“ไฉนตัวท่านร้อนเช่นนี้!” ขนาดอยู่ในน้ำเขายังตัวร้อนราวเปลวเพลิง นางกังวลเรื่องของเขามากกว่าเรื่องที่ตนเองแทบจะเปลือยเปล่า เขาไม่เอ่ยตอบแต่หมุนตัวหมายจะว่ายน้ำไปขึ้นฝั่ง แต่นางว่ายตามมาใกล้ๆ
“ท่านไม่สบายหรือ?”
“พูดมาก!เจ้าเป็นหมอหรือไร!” สวินเย่ว์ตวาด หวังให้หญิงแปลกหน้าหวาดกลัว ไม่เข้ามาใกล้เขา ทว่ากลิ่นอายของหญิงสาวกลับยิ่งปลุกเร้าจนเขาเจ็บปวดไปทั่วร่าง
“ข้ามิใช่หมอ” นางว่ายน้ำตามเขาจนทัน “แต่ท่าทางของท่านหากไม่เจ็บป่วยก็ต้องพิษเป็นแน่”
ถ้อยคำของหญิงแปลกหน้าทำให้ชายหนุ่มชะงักไป เขามองร่างบอบบางที่ว่ายน้ำมาทันเขาแล้วคว้าข้อมือเขาไปจับไว้ แม้ดวงตาของเขาเห็นไม่กระจ่างชัด ทว่าความจริงใจของนางนั้นเขาสัมผัสได้
เสิ่นฉางซียังจับชีพจรไม่แม่นยำเหมือนเกาเทียนฉี แต่กระนั้นนางรู้สึกได้ว่าชีพจรของเขาสับสนยิ่งนัก นางเงยหน้าขึ้นมองใบหน้าที่เต็มไปด้วยความเจ็บปวดแต่ทนกลั้น หัวใจของนางพลันเจ็บปวดไปกับเขาด้วย
นางผู้เคยผ่านความเจ็บปวดอันแสนสาหัสทุรนทุรายมาแล้ว ย่อมไม่ต้องการให้ผู้ใดมาเผชิญความเจ็บปวดอีก โดยเฉพาะคนผู้นี้คือ...
ผู้มีพระคุณของนาง
“ท่านเดินไหวหรือไม่ จากนี้ไม่ไกลจะถึงบ้านของข้า”
นางหมายถึงกระท่อมของตนข้างสวนสมุนไพรของเกาเทียนฉี “แต่แถบนี้ไม่มีชาวบ้านผ่านมาด้วย หากต้องหาคนประคองท่านไป คงต้องไปหาคนที่หมู่บ้านมาช่วย..”
“แถบนี้...ไม่มีคน...”
“อืม”
เส้นทางนี้ชาวบ้านมิค่อยมาใช้นัก ส่วนใหญ่จะไปใช้อีกเส้นทางหนึ่ง นางจึงชอบมาว่ายน้ำเล่นที่บริเวณนี้ หญิงสาวขึ้นจากน้ำแล้วรีบคว้าเสื้อผ้าที่พับวางไว้ที่โขดหินมาสวมทับอย่างรวดเร็ว ทว่าร่างของนางกลับถูกรวบจากด้านหลัง รวดเร็วจนไม่ทันตั้งตัว แผ่นหลังของนางก็ทาบทับไปบนพื้นหญ้าอ่อนนุ่มแล้ว
ดวงตากลมเบิกกว้าง เงาร่างของชายหนุ่มทาบทับบดบังแสงตะวันที่ลอดผ่านเงาไม้ สองขาแกร่งคร่อมร่างของนางไว้ สองมือของเขานั้นปลดสายคาดเอวแล้วคลายเสื้อชุดดำที่สวมอยู่ เผยให้เห็นแผงอกกว้าง หยดน้ำจากร่างกายกำยำหยดลงบนใบหน้าของหญิงสาว ร่างบอบบางสั่นระริก มิใช่เพราะหนาวแต่เพราะหวาดกลัว
ไม่ได้! นางจะกลัวเขาไม่ได้!
นิ้วโป้งปัดผ่านริมฝีปากนุ่ม สายตากวาดตามองจากริมฝีปาก ลำคองามระหง ไหล่ลาด ผิวกายละมุนและทรวงอกที่อยู่ในเอี๊ยมสีขาวไข่มุกที่ยามนี้เปียกชุ่มจนเห็นยอดถันสีชมพูราวหยกใส ปลายนิ้วโป้งที่หยาบกระด้างแตะที่ริมฝีปากของนาง ราวกับชั่งใจหรือต่อสู้กับความคิดของตนเองอยู่ นางขมวดคิ้ว แม้ไม่ได้พบกันห้าปี ช่วงที่ไต้ซือซูรักษานางนั้น เขาอยู่ที่นั่นด้วย นิสัยหยิ่งยโสของเขานั้นนางย่อมรู้อยู่เต็มอก แม้เขาไม่ใช่สุภาพชนอ่อนน้อมถ่อมตน ด้วยนิสัยของเขาแล้ว นางเชื่อว่าเขาไม่
ใช่บุรุษจำพวกบ้าตัณหาราคะ คนอย่างสวินเย่ว์ไม่มีวันเป็นเช่นนี้แน่ โดยเฉพาะกับหญิงอัปลักษณ์ที่ไม่มีใครสนใจเช่นนาง
“ท่าน...ถูกพิษสินะ”
ถ้อยคำของนางฉุดรั้งสติที่เหลือน้อยนิดของเขาไว้ ร่างที่กำลังโน้มตัวลงถึงกับชะงักไป เขาดึงมือตัวเองกลับ ผงะไปด้านหลังแล้วลุกขึ้นหันหลังให้อย่างรวดเร็ว
‘บัดซบ! นี่เขาเกือบจะทำร้ายสตรีผู้หนึ่งไปแล้ว!’
เพียงเห็นเขาสะบัดตัวหันหลังให้ เสิ่นฉางซีก็ผวาตกใจรีบยันกายขึ้นจากพื้นหญ้า ด้วยกลัวว่าเขาจะหนีไปเสียก่อนทั้งที่ดวงตาของเขาเป็นเช่นนั้น สองมือยืนไปรั้งร่างสูงใหญ่ไว้ทันที
แผ่นหลังสัมผัสร่างเนียนนุ่มทำเอาสวินเย่ว์ตัวแข็งทื่อ เขาก้มลงมอง แม้เห็นไม่ชัดแต่รู้สึกได้ว่าสองแขนของนางโอบกอดเขาจากด้านหลัง เนินเนื้อที่ยังเติบโตไม่เต็มที่แนบชิดแผ่นหลัง พลันเลือดในกายของเขาเดือนพล่านจนต้องเผลอครางเสียงต่ำในลำคอราวสัตว์บาดเจ็บ
“ท่านจะไปทั้งอย่างนี้มิได้!”
“ปล่อยข้า! เจ้าไม่รู้ตัวว่ากำลังทำสิ่งใดอยู่!” เขากัดฟันตวาดหญิงแปลกหน้าที่กอดรัดเขาไม่ยอมปล่อย
“ไม่! ข้าจะไม่ปล่อยท่าน!” เห็นเขาเจ็บปวดทรมานเช่นนี้ นางจะปล่อยเขาไปได้อย่างไร
“หญิงบ้า!”
เขาตวาดอย่างหัวเสีย เหตุใดจึงพบเจอแต่สตรีแปลกประหลาดเช่นนี้ ไฟโทสะเข้าครอบครองสติที่เหลืออันน้อยนิด เขาคำรามอย่างคลุ้มคลั่งแล้วพลิกตัวมาโถมร่างของตนทาบทับกับร่างหญิงสาวแปลกหน้า คราวนี้นางไม่มีสีหน้าแตกตื่นอีก แต่นั่นก็ไม่ได้ทำให้โทสะในใจลดลง แม้รู้ดีว่าสตรีผู้นี้มิได้มีส่วนเกี่ยวข้องกับที่เขาต้องพิษ แต่การที่นางเสนอตัวเช่นนี้ทำให้เขารู้สึกหงุดหงิด แต่ไหนแต่ไรคนอย่างเขา สวินเย่ว์ มีสตรีหมายปองมิน้อย แม้ยามที่เป็นทหารชั้นผู้น้อยต่ำต้อยก็ยังมีสตรีมาเสนอตัวอย่างไร้ยางอาย ยิ่งเมื่อฐานะที่แท้จริงเปิดเผยแล้ว บรรดาแม่สื่อย่ำผ่านธรณีประตูแทบทุกวัน แม้เขาจะต่อยใบหน้าองค์รัชทายาท แต่ความโปรดปรานที่องค์ฮ่องเต้มีต่อเขานั้นไม่น้อย ยังไม่ลดละความพยายามที่จะให้เขาเป็นราชบุตรเขย
แล้วนี่...ออกมาทำภารกิจลับ กลับถูกสตรีวิปริตใช้ผงปลุกกำหนัดหมายมั่นเอาเขาเป็นสามีให้ได้! ครั้นมาพบหญิงสาวชาวบ้าน แทนที่นางจะหวาดกลัว แต่กลับเสนอตัวให้
ได้! เช่นนั้นอย่าหาว่าข้า สวินเย่ว์ ร้ายกาจ!
“อ๊ะ!”
เสิ่นฉางซีหลุดร้องเสียงหลงได้ครึ่งคำแล้วกัดริมฝีปากแน่น มองเห็นเพียงมือใหญ่กระชากเอี๊ยมตัวน้อยที่นางสวมอยู่ออกอย่างไม่ปรานี มือข้างหนึ่งกระชากกางเกงชั้นในหลุดออกอย่างง่ายดาย ร่างกายที่ไร้เสื้อผ้าปกปิดถูกร่างใหญ่ของเขาทาบทับ มือใหญ่เปะปะไปตามเรียวขาของหญิงสาว เสิ่นฉางซียื่นมือไปปัดมิให้เขาแตะต้องถูกรอยแผลเป็นของนาง ด้วยกลัวว่าเขาจะแสดงความรังเกียจออกมา เรียวขาถูกแยกออกพร้อมกับกดแก่นกายแห่งบุรุษเพศเข้าไปอย่างรวดเร็ว
หญิงสาวกัดริมฝีปากตนเองแทบปริแตกแต่ไม่ยอมส่งเสียงร้องออกมา ร่างกายที่ไม่เคยถูกล่วงล้ำในเวลานี้เหมือนถูกฉีกขาด แต่หากจะเทียบกับความเจ็บปวดที่นางได้รับเมื่อสิบขวบนั้นยังห่างไกลนัก และยิ่งเห็นสีหน้าทุกข์ทรมานของเขาแล้ว นางได้แต่กัดฟันอดทนต่อให้เขาขยับเคลื่อนไหวอยู่บนร่างกายของนาง นางหลับตาลงปล่อยให้ความทรงจำในวัยเด็กกลับคืนมาอีกครั้ง
“เจ้าอย่าได้เข้าใจผิด ข้าไม่ได้คิดมีอนุหรือรับหญิงใดเข้ามาอีก” เขาสารภาพเสียงเบา “เจ้าก็รู้ ข้าไม่คุ้นเคยกับสตรี เป็นข้าต่างหากที่เกรงจะเอาใจใส่เจ้าไม่เพียงพอ”“ท่านพี่ใส่ใจข้าดียิ่ง” เพราะรู้ว่าอยู่กับเพียงลำพัง นางจึงยื่นมือไปไล้เส้นผมของเขาเบาๆ “หากท่านพี่ไม่ใส่ใจข้า ในครรภ์ของข้าจะมีเด็กอยู่ได้อย่างไร”“เจ้าพูดให้ข้าสบายใจอย่างนั้นหรือ?” เขาถอนหายใจเบาๆ “ข้าใช้ชีวิตอยู่กับทหาร อยู่ในสนามรบ ไม่รู้ว่าควรดูแลเจ้าอย่างไร”“ท่านพี่ดูแลข้าดียิ่งจริงๆ” นางหัวเราะเบาๆ ไม่คิดว่าเขาจะกังวลกับเรื่องเล็กน้อยเพียงนี้ “เมื่อครั้งที่ตั้งครรภ์หยางหยาง ข้าอยู่เพียงลำพัง แต่ครั้งนี้มีท่านพี่อยู่ด้วย กลางดึกข้าอยากถ่ายเบา ท่านพี่ก็ช่วยประคองข้าไม่เคยแสดงท่าทีรังเกียจหรือรำคาญ มือเท้าของข้าก็เป็นท่านที่คอยบีบนวดอย่างไม่สนใจว่าผู้อื่นจะมองท่านพี่เป็นคนเช่นไร”“เรื่องเล็กน้อยทั้งนั้น” เขาทำหน้ายุ่ง เขาหาได้ใส่ใจว่าผู้ใดจะคิดกับเขาเช่นไร นางอุ้มท้องลูกของเขา เขาย่อมต้องดูแลนาง มีอะไรผิดกัน ฮึ!“เล็กน้อยสำหรับท่านพี่แต่สำคัญมากสำหรับข้า” นางเชื่อแล้วว่าเขาไม่คุ้นเคยกับสตรีจริงๆ “มิใช่บุรุษทุกคนจะยอมทำเ
“เอาไปศึกษาดู” สวินเย่ว์ผลักหนังสือเล่มนั้นออก แต่ฝูหรงยัดใส่อกเสื้ออีกฝ่ายซ้ำยังจับสาบเสื้อให้อย่างดีราวกับไม่ได้ซุกซ่อนสิ่งใดไว้ “เรื่องฉลองวันเกิดนาง ข้าย่อมต้องมีส่วนร่วม อย่างไรนางก็เป็นผู้มีคุณของข้าและฝูเจี๋ย” “รู้แล้ว” “เจ้ามาปรึกษาแค่นี้รึ” “อืม” “เช่นนั้นก็ดื่มสุราเป็นเพื่อนข้าสักกาสิ” “ไม่ ข้ามีธุระ” “อ้าว” “ขอตัว” “เฮ้ย!” ฮ่องเต้ฝูหรงได้แต่อ้าปากค้างมองแผ่นหลังของแม่ทัพสวินเย่ว์เดินจ้ำออกไปอย่างรวดเร็วนี่เพราะเป็นสหายใช่ไหม? ถึงได้ทำตัวไร้มารยาทเช่นนี้หลายวันมานี้ เสิ่นฉางซีเห็นท่าทางแปลกๆ ของสวินเย่ว์ จะเรียกว่าแปลกก็ไม่เชิงนัก เพียงแต่มีบางอย่างที่นางรู้สึกว่าเขาปิดบังนางอยู่ หญิงสาวหยุดหน้าห้องหนังสือ นางลังเลอยู่ครู่ก่อนตัดสินใจผลักบานประตูเข้าไป สวินเย่ว์เงยหน้าขึ้นหมายจะตำหนิคนที่เข้ามา แต่พอเห็นว่าเป็นเสิ่นฉางซี เขารีบลุกขึ้นเข้าไปประคองภรรยารัก เป็นเพราะเขาออกคำสั่งไว้ หากนางมาหาเขา สามารถเข้ามาได้ไม่ต้องให้คนรายงาน
“จิ้นฝานเก่งมากใช่ไหมถึงได้เป็นองครักษ์ของอันอัน” “เจ้าอยากเป็นองครักษ์?” “ข้าอยากปกป้องอันอัน” สวินเย่ว์ตักน้ำราดตัวลูกชาย หยิบผ้ามาซับน้ำให้ ตอนเกิดไม่ได้เลี้ยงดู มาชดเชยเอาตอนนี้แทนก็แล้วกัน “ท่านพ่อ!” เมื่อไม่ได้รับคำตอบ เด็กชายก็ขึ้นเสียง “พ่อเจ้าเก่งกว่าเจ้าองครักษ์นั่นเยอะ” เขาหัวเราะในลำคอ “ไม่ต้องห่วง ข้าจะสอนให้เจ้าแข็งแกร่งกว่าจิ้นฝาน ว่าแต่เจ้าจะทนไหวเรอะ” “ข้าฝึกท่านั่งม้าตั้งแต่ห้าขวบแล้ว” หยางหยางคุยโต เมื่อครั้งที่ติดตามมารดาไปพรรคเงาอสูร ระหว่างมารดาปรุงอาหารอยู่นั้น เขาเล่นสนุกกับคนในพรรคมาร ได้ฝึกท่าพื้นฐานต่างๆ มาบ้าง “เจ้าไม่ค่อยเชื่อฟังคำสั่งข้านี่” เขาจัดการชำระล้างตนเองให้หมดกลิ่นเหงื่อ แต่กระนั้นยังได้ยินเสียงลูกชายบ่นพึมพำ “ท่านยังไม่ค่อยเรียกข้าว่าลูกเลยนี่” “ก็” จะบอกว่าลืมก็กลัวลูกน้อยใจ “ลูกผู้ชายเขาพูดคุยกันเช่นนี้แหละ” “ก็ได้ ข้าเชื่อท่านก็ได้” “หยาง” “อืม” คนเป็นลูกขานรับห้วนๆ เหมือนกับบิดาที่ชอบเ
“เรื่องเอาใจสตรี ถามเสด็จพ่อของข้าก็ได้” อันอันแย้มยิ้มทำตาวิบวับไร้เดียงสา “ฮ่องเต้มีสนมมากมาย เมื่อถึงวันเกิดของผู้ใดก็จัดสรรของกำนัลให้กงกงนำไปมอบให้ทุกครั้ง” ‘ต้องปรึกษาเรื่องนี้กับคนเช่นนั้นนะรึ? จะได้เรื่องหรือไม่เล่า’ “ไปหาแม่บุญธรรมกันเถอะ ข้าหิวมากเลยพี่หยางหยาง” “อืม”หยางหยางพยักหน้ารับ หันไปสบตากับบิดาอีกครั้ง เห็นเพียงอีกฝ่ายโบกมือไล่ก็เข้าใจความหมาย เขาหันหลังย่อตัวลงให้อันอันปีนขึ้นหลังอย่างคุ้นเคย เด็กน้อยก็ทำตัวเป็นลูกลิงเกาะทันที สวินเย่ว์ได้แต่นวดขมับตนเองไม่รู้จะเตือนลูกชายอย่างไรไม่ให้ตามใจองค์ชายน้อยนัก แต่ช่างเถอะ ประเดี๋ยวมี ‘น้อง’ ของตัวเองแล้วก็คงเลิกใส่ใจองค์ชายฝูเจี๋ยไปเอง “ช่วงนี้ในวังเป็นอย่างไร” สวินเย่ว์เอ่ยถามองครักษ์ที่กำลังจะเดินตามองค์ชายฝูเจี๋ยไป จิ้นฝานชะงักเล็กน้อยแล้วเอ่ยขึ้น “ในวังเรียบร้อยดีขอรับ” “ดี” เขาพยักหน้ารับ “ดูแลเจ้าเด็กนั่นดีๆ อย่าไปตามใจนัก” “ขอรับ” จิ้นฝานได้แต่ลอบโอดครวญในอก เขาเป็นองครักษ์ไม่ต่างจากคนรับใช้ จะมีสิทธิ์อะไรไปห้ามเจ้านา
สวินเย่ว์เลิกคิ้วรอถ้อยคำจากริมฝีปากสีชาดของหญิงสาว ไม่น่าเชื่อเลยว่า หัวใจดุจน้ำแข็งของเขาจะถูกหลอมละลายอยู่ในอุ้งมือของนางได้ “ข้าชอบท่านที่สุด” นางยื่นริมฝีปากไปประกบริมฝีปากที่เจือรสสุราชวนมึนเมา วงแขนแข็งแกร่งรวบร่างนางเข้ามากอดแนบแน่น เขาจูบไล้กลีบปากของนางช้าๆ แล้วแทรกเรียวลิ้นเกี่ยวกระหวัดด้วยเสน่หาลึกล้ำ ทำเอาร่างของนางอ่อนระทวยจนต้องเอนกายเข้าหา เขาจึงยอมละริมฝีปากแล้วเลื่อนมาประทับจูบที่รอยแผลเป็นของนางอย่างทะนุถนอม พลางกระซิบเสียงพร่า “ข้าชอบเจ้ามากกว่า” ‘แต่ข้ารักท่าน’ เสิ่นฉางซีไม่ได้พูดในสิ่งที่ใจคิด แต่นางเชื่อว่าเขารับรู้เสียงในหัวใจของนางได้ บางครั้งการกระทำสำคัญกว่าคำพูด เห็นทีว่าประโยคนี้จะใช้กับบุรุษตัวโตเอาแต่ใจได้ดี สวินเย่ว์ก้มมองหญิงสาวที่ช้อนตาขึ้นมองเขาพอดี สิบสามปีก่อน เขาถูกดวงตาสุกใสของนางตราตรึงจนยากจะลืมเลือน หนึ่งครั้งที่เขาช่วยชีวิตนาง หนึ่งครั้งที่นางช่วยชีวิตเขา ชะตานำพาใจสองดวงให้พานพบและผูกพัน เกิดสายใยโยงหัวใจสองดวง แม้ต้องไกลห่างก็นำพาให้หวนคืน ลมหายใจของนาง ไออุ่นจากกายของเขา ทุกส
“ไมต้องเขินอายไป เรื่องแบบนี้ข้ารู้ว่าพูดยาก แต่ข้าเป็นคนคุยง่าย เจ้าอยากแต่งงานใหญ่โตกว่าท่านแม่ทัพสวินเย่ว์ ข้าก็จัดการให้เจ้าได้”“ใครบอกว่าข้าจะแต่งกับเจ้า”“ก็ข้าพูดออกไปเมื่อครู่ไง” นางทำตาปริบๆ “แต่งกับข้าเถอะน่า ข้าอยากได้ยินคนบ่นข้างหูแบบนี้ทุกวัน”“นี่เจ้าชอบข้าเรอะ!” เขาควรรู้สึกยินดีใช่ไหมที่สตรีประหลาดอย่างซูหลี่น่ามาชอบเขา“อืม” นางพยักหน้า “อยู่กับเจ้าก็เหมือนเลี้ยงนกแก้วให้มันส่งเสียงเจื้อยแจ้วข้างหู”“เจ้ากล้าเปรียบเทียบข้ากับนกแก้วเรอะ!”“อืม” นางพยักหน้าขึ้นลง “ไม่ต้องอาย ข้าจะไปสู่ขอเจ้าเอง”ซูหลี่น่านั่งลงบนตักของเกาเทียนฉี สะโพกกลมกลึงบดเบียดเย้ายวนจนส่วนที่หลับใหลตื่นฟื้น นางยิ้มเจ้าเล่ห์ในขณะที่เกาเทียนฉีได้แต่หลับตาโอดครวญอยู่ในอกที่ไม่สามารถบังคับ ‘ส่วนนั้น’ ของร่างกายได้เลยเอาเถอะ! บางทีชีวิตของเขาอาจรอผู้หญิงบ้าๆ อย่างนางอยู่ก็เป็นได้.เด็กชายวัยเจ็ดขวบยืนตาโตมองมารดาของตนในชุดสีแดงงดงามจับตา เสิ่นฉางซีอยู่ในชุดเจ้าสาว แม้มีผ้าคลุมหน้าอยู่ก็รับรู้ได้ว่าถูกลูกชายจ้องมองจนรู้สึกเขินอาย “เลิกมองแม่ได้แล้ว” “ท่านแม่สวยมาก” หยางหยางพูดขึ