้อง ๆ ตาไม่ลำบาก เจ้าถนอมเงินไว้ใช้เถิด ไม่อย่างนั้นก็แบ่งไปซื้อของที่เจ้าอยากได้ ซื้ออาหารที่เจ้าอยากกิน ซื้ออาภรณ์สวย ๆ ที่เจ้าหมายตาไว้มาสวมใส่ ให้รางวัลตนเองบ้าง"
"เจ้าค่ะ"
เมื่อได้ล่อมาแล้วทั้งสองก็แวะเข้ามาในตลาด เลือกซื้อเป็ดหนึ่งตัวกลับไปทำกินเองที่บ้าน นับแต่โบราณมาเป็ดถือว่าเป็นของดี ดีขนาดที่ว่าโต๊ะหลวงในราชสำนักใช้เป็นอาหารสำหรับจัดเลี้ยงขุนนางชั้นผู้ใหญ่ เจียอีจำได้ว่านางเคยให้สัญญากับอันฉีเอาไว้ ถ้าหากมีเงินเมื่อไรอันฉีจะต้องได้กินเนื้อเป็ดคู่กับข้าวสวย อันฉีเป็นเด็กกินเก่งและไม่เลือกกินเขาจะต้องดีใจมากแน่ ๆ นอกจากเป็ดแล้วเจียอียังเลือกเสื้อผ้าชุดใหม่ให้ตนเองหนึ่งชุด ซื้อรองเท้าคู่ใหม่ให้ตงซิ่ว เข้าร้านขายยาให้หมอจัดเทียบยาบำรุงร่างกายให้นางหวัง ซื้อถังหูลู่ฝากอันฉี 2 ไม้ และซื้อถุงใส่เงินสีชมพูอ่อนปักลวดลายดอกโบตั๋นให้ลู่เสียน สุดท้ายแวะซื้อวัตถุดิบสำหรับนำไปปรุงร่วมกับเป็ดอีกสี่ห้าอย่าง
"นี่ของท่านยาย นี่ของอาฉี นี่ของท่านแม่เจ้าค่ะ ส่วนรองเท้านี่ของท่านตานะเจ้าคะ"
นางก้มลงไปสวมรองเท้าให้ตงซิ่ว ยื่นถุงยาบำรุงร่างกายให้นางหวัง ส่วนลู่เสียนและอันฉีเดินมาหยิบในส่วนของตนเองไป ลู่เสียนเปิดออกดูพบว่าเป็นถุงใส่เงินลวดลายสวยงามนางพึงพอใจเป็นอย่างมาก
"ชอบหรือไม่เจ้าคะท่านแม่"
"ชอบ แต่แม่ทำเองได้เจ้าจะได้ประหยัดเงิน ถุงใส่เงินอันเก่าที่เจ้าทำให้แม่ก็ยังใช้ได้อยู่"
เจียอีมองถุงใส่เงินอันเก่าที่ลู่เสียนชูขึ้นมาให้ดู สีหน้าของเจียอี
สลดลงไปในทันที เพราะถุงใส่เงินอันเก่านี้เจียอีตระหนักได้ว่าเป็นของแทนใจอย่างเดียวที่ลู่เสียนมีไว้ดูต่างหน้าลูกสาวแท้ ๆ ของนางที่ตกตาย โดยที่เจ้าของร่างนี้ทำไว้ให้ลู่เสียนใช้ตอนที่ยังมีชีวิตอยู่
"ถุงใส่เงินอันเก่าสวยกว่ามากจริง ๆ ท่านแม่ชอบอันเก่ามากกว่าก็ใช้อันเก่าเถิดเจ้าคะ"
"อันใหม่แม่ก็ชอบ แต่แม่ชอบอันเก่าเพราะว่าลูกสาวของแม่ตั้งใจทำให้แม่"
"ท่านแม่...อันที่จริงแล้วข้า..."
เจียอีรู้สึกเหมือนมีบางสิ่งที่ทำให้นางจุกอกจนพูดไม่ออก นางกลืนน้ำลายลงคออย่างยากลำบาก เก็บคำสารภาพไว้ไม่พูดต่อให้จบ ฝืนข่มใจเบือนหน้าไปทางอันฉีที่กำลังอ้าปากงับถังหูลู่อย่างไร้เดียงสา
"อาฉี"
"ขอรับท่านพี่"
"วันนี้พี่ซื้อเป็ดมาจากตลาด ท่านตากำลังจะเอาไปจัดการถอนขน เจ้าอยากกินเป็ดหรือไม่"
"ข้าอยากกินเป็ดขอรับ"
อันฉีตอบกลับน้ำเสียงตื่นเต้นฉีกยิ้มกว้าง นานแล้วที่เขาไม่ได้กินเป็ด ที่พอจะได้กินอยู่บ้างเห็นทีจะมีเพียงไก่ฟ้าที่ตงซิ่วหามาได้ในบางครั้งบางครา มีเนื้อหมูป่าที่ช่วยกันออกล่ากับเพื่อนบ้านมาแบ่งกัน รวมไปถึงไข่ไก่ป่าและกระต่าย ตงซิ่วจัดการกับเป็ดเสร็จแล้วก็ได้เรียกเจียอีให้นำไปปรุงเป็นอาหาร อาหารที่นางกำลังจะปรุงขึ้นมีชื่อว่าเป็ดอบฟาง
"จะ เจ้าจะไม่วางเพลิงบ้านยายจนวอดวายใช่หรือไม่เจียเอ๋อร์"
นางหวังพูดเสียงสั่นสีหน้าแสดงถึงความสิ้นหวังเมื่อเห็นเจียอีกับอันฉีช่วยกันหอบฟางมากองไว้หน้าบ้านเตรียมอบเป็ด ลู่เสียนก็กังวลใจเสียไม่ต่างจากมารดา ส่วนตงซิ่วเองก็รู้สึกหายใจไม่ทั่วท้อง
"ข้าจะพยายามไม่ให้เพลิงลุกลามเจ้าค่ะ ท่านยายวางใจได้"
...เป็นคำตอบที่ทำให้นางหวังสิ้นหวังเสียยิ่งกว่าเดิม ให้นางเอาอะไรมาวางใจได้กันเล่า นางหวังทรุดลงนั่งที่ระเบียงมองหน้าสามีตัดกับลูกสาวไปมาอย่างกลืนไม่เข้าคายไม่ออก
เจียอีนำเป็ดมาคลุกเคล้าส่วนผสม แล้วหาไม้ไผ่ขนาดเหมาะเหลาปลายให้แหลมมาตอกลงดิน จับตัวเป็ดเสียบลงที่ไม้ไผ่ โดยเสียบจากทางก้นแล้วเอาโอ่งดินเผาใบขนาดพอดีมาครอบ กลบทับด้วยฟางก่อนจะจุดไฟให้ลุกโชนในพรึบเดียว ทุกคนผวาถอยห่างออกไปไกลถึงห้าก้าว อันฉีกลัวจนต้องรีบวิ่งไปกอดขามารดาซุกหน้าหลบไอร้อนจากเปลวเพลิงที่กำลังโหมลุกไหม้
"ทะ ท่านแม่ข้ากลัว"
"...แม่ก็กลัว"
"ยายก็กลัว"
"ตาก็เช่นกัน"
"ข้ากลัวนางจะเผาบ้าน!!!"
ประโยคสุดท้ายลู่เสียน นางหวัง และตงซิ่วต่างพูดออกมาโดยพร้อมเพรียงกัน จนในที่สุดลู่เสียนก็นิ่งนอนใจไม่ได้รีบเสนอความคิดหนึ่งขึ้นมา
"ให้ข้าตักน้ำมารอไว้เลยดีไหมเจ้าคะ หากนางเผาบ้านจริง ๆ จะได้รีบดับไฟได้ทันการณ์"
"พ่อว่าดี"
"แม่ก็ว่าดี"
ทั้งสี่สุมหัวกันซุบซิบเบา ๆ เสมือนชาวบ้านหนึ่งชาวบ้านสอง มองเจียอีทยอยเติมฟางเข้าไปเรื่อย ๆ จนกระทั่งถึงเวลาอันควรที่นางคาดว่าเป็ดน่าจะสุกดีแล้ว นางจึงเปิดโอ่งดินเผา อาฉีที่ตั้งใจว่าอย่างไรก็ต้องได้กินของอร่อยแน่วันนี้จ้องมองอย่างใจจดใจจ่อ เมื่อเจียอีเอาโอ่งออกสำเร็จแล้วอันฉีชี้นิ้วไปที่เป็ดแล้วพูดขึ้นน้ำเสียงตื่นเต้น
"โอ้โหท่านแม่ เป็ดท่านพี่ดำปิ๊ดปี๋"