LOGINระหว่างที่ถาม จิงซิงอี้กวาดสายตาไปรอบๆ ด้านอย่างระมัดระวัง เขากลัวแม่ของมันจะพุ่งออกมาจู่โจม ถึงเจ้าตัวเล็กจะทำตัวฟู และมีแววตาหวาดระแวง แต่ก็ยังจ้องตาเขาไม่หลบ
จิงซิงอี้ค่อยๆ ถอยออกมานั่งที่เดิม ทั้งสองปรึกษากันว่าจะนั่งรอห่างๆ และดูว่าแม่จิ้งจอกจะมารับลูกหรือไม่ และค่อยตัดสินใจว่าจะทำอย่างไร เวลาผ่านไป 15 นาที ก็ยังไม่มีวี่แววว่าจะมีแม่จิ้งจอกเดินออกมา แต่แล้วลูกสุนัขจิ้งจอกก็ค่อยๆ โผล่หน้ามาออกมาจากหลังต้นไม้ และมองมาที่สองตาหลาน
ในที่สุดจิงซิงอี้และจิงเซียวจึงลุกเดินไปหามันช้าๆ จิงเซียวพูดกับมันด้วยเสียงมีเมตตาว่า
“เจ้าอยากจะให้พวกเราทำอะไรให้ บอกมาสิเจ้าตัวเล็ก”
ลูกสุนัขจิ้งจอกเอียงคอฟัง จากนั้นมันก็หันหลังเดินเข้าไปในป่าด้านหลัง มันเดินไปสองสามก้าว และหยุดหันมามองพวกเขาหลายครั้ง เหมือนจะบอกให้ทั้งสองเดินตาม จิงซิงอี้และจิงเซียวมองหน้ากัน พวกเขารู้ว่าเจ้าตัวเล็กคงอยากจะให้พวกเขาเดินตาม
ทั้งสองจึงเดินตามมัน ที่พามุดเข้าไปในป่าที่เริ่มรกทึบ พวกเขาต้องก้มตัวหลบเถาวัลย์และลุยเข้าไปในพุ่มไม้ที่ขวางทางเอาไว้หลายครั้ง
ในที่สุดพวกเขาก็มาถึงโพรงหินที่ซ่อนอยู่หลังพุ่มไม้ เจ้าตัวเล็กรีบมุดเข้าไป ทั้งสองตาหลานเดินเข้าไปอย่างระมัดระวัง และเมื่อก้มตัวลงมองเข้าไปในโพรง พวกเขาก็เห็นสุนัขจิ้งจอกขนสีแดงโตเต็มวัยแล้วตัวหนึ่งนอนนิ่งอยู่ในโพรง ลูกสุนัขจิ้งจอกยืนเลียหน้ามันและส่งเสียงร้องครางหงิงๆ จิงเซียวเข้าใจทันทีว่า “น่าจะเป็นแม่ของมัน”
ทั้งสองพบว่า แม่สุนัขจิ้งจอกนอนแน่นิ่งหายใจระรวย และมีร่องรอยบาดแผลถูกกัดที่ขาเป็นแผลใหญ่ เลือดเริ่มแห้งกรัง และมีรอยกัดขนาดเล็ก 2-3 แผลทั่วตัว รอยเลือดแห้งกระเซ็นตามขนของมัน
มันน่าจะบาดเจ็บมาสองสามวันแล้ว และคงสลบไปเพราะเสียเลือดและแผลอักเสบ เจ้าตัวเล็กก็คงจะหิวและห่วงแม่ จึงออกมาขอความช่วยเหลือจากพวกเขา
ทั้งสองตัดสินใจว่าจะช่วยพวกมัน จิงเซียวเป็นฝ่ายอุ้มลูกสุนัขจิ้งจอก ในขณะที่จิงซิงอี้ใช้ผ้าพันคอห่อตัวแม่จิ้งจอกไว้ และอุ้มมันขึ้นมา เขาตรวจดูร่องรอยบาดเจ็บ และเห็นว่าแผลสาหัสที่สุดอยู่ที่ขาหลังของมัน ที่ถูกกัดจนเหวอะเข้าไป
จิงซิงอี้หันไปบอกเจ้าตัวเล็กว่า “พวกเราจะพาแม่ของเจ้าไปรักษานะ ไม่ต้องห่วง!” เจ้าตัวเล็กดูเหมือนจะรู้ความ มันส่งเสียงร้องเบาๆ
ทั้งสองเก็บข้าวของเพื่อเตรียมเดินลงเขา จิงเซียวเอาอาหารและน้ำที่มีเหลือนิดหน่อยให้เจ้าตัวเล็ก มันกินด้วยความหิวโหย จากนั้นพวกเขาก็เดินลงเขาทันที
เมื่อมาถึงบ้าน พวกเขาเดินเข้าไปในห้องตรวจรักษา จิงซิงอี้ปูผ้ายางเอาไว้บนโต๊ะและวางแม่จิ้งจอกลงไป เขาให้จิงเซียวเป็นคนดูแลมัน ในขณะที่เขาเดินเข้าไปในครัว รินน้ำข้าวต้มที่เหลือเมื่อเช้าใส่ถ้วยเล็กๆ และยกมาให้เจ้าตัวเล็ก
เขายกถ้วยน้ำข้าวต้มขึ้นใกล้ปากของมันและสอนให้มันเลีย เมื่อรู้รสชาติแล้ว น้ำข้าวต้มถ้วยนั้น ก็หายวับลงท้องลูกสุนัขจิ้งจอกไปในพริบตา
จิงเซียวซึ่งกำลังตรวจดูบาดแผลของแม่สุนัขจิ้งจอก หยุดมองและหัวเราะด้วยความเอ็นดู เขาพูดว่า “เจ้านี่มันไม่ธรรมดานะ”
จิงซิงอี้เดินเข้าไปช่วยจิงเซียวตรวจแผลแม่สุนัขจิ้งจอกที่นอนไม่ได้สติ เขาถามด้วยความไม่แน่ใจว่า “คุณตาจะทำยังไงครับ จะพาไปหาสัตวแพทย์หรือจะรักษาเอง”
จิงเซียวยิ้มและตอบว่า “ตาจะรักษาเอง”
จิงซิงอี้หัวเราะ เขาคาดเอาไว้อยู่แล้วว่าจิงเซียวจะต้องตอบเช่นนี้ สมัยที่จิงเซียวยังแข็งแรงและหนุ่มกว่านี้ เวลาที่พวกเขาเดินทางไปเก็บสมุนไพรและออกรักษาชาวบ้านตามที่ต่างๆ บางครั้งก็เจอสัตว์บาดเจ็บ ทั้งสัตว์ป่าและสัตว์เลี้ยง พวกเขาก็จะช่วยรักษาพวกมัน
ถึงตอนนี้ เจ้าตัวเล็กเดินมาหาจิงซิงอี้ มันยกสองขาหน้าขึ้นมาเกาะขาของเขาเอาไว้ จิงซิงอี้ก้มลงอุ้มมัน เขายกตัวมันขึ้นสูงและสบตามัน หูของมันลู่ไปข้างหลัง มันแลบลิ้นเล็กๆ สีชมพูเลียน้ำข้าวที่ติดอยู่รอบปาก และส่งเสียงร้องเบาๆ ชายหนุ่มหัวเราะออกมา ใบหน้าของเขาอ่อนโยนลง และบอกมันว่า
“รอสักพักนะ ตอนเย็นจะออกไปหานมแพะมาให้กิน”
เจ้าตัวน้อยกะพริบตา มันหันไปมองแม่ที่นอนอยู่บนโต๊ะ และเห่าเบาๆ จิงซิงอี้พูดกับมันว่า
“ไม่ต้องห่วง พวกเราจะรักษาแม่เจ้าเอง”
ในระหว่างนั้น จิงเซียวทำความสะอาดบาดแผลของแม่จิ้งจอก จิงซิงอี้วางเจ้าตัวเล็กลง เขาใส่ถุงมือและเตรียมตัวเป็นลูกมือให้จิงเซียว
จิงเซียวมองนาฬิกาที่ผนังและถามเขาว่า “วันนี้เจ้าไม่ไปคลินิกแล้วรึ”
ชายหนุ่มส่ายหน้า “ไม่ครับ ถ้ามีอะไรด่วน คนไข้คงโทรมาเอง..อีกอย่างนึง ช่วงเปิดใหม่แบบนี้ ยังไม่มีคนไข้มากนัก”
เมื่อหันไปมองเจ้าตัวเล็ก เขาก็พบว่ามันขดตัวนอนบนผ้าที่จิงซิงอี้ปูเอาไว้ที่พื้น และนอนหลับไปด้วยความอ่อนเพลีย
จากการตรวจบาดแผลของแม่จิ้งจอก พวกเขาพบว่า มันน่าจะต่อสู้กับสัตว์ใหญ่บางอย่างมา แต่โชคดีที่บาดแผลไม่รุนแรงมาก มันหมดสติไปเพราะเสียเลือด ขาดน้ำและอาหาร ส่วนลูกจิ้งจอกคงจะเฝ้าแม่อยู่สองสามวัน ไม่มีอาหารและนมให้กิน จนเมื่อได้ยินเสียงของพวกเขา มันจึงออกมาแอบมองอยู่หลังต้นไม้
จิงซิงอี้ขอเป็นคนรักษาแทน เขาไม่อยากให้ชายชราเหนื่อยมากไปกว่านี้ จิงซิงอี้ทำความสะอาดแผล และใช้ยาหยุนหนานไป๋เหยาโรยแผล และป้อนยาตัวเดียวกันให้แม่สุนัขจิ้งจอกกิน เพื่อแก้ปวดและห้ามเลือด
เขาและจิงเซียวปรึกษากัน และคิดว่าหลังจากนี้ จะต้มเช่อไปเยี่ยให้มันกินเพื่อแก้ช้ำในและหยุดเลือด เพราะยาหยุนหนานไป๋เหยาอาจทำอันตรายต่อระบบทางเดินอาหารของสุนัขได้ จึงไม่ควรจะใช้รักษาติดต่อกันนาน
สำหรับการรักษาสัตว์ด้วยแพทย์แผนจีนและแพทย์ทางเลือกอื่นๆ นั้น เริ่มได้รับความนิยมเพิ่มขึ้น ทั้งการรักษาด้วยศาสตร์แพทย์แผนจีนร่วมกับแพทย์แผนปัจจุบัน และการรักษาด้วยแพทย์แผนจีนเพียงอย่างเดียว
วิธีการรักษายังมีคล้ายกับของมนุษย์ ทั้งการฝังเข็ม การลนยา การใช้สมุนไพร และการนวด ในประเทศจีนมีการสอนเป็นหลักสูตรในระดับมหาวิทยาลัยด้วย และยังมีการสอนเป็นหลักสูตรให้กับสัตวแพทย์จากประเทศอื่นด้วย
เมื่อรักษาแม่สุนัขจิ้งจอกเสร็จแล้ว พวกเขาก็ออกไปล้างมือและอาบน้ำ จากนั้นจิงซิงอี้ก็เตรียมทำอาหารกลางวัน ซึ่งกลายมาเป็นอาหารบ่ายแทน เพราะตอนนี้ก็ได้เวลาบ่ายสองแล้ว พวกเขาหิวกันมาก ถึงแม้ว่าจะนำอาหารกลางวันติดตัวไปกินบนเขาด้วย แต่ก็ได้กินเพียงเล็กน้อย เพราะต้องลงเขามาก่อน ตอนนี้ จิงซิงอี้จึงคิดจะต้มบะหมี่แบบง่ายๆ
เขาเปิดตู้เย็น นำมะเขือเทศออกมาล้างและหั่นเป็นชิ้นเล็กๆเพื่อให้จิงเซียวเคี้ยวได้สะดวก จากนั้นนำน้ำซุปไก่ที่แช่แข็งออกมาต้มในหม้อ เขาตั้งน้ำอีกหม้อและต้มเส้นบะหมี่สำหรับสองคน เมื่อเส้นสุกนิ่มดีแล้วจึงตักขึ้นมาแช่น้ำเย็น
ระหว่างนั้น เขาตั้งกระทะใส่น้ำมันลงไปเล็กน้อย ใส่กระเทียมสับลงไป ตามด้วยมะเขือเทศ ปรุงรสด้วยเกลือ พริกไทย ซีอิ๊วเล็กน้อย และตอกไข่ลงไป ผัดให้ทุกอย่างสุกนุ่ม
เขาตักน้ำซุปใส่ถ้วย ใส่บะหมี่ลงไป ราดหน้าด้วยมะเขือเทศผัดไข่ และโรยหน้าด้วยต้นหอมซอยอีกเล็กน้อย
อาหารที่เขากินกับจิงเซียวมักจะมีรสไม่จัดมากนัก และต้องทำให้เปื่อยนุ่มกว่าปกติ เพื่อให้จิงเซียวกินง่ายและย่อยง่าย
เขายกถ้วยบะหมี่ไปวางที่โต๊ะ และตามจิงเซียวมากินด้วยกัน
เมื่อกินอิ่มแล้ว จิงซิงอี้ออกไปข้างนอกอีกครั้ง เพื่อซื้อนมแพะและเนื้อไก่มาให้สุนัขจิ้งจอกสองแม่ลูก
เขาขี่จักรยานไปบ้านหลังเล็กๆ ที่อยู่ถัดไป 4-5 หลัง ซึ่งมีสองสามีภรรยาสูงวัยอาศัยอยู่ พวกเขาปลูกผักและเลี้ยงสัตว์เอาไว้กินเอง เหมือนกับบ้านหลังอื่นๆ แถวนี้
เมื่อมาถึงหน้าบ้าน เขาจอดจักรยานเอาไว้และตะโกนเรียกเจ้าของบ้าน ซ่งฮ่าวเทียน ซึ่งเป็นชายรูปร่างผอมบางตัวเล็ก อายุประมาณ 60 กว่าปี เดินออกมาเปิดประตูรั้ว ชายหนุ่มจึงบอกว่า เขามาขอซื้อนมแพะและเนื้อไก่เพื่อเอาไปเลี้ยงลูกสุนัขบาดเจ็บ แต่ไม่ได้บอกว่าเป็นสุนัขจิ้งจอก เพราะชาวบ้านอาจจะหวาดกลัว
ซ่งฮ่าวเทียนบอกให้เขานั่งรอในบ้าน ส่วนตัวเขาเดินไปที่คอกหลังบ้านเพื่อรีดนมแพะ และเตรียมไก่ให้ ระหว่างที่จิงซิงอี้นั่งรอนั้น เขาได้ยินเสียงป้าซ่งถามออกมาจากห้องนอนว่า “พ่อ ใครมาน่ะ”
จิงซิงอี้จึงตอบแทนว่า “ผมจิงซิงอี้ มาขอซื้อนมแพะครับ”
ป้าซ่งเปิดประตูและเดินออกมาจากห้องนอนช้าๆ เขาสังเกตเห็นว่าสีหน้าป้าซ่งซีดเซียว และเดินกระย่องกระแย่ง เขารีบเดินเข้าไปประคองและพาเธอไปนั่งที่เก้าอี้ จากนั้น จิงซิงอี้ก็ถามว่า
“ป้าปวดเข่าเหรอครับ มีอาการยังไงบ้าง”
ป้าซ่งลังเล แต่ก็ตัดสินใจเล่าอาการว่า
“ป้าปวดเข่าจ้ะ เป็นมาหลายปีแล้ว ยิ่งตอนเช้ายิ่งปวดมากขึ้น”
ลั่วเป่ยตกใจมาก เขารีบบอกจิงซิงอี้ว่า เขาจะไปดูลูกชายก่อน จิงซิงอี้พูดขึ้นมาว่า จะขอไปดูอาการด้วย ชายหนุ่มพยักหน้าและรีบเดินขึ้นรถลากไปด้วยกันระหว่างทางกลับบ้าน ลั่วเป่ยสอบถามอาการของลูกชาย จากหญิงรับใช้ซึ่งเป็นคนสนิทของภรรยา นางเล่าด้วยน้ำเสียงเป็นกังวลว่า“วันนี้คุณชายน้อยไม่อยากกินข้าวเลยเจ้าค่ะ บอกว่าเหนื่อยมาก จากนั้นฮูหยินก็บอกให้คุณชายพักผ่อน แล้วก็ตามท่านหมอชิวมารักษา แต่พอรักษาได้สักพัก อาการของคุณชายน้อยก็แย่ลงอีก”“แย่ยังไง รีบบอกมา!” ลั่วเป่ยเร่งให้นางตอบ“คุณชายน้อยบอกว่าเจ็บหน้าอกมาก แล้วก็ปวดเนื้อตัวเจ้าค่ะ!”จิงซิงอี้ที่ฟังอาการก็นิ่วหน้าด้วยความสงสัย เขาถามสาวใช้ว่า “เจ้ารู้หรือไม่ว่า หมอรักษาคุณชายอย่างไรบ้าง”สาวใช้ตอบแบบไม่แน่ใจว่า “ฝังเข็มแล้วก็ให้ดื่มยาเจ้าเจ้าค่ะ แต่ก็ไม่ดีขึ้น”ลั่วเป่ยพยายามควบคุมความกลัว เมื่อไปถึงหน้าบ้าน พวกเขารีบลงจากรถ และเดินไปที่ห้องนอนของคุณชายน้อยที่อยู่ตึกด้านซ้ายมือ หน้าห้องมีคนรับใช้ทั้งยืนรอและเดินเข้าอ
เขาจุ่มเข็มลงในน้ำร้อนเพื่อทำความสะอาด และอธิบายให้ทุกคนในห้องฟังว่า “ข้าจะเริ่มต้นฝังเข็มเพื่อปิดกั้นการไหลเวียนของสารพิษในร่างกาย”จากนั้นก็ฝังเข็มที่จุดเหรินเหมินบริเวณท้องน้อย เพื่อช่วยควบคุมการไหลเวียนของเลือดและชี่ในร่างกายส่วนล่าง จากนั้นจุดชี่ไห่ ที่อยู่ใต้หัวเข่า เพื่อช่วยเสริมภูมิคุ้มกันและกระตุ้นการไหลเวียนของเลือด“ข้าจะกักสารพิษเอาไว้ที่จุดเดียวเพื่อไม่ให้แพร่กระจาย จนกว่าเราจะขับมันออกไปได้ และช่วยให้อาการทรงตัวไม่แย่ไปกว่านี้”จิงซิงอี้หันไปหาหมอที่ยืนข้าง “ข้าขอให้ท่านช่วยจับตัวเขาพลิกให้หน่อยขอรับ”จากนั้นก็ฝังเข็มที่จุดเฟิ่งฉือ เพื่อช่วยลดอาการอักเสบและบรรเทาอาการปวดเขาใช้เวลาในการฝังเข็มอยู่นานกว่า 20 นาที ทุกคนเห็นว่า คนไข้เริ่มหายใจลึกและยาวขึ้น อาการสั่นสะท้านจากความเจ็บปวดลดน้อยลง และสีหน้าที่หมองคล้ำของเขาเริ่มดีขึ้นจิงซิงอี้หยุดฝังเข็ม หันไปบอกหลิวป๋อว่า “ข้าจะสั่งยาสมุนไพรให้ มีโสมจีน ตังเซียม เห็ดหลินจือ ชะเอมเทศ ตัง และเกา
ลั่วเป่ยถอนหายใจ “ลูกชายของพี่อายุ 11 ปี ไม่ค่อยแข็งแรงมาตั้งแต่เกิด เวลาทำอะไรที่ต้องออกแรง จะเหนื่อยง่าย หายใจหอบ ซีดเซียว เวลาอากาศเปลี่ยนก็ป่วย เวลาป่วยที ก็ใช้เวลานานกว่าจะฟื้นได้ ยิ่งช่วงสองสามปีนี้อาการยิ่งหนักมากขึ้นไปอีก”ในระหว่างนั้น เด็กเสิร์ฟก็นำอาหารมาวางบนโต๊ะ ทั้งสองคนลงมือกินและคุยกันต่อ “พี่หาหมอมารักษาหลายคนก็ไม่ดีขึ้น ได้แค่ทรงๆ จนช่วงนี้ยิ่งแย่มากขึ้น มันน่าเจ็บใจไหม ที่พี่ขายสมุนไพร แต่ก็ไม่มีสมุนไพรไหนช่วยลูกได้เลย!”จิงซิงอี้ถามด้วยความสนใจว่า “ใครเป็นคนแนะนำให้ใช้โสมในการรักษาหรือ”“เป็นหมอที่เพื่อนของพี่แนะนำมา เขาเชี่ยวชาญโรคเด็ก และบอกว่าหยวนชี่พร่อง ซึ่งมักเกิดกับเด็ก เขาจึงสั่งยาและอาหารเพื่อบำรุงร่างกายให้แข็งแรง โดยเฉพาะโสมที่ให้เอามาตุ๋นไก่ทำเป็นยา จะต้องเป็นโสมที่มีคุณภาพสูงจริงๆ”เมื่อจิงซิงอี้ถามต่อว่า “หลังจากรักษากับหมอคนนี้แล้ว อาการดีขึ้นไหม”ชายหนุ่มตอบว่า “ดีขึ้นกว่าเดิม แต่ก็ยังออกแรงหนักมากไม่ได้ จนเมื่อสองอาทิตย์ที่ผ่านมา อากาศเปลี่ยนแปลงม
เฉินอี้เซิงเฉลยอาการป่วยของคนไข้ชายว่า มีอะไรบ้างและควรจะรักษาอย่างไร เขาอธิบายเพิ่มเติมว่า“คนไข้รักษาอาการมานานแล้ว ช่วงนี้มีอาการหนักขึ้น เพราะอากาศหนาวมีส่วนอย่างมาก แต่สิ่งที่จิงซิงอี้วิเคราะห์น่าสนใจมากเช่นกัน โดยเฉพาะกรรมพันธุ์และความเครียด ที่ทำให้อาการเป็นมากขึ้น การซักถามอย่างใส่ใจถึงชีวิตประจำวัน จึงเป็นหัวใจสำคัญ ที่ทำให้เราเห็นสาเหตุของโรคด้วย ที่สำคัญ การรักษาในองค์รวม ที่ต้องดูแลทั้งร่างกายและจิตใจไปด้วย จึงจะช่วยให้โรคแบบนี้ดีขึ้นได้ในภาพรวมได้”หลังจากจบบทเรียนในวันนั้น เฉินอี้เซิงปล่อยให้ทุกคนกลับบ้านได้ จิงซิงอี้เก็บของ และเดินออกมานอกห้องพร้อมกับลั่วเป่ยและจี่หลิว คนที่ไม่พอใจเขาก็เริ่มเงียบไปบางคนเข้ามาทักทายและบอกว่า ไม่นึกเลยว่าเขาจะเป็นหมอเด็กอัจริยะ แต่แล้วเขาก็ได้ยินเสียงแค่นหัวเราะของชายที่มีปัญหากับเขา หรือเค่อหลุน ที่เดินผ่านจิงซิงอี้และพูดว่า “ก็แค่เดาจนถูกนั่นละ!”ทั้งลั่วเป่ยและจี่หลิวขมวดคิ้ว ลั่วเป่ยจึงพูดออกมาว่า “คนอะไร หาเรื่องแม้กระทั่งกับเด็กไม่กี่ขวบ!”จิงซิงอี้มองตามเค่อห
ในวันจันทร์แรกของการไปเรียน จิงซิงอี้ตื่นแต่เช้า เขาสะพายเป้หนังสีน้ำตาลที่มีข้าวของจำเป็นใส่หลัง เป้นี้เขาออกแบบเป็นพิเศษให้มีช่องเก็บของ ใส่ขวดน้ำที่ทำจากกระบอกไม้ไผ่เล็กๆ ขนม ผ้าเช็ดหน้า อุปกรณ์การแพทย์ขนาดเล็ก เขาแวะกินอาหารเช้าง่ายๆ ข้างทาง จากนั้นเดินไปที่บ้านของเฉินอี้เซิง ถึงอากาศจะเย็นในช่วงเช้า เพราะเป็นฤดูใบไม้ผลิ แต่ก็เหงื่อตกเพราะต้องเดินมาเองเมื่อมาถึงทางเข้าบ้าน เขาพบชายหลากหลายวัยเดินเข้าประตูไปอย่างคุ้นเคย จิงซิงอี้เดินตามเข้าไปเงียบๆ บางคนหันมามองเขาด้วยความสงสัย จนกระทั่งมีชายคนหนึ่งอายุประมาณ 28-29 ปี เรียกให้เขาหยุดและถามว่า “เจ้าหนู! หยุดก่อน! เจ้าเป็นใคร หลงทางกับพ่อหรือเปล่า”กลุ่มคนที่น่าจะเป็นลูกศิษย์ของเฉินอี้เซิงพากันหันมามอง จิงซิงอี้หยุดเดิน หันไปตอบนิ่งๆว่า “ข้าไม่ได้พลัดหลงกับใคร ข้าเป็นลูกศิษย์นอกสำนักของอาจารย์เฉินอี้เซิง”ทุกคนที่ได้ยินต่างขมวดคิ้ว พวกเขามองจิงซิงอี้ด้วยความสงสัย บางคนไม่เชื่อ และถามเขาด้วยความไม่พอใจว่า“เป็นเรื่องจริงหรือ!”“เจ้าอย่ามาเป็นเด็กเลี้
เมื่อรู้ว่าจิงซิงอี้ผ่านการทดสอบ โม่หยวนหลิงและซัววีเว่ย จึงช่วยกันหาที่พักให้เด็กชาย แต่ก็ยังอดเป็นห่วงจิงซิงอี้ไม่ได้“เจ้าอยู่คนเดียวได้จริงหรือ พี่รู้ว่าเจ้าเก่ง ทำอะไรก็ได้ แต่ที่นี่เมืองหลวง ไม่มีใครมาช่วยเหลือเจ้า พี่เป็นห่วงมากนะ!” โม่หยวนหลิงพูดด้วยความกังวลใจจิงซิงอี้ต้องปลอบใจว่า “พี่หลิง ข้าอยู่ตัวคนเดียวได้จริงๆ แต่ตอนนี้ต้องหาที่พักก่อน” ทั้งสองคนเสนอให้เขาไปพักอยู่บ้านเฉินอี้เซิง อย่างน้อยยังมีผู้ใหญ่อยู่ด้วยเด็กชายหัวเราะ การไปอยู่แบบนั้น ต้องทำงานแลกที่พักและอาหาร เขาไม่คิดว่าตัวเองจะต้องทุ่มเทและลำบากถึงขนาดนั้น เขามีความรู้อยู่แล้ว แค่ต้องการความรู้ด้านพิษอื่นๆ ที่จะช่วยเหลือจิงเซียวได้นอกจากนี้ เขาไม่อยากระมัดระวังตัวตลอดเวลา เขาจึงเลือกอยู่คนเดียว เพื่อให้มีเวลาศึกษาหาความรู้ โดยไม่ต้องปิดบังตัวตนเมื่อเห็นโม่หยวนหลิงและซัววีเว่ยยังไม่คลายกังวล เขาจึงตัดสินใจพูดตรงๆ ว่า“พี่หลิง พี่เว่ย ข้ารู้ว่าพวกท่านเป็นห่วงข้ามาก แต่ข้าขอพูดตรงๆก็แล้วกัน ข้ามีความรู้ทางการแพทย์อยู่แล้ว อาจ







