ระหว่างที่ถาม จิงซิงอี้กวาดสายตาไปรอบๆ ด้านอย่างระมัดระวัง เขากลัวแม่ของมันจะพุ่งออกมาจู่โจม ถึงเจ้าตัวเล็กจะทำตัวฟู และมีแววตาหวาดระแวง แต่ก็ยังจ้องตาเขาไม่หลบ
จิงซิงอี้ค่อยๆ ถอยออกมานั่งที่เดิม ทั้งสองปรึกษากันว่าจะนั่งรอห่างๆ และดูว่าแม่จิ้งจอกจะมารับลูกหรือไม่ และค่อยตัดสินใจว่าจะทำอย่างไร เวลาผ่านไป 15 นาที ก็ยังไม่มีวี่แววว่าจะมีแม่จิ้งจอกเดินออกมา แต่แล้วลูกสุนัขจิ้งจอกก็ค่อยๆ โผล่หน้ามาออกมาจากหลังต้นไม้ และมองมาที่สองตาหลาน
ในที่สุดจิงซิงอี้และจิงเซียวจึงลุกเดินไปหามันช้าๆ จิงเซียวพูดกับมันด้วยเสียงมีเมตตาว่า
“เจ้าอยากจะให้พวกเราทำอะไรให้ บอกมาสิเจ้าตัวเล็ก”
ลูกสุนัขจิ้งจอกเอียงคอฟัง จากนั้นมันก็หันหลังเดินเข้าไปในป่าด้านหลัง มันเดินไปสองสามก้าว และหยุดหันมามองพวกเขาหลายครั้ง เหมือนจะบอกให้ทั้งสองเดินตาม จิงซิงอี้และจิงเซียวมองหน้ากัน พวกเขารู้ว่าเจ้าตัวเล็กคงอยากจะให้พวกเขาเดินตาม
ทั้งสองจึงเดินตามมัน ที่พามุดเข้าไปในป่าที่เริ่มรกทึบ พวกเขาต้องก้มตัวหลบเถาวัลย์และลุยเข้าไปในพุ่มไม้ที่ขวางทางเอาไว้หลายครั้ง
ในที่สุดพวกเขาก็มาถึงโพรงหินที่ซ่อนอยู่หลังพุ่มไม้ เจ้าตัวเล็กรีบมุดเข้าไป ทั้งสองตาหลานเดินเข้าไปอย่างระมัดระวัง และเมื่อก้มตัวลงมองเข้าไปในโพรง พวกเขาก็เห็นสุนัขจิ้งจอกขนสีแดงโตเต็มวัยแล้วตัวหนึ่งนอนนิ่งอยู่ในโพรง ลูกสุนัขจิ้งจอกยืนเลียหน้ามันและส่งเสียงร้องครางหงิงๆ จิงเซียวเข้าใจทันทีว่า “น่าจะเป็นแม่ของมัน”
ทั้งสองพบว่า แม่สุนัขจิ้งจอกนอนแน่นิ่งหายใจระรวย และมีร่องรอยบาดแผลถูกกัดที่ขาเป็นแผลใหญ่ เลือดเริ่มแห้งกรัง และมีรอยกัดขนาดเล็ก 2-3 แผลทั่วตัว รอยเลือดแห้งกระเซ็นตามขนของมัน
มันน่าจะบาดเจ็บมาสองสามวันแล้ว และคงสลบไปเพราะเสียเลือดและแผลอักเสบ เจ้าตัวเล็กก็คงจะหิวและห่วงแม่ จึงออกมาขอความช่วยเหลือจากพวกเขา
ทั้งสองตัดสินใจว่าจะช่วยพวกมัน จิงเซียวเป็นฝ่ายอุ้มลูกสุนัขจิ้งจอก ในขณะที่จิงซิงอี้ใช้ผ้าพันคอห่อตัวแม่จิ้งจอกไว้ และอุ้มมันขึ้นมา เขาตรวจดูร่องรอยบาดเจ็บ และเห็นว่าแผลสาหัสที่สุดอยู่ที่ขาหลังของมัน ที่ถูกกัดจนเหวอะเข้าไป
จิงซิงอี้หันไปบอกเจ้าตัวเล็กว่า “พวกเราจะพาแม่ของเจ้าไปรักษานะ ไม่ต้องห่วง!” เจ้าตัวเล็กดูเหมือนจะรู้ความ มันส่งเสียงร้องเบาๆ
ทั้งสองเก็บข้าวของเพื่อเตรียมเดินลงเขา จิงเซียวเอาอาหารและน้ำที่มีเหลือนิดหน่อยให้เจ้าตัวเล็ก มันกินด้วยความหิวโหย จากนั้นพวกเขาก็เดินลงเขาทันที
เมื่อมาถึงบ้าน พวกเขาเดินเข้าไปในห้องตรวจรักษา จิงซิงอี้ปูผ้ายางเอาไว้บนโต๊ะและวางแม่จิ้งจอกลงไป เขาให้จิงเซียวเป็นคนดูแลมัน ในขณะที่เขาเดินเข้าไปในครัว รินน้ำข้าวต้มที่เหลือเมื่อเช้าใส่ถ้วยเล็กๆ และยกมาให้เจ้าตัวเล็ก
เขายกถ้วยน้ำข้าวต้มขึ้นใกล้ปากของมันและสอนให้มันเลีย เมื่อรู้รสชาติแล้ว น้ำข้าวต้มถ้วยนั้น ก็หายวับลงท้องลูกสุนัขจิ้งจอกไปในพริบตา
จิงเซียวซึ่งกำลังตรวจดูบาดแผลของแม่สุนัขจิ้งจอก หยุดมองและหัวเราะด้วยความเอ็นดู เขาพูดว่า “เจ้านี่มันไม่ธรรมดานะ”
จิงซิงอี้เดินเข้าไปช่วยจิงเซียวตรวจแผลแม่สุนัขจิ้งจอกที่นอนไม่ได้สติ เขาถามด้วยความไม่แน่ใจว่า “คุณตาจะทำยังไงครับ จะพาไปหาสัตวแพทย์หรือจะรักษาเอง”
จิงเซียวยิ้มและตอบว่า “ตาจะรักษาเอง”
จิงซิงอี้หัวเราะ เขาคาดเอาไว้อยู่แล้วว่าจิงเซียวจะต้องตอบเช่นนี้ สมัยที่จิงเซียวยังแข็งแรงและหนุ่มกว่านี้ เวลาที่พวกเขาเดินทางไปเก็บสมุนไพรและออกรักษาชาวบ้านตามที่ต่างๆ บางครั้งก็เจอสัตว์บาดเจ็บ ทั้งสัตว์ป่าและสัตว์เลี้ยง พวกเขาก็จะช่วยรักษาพวกมัน
ถึงตอนนี้ เจ้าตัวเล็กเดินมาหาจิงซิงอี้ มันยกสองขาหน้าขึ้นมาเกาะขาของเขาเอาไว้ จิงซิงอี้ก้มลงอุ้มมัน เขายกตัวมันขึ้นสูงและสบตามัน หูของมันลู่ไปข้างหลัง มันแลบลิ้นเล็กๆ สีชมพูเลียน้ำข้าวที่ติดอยู่รอบปาก และส่งเสียงร้องเบาๆ ชายหนุ่มหัวเราะออกมา ใบหน้าของเขาอ่อนโยนลง และบอกมันว่า
“รอสักพักนะ ตอนเย็นจะออกไปหานมแพะมาให้กิน”
เจ้าตัวน้อยกะพริบตา มันหันไปมองแม่ที่นอนอยู่บนโต๊ะ และเห่าเบาๆ จิงซิงอี้พูดกับมันว่า
“ไม่ต้องห่วง พวกเราจะรักษาแม่เจ้าเอง”
ในระหว่างนั้น จิงเซียวทำความสะอาดบาดแผลของแม่จิ้งจอก จิงซิงอี้วางเจ้าตัวเล็กลง เขาใส่ถุงมือและเตรียมตัวเป็นลูกมือให้จิงเซียว
จิงเซียวมองนาฬิกาที่ผนังและถามเขาว่า “วันนี้เจ้าไม่ไปคลินิกแล้วรึ”
ชายหนุ่มส่ายหน้า “ไม่ครับ ถ้ามีอะไรด่วน คนไข้คงโทรมาเอง..อีกอย่างนึง ช่วงเปิดใหม่แบบนี้ ยังไม่มีคนไข้มากนัก”
เมื่อหันไปมองเจ้าตัวเล็ก เขาก็พบว่ามันขดตัวนอนบนผ้าที่จิงซิงอี้ปูเอาไว้ที่พื้น และนอนหลับไปด้วยความอ่อนเพลีย
จากการตรวจบาดแผลของแม่จิ้งจอก พวกเขาพบว่า มันน่าจะต่อสู้กับสัตว์ใหญ่บางอย่างมา แต่โชคดีที่บาดแผลไม่รุนแรงมาก มันหมดสติไปเพราะเสียเลือด ขาดน้ำและอาหาร ส่วนลูกจิ้งจอกคงจะเฝ้าแม่อยู่สองสามวัน ไม่มีอาหารและนมให้กิน จนเมื่อได้ยินเสียงของพวกเขา มันจึงออกมาแอบมองอยู่หลังต้นไม้
จิงซิงอี้ขอเป็นคนรักษาแทน เขาไม่อยากให้ชายชราเหนื่อยมากไปกว่านี้ จิงซิงอี้ทำความสะอาดแผล และใช้ยาหยุนหนานไป๋เหยาโรยแผล และป้อนยาตัวเดียวกันให้แม่สุนัขจิ้งจอกกิน เพื่อแก้ปวดและห้ามเลือด
เขาและจิงเซียวปรึกษากัน และคิดว่าหลังจากนี้ จะต้มเช่อไปเยี่ยให้มันกินเพื่อแก้ช้ำในและหยุดเลือด เพราะยาหยุนหนานไป๋เหยาอาจทำอันตรายต่อระบบทางเดินอาหารของสุนัขได้ จึงไม่ควรจะใช้รักษาติดต่อกันนาน
สำหรับการรักษาสัตว์ด้วยแพทย์แผนจีนและแพทย์ทางเลือกอื่นๆ นั้น เริ่มได้รับความนิยมเพิ่มขึ้น ทั้งการรักษาด้วยศาสตร์แพทย์แผนจีนร่วมกับแพทย์แผนปัจจุบัน และการรักษาด้วยแพทย์แผนจีนเพียงอย่างเดียว
วิธีการรักษายังมีคล้ายกับของมนุษย์ ทั้งการฝังเข็ม การลนยา การใช้สมุนไพร และการนวด ในประเทศจีนมีการสอนเป็นหลักสูตรในระดับมหาวิทยาลัยด้วย และยังมีการสอนเป็นหลักสูตรให้กับสัตวแพทย์จากประเทศอื่นด้วย
เมื่อรักษาแม่สุนัขจิ้งจอกเสร็จแล้ว พวกเขาก็ออกไปล้างมือและอาบน้ำ จากนั้นจิงซิงอี้ก็เตรียมทำอาหารกลางวัน ซึ่งกลายมาเป็นอาหารบ่ายแทน เพราะตอนนี้ก็ได้เวลาบ่ายสองแล้ว พวกเขาหิวกันมาก ถึงแม้ว่าจะนำอาหารกลางวันติดตัวไปกินบนเขาด้วย แต่ก็ได้กินเพียงเล็กน้อย เพราะต้องลงเขามาก่อน ตอนนี้ จิงซิงอี้จึงคิดจะต้มบะหมี่แบบง่ายๆ
เขาเปิดตู้เย็น นำมะเขือเทศออกมาล้างและหั่นเป็นชิ้นเล็กๆเพื่อให้จิงเซียวเคี้ยวได้สะดวก จากนั้นนำน้ำซุปไก่ที่แช่แข็งออกมาต้มในหม้อ เขาตั้งน้ำอีกหม้อและต้มเส้นบะหมี่สำหรับสองคน เมื่อเส้นสุกนิ่มดีแล้วจึงตักขึ้นมาแช่น้ำเย็น
ระหว่างนั้น เขาตั้งกระทะใส่น้ำมันลงไปเล็กน้อย ใส่กระเทียมสับลงไป ตามด้วยมะเขือเทศ ปรุงรสด้วยเกลือ พริกไทย ซีอิ๊วเล็กน้อย และตอกไข่ลงไป ผัดให้ทุกอย่างสุกนุ่ม
เขาตักน้ำซุปใส่ถ้วย ใส่บะหมี่ลงไป ราดหน้าด้วยมะเขือเทศผัดไข่ และโรยหน้าด้วยต้นหอมซอยอีกเล็กน้อย
อาหารที่เขากินกับจิงเซียวมักจะมีรสไม่จัดมากนัก และต้องทำให้เปื่อยนุ่มกว่าปกติ เพื่อให้จิงเซียวกินง่ายและย่อยง่าย
เขายกถ้วยบะหมี่ไปวางที่โต๊ะ และตามจิงเซียวมากินด้วยกัน
เมื่อกินอิ่มแล้ว จิงซิงอี้ออกไปข้างนอกอีกครั้ง เพื่อซื้อนมแพะและเนื้อไก่มาให้สุนัขจิ้งจอกสองแม่ลูก
เขาขี่จักรยานไปบ้านหลังเล็กๆ ที่อยู่ถัดไป 4-5 หลัง ซึ่งมีสองสามีภรรยาสูงวัยอาศัยอยู่ พวกเขาปลูกผักและเลี้ยงสัตว์เอาไว้กินเอง เหมือนกับบ้านหลังอื่นๆ แถวนี้
เมื่อมาถึงหน้าบ้าน เขาจอดจักรยานเอาไว้และตะโกนเรียกเจ้าของบ้าน ซ่งฮ่าวเทียน ซึ่งเป็นชายรูปร่างผอมบางตัวเล็ก อายุประมาณ 60 กว่าปี เดินออกมาเปิดประตูรั้ว ชายหนุ่มจึงบอกว่า เขามาขอซื้อนมแพะและเนื้อไก่เพื่อเอาไปเลี้ยงลูกสุนัขบาดเจ็บ แต่ไม่ได้บอกว่าเป็นสุนัขจิ้งจอก เพราะชาวบ้านอาจจะหวาดกลัว
ซ่งฮ่าวเทียนบอกให้เขานั่งรอในบ้าน ส่วนตัวเขาเดินไปที่คอกหลังบ้านเพื่อรีดนมแพะ และเตรียมไก่ให้ ระหว่างที่จิงซิงอี้นั่งรอนั้น เขาได้ยินเสียงป้าซ่งถามออกมาจากห้องนอนว่า “พ่อ ใครมาน่ะ”
จิงซิงอี้จึงตอบแทนว่า “ผมจิงซิงอี้ มาขอซื้อนมแพะครับ”
ป้าซ่งเปิดประตูและเดินออกมาจากห้องนอนช้าๆ เขาสังเกตเห็นว่าสีหน้าป้าซ่งซีดเซียว และเดินกระย่องกระแย่ง เขารีบเดินเข้าไปประคองและพาเธอไปนั่งที่เก้าอี้ จากนั้น จิงซิงอี้ก็ถามว่า
“ป้าปวดเข่าเหรอครับ มีอาการยังไงบ้าง”
ป้าซ่งลังเล แต่ก็ตัดสินใจเล่าอาการว่า
“ป้าปวดเข่าจ้ะ เป็นมาหลายปีแล้ว ยิ่งตอนเช้ายิ่งปวดมากขึ้น”
เมื่อเดินไปถึงโรงพยาบาล นางพยาบาลที่อยู่หน้าเคาเตอร์ต่างพากันมุงดูเด็กน้อยด้วยความเอ็นดู แต่จิงซิงอี้ถอยไปหลบอยู่ข้างหลังลั่วเยี่ยน เขาไม่ได้กลัว แต่ไม่ชอบให้คนแปลกหน้าเข้ามาอยู่ใกล้ๆ“เดี๋ยวๆทุกคน ใจเย็นๆ เจ้าหนูกลัวแล้ว”ลั่วเยี่ยนเตือนสาวๆ และเล่าให้พวกเธอฟังว่าไปพบเด็กชายที่ไหน และขอให้พวกเธอช่วยประกาศหาพ่อแม่ในโรงพยาบาล และถ้าไม่พบ เขาจะโทรไปแจ้งตำรวจให้ช่วยตามหาอีกทีในระหว่างที่ชายหนุ่มอธิบาย จิงซิงอี้ก็ยืนฟังเงียบๆด้วยความสนใจ แม้ว่าใครๆ จะพยายามถามชื่อและที่อยู่ เขากลับนิ่งทำหูทวนลมเหมือนไม่เข้าใจ จนลั่วเยี่ยนอดหัวเราะไม่ได้ชายหนุ่มจะต้องออกตรวจคนไข้ตอนเช้า เขาจึงคิดจะฝากให้เด็กชายอยู่กับเจ้าหน้าที่ แต่จิงซิงอี้ไม่ยอม เด็กน้อยวิ่งตามลั่วเยี่ยน ทำให้เขาต้องพาเด็กชายไปที่ห้องตรวจด้วยเขาย่อตัวลงสบตากับเด็กน้อยและพูดอย่างจริงจังว่า “ฉันไม่รู้ว่านายต้องการอะไร แต่ฉันรู้ว่านายเข้าใจทุกสิ่งที่ฉันพูด ถ้านายไม่อยากไปไหน ก็อยู่กับฉันไปก่อน ถ้าเปลี่ยนใจอยากพูด ก็พูดมาก็แล้วกันนะเจ้าหนู”จากนั้นชายหนุ่มก็ลูบหัวเด็กน้อยด้วยความเอ็นดู พวก
ตั้งแต่ยังหนุ่ม จิงเซียวมักออกเดินทางและหายไปหลายอาทิตย์ บางครั้งเขาเดินทางไปรักษาชาวบ้านตามที่ห่างไกล บางครั้งก็ไปเก็บสมุนไพรตามป่าเขาลำเนาไพร และได้รับเชิญจากผู้นำระดับประเทศ รวมไปถึงผู้มีชื่อเสียงและอำนาจขอให้ไปช่วยรักษาโรคเมื่ออายุมากขึ้น เขาจะเลือกรักษาเฉพาะคนที่เขารู้สึกถูกใจเท่านั้น ถึงแม้บางคนจะใช้ทั้งเงินและอำนาจมาข่มขู่ ชายชราก็ไม่เคยหวั่นไหว เพราะเขามีลูกศิษย์และคนไข้ที่มีชื่อเสียงคอยปกป้องอยู่เสมอนี่จึงเป็นอีกสาเหตุหนึ่ง ที่จิงเซียวไม่เคยเปิดคลินิกรักษาที่หมู่บ้านเจียวจู เพราะเขาไม่ค่อยจะอยู่บ้านนั่นเองในระหว่างที่สองตาหลานง่วนอยู่กับการทำงานของตัวเอง จิงเซียวก็บอกกับจิงซิงอี้ว่า“เสี่ยวอี้ อีกสองวันตาจะไปปักกิ่งนะ มีนัดรักษาคนไข้”ชายหนุ่มพยักหน้ารับรู้ ชายชราก็พูดต่อว่า “เสี่ยวเยี่ยน ศิษย์พี่ใหญ่ของเจ้าจะมารับตาไป”เสี่ยวเยี่ยน หรือลั่วเยี่ยน อายุ 48 ปี เป็นศิษย์คนแรกของจิงเซียว เขาเป็นเจ้าของธุรกิจโรงพยาบาลเอกชนที่รักษาด้วยแพทย์แผนปัจจุบันและแผนจีนในปักกิ่ง ตัวเขาจบแพทย์แผนปัจจุบันมา เมื่
จิงซิงอี้เห็นว่าป้าซ่งมีรูปร่างท้วม ยิ่งทำให้เข่าเสื่อมและเสียรูปมากกว่าปกติ เขาจึงอธิบายอาการให้หญิงสูงวัยฟังว่า“โรคที่ป้าเป็น คือ ข้อเข่าเสื่อมนะครับ เกิดขึ้นได้จากอายุที่มากขึ้นทำให้เสื่อม แล้วก็น้ำหนักที่มากกว่าปกติ บางคนก็เกิดจากการทำงานหนัก ยกของหนักมานาน”ป้าซ่งรีบตอบว่า “ใช่เลยจ้ะ ป้าทำไร่ทำสวนมาตั้งแต่สาวๆ บางทีก็ต้องแบกปุ๋ย แบกผักผลไม้ไปขาย ช่วงนี้ป้าปวดเข่ามาก มันตึงไปหมด พอนั่งๆนอนๆ น้ำหนักก็เลยขึ้นอย่างที่หมอเห็นนี่ละจ้ะ”ในขณะที่พวกเขากำลังพูดคุยนั้น ลุงซ่งฮ่าวเทียน ก็ถือขวดใส่นมแพะ 3 ขวดเดินเข้าบ้านมาถามว่า“เท่านี้พอมั้ยหมอจิง”เมื่อเห็นป้าซ่ง เขาจึงถามด้วยความเป็นห่วงว่า“อายี่ ออกมาทำไม จะเอาอะไรเหรอ”ป้าซ่งรีบตอบว่า“ไม่มีอะไร ฉันเห็นว่าหมอจิงมา เลยเดินออกมาทัก”จิงซิงอี้สังเกตเห็นว่า ป้าซ่งไม่อยากพูดถึงอาการของตนต่อหน้าสามี เขาจึงหันไปพูดกับซ่งฮ่าวเทียนว่า“เท่านี้ก็พอครับ พรุ่งนี้สัก 5 โมงเย็นจะแวะมาซื้ออีกนะครับ ขอบคุณครับลุงซ
ระหว่างที่ถาม จิงซิงอี้กวาดสายตาไปรอบๆ ด้านอย่างระมัดระวัง เขากลัวแม่ของมันจะพุ่งออกมาจู่โจม ถึงเจ้าตัวเล็กจะทำตัวฟู และมีแววตาหวาดระแวง แต่ก็ยังจ้องตาเขาไม่หลบจิงซิงอี้ค่อยๆ ถอยออกมานั่งที่เดิม ทั้งสองปรึกษากันว่าจะนั่งรอห่างๆ และดูว่าแม่จิ้งจอกจะมารับลูกหรือไม่ และค่อยตัดสินใจว่าจะทำอย่างไร เวลาผ่านไป 15 นาที ก็ยังไม่มีวี่แววว่าจะมีแม่จิ้งจอกเดินออกมา แต่แล้วลูกสุนัขจิ้งจอกก็ค่อยๆ โผล่หน้ามาออกมาจากหลังต้นไม้ และมองมาที่สองตาหลานในที่สุดจิงซิงอี้และจิงเซียวจึงลุกเดินไปหามันช้าๆ จิงเซียวพูดกับมันด้วยเสียงมีเมตตาว่า“เจ้าอยากจะให้พวกเราทำอะไรให้ บอกมาสิเจ้าตัวเล็ก”ลูกสุนัขจิ้งจอกเอียงคอฟัง จากนั้นมันก็หันหลังเดินเข้าไปในป่าด้านหลัง มันเดินไปสองสามก้าว และหยุดหันมามองพวกเขาหลายครั้ง เหมือนจะบอกให้ทั้งสองเดินตาม จิงซิงอี้และจิงเซียวมองหน้ากัน พวกเขารู้ว่าเจ้าตัวเล็กคงอยากจะให้พวกเขาเดินตามทั้งสองจึงเดินตามมัน ที่พามุดเข้าไปในป่าที่เริ่มรกทึบ พวกเขาต้องก้มตัวหลบเถาวัลย์และลุยเข้าไปในพุ่มไม้ที่ขวางทางเอาไว้หลายครั้ง&
จิงซิงอี้ขยับตัวตื่นตอนเช้ามืด เพราะได้ยินเสียงเปิดปิดประตูไม้หน้าบ้าน เขาลุกขึ้นและคว้าเสื้อกันหนาวมาสวมทับ ถึงแม้ว่าช่วงนี้กำลังจะเข้าสู่ฤดูร้อนแล้ว แต่หมู่บ้านนี้อยู่ใกล้กับภูเขาจึงมีอากาศเย็นตลอดทั้งปี และในช่วงเช้าแบบนี้ ยิ่งหนาวเย็นมากกว่าปกติเขาล้างหน้า เปลี่ยนเสื้อผ้าให้ทะมัดทะแมง คว้าโทรศัพท์และเป้ใส่ของ เดินออกมาจากห้องนอน และตรงไปที่ห้องครัวซึ่งอยู่ซ้ายสุดของห้องฝั่งตะวันตกเขาเริ่มต้นทำอาหารเช้า ด้วยการต้มข้าวกล้องผสมธัญพืชที่เคี่ยวจนเปื่อยนุ่ม จากนั้นก็จัดผักดองหลากชนิด ที่ใส่เกลือนิดหน่อยพอให้มีรสชาติลงไปในถ้วยเล็กๆ พร้อมกับไข่เค็มดองเองจากไข่เป็ดที่เลี้ยงตามธรรมชาติ ทำให้ไข่แดงมีสีเข้มมันเยิ้มน่ากินเมื่อทำเสร็จแล้ว เขาเดินไปที่ห้องทำงานของจิงเซียว และเคาะประตูเรียกชายชรา ทั้งสองนั่งกินข้าวเช้าด้วยกัน และมีคุยกันบ้างนิดหน่อย ตอนนี้ ชุนเฉิงเดินทางกลับบ้านของเขาที่อยู่อีกเมืองหนึ่งไปแล้ว เพื่อกลับไปดูแลคลินิกและธุรกิจของตัวเองจิงซิงอี้บอกจิงเซียวว่า เขาได้รับออเดอร์ถุงหอมสมุนไพรจำนวนมาก เขาจึงคิดจะทำขายอย่างจริงจัง และจะขึ้นไปบนภูเขาห
จิงซิงอี้ซึ่งกำลังคัดแยกสมุนไพร ก็ตอบตรงๆ ว่า “ยังไม่มีชื่อเลยครับ”จิงเซียวยิ้ม และมองหลานชายที่ก้มหน้าก้มตาเลือกสมุนไพร ก่อนจะพูดว่า“คลินิกฉางซาน”จิงซิงอี้เงยหน้าขึ้นทันทีด้วยความตกใจ จิงเซียวย้ำด้วยน้ำเสียงจริงจังขึ้นว่า“ได้เวลาที่คลินิกฉางซานจะต้องมีผู้สืบทอดแล้ว!”จากนั้น ชายชราก็พูดต่อว่า “ตาเชื่อมั่นในฝีมือของเจ้านะ ตาไม่อยากให้ความรู้ที่สั่งสมมาจากบรรพบุรุษของเรา ต้องจบไปในรุ่นของตา”ขอบตาของจิงซิงอี้ร้อนผ่าว เขารู้ว่าจิงเซียวมีความฝันที่อยากจะเปิดสำนักแพทย์ของตนเองมานานแล้ว แต่เขายังไม่มีโอกาสสักที ถึงเขาจะมีลูกศิษย์อยู่ 3 คน แต่เป็นครั้งแรกที่จิงเซียวมอบชื่อสำนักแพทย์ฉางซานให้เขาสืบทอด จิงซิงอี้ยืนยันอย่างหนักแน่นว่า“ผมจะทำให้ดีที่สุด ผมจะสืบทอดคลินิกฉางซานเองครับ!”ชุนเฉิงซึ่งยืนฟังอยู่หน้าประตูยิ้มนิดๆ ก่อนจะเคาะประตูห้องทำงานและเดินเข้ามาในห้อง ทั้งสามคนช่วยกันคัดแยกสมุนไพร และสนทนาถึงเรื่องราวที่เกิดขึ้นในช่วงที่ผ่านมา ด้วยบรรยากาศอบอุ่น