เข้าสู่ระบบหลังจากวันนั้นเป็นต้นมา ซูเฉียวเริ่มใกล้ชิดกับจิงเซียวและจิงซิงอี้มากขึ้น หลังจากเลิกเรียนและกลับมาบ้าน เขาจะทำการบ้าน ช่วยแม่ทำงานบ้าน จากนั้นจะไปหาจิงเซียวกับจิงซิงอี้เพื่อช่วยทำงาน
เขาเรียนรู้การทำสมุนไพรจากจิงเซียว และช่วยจิงซิงอี้ทำธูปหอมและถุงสมุนไพร ถึงแม้จะยังไม่เข้าใจอะไรมาก แต่เขาช่วยทำงานง่ายๆ เช่น ตากสมุนไพร บรรจุลงถุง
เขาไม่ขอเรียนการทำสมุนไพร เพราะรู้ว่าความรู้บางอย่างเป็นความลับ และบางอย่างต้องมีค่าใช้จ่ายในการเรียนรู้ การไปขอเรียนง่ายๆ ดูเป็นเรื่องที่เห็นแก่ได้มากเกินไป และไม่อยากให้คนบ้านหมอจิงต้องมาลำบากใจปฏิเสธ
เรื่องนี้เป็นสิ่งที่แม่ของเขาสอนเอง เมื่อเขาพูดกับแม่ว่าอยากเรียนกับหมอจิง เฉินเหวินจึงอธิบายให้เขาเข้าใจ และไม่ไปกดดันจิงเซียวและจิงซิงอี้ แต่เขาควรจะช่วยแบ่งเบาภาระให้กับผู้มีพระคุณดีกว่า
เมื่อเห็นเด็กชายมาช่วยเกือบทุกวัน จิงซิงอี้บอกว่า ไม่ต้องมาตอบแทนบุญคุณด้วยแรงงานก็ได้นะ แต่ซูเฉียวกลับตอบอย่างหนักแน่นว่า “ผมอยากทำเองครับ ผมอยากเก่งแบบหมอจิงด้วย”
เด็กชายหน้าแดงนิ
ลั่วเป่ยตกใจมาก เขารีบบอกจิงซิงอี้ว่า เขาจะไปดูลูกชายก่อน จิงซิงอี้พูดขึ้นมาว่า จะขอไปดูอาการด้วย ชายหนุ่มพยักหน้าและรีบเดินขึ้นรถลากไปด้วยกันระหว่างทางกลับบ้าน ลั่วเป่ยสอบถามอาการของลูกชาย จากหญิงรับใช้ซึ่งเป็นคนสนิทของภรรยา นางเล่าด้วยน้ำเสียงเป็นกังวลว่า“วันนี้คุณชายน้อยไม่อยากกินข้าวเลยเจ้าค่ะ บอกว่าเหนื่อยมาก จากนั้นฮูหยินก็บอกให้คุณชายพักผ่อน แล้วก็ตามท่านหมอชิวมารักษา แต่พอรักษาได้สักพัก อาการของคุณชายน้อยก็แย่ลงอีก”“แย่ยังไง รีบบอกมา!” ลั่วเป่ยเร่งให้นางตอบ“คุณชายน้อยบอกว่าเจ็บหน้าอกมาก แล้วก็ปวดเนื้อตัวเจ้าค่ะ!”จิงซิงอี้ที่ฟังอาการก็นิ่วหน้าด้วยความสงสัย เขาถามสาวใช้ว่า “เจ้ารู้หรือไม่ว่า หมอรักษาคุณชายอย่างไรบ้าง”สาวใช้ตอบแบบไม่แน่ใจว่า “ฝังเข็มแล้วก็ให้ดื่มยาเจ้าเจ้าค่ะ แต่ก็ไม่ดีขึ้น”ลั่วเป่ยพยายามควบคุมความกลัว เมื่อไปถึงหน้าบ้าน พวกเขารีบลงจากรถ และเดินไปที่ห้องนอนของคุณชายน้อยที่อยู่ตึกด้านซ้ายมือ หน้าห้องมีคนรับใช้ทั้งยืนรอและเดินเข้าอ
เขาจุ่มเข็มลงในน้ำร้อนเพื่อทำความสะอาด และอธิบายให้ทุกคนในห้องฟังว่า “ข้าจะเริ่มต้นฝังเข็มเพื่อปิดกั้นการไหลเวียนของสารพิษในร่างกาย”จากนั้นก็ฝังเข็มที่จุดเหรินเหมินบริเวณท้องน้อย เพื่อช่วยควบคุมการไหลเวียนของเลือดและชี่ในร่างกายส่วนล่าง จากนั้นจุดชี่ไห่ ที่อยู่ใต้หัวเข่า เพื่อช่วยเสริมภูมิคุ้มกันและกระตุ้นการไหลเวียนของเลือด“ข้าจะกักสารพิษเอาไว้ที่จุดเดียวเพื่อไม่ให้แพร่กระจาย จนกว่าเราจะขับมันออกไปได้ และช่วยให้อาการทรงตัวไม่แย่ไปกว่านี้”จิงซิงอี้หันไปหาหมอที่ยืนข้าง “ข้าขอให้ท่านช่วยจับตัวเขาพลิกให้หน่อยขอรับ”จากนั้นก็ฝังเข็มที่จุดเฟิ่งฉือ เพื่อช่วยลดอาการอักเสบและบรรเทาอาการปวดเขาใช้เวลาในการฝังเข็มอยู่นานกว่า 20 นาที ทุกคนเห็นว่า คนไข้เริ่มหายใจลึกและยาวขึ้น อาการสั่นสะท้านจากความเจ็บปวดลดน้อยลง และสีหน้าที่หมองคล้ำของเขาเริ่มดีขึ้นจิงซิงอี้หยุดฝังเข็ม หันไปบอกหลิวป๋อว่า “ข้าจะสั่งยาสมุนไพรให้ มีโสมจีน ตังเซียม เห็ดหลินจือ ชะเอมเทศ ตัง และเกา
ลั่วเป่ยถอนหายใจ “ลูกชายของพี่อายุ 11 ปี ไม่ค่อยแข็งแรงมาตั้งแต่เกิด เวลาทำอะไรที่ต้องออกแรง จะเหนื่อยง่าย หายใจหอบ ซีดเซียว เวลาอากาศเปลี่ยนก็ป่วย เวลาป่วยที ก็ใช้เวลานานกว่าจะฟื้นได้ ยิ่งช่วงสองสามปีนี้อาการยิ่งหนักมากขึ้นไปอีก”ในระหว่างนั้น เด็กเสิร์ฟก็นำอาหารมาวางบนโต๊ะ ทั้งสองคนลงมือกินและคุยกันต่อ “พี่หาหมอมารักษาหลายคนก็ไม่ดีขึ้น ได้แค่ทรงๆ จนช่วงนี้ยิ่งแย่มากขึ้น มันน่าเจ็บใจไหม ที่พี่ขายสมุนไพร แต่ก็ไม่มีสมุนไพรไหนช่วยลูกได้เลย!”จิงซิงอี้ถามด้วยความสนใจว่า “ใครเป็นคนแนะนำให้ใช้โสมในการรักษาหรือ”“เป็นหมอที่เพื่อนของพี่แนะนำมา เขาเชี่ยวชาญโรคเด็ก และบอกว่าหยวนชี่พร่อง ซึ่งมักเกิดกับเด็ก เขาจึงสั่งยาและอาหารเพื่อบำรุงร่างกายให้แข็งแรง โดยเฉพาะโสมที่ให้เอามาตุ๋นไก่ทำเป็นยา จะต้องเป็นโสมที่มีคุณภาพสูงจริงๆ”เมื่อจิงซิงอี้ถามต่อว่า “หลังจากรักษากับหมอคนนี้แล้ว อาการดีขึ้นไหม”ชายหนุ่มตอบว่า “ดีขึ้นกว่าเดิม แต่ก็ยังออกแรงหนักมากไม่ได้ จนเมื่อสองอาทิตย์ที่ผ่านมา อากาศเปลี่ยนแปลงม
เฉินอี้เซิงเฉลยอาการป่วยของคนไข้ชายว่า มีอะไรบ้างและควรจะรักษาอย่างไร เขาอธิบายเพิ่มเติมว่า“คนไข้รักษาอาการมานานแล้ว ช่วงนี้มีอาการหนักขึ้น เพราะอากาศหนาวมีส่วนอย่างมาก แต่สิ่งที่จิงซิงอี้วิเคราะห์น่าสนใจมากเช่นกัน โดยเฉพาะกรรมพันธุ์และความเครียด ที่ทำให้อาการเป็นมากขึ้น การซักถามอย่างใส่ใจถึงชีวิตประจำวัน จึงเป็นหัวใจสำคัญ ที่ทำให้เราเห็นสาเหตุของโรคด้วย ที่สำคัญ การรักษาในองค์รวม ที่ต้องดูแลทั้งร่างกายและจิตใจไปด้วย จึงจะช่วยให้โรคแบบนี้ดีขึ้นได้ในภาพรวมได้”หลังจากจบบทเรียนในวันนั้น เฉินอี้เซิงปล่อยให้ทุกคนกลับบ้านได้ จิงซิงอี้เก็บของ และเดินออกมานอกห้องพร้อมกับลั่วเป่ยและจี่หลิว คนที่ไม่พอใจเขาก็เริ่มเงียบไปบางคนเข้ามาทักทายและบอกว่า ไม่นึกเลยว่าเขาจะเป็นหมอเด็กอัจริยะ แต่แล้วเขาก็ได้ยินเสียงแค่นหัวเราะของชายที่มีปัญหากับเขา หรือเค่อหลุน ที่เดินผ่านจิงซิงอี้และพูดว่า “ก็แค่เดาจนถูกนั่นละ!”ทั้งลั่วเป่ยและจี่หลิวขมวดคิ้ว ลั่วเป่ยจึงพูดออกมาว่า “คนอะไร หาเรื่องแม้กระทั่งกับเด็กไม่กี่ขวบ!”จิงซิงอี้มองตามเค่อห
ในวันจันทร์แรกของการไปเรียน จิงซิงอี้ตื่นแต่เช้า เขาสะพายเป้หนังสีน้ำตาลที่มีข้าวของจำเป็นใส่หลัง เป้นี้เขาออกแบบเป็นพิเศษให้มีช่องเก็บของ ใส่ขวดน้ำที่ทำจากกระบอกไม้ไผ่เล็กๆ ขนม ผ้าเช็ดหน้า อุปกรณ์การแพทย์ขนาดเล็ก เขาแวะกินอาหารเช้าง่ายๆ ข้างทาง จากนั้นเดินไปที่บ้านของเฉินอี้เซิง ถึงอากาศจะเย็นในช่วงเช้า เพราะเป็นฤดูใบไม้ผลิ แต่ก็เหงื่อตกเพราะต้องเดินมาเองเมื่อมาถึงทางเข้าบ้าน เขาพบชายหลากหลายวัยเดินเข้าประตูไปอย่างคุ้นเคย จิงซิงอี้เดินตามเข้าไปเงียบๆ บางคนหันมามองเขาด้วยความสงสัย จนกระทั่งมีชายคนหนึ่งอายุประมาณ 28-29 ปี เรียกให้เขาหยุดและถามว่า “เจ้าหนู! หยุดก่อน! เจ้าเป็นใคร หลงทางกับพ่อหรือเปล่า”กลุ่มคนที่น่าจะเป็นลูกศิษย์ของเฉินอี้เซิงพากันหันมามอง จิงซิงอี้หยุดเดิน หันไปตอบนิ่งๆว่า “ข้าไม่ได้พลัดหลงกับใคร ข้าเป็นลูกศิษย์นอกสำนักของอาจารย์เฉินอี้เซิง”ทุกคนที่ได้ยินต่างขมวดคิ้ว พวกเขามองจิงซิงอี้ด้วยความสงสัย บางคนไม่เชื่อ และถามเขาด้วยความไม่พอใจว่า“เป็นเรื่องจริงหรือ!”“เจ้าอย่ามาเป็นเด็กเลี้
เมื่อรู้ว่าจิงซิงอี้ผ่านการทดสอบ โม่หยวนหลิงและซัววีเว่ย จึงช่วยกันหาที่พักให้เด็กชาย แต่ก็ยังอดเป็นห่วงจิงซิงอี้ไม่ได้“เจ้าอยู่คนเดียวได้จริงหรือ พี่รู้ว่าเจ้าเก่ง ทำอะไรก็ได้ แต่ที่นี่เมืองหลวง ไม่มีใครมาช่วยเหลือเจ้า พี่เป็นห่วงมากนะ!” โม่หยวนหลิงพูดด้วยความกังวลใจจิงซิงอี้ต้องปลอบใจว่า “พี่หลิง ข้าอยู่ตัวคนเดียวได้จริงๆ แต่ตอนนี้ต้องหาที่พักก่อน” ทั้งสองคนเสนอให้เขาไปพักอยู่บ้านเฉินอี้เซิง อย่างน้อยยังมีผู้ใหญ่อยู่ด้วยเด็กชายหัวเราะ การไปอยู่แบบนั้น ต้องทำงานแลกที่พักและอาหาร เขาไม่คิดว่าตัวเองจะต้องทุ่มเทและลำบากถึงขนาดนั้น เขามีความรู้อยู่แล้ว แค่ต้องการความรู้ด้านพิษอื่นๆ ที่จะช่วยเหลือจิงเซียวได้นอกจากนี้ เขาไม่อยากระมัดระวังตัวตลอดเวลา เขาจึงเลือกอยู่คนเดียว เพื่อให้มีเวลาศึกษาหาความรู้ โดยไม่ต้องปิดบังตัวตนเมื่อเห็นโม่หยวนหลิงและซัววีเว่ยยังไม่คลายกังวล เขาจึงตัดสินใจพูดตรงๆ ว่า“พี่หลิง พี่เว่ย ข้ารู้ว่าพวกท่านเป็นห่วงข้ามาก แต่ข้าขอพูดตรงๆก็แล้วกัน ข้ามีความรู้ทางการแพทย์อยู่แล้ว อาจ







