Share

6

Author: Clear Clouds
last update Last Updated: 2025-09-01 20:30:40

จิงซิงอี้ขยับตัวตื่นตอนเช้ามืด เพราะได้ยินเสียงเปิดปิดประตูไม้หน้าบ้าน เขาลุกขึ้นและคว้าเสื้อกันหนาวมาสวมทับ ถึงแม้ว่าช่วงนี้กำลังจะเข้าสู่ฤดูร้อนแล้ว แต่หมู่บ้านนี้อยู่ใกล้กับภูเขาจึงมีอากาศเย็นตลอดทั้งปี และในช่วงเช้าแบบนี้ ยิ่งหนาวเย็นมากกว่าปกติ

เขาล้างหน้า เปลี่ยนเสื้อผ้าให้ทะมัดทะแมง คว้าโทรศัพท์และเป้ใส่ของ เดินออกมาจากห้องนอน และตรงไปที่ห้องครัวซึ่งอยู่ซ้ายสุดของห้องฝั่งตะวันตก

เขาเริ่มต้นทำอาหารเช้า ด้วยการต้มข้าวกล้องผสมธัญพืชที่เคี่ยวจนเปื่อยนุ่ม จากนั้นก็จัดผักดองหลากชนิด ที่ใส่เกลือนิดหน่อยพอให้มีรสชาติลงไปในถ้วยเล็กๆ  พร้อมกับไข่เค็มดองเองจากไข่เป็ดที่เลี้ยงตามธรรมชาติ ทำให้ไข่แดงมีสีเข้มมันเยิ้มน่ากิน

เมื่อทำเสร็จแล้ว เขาเดินไปที่ห้องทำงานของจิงเซียว และเคาะประตูเรียกชายชรา ทั้งสองนั่งกินข้าวเช้าด้วยกัน และมีคุยกันบ้างนิดหน่อย ตอนนี้ ชุนเฉิงเดินทางกลับบ้านของเขาที่อยู่อีกเมืองหนึ่งไปแล้ว เพื่อกลับไปดูแลคลินิกและธุรกิจของตัวเอง

จิงซิงอี้บอกจิงเซียวว่า เขาได้รับออเดอร์ถุงหอมสมุนไพรจำนวนมาก เขาจึงคิดจะทำขายอย่างจริงจัง และจะขึ้นไปบนภูเขาหลังบ้าน เพื่อดูว่ามีสมุนไพรอะไรบ้างที่จะใช้ทำถุงหอมและยาอื่นๆ

จิงเซียวสนใจที่จะเดินขึ้นไปด้วย เพราะไม่ได้ขึ้นเขาหลังบ้านมานานแล้ว เมื่ออายุมากขึ้น จิงซิงอี้สั่งห้ามไม่ให้ชายชราเดินขึ้นเขาและออกไปเก็บสมุนไพรคนเดียวอีกต่อไป ถ้าจะไปตามสถานที่ห่างไกลจะต้องไปกับลูกศิษย์คนใดคนหนึ่ง หรือต้องรอให้จิงซิงอี้เป็นคนพาไปเอง

หลังจากกินอาหารเช้าอิ่มแล้ว สองตาหลานจึงช่วยกันเก็บล้างจาน และเตรียมอุปกรณ์เก็บสมุนไพร ทั้งอาหาร น้ำ รวมไปถึงอุปกรณ์ป้องกันตัวจากสัตว์ต่างๆ และเดินออกไปทางประตูหลังบ้านด้วยกัน

โดยปกติแล้ว บ้านแบบซื่อเหอหยวนจะมีทางเข้าออกด้านเดียว แต่จิงเซียวสร้างประตูหลังที่เปิดออกไปยังสวนหลังบ้านได้ และทางเดินนี้ยังตรงไปยังชายป่าที่อยู่ตีนเขา

บ้านของพวกเขา เป็นหลังสุดท้ายในหมู่บ้านที่อยู่ใกล้ภูเขาที่สุด มีพื้นที่หลังบ้านกว้างใหญ่ที่ล้อมรั้วเอาไว้ พวกเขาปลูกพืชผักสมุนไพรเอาไว้บ้าง แต่ตอนนี้จิงเซียวอายุมากขึ้น และเดินทางบ่อย จึงไม่มีเวลาดูแลสวนเหมือนเคย

ในระหว่างที่เดินผ่านสวนหลังบ้าน จิงซิงอี้บอกจิงเซียวว่า เขาอยากจะปลูกสมุนไพรตรงนี้ และถ้าได้ผลดี ก็จะขยายออกไปยังพื้นที่อื่น ซึ่งจิงเซียวก็เห็นด้วย เพราะเขามองเห็นว่า สภาพอากาศปัจจุบันเปลี่ยนแปลงไปมาก สมุนไพรที่โตตามธรรมชาติลดจำนวนลง ถ้าสามารถปลูกได้เอง ก็จะช่วยลดราคาต้นทุน และบ้านของพวกเขายังอยู่ติดกับภูเขาที่มีสภาพอากาศและดินที่อุดมสมบูรณ์ดี จึงน่าจะปลูกสมุนไพรได้ผลดีกว่าพื้นที่อื่นๆ

สมุนไพรจีนในปัจจุบันมีจำนวนร้อยละ 10 ของสมุนไพรทั้งโลก และมีสมุนไพรที่ใช้เป็นยาในจีนประมาณ 12,800 ชนิด  ประกอบไปด้วย พืชวัตถุ สัตว์วัตถุ ธาตุวัตถุ และอื่นๆ ซึ่งมีสรรพคุณทางยาและองค์ประกอบทางเคมีแตกต่างกันไป ตามสภาพภูมิประเทศและภูมิอากาศ

ตอนนี้จีนปลูกสมุนไพรเพื่อผลิตยาและส่งออกขายเป็นปริมาณมาก จิงซิงอี้มองเห็นโอกาสนี้ด้วยเช่นกัน 

สมุนไพรที่ใช้ทางการแพทย์ยังแบ่งออกเป็น เย่าไฉหรือสมุนไพร ที่เขากับจิงเซียวมองหาในวันนี้ แบบที่สอง คือ อิ่นเพี่ยน หรือตัวยาพร้อมใช้ และเฉิงเย่า ที่เป็นยาสมุนไพรสำเร็จรูป

ทั้งจิงเซียวและจิงซิงอี้มีความเชี่ยวชาญทั้งในการปลูกและการแปรรูปสมุนไพรทั้ง 3 ประเภทนี้ จิงเซียวได้รับความรู้ด้านสมุนไพรมาจากต้นตระกูลของเขา จึงถ่ายทอดมายังจิงซิงอี้และลูกศิษย์คนอื่นๆ เขายังมีความรู้และประสบการณ์จากการรักษาโรค และการเดินทางไปทั่วประเทศตั้งแต่ยังหนุ่ม จิงเซียวจึงเป็นแพทย์จีนมีชื่อเสียงอย่างมากในระดับประเทศ

สำหรับพื้นที่ที่จิงเซียวและจิงซิงอี้อาศัยอยู่ในตอนนี้ มีสมุนไพรกลุ่มเจ้อเย่า เช่น เจ้อเป้ย์หมู่ เจ้อเสวียนเซิน เจ้อตู๋หัว เจ้อจู๋ หังไป๋จื่อ และฟังจหวีฮวา ที่เติบโตขึ้นเองตามธรรมชาติ จิงซิงอี้จึงอยากจะทดลองปลูกในเชิงพาณิชย์ด้วย

        ภูเขาหลังบ้านลูกนี้ไม่ได้สูงชันมากนัก แต่เป็นแนวเขาที่ทอดยาวเชื่อมไปยังเขตอื่น  นานๆ ทีจึงจะมีชาวบ้านเดินขึ้นเขามาเก็บของป่า เพราะคนในหมู่บ้านส่วนใหญ่เป็นผู้สูงอายุ พวกเขาไม่ค่อยได้ขึ้นมาบ่อยนัก แต่ก็ยังมีบางคนที่ชอบมาเดินเล่นบริเวณตีนเขา และเดินขึ้นไปบนเขาบ้างบางครั้ง

จากการที่ไม่ค่อยมีมนุษย์มาบุกรุก ทำให้หลายครั้ง ชาวบ้านเห็นสัตว์ป่าโผล่มาบ่อยๆ เช่น ไก่ป่า นก กระต่าย และบางครั้งยังได้ยินเสียงหอนของฝูงหมาป่า และเสียงหมีคำรามอยู่บนยอดเขาขึ้นไป 

จิงซิงอี้จึงเตรียมสมุนไพรขับไล่สัตว์ป่ามาด้วย ซึ่งเป็นสูตรที่เขาคิดค้นกับจิงเซียว

เมื่อเดินขึ้นเขาไปได้ระยะหนึ่ง ท้องฟ้าเริ่มสว่างขึ้น จนมองเห็นป่ารอบๆ ได้ชัดเจน จิงซิงอี้เดินช้าๆ เขาแบกของเอาไว้ที่หลัง และคอยดูแลจิงเซียวเป็นระยะ

ระหว่างทาง จิงเซียวจะคอยสอนหลานชาย และเล่าถึงประสบการณ์การเดินป่าเพื่อหาสมุนไพร ตามสถานที่ที่คล้ายกับภูเขานี้

เมื่อเดินมาได้ประมาณครึ่งชั่วโมง พวกเขาหยุดพักดื่มน้ำ และให้จิงเซียวได้นั่งพักบนขอนไม้ ซึ่งเป็นจุดพักประจำของพวกเขา

ต้นไม้เริ่มหนาแน่นมากขึ้น แต่แสงแดดยังส่องลงมาได้รำไร อากาศเย็นสดชื่น แต่ไม่เปียกชื้นเกินไป เพราะกำลังเข้าสู่ฤดูร้อนแล้ว พวกเขาได้ยินเสียงนกร้องเสียงดังมาไกลๆ สลับกับเสียงแมลงที่ร้องอยู่ตามพุ่มไม้

จิงซิงอี้ซึ่งยืนอยู่ใกล้ๆ กับขอนไม้ที่จิงเซียวนั่งพักอยู่ ก็มองไปที่พุ่มไม้ที่อยู่ห่างออกไป และพูดว่า “คุณตา ตรงนั้นมีไป๋จื่อ”

เขาเดินไปที่พุ่มไม้ล้มลุกที่สูงกว่าเขาเกือบเมตร และมีลำต้นตั้งตรงอวบ มีขนาดเส้นผ่านศูนย์กลางประมาณ 2-5 เซนติเมตร และมีสีม่วงแต้มเล็กน้อย ไป๋จื่อเป็นพืชที่ใช้รากในการทำยา มีกลิ่นหอมฉุน รสเผ็ด

เขาใช้เสียมขุดลงไปอย่างระมัดระวัง โชคดีที่บริเวณนี้เป็นดินร่วนซุย จึงขุดได้ไม่ยาก เขาขุดไปจนพบรากสีขาวอวบใหญ่เป็นรูปกรวยยาว เส้นผ่านศูนย์กลางประมาณ 3-5 เซนติเมตร จากนั้นก็ค่อยๆไล่ขุดไปอีกประมาณเกือบหนึ่งฟุต จนได้รากที่เป็นแขนงขึ้นมาทั้งหมด

ไป๋จื่อมักขึ้นตามภูเขาสูงที่มีความชื้น ชอบอากาศอบอุ่น แต่ทนความหนาวเย็นได้ และจะโตได้ดีบนที่ราบบนเขาเล็ก ๆ   จึงเป็นจังหวะดีที่พวกเขาขึ้นเขามาในช่วงนี้ เพราะสมุนไพรที่ใช้รากทำยา ควรจะเก็บเกี่ยวในช่วงฤดูหนาวจนถึงร้อน พวกเขายังเก็บเมล็ดเพื่อเอาไปทดลองปลูกในแปลงหลังบ้านด้วย

ตลอดช่วงเช้านั้น พวกเขาเดินลึกเข้าไปในป่า และเก็บสมุนไพรที่เป็นทั้งใบ ราก ลำต้น และผลได้หลายอย่าง 

จิงเซียวจะพาหลานชายและศิษย์คนอื่น เดินทางตั้งแต่ยังเด็ก และสอนให้รู้จักการเก็บสมุนไพร ทำให้จิงซิงอี้มีความเชี่ยวชาญเป็นพิเศษ ถึงแม้ว่าเขาจะมีรูปร่างสูงโปร่ง ผอมบาง แต่กลับแข็งแรงอย่างไม่น่าเชื่อ เขาจึงขุดสมุนไพรและปีนต้นไม้ได้อย่างรวดเร็วคล่องแคล่ว

ทั้งหมดนี้ เกิดจากอาหารการกินที่จิงเซียวคอยจัดหาให้ การได้ออกเดินทางไปตามสถานที่กันดารกับจิงเซียวเสมอๆ และเขายังเรียนศิลปะป้องกันตัวเพิ่มเติมด้วย

จิงเซียวมักสอนว่า จิงซิงอี้ต้องเรียนรู้ที่จะอยู่ด้วยตัวเอง ต้องป้องกันตัวเองได้ สักวันหนึ่ง จิงซิงอี้จะต้องออกไปเรียนหนังสือและเผชิญโลกกว้าง เขาไม่สามารถปกป้องจิงซิงอี้ได้ตลอดเวลา และการเดินทางไปเก็บสมุนไพรบนเขา ก็อาจเผชิญอันตรายจากทั้งสัตว์ คนร้าย และการหลงป่าด้วย จึงต้องเตรียมพร้อมให้ดี

เวลาผ่านไปจนเกือบเที่ยง จิงซิงอี้จึงชวนจิงเซียวพักกินข้าวกลางวัน เขาใช้ผ้าพลาสติกบางๆ ปูรองพื้น ที่มีความชื้นจากฝนและน้ำค้างสะสมอยู่ จากนั้นจึงประคองให้จิงเซียวนั่งลง

จิงซิงอี้เตรียมอาหารง่ายๆ ใส่กล่องมา พร้อมผลไม้และน้ำชาใส่กระติกเก็บความร้อน ระหว่างที่กินอยู่นั้น พวกเขาได้ยินเสียงบางอย่างขยับไปมาอยู่หลังต้นไม้ จิงเซียวเงี่ยหูฟัง และพูดเบาๆว่า

“เสียงขยับตัวไม่ดังมาก..อยู่แถวๆโคนต้นไม้...น่าจะเป็นสัตว์ตัวไม่ใหญ่มากนัก”

จิงซิงอี้จ้องไปที่จุดนั้น และพูดอย่างระมัดระวังว่า

“ไม่น่าจะใช่งู ไม่มีเสียงเลื้อย..เสียงเหมือนเดินเหยียบไปบนใบไม้”

เมื่อได้ยินเสียงพูดของพวกเขา เสียงเหยียบใบไม้สวบสาบก็เงียบลงไป จิงซิงอี้ตัดสินใจลุกไปดู จิงเซียวดึงแขนเขาไว้ ก่อนจะส่งเสียมเหล็กที่ใช้ขุดสมุนไพรให้เขา 

ชายหนุ่มเดินอย่างระมัดระวังไปใกล้โคนต้นไม้ใหญ่ เขาชะโงกหน้ามองไปด้านหลังต้นไม้อย่างระมัดระวัง เมื่อเลื่อนสายตาลงไปมองที่พื้น เขาก็ชะงัก เมื่อสบตากับดวงตาสีน้ำตาลเข้มเกือบดำคู่หนึ่ง

เจ้าของดวงตานั่งแอบอยู่โคนต้นไม้ จิงซิงอี้ก้มตัวลงมอง และพบว่า มันคือลูกสุนัขจิ้งจอกขนสีน้ำตาลแดงตัวหนึ่ง มีขนาดตัวใหญ่ไม่เกินสองฝ่ามือ มันจ้องมองเขาด้วยสายตาหวาดระแวง และทำขนฟูขู่   จิงซิงอี้ถามมันเบาๆว่า

“ว่าไงเจ้าหนู  ทำไม่มานั่งอยู่ตรงนี้ แม่ไปไหนล่ะ”

Continue to read this book for free
Scan code to download App

Latest chapter

  • จิงซิงอี้ แพทย์จีน 2 ยุค   101

    ลั่วเป่ยตกใจมาก เขารีบบอกจิงซิงอี้ว่า เขาจะไปดูลูกชายก่อน จิงซิงอี้พูดขึ้นมาว่า จะขอไปดูอาการด้วย ชายหนุ่มพยักหน้าและรีบเดินขึ้นรถลากไปด้วยกันระหว่างทางกลับบ้าน ลั่วเป่ยสอบถามอาการของลูกชาย จากหญิงรับใช้ซึ่งเป็นคนสนิทของภรรยา นางเล่าด้วยน้ำเสียงเป็นกังวลว่า“วันนี้คุณชายน้อยไม่อยากกินข้าวเลยเจ้าค่ะ บอกว่าเหนื่อยมาก จากนั้นฮูหยินก็บอกให้คุณชายพักผ่อน แล้วก็ตามท่านหมอชิวมารักษา แต่พอรักษาได้สักพัก อาการของคุณชายน้อยก็แย่ลงอีก”“แย่ยังไง รีบบอกมา!” ลั่วเป่ยเร่งให้นางตอบ“คุณชายน้อยบอกว่าเจ็บหน้าอกมาก แล้วก็ปวดเนื้อตัวเจ้าค่ะ!”จิงซิงอี้ที่ฟังอาการก็นิ่วหน้าด้วยความสงสัย เขาถามสาวใช้ว่า “เจ้ารู้หรือไม่ว่า หมอรักษาคุณชายอย่างไรบ้าง”สาวใช้ตอบแบบไม่แน่ใจว่า “ฝังเข็มแล้วก็ให้ดื่มยาเจ้าเจ้าค่ะ แต่ก็ไม่ดีขึ้น”ลั่วเป่ยพยายามควบคุมความกลัว เมื่อไปถึงหน้าบ้าน พวกเขารีบลงจากรถ และเดินไปที่ห้องนอนของคุณชายน้อยที่อยู่ตึกด้านซ้ายมือ หน้าห้องมีคนรับใช้ทั้งยืนรอและเดินเข้าอ

  • จิงซิงอี้ แพทย์จีน 2 ยุค   100

    เขาจุ่มเข็มลงในน้ำร้อนเพื่อทำความสะอาด และอธิบายให้ทุกคนในห้องฟังว่า “ข้าจะเริ่มต้นฝังเข็มเพื่อปิดกั้นการไหลเวียนของสารพิษในร่างกาย”จากนั้นก็ฝังเข็มที่จุดเหรินเหมินบริเวณท้องน้อย เพื่อช่วยควบคุมการไหลเวียนของเลือดและชี่ในร่างกายส่วนล่าง จากนั้นจุดชี่ไห่ ที่อยู่ใต้หัวเข่า เพื่อช่วยเสริมภูมิคุ้มกันและกระตุ้นการไหลเวียนของเลือด“ข้าจะกักสารพิษเอาไว้ที่จุดเดียวเพื่อไม่ให้แพร่กระจาย จนกว่าเราจะขับมันออกไปได้ และช่วยให้อาการทรงตัวไม่แย่ไปกว่านี้”จิงซิงอี้หันไปหาหมอที่ยืนข้าง “ข้าขอให้ท่านช่วยจับตัวเขาพลิกให้หน่อยขอรับ”จากนั้นก็ฝังเข็มที่จุดเฟิ่งฉือ เพื่อช่วยลดอาการอักเสบและบรรเทาอาการปวดเขาใช้เวลาในการฝังเข็มอยู่นานกว่า 20 นาที ทุกคนเห็นว่า คนไข้เริ่มหายใจลึกและยาวขึ้น อาการสั่นสะท้านจากความเจ็บปวดลดน้อยลง และสีหน้าที่หมองคล้ำของเขาเริ่มดีขึ้นจิงซิงอี้หยุดฝังเข็ม หันไปบอกหลิวป๋อว่า “ข้าจะสั่งยาสมุนไพรให้ มีโสมจีน ตังเซียม เห็ดหลินจือ ชะเอมเทศ ตัง และเกา

  • จิงซิงอี้ แพทย์จีน 2 ยุค   99

    ลั่วเป่ยถอนหายใจ “ลูกชายของพี่อายุ 11 ปี ไม่ค่อยแข็งแรงมาตั้งแต่เกิด เวลาทำอะไรที่ต้องออกแรง จะเหนื่อยง่าย หายใจหอบ ซีดเซียว เวลาอากาศเปลี่ยนก็ป่วย เวลาป่วยที ก็ใช้เวลานานกว่าจะฟื้นได้ ยิ่งช่วงสองสามปีนี้อาการยิ่งหนักมากขึ้นไปอีก”ในระหว่างนั้น เด็กเสิร์ฟก็นำอาหารมาวางบนโต๊ะ ทั้งสองคนลงมือกินและคุยกันต่อ “พี่หาหมอมารักษาหลายคนก็ไม่ดีขึ้น ได้แค่ทรงๆ จนช่วงนี้ยิ่งแย่มากขึ้น มันน่าเจ็บใจไหม ที่พี่ขายสมุนไพร แต่ก็ไม่มีสมุนไพรไหนช่วยลูกได้เลย!”จิงซิงอี้ถามด้วยความสนใจว่า “ใครเป็นคนแนะนำให้ใช้โสมในการรักษาหรือ”“เป็นหมอที่เพื่อนของพี่แนะนำมา เขาเชี่ยวชาญโรคเด็ก และบอกว่าหยวนชี่พร่อง ซึ่งมักเกิดกับเด็ก เขาจึงสั่งยาและอาหารเพื่อบำรุงร่างกายให้แข็งแรง โดยเฉพาะโสมที่ให้เอามาตุ๋นไก่ทำเป็นยา จะต้องเป็นโสมที่มีคุณภาพสูงจริงๆ”เมื่อจิงซิงอี้ถามต่อว่า “หลังจากรักษากับหมอคนนี้แล้ว อาการดีขึ้นไหม”ชายหนุ่มตอบว่า “ดีขึ้นกว่าเดิม แต่ก็ยังออกแรงหนักมากไม่ได้ จนเมื่อสองอาทิตย์ที่ผ่านมา อากาศเปลี่ยนแปลงม

  • จิงซิงอี้ แพทย์จีน 2 ยุค   98

    เฉินอี้เซิงเฉลยอาการป่วยของคนไข้ชายว่า มีอะไรบ้างและควรจะรักษาอย่างไร เขาอธิบายเพิ่มเติมว่า“คนไข้รักษาอาการมานานแล้ว ช่วงนี้มีอาการหนักขึ้น เพราะอากาศหนาวมีส่วนอย่างมาก แต่สิ่งที่จิงซิงอี้วิเคราะห์น่าสนใจมากเช่นกัน โดยเฉพาะกรรมพันธุ์และความเครียด ที่ทำให้อาการเป็นมากขึ้น การซักถามอย่างใส่ใจถึงชีวิตประจำวัน จึงเป็นหัวใจสำคัญ ที่ทำให้เราเห็นสาเหตุของโรคด้วย ที่สำคัญ การรักษาในองค์รวม ที่ต้องดูแลทั้งร่างกายและจิตใจไปด้วย จึงจะช่วยให้โรคแบบนี้ดีขึ้นได้ในภาพรวมได้”หลังจากจบบทเรียนในวันนั้น เฉินอี้เซิงปล่อยให้ทุกคนกลับบ้านได้ จิงซิงอี้เก็บของ และเดินออกมานอกห้องพร้อมกับลั่วเป่ยและจี่หลิว คนที่ไม่พอใจเขาก็เริ่มเงียบไปบางคนเข้ามาทักทายและบอกว่า ไม่นึกเลยว่าเขาจะเป็นหมอเด็กอัจริยะ แต่แล้วเขาก็ได้ยินเสียงแค่นหัวเราะของชายที่มีปัญหากับเขา หรือเค่อหลุน ที่เดินผ่านจิงซิงอี้และพูดว่า “ก็แค่เดาจนถูกนั่นละ!”ทั้งลั่วเป่ยและจี่หลิวขมวดคิ้ว ลั่วเป่ยจึงพูดออกมาว่า “คนอะไร หาเรื่องแม้กระทั่งกับเด็กไม่กี่ขวบ!”จิงซิงอี้มองตามเค่อห

  • จิงซิงอี้ แพทย์จีน 2 ยุค   97

    ในวันจันทร์แรกของการไปเรียน จิงซิงอี้ตื่นแต่เช้า เขาสะพายเป้หนังสีน้ำตาลที่มีข้าวของจำเป็นใส่หลัง เป้นี้เขาออกแบบเป็นพิเศษให้มีช่องเก็บของ ใส่ขวดน้ำที่ทำจากกระบอกไม้ไผ่เล็กๆ ขนม ผ้าเช็ดหน้า อุปกรณ์การแพทย์ขนาดเล็ก เขาแวะกินอาหารเช้าง่ายๆ ข้างทาง จากนั้นเดินไปที่บ้านของเฉินอี้เซิง ถึงอากาศจะเย็นในช่วงเช้า เพราะเป็นฤดูใบไม้ผลิ แต่ก็เหงื่อตกเพราะต้องเดินมาเองเมื่อมาถึงทางเข้าบ้าน เขาพบชายหลากหลายวัยเดินเข้าประตูไปอย่างคุ้นเคย จิงซิงอี้เดินตามเข้าไปเงียบๆ บางคนหันมามองเขาด้วยความสงสัย จนกระทั่งมีชายคนหนึ่งอายุประมาณ 28-29 ปี เรียกให้เขาหยุดและถามว่า “เจ้าหนู! หยุดก่อน! เจ้าเป็นใคร หลงทางกับพ่อหรือเปล่า”กลุ่มคนที่น่าจะเป็นลูกศิษย์ของเฉินอี้เซิงพากันหันมามอง จิงซิงอี้หยุดเดิน หันไปตอบนิ่งๆว่า “ข้าไม่ได้พลัดหลงกับใคร ข้าเป็นลูกศิษย์นอกสำนักของอาจารย์เฉินอี้เซิง”ทุกคนที่ได้ยินต่างขมวดคิ้ว พวกเขามองจิงซิงอี้ด้วยความสงสัย บางคนไม่เชื่อ และถามเขาด้วยความไม่พอใจว่า“เป็นเรื่องจริงหรือ!”“เจ้าอย่ามาเป็นเด็กเลี้

  • จิงซิงอี้ แพทย์จีน 2 ยุค   96

    เมื่อรู้ว่าจิงซิงอี้ผ่านการทดสอบ โม่หยวนหลิงและซัววีเว่ย จึงช่วยกันหาที่พักให้เด็กชาย แต่ก็ยังอดเป็นห่วงจิงซิงอี้ไม่ได้“เจ้าอยู่คนเดียวได้จริงหรือ พี่รู้ว่าเจ้าเก่ง ทำอะไรก็ได้ แต่ที่นี่เมืองหลวง ไม่มีใครมาช่วยเหลือเจ้า พี่เป็นห่วงมากนะ!” โม่หยวนหลิงพูดด้วยความกังวลใจจิงซิงอี้ต้องปลอบใจว่า “พี่หลิง ข้าอยู่ตัวคนเดียวได้จริงๆ แต่ตอนนี้ต้องหาที่พักก่อน” ทั้งสองคนเสนอให้เขาไปพักอยู่บ้านเฉินอี้เซิง อย่างน้อยยังมีผู้ใหญ่อยู่ด้วยเด็กชายหัวเราะ การไปอยู่แบบนั้น ต้องทำงานแลกที่พักและอาหาร เขาไม่คิดว่าตัวเองจะต้องทุ่มเทและลำบากถึงขนาดนั้น เขามีความรู้อยู่แล้ว แค่ต้องการความรู้ด้านพิษอื่นๆ ที่จะช่วยเหลือจิงเซียวได้นอกจากนี้ เขาไม่อยากระมัดระวังตัวตลอดเวลา เขาจึงเลือกอยู่คนเดียว เพื่อให้มีเวลาศึกษาหาความรู้ โดยไม่ต้องปิดบังตัวตนเมื่อเห็นโม่หยวนหลิงและซัววีเว่ยยังไม่คลายกังวล เขาจึงตัดสินใจพูดตรงๆ ว่า“พี่หลิง พี่เว่ย ข้ารู้ว่าพวกท่านเป็นห่วงข้ามาก แต่ข้าขอพูดตรงๆก็แล้วกัน ข้ามีความรู้ทางการแพทย์อยู่แล้ว อาจ

More Chapters
Explore and read good novels for free
Free access to a vast number of good novels on GoodNovel app. Download the books you like and read anywhere & anytime.
Read books for free on the app
SCAN CODE TO READ ON APP
DMCA.com Protection Status