Share

7

Author: Clear Clouds
last update Last Updated: 2025-09-02 20:30:28

ระหว่างที่ถาม จิงซิงอี้กวาดสายตาไปรอบๆ ด้านอย่างระมัดระวัง เขากลัวแม่ของมันจะพุ่งออกมาจู่โจม ถึงเจ้าตัวเล็กจะทำตัวฟู และมีแววตาหวาดระแวง แต่ก็ยังจ้องตาเขาไม่หลบ 

จิงซิงอี้ค่อยๆ ถอยออกมานั่งที่เดิม ทั้งสองปรึกษากันว่าจะนั่งรอห่างๆ และดูว่าแม่จิ้งจอกจะมารับลูกหรือไม่ และค่อยตัดสินใจว่าจะทำอย่างไร เวลาผ่านไป 15 นาที ก็ยังไม่มีวี่แววว่าจะมีแม่จิ้งจอกเดินออกมา แต่แล้วลูกสุนัขจิ้งจอกก็ค่อยๆ โผล่หน้ามาออกมาจากหลังต้นไม้ และมองมาที่สองตาหลาน

ในที่สุดจิงซิงอี้และจิงเซียวจึงลุกเดินไปหามันช้าๆ  จิงเซียวพูดกับมันด้วยเสียงมีเมตตาว่า

“เจ้าอยากจะให้พวกเราทำอะไรให้ บอกมาสิเจ้าตัวเล็ก”

ลูกสุนัขจิ้งจอกเอียงคอฟัง จากนั้นมันก็หันหลังเดินเข้าไปในป่าด้านหลัง มันเดินไปสองสามก้าว และหยุดหันมามองพวกเขาหลายครั้ง เหมือนจะบอกให้ทั้งสองเดินตาม จิงซิงอี้และจิงเซียวมองหน้ากัน พวกเขารู้ว่าเจ้าตัวเล็กคงอยากจะให้พวกเขาเดินตาม

ทั้งสองจึงเดินตามมัน ที่พามุดเข้าไปในป่าที่เริ่มรกทึบ พวกเขาต้องก้มตัวหลบเถาวัลย์และลุยเข้าไปในพุ่มไม้ที่ขวางทางเอาไว้หลายครั้ง

 ในที่สุดพวกเขาก็มาถึงโพรงหินที่ซ่อนอยู่หลังพุ่มไม้ เจ้าตัวเล็กรีบมุดเข้าไป ทั้งสองตาหลานเดินเข้าไปอย่างระมัดระวัง และเมื่อก้มตัวลงมองเข้าไปในโพรง พวกเขาก็เห็นสุนัขจิ้งจอกขนสีแดงโตเต็มวัยแล้วตัวหนึ่งนอนนิ่งอยู่ในโพรง ลูกสุนัขจิ้งจอกยืนเลียหน้ามันและส่งเสียงร้องครางหงิงๆ  จิงเซียวเข้าใจทันทีว่า “น่าจะเป็นแม่ของมัน”

ทั้งสองพบว่า แม่สุนัขจิ้งจอกนอนแน่นิ่งหายใจระรวย และมีร่องรอยบาดแผลถูกกัดที่ขาเป็นแผลใหญ่ เลือดเริ่มแห้งกรัง และมีรอยกัดขนาดเล็ก 2-3 แผลทั่วตัว รอยเลือดแห้งกระเซ็นตามขนของมัน

มันน่าจะบาดเจ็บมาสองสามวันแล้ว และคงสลบไปเพราะเสียเลือดและแผลอักเสบ เจ้าตัวเล็กก็คงจะหิวและห่วงแม่ จึงออกมาขอความช่วยเหลือจากพวกเขา 

ทั้งสองตัดสินใจว่าจะช่วยพวกมัน จิงเซียวเป็นฝ่ายอุ้มลูกสุนัขจิ้งจอก ในขณะที่จิงซิงอี้ใช้ผ้าพันคอห่อตัวแม่จิ้งจอกไว้ และอุ้มมันขึ้นมา เขาตรวจดูร่องรอยบาดเจ็บ และเห็นว่าแผลสาหัสที่สุดอยู่ที่ขาหลังของมัน ที่ถูกกัดจนเหวอะเข้าไป

จิงซิงอี้หันไปบอกเจ้าตัวเล็กว่า “พวกเราจะพาแม่ของเจ้าไปรักษานะ ไม่ต้องห่วง!” เจ้าตัวเล็กดูเหมือนจะรู้ความ มันส่งเสียงร้องเบาๆ

ทั้งสองเก็บข้าวของเพื่อเตรียมเดินลงเขา จิงเซียวเอาอาหารและน้ำที่มีเหลือนิดหน่อยให้เจ้าตัวเล็ก  มันกินด้วยความหิวโหย จากนั้นพวกเขาก็เดินลงเขาทันที

เมื่อมาถึงบ้าน พวกเขาเดินเข้าไปในห้องตรวจรักษา จิงซิงอี้ปูผ้ายางเอาไว้บนโต๊ะและวางแม่จิ้งจอกลงไป เขาให้จิงเซียวเป็นคนดูแลมัน ในขณะที่เขาเดินเข้าไปในครัว รินน้ำข้าวต้มที่เหลือเมื่อเช้าใส่ถ้วยเล็กๆ และยกมาให้เจ้าตัวเล็ก

เขายกถ้วยน้ำข้าวต้มขึ้นใกล้ปากของมันและสอนให้มันเลีย เมื่อรู้รสชาติแล้ว น้ำข้าวต้มถ้วยนั้น ก็หายวับลงท้องลูกสุนัขจิ้งจอกไปในพริบตา

จิงเซียวซึ่งกำลังตรวจดูบาดแผลของแม่สุนัขจิ้งจอก หยุดมองและหัวเราะด้วยความเอ็นดู เขาพูดว่า “เจ้านี่มันไม่ธรรมดานะ”

จิงซิงอี้เดินเข้าไปช่วยจิงเซียวตรวจแผลแม่สุนัขจิ้งจอกที่นอนไม่ได้สติ เขาถามด้วยความไม่แน่ใจว่า “คุณตาจะทำยังไงครับ จะพาไปหาสัตวแพทย์หรือจะรักษาเอง”

จิงเซียวยิ้มและตอบว่า “ตาจะรักษาเอง”

       จิงซิงอี้หัวเราะ เขาคาดเอาไว้อยู่แล้วว่าจิงเซียวจะต้องตอบเช่นนี้ สมัยที่จิงเซียวยังแข็งแรงและหนุ่มกว่านี้ เวลาที่พวกเขาเดินทางไปเก็บสมุนไพรและออกรักษาชาวบ้านตามที่ต่างๆ บางครั้งก็เจอสัตว์บาดเจ็บ ทั้งสัตว์ป่าและสัตว์เลี้ยง พวกเขาก็จะช่วยรักษาพวกมัน

ถึงตอนนี้ เจ้าตัวเล็กเดินมาหาจิงซิงอี้  มันยกสองขาหน้าขึ้นมาเกาะขาของเขาเอาไว้ จิงซิงอี้ก้มลงอุ้มมัน  เขายกตัวมันขึ้นสูงและสบตามัน หูของมันลู่ไปข้างหลัง มันแลบลิ้นเล็กๆ สีชมพูเลียน้ำข้าวที่ติดอยู่รอบปาก และส่งเสียงร้องเบาๆ ชายหนุ่มหัวเราะออกมา ใบหน้าของเขาอ่อนโยนลง และบอกมันว่า

        “รอสักพักนะ ตอนเย็นจะออกไปหานมแพะมาให้กิน”

เจ้าตัวน้อยกะพริบตา มันหันไปมองแม่ที่นอนอยู่บนโต๊ะ และเห่าเบาๆ จิงซิงอี้พูดกับมันว่า

        “ไม่ต้องห่วง พวกเราจะรักษาแม่เจ้าเอง”

        ในระหว่างนั้น จิงเซียวทำความสะอาดบาดแผลของแม่จิ้งจอก  จิงซิงอี้วางเจ้าตัวเล็กลง เขาใส่ถุงมือและเตรียมตัวเป็นลูกมือให้จิงเซียว

จิงเซียวมองนาฬิกาที่ผนังและถามเขาว่า “วันนี้เจ้าไม่ไปคลินิกแล้วรึ”

        ชายหนุ่มส่ายหน้า “ไม่ครับ ถ้ามีอะไรด่วน คนไข้คงโทรมาเอง..อีกอย่างนึง ช่วงเปิดใหม่แบบนี้ ยังไม่มีคนไข้มากนัก”

        เมื่อหันไปมองเจ้าตัวเล็ก เขาก็พบว่ามันขดตัวนอนบนผ้าที่จิงซิงอี้ปูเอาไว้ที่พื้น และนอนหลับไปด้วยความอ่อนเพลีย

        จากการตรวจบาดแผลของแม่จิ้งจอก พวกเขาพบว่า มันน่าจะต่อสู้กับสัตว์ใหญ่บางอย่างมา แต่โชคดีที่บาดแผลไม่รุนแรงมาก มันหมดสติไปเพราะเสียเลือด ขาดน้ำและอาหาร ส่วนลูกจิ้งจอกคงจะเฝ้าแม่อยู่สองสามวัน ไม่มีอาหารและนมให้กิน จนเมื่อได้ยินเสียงของพวกเขา มันจึงออกมาแอบมองอยู่หลังต้นไม้

        จิงซิงอี้ขอเป็นคนรักษาแทน เขาไม่อยากให้ชายชราเหนื่อยมากไปกว่านี้ จิงซิงอี้ทำความสะอาดแผล และใช้ยาหยุนหนานไป๋เหยาโรยแผล และป้อนยาตัวเดียวกันให้แม่สุนัขจิ้งจอกกิน เพื่อแก้ปวดและห้ามเลือด

เขาและจิงเซียวปรึกษากัน และคิดว่าหลังจากนี้ จะต้มเช่อไปเยี่ยให้มันกินเพื่อแก้ช้ำในและหยุดเลือด เพราะยาหยุนหนานไป๋เหยาอาจทำอันตรายต่อระบบทางเดินอาหารของสุนัขได้ จึงไม่ควรจะใช้รักษาติดต่อกันนาน 

สำหรับการรักษาสัตว์ด้วยแพทย์แผนจีนและแพทย์ทางเลือกอื่นๆ นั้น  เริ่มได้รับความนิยมเพิ่มขึ้น ทั้งการรักษาด้วยศาสตร์แพทย์แผนจีนร่วมกับแพทย์แผนปัจจุบัน และการรักษาด้วยแพทย์แผนจีนเพียงอย่างเดียว 

วิธีการรักษายังมีคล้ายกับของมนุษย์ ทั้งการฝังเข็ม การลนยา การใช้สมุนไพร และการนวด ในประเทศจีนมีการสอนเป็นหลักสูตรในระดับมหาวิทยาลัยด้วย และยังมีการสอนเป็นหลักสูตรให้กับสัตวแพทย์จากประเทศอื่นด้วย

        เมื่อรักษาแม่สุนัขจิ้งจอกเสร็จแล้ว พวกเขาก็ออกไปล้างมือและอาบน้ำ จากนั้นจิงซิงอี้ก็เตรียมทำอาหารกลางวัน ซึ่งกลายมาเป็นอาหารบ่ายแทน เพราะตอนนี้ก็ได้เวลาบ่ายสองแล้ว พวกเขาหิวกันมาก ถึงแม้ว่าจะนำอาหารกลางวันติดตัวไปกินบนเขาด้วย แต่ก็ได้กินเพียงเล็กน้อย เพราะต้องลงเขามาก่อน ตอนนี้ จิงซิงอี้จึงคิดจะต้มบะหมี่แบบง่ายๆ

เขาเปิดตู้เย็น นำมะเขือเทศออกมาล้างและหั่นเป็นชิ้นเล็กๆเพื่อให้จิงเซียวเคี้ยวได้สะดวก จากนั้นนำน้ำซุปไก่ที่แช่แข็งออกมาต้มในหม้อ เขาตั้งน้ำอีกหม้อและต้มเส้นบะหมี่สำหรับสองคน เมื่อเส้นสุกนิ่มดีแล้วจึงตักขึ้นมาแช่น้ำเย็น 

ระหว่างนั้น เขาตั้งกระทะใส่น้ำมันลงไปเล็กน้อย ใส่กระเทียมสับลงไป ตามด้วยมะเขือเทศ ปรุงรสด้วยเกลือ พริกไทย ซีอิ๊วเล็กน้อย และตอกไข่ลงไป ผัดให้ทุกอย่างสุกนุ่ม

เขาตักน้ำซุปใส่ถ้วย ใส่บะหมี่ลงไป ราดหน้าด้วยมะเขือเทศผัดไข่ และโรยหน้าด้วยต้นหอมซอยอีกเล็กน้อย

อาหารที่เขากินกับจิงเซียวมักจะมีรสไม่จัดมากนัก และต้องทำให้เปื่อยนุ่มกว่าปกติ เพื่อให้จิงเซียวกินง่ายและย่อยง่าย

เขายกถ้วยบะหมี่ไปวางที่โต๊ะ และตามจิงเซียวมากินด้วยกัน

เมื่อกินอิ่มแล้ว จิงซิงอี้ออกไปข้างนอกอีกครั้ง เพื่อซื้อนมแพะและเนื้อไก่มาให้สุนัขจิ้งจอกสองแม่ลูก

เขาขี่จักรยานไปบ้านหลังเล็กๆ ที่อยู่ถัดไป 4-5 หลัง ซึ่งมีสองสามีภรรยาสูงวัยอาศัยอยู่ พวกเขาปลูกผักและเลี้ยงสัตว์เอาไว้กินเอง เหมือนกับบ้านหลังอื่นๆ แถวนี้

เมื่อมาถึงหน้าบ้าน เขาจอดจักรยานเอาไว้และตะโกนเรียกเจ้าของบ้าน ซ่งฮ่าวเทียน ซึ่งเป็นชายรูปร่างผอมบางตัวเล็ก อายุประมาณ 60 กว่าปี เดินออกมาเปิดประตูรั้ว ชายหนุ่มจึงบอกว่า เขามาขอซื้อนมแพะและเนื้อไก่เพื่อเอาไปเลี้ยงลูกสุนัขบาดเจ็บ แต่ไม่ได้บอกว่าเป็นสุนัขจิ้งจอก เพราะชาวบ้านอาจจะหวาดกลัว

ซ่งฮ่าวเทียนบอกให้เขานั่งรอในบ้าน ส่วนตัวเขาเดินไปที่คอกหลังบ้านเพื่อรีดนมแพะ และเตรียมไก่ให้ ระหว่างที่จิงซิงอี้นั่งรอนั้น เขาได้ยินเสียงป้าซ่งถามออกมาจากห้องนอนว่า “พ่อ ใครมาน่ะ”

จิงซิงอี้จึงตอบแทนว่า “ผมจิงซิงอี้ มาขอซื้อนมแพะครับ”

ป้าซ่งเปิดประตูและเดินออกมาจากห้องนอนช้าๆ เขาสังเกตเห็นว่าสีหน้าป้าซ่งซีดเซียว และเดินกระย่องกระแย่ง เขารีบเดินเข้าไปประคองและพาเธอไปนั่งที่เก้าอี้ จากนั้น จิงซิงอี้ก็ถามว่า

“ป้าปวดเข่าเหรอครับ มีอาการยังไงบ้าง”

ป้าซ่งลังเล แต่ก็ตัดสินใจเล่าอาการว่า

“ป้าปวดเข่าจ้ะ เป็นมาหลายปีแล้ว ยิ่งตอนเช้ายิ่งปวดมากขึ้น”

Continue to read this book for free
Scan code to download App

Latest chapter

  • จิงซิงอี้ แพทย์จีน 2 ยุค   55

    นับตั้งแต่จิงซิงอี้เปิดคลินิกมาได้ 3 เดือนกว่า เขาทำอะไรมามากมาย ทั้งตั้งโต๊ะรักษาโรคฟรีข้างนอกที่หมู่บ้านข้างๆ ไปบริการชุมชนร่วมกับโรงพยาบาลมหาวิทยาลัย ช่วยตำรวจไขคดีฆาตกรรมที่เกิดจากการใช้ยาสมุนไพรจีน และยังมีวิดีโอคลิปตอนที่เขารักษาคนบาดเจ็บจากแก๊สระเบิดที่แพร่หลายออกไป สิ่งเหล่านี้ทำให้คนรู้จักเขามากขึ้นเขายังมีคนไข้ที่เคยรักษาที่โรงพยาบาลในเซี่ยงไฮ้ เดินทางมารักษาต่อที่คลินิกกับเขาหลายคน ถึงแม้จะต้องเดินทางมาจากที่อื่นก็ตาม โดยเฉพาะเมื่อเขาสามารถรักษาคู่สามีภรรยาที่มีบุตรยาก ให้ตั้งครรภ์ได้ในเวลาเพียงไม่กี่เดือน ทำให้คู่สามีภรรยาหลายคนที่รู้ข่าว มีความหวังและเดินทางมาหาเขามากขึ้น จิงซิงอี้รู้สึกว่า เขากลายเป็นแพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านการรักษาภาะวมีบุตรยากไปอีกหนึ่งด้าน ไม่เพียงแต่คนไข้ของเขาจะเพิ่มจำนวนขึ้น เขายังช่วยให้ธุรกิจในหมู่บ้านเจริญก้าวหน้าขึ้นตามด้วยหลังจากที่มีคนไข้เพิ่มมากขึ้น ชาวหมู่บ้านบางคนเริ่มเปิดร้านอาหารเล็กๆ และร้านขายของเพื่อรองรับคนที่เดินทางมารอรักษา เพราะคนไข้บางคนไม่สามารถกลับบ้านได้ทันในวันเ

  • จิงซิงอี้ แพทย์จีน 2 ยุค   54

    วันหนึ่งชุนเฉิงนั่งอ่านหนังสืออยู่คนเดียว แต่เขาก็หยุดอ่านและเหม่อมองออกไปไกลๆ จิงเซียวซึ่งเดินเข้ามาหยิบหนังสือสังเกตเห็น เขาจึงเรียกชื่อชุนเฉิง แล้วถามว่าเป็นอะไรหรือเปล่า ปกติแล้วชุนเฉิงรักและเคารพจิงเซียวมาก เขาจะพูดทุกอย่างกับจิงเซียวตรงๆ แต่ครั้งนี้ เขานิ่งไปและถอนหายใจยาว เขารู้สึกละอายใจที่จะบอกว่า ด้วยวัยเกือบ 40 ปีนี้ เขารู้สึกว่างเปล่า แต่ดูเหมือนจิงเซียวจะเข้าใจ ชายชราเดินเข้ามานั่งตรงข้ามเขา และพูดว่า“เจ้ากำลังรู้สึกสับสนอะไรอยู่หรือเปล่า” ชุนเฉิงยิ้มเศร้าๆ เขาตอบว่า “ผมนึกไม่ออกว่าจะทำอะไรต่อไปดี สิ่งที่กำลังตอนนี้มันก็ดีอยู่แล้ว แต่มันก็กลายมาเป็นกิจวัตรประจำวัน ข้อดีคือ เราก็ทำได้ดี ไม่ต้องเหนื่อย แต่ผมกลับรู้สึกว่ามันน่าเบื่อและไม่รู้ว่าจะทำไปเพื่ออะไร การรักษาคนไข้ผมยังชอบอยู่ครับ แต่มันก็แค่นั้น บางทีผมก็คิดว่า จะใช้ชีวิตแบบนี้ไปจนตายเลยหรือ ผมรู้สึกสิ้นหวังยังไงไม่รู้ครับ” จิงเซ

  • จิงซิงอี้ แพทย์จีน 2 ยุค   53

    “หลานสาวของภรรยาพี่เอง ตอนนี้เขาเป็นดาราวัยรุ่นมาแรงเลย เธอน่าจะจำเขาได้นะ อี้อวิ๋นซีไงล่ะ” จิงซิงอี้ทบทวนความจำ สมัยที่เรียนอยู่ในเมือง บางครั้งเขาจะไปพักที่บ้านของลั่วเยี่ยน เขาจำได้ว่ามีเด็กผู้หญิงคนหนึ่งอายุห่างจากเขา 4-5 ปี ชอบมาที่บ้านของลั่วเยี่ยน และคอยวิ่งตามจิงซิงอี้เพื่อให้เขาเล่นด้วย ภรรยาของลั่วเยี่ยนมีพี่สาวหนึ่งคน และอี้อวิ๋นซีเป็นลูกสาวคนเดียวของเธอ และยังสนิทกับภรรยาของลั่วเยี่ยนมากเมื่อจิงซิงอี้เรียนในระดับมัธยมปลายและมหาวิทยาลัย เขาเรียนหนักมาก จึงไม่ค่อยได้ไปอยู่บ้านลั่วเยี่ยน ประกอบกับที่อี้อวิ๋นซีเริ่มโตแล้ว เธอจึงไม่ค่อยมาเที่ยวเล่นแบบตอนเด็กอีกต่อไป จิงซิงอี้พอจะจำเธอได้ เขาจึงถามต่อว่า “เขาจะยอมใช้ครีมให้ผมหรือครับ พวกดาราชอบใช้ของแบรนด์เนมมากกว่านี่” ลั่วเยี่ยนทำหน้ามีเลศนัย เขาพูดยิ้มๆว่า “นายมันจะไปไม่รู้อะไร เสี่ยวซีคอยต

  • จิงซิงอี้ แพทย์จีน 2 ยุค   52

    และก็เป็นไปตามที่จิงซิงอี้คาด อีกไม่กี่วันต่อมา ผู้อำนวยการแผนกแพทย์แผนจีนได้เข้าไปคุยกับผู้อำนวยการโรงพยาบาล พวกเขาตกลงกันว่าจะให้จิงซิงอี้ทำงานไปจนจบเดือนนี้ และไม่ขอต่อสัญญา โดยอ้างว่าสถานะเศรษฐกิจไม่ดี ผู้อำนวยการแผนกแพทย์แผนจีนจำเป็นจะต้องแจ้งให้เม่งฮ่าวซึ่งเป็นอาจารย์ของจิงซิงอี้รู้ก่อน แต่ไม่สามารถบอกสาเหตุที่แท้จริงได้ เพราะโรงพยาบาลยังเกรงใจเขาอยู่ ผู้อำนวยการจะคุยกับจิงซิงอี้ และจะขอโทษเม่งฮ่าวด้วยที่ไม่สามารถจ้างจิงซิงอี้ต่อได้เม่งฮ่าวรู้จากจิงซิงอี้อยู่ก่อนแล้ว เขาไม่พอใจทางโรงพยาบาลมาก ถึงแม้ผู้อำนวยการแผนกแพทย์แผนจีนจะมาคุยกับเขา แต่ก็เหมือนไม่ไว้หน้าเขา ถึงแม้ว่าจะใช้ข้ออ้างอื่นก็ตาม สำหรับเม่งฮ่าวแล้ว เขาไม่ได้สนใจการทำงานพิเศษในโรงพยาบาลนี้เท่าไหร่ เพราะเขามีชื่อเสียงและความสามารถในระดับประเทศและต่างประเทศอยู่แล้วเขามาทำงานให้ที่นี่ เพราะรุ่นพี่ที่นับถือขอร้องให้มาช่วยเหลือ ตั้งแต่มีการก่อตั้งแผนกแพทย์แผนจีนใหม่ๆ แต่เมื่อเวลาผ่านไปหลายปี รุ่นพี่ที่เขานับถือก็เกษียณไปแล้ว เขายังทำงานให้เพราะเห็นว่า โรงพยาบาลยังปฏิบัติต่อเขาดี แต่เมื่อเกิดเหตุการ

  • จิงซิงอี้ แพทย์จีน 2 ยุค   51

    จิงซิงอี้นิ่งไปสักพัก เขามองหน้าเจี่ยเหริน เขาเห็นการทำงานของเด็กหนุ่มและนิสัยใจคอที่ดีของเขา เขาเสียดายโอกาสที่เด็กหนุ่มคนนี้ที่น่าจะไปได้ดีกว่านี้ เขาจึงพูดขึ้นว่า“นายเก็บเงินให้ดีนะ จะได้ไปเรียนต่อ ฉันรู้สึกเสียดายความสามารถของนาย ฉันจะแบ่งเป็นเปอร์เซ็นต์การขายให้ นายจะได้เก็บเอาไว้เรียนต่อ”เจี่ยเหรินรีบปฏิเสธทันที แต่จิงซิงอี้ยืนยันว่า“ทำงานก็ต้องได้เงิน และที่สำคัญ การให้โอกาสคน คือการทำบุญที่ดีอีกอย่างด้วย ฉันก็ได้รับโอกาสจากคนอื่นเหมือนกัน ฉันจึงมาอยู่จุดนี้ได้ หลังจากเรียนจบแล้ว นายจะไปทำงานที่อื่นฉันก็ไม่ว่าอะไร ทุกคนมีสิทธิ์เลือกทางเดินของตัวเอง ไม่ต้องรู้สึกผิด เพราะนายก็ได้ใช้แรงกายแรงใจช่วยงานฉันมาด้วยดีเสมอ แล้วฉันก็ให้เงินเดือนเป็นสิ่งแลกเปลี่ยน นั่นละคือการทำงาน ไม่ต้องมาคิดเรื่องบุญคุณอะไร” หลังจากวันนั้น ทั้งจิงซิงอี้และเจี่ยเหรินต่างก็หัวหมุนกับการแพ็คสินค้าและส่งของไปให้ลูกค้า พวกเขาดีใจมากที่มีคนสั่งซื้อสินค้าจนหมด 200 ชุด เขาต้องประกาศว่าสินค้าหมดแล้วและกำลัง

  • จิงซิงอี้ แพทย์จีน 2 ยุค   50

    ไลฟ์ในวันนั้นเริ่มต้นด้วยการแนะนำตัวของจิงซิงอี้ และพูดถึงคลินิก ที่ตั้ง และความเป็นมาของคลินิก รวมไปถึงตัวเขาเองว่าจบมาจากที่ใด และเชี่ยวชาญด้านใด ส่วนข้อมูลส่วนตัวอื่นๆ เขาไม่พูดถึง ถึงแม้จะมีคนดูถามเข้ามากมายทั้งอายุ และเขามีแฟนหรือยัง และเสียงชื่นชมที่ว่าเขาหล่อแค่ไหนเมื่อให้ข้อมูลจบ จิงซิงอี้ดูจะผ่อนคลายขึ้น เขาจึงเริ่มพูดว่า“วันนี้ผมจะมาเล่าถึงการดูแลผิวของตัวเองให้สวยงาม ไม่มีริ้วรอย ปัจจัยหลักที่ทำให้ผิวของเราเสีย ก็คือ แสงแดด มลภาวะ ความเครียด การไม่ดูแลผิว โรคภัยบางอย่าง การทำร้ายผิวด้วยการสูบบุหรี่ การใช้สารเคมีบางอย่าง และอาหารการกิน”เขาอธิบายพร้อมกับแชร์ภาพของผิวหนังที่เสียจากสาเหตุดังกล่าวด้วย การอธิบายของเขาเป็นไปตามหลักการแพทย์แผนปัจจุบัน ที่ทำให้คนดูแปลกใจ เพราะเขาเปิดตัวมาด้วยการบอกว่าตนเองเป็นแพทย์จีน แต่เขากลับมีความรู้แบบตะวันตก และใช้หลักวิทยาศาสตร์ในการอธิบาย ทำให้คนที่ต้องการจะเข้ามาก่อกวนและไม่เชื่อต้องหยุดฟังชั่วคราว รวมไปถึงคนฟังที่ตื่นเต้นกับหน้าตาของเขาก็หยุดฟังด้วยความสนใจจากนั้นเขาก็เริ่มอธิบายเฉพาะผิวที่เป็น

More Chapters
Explore and read good novels for free
Free access to a vast number of good novels on GoodNovel app. Download the books you like and read anywhere & anytime.
Read books for free on the app
SCAN CODE TO READ ON APP
DMCA.com Protection Status