จิงซิงอี้ขยับตัวตื่นตอนเช้ามืด เพราะได้ยินเสียงเปิดปิดประตูไม้หน้าบ้าน เขาลุกขึ้นและคว้าเสื้อกันหนาวมาสวมทับ ถึงแม้ว่าช่วงนี้กำลังจะเข้าสู่ฤดูร้อนแล้ว แต่หมู่บ้านนี้อยู่ใกล้กับภูเขาจึงมีอากาศเย็นตลอดทั้งปี และในช่วงเช้าแบบนี้ ยิ่งหนาวเย็นมากกว่าปกติ
เขาล้างหน้า เปลี่ยนเสื้อผ้าให้ทะมัดทะแมง คว้าโทรศัพท์และเป้ใส่ของ เดินออกมาจากห้องนอน และตรงไปที่ห้องครัวซึ่งอยู่ซ้ายสุดของห้องฝั่งตะวันตก
เขาเริ่มต้นทำอาหารเช้า ด้วยการต้มข้าวกล้องผสมธัญพืชที่เคี่ยวจนเปื่อยนุ่ม จากนั้นก็จัดผักดองหลากชนิด ที่ใส่เกลือนิดหน่อยพอให้มีรสชาติลงไปในถ้วยเล็กๆ พร้อมกับไข่เค็มดองเองจากไข่เป็ดที่เลี้ยงตามธรรมชาติ ทำให้ไข่แดงมีสีเข้มมันเยิ้มน่ากิน
เมื่อทำเสร็จแล้ว เขาเดินไปที่ห้องทำงานของจิงเซียว และเคาะประตูเรียกชายชรา ทั้งสองนั่งกินข้าวเช้าด้วยกัน และมีคุยกันบ้างนิดหน่อย ตอนนี้ ชุนเฉิงเดินทางกลับบ้านของเขาที่อยู่อีกเมืองหนึ่งไปแล้ว เพื่อกลับไปดูแลคลินิกและธุรกิจของตัวเอง
จิงซิงอี้บอกจิงเซียวว่า เขาได้รับออเดอร์ถุงหอมสมุนไพรจำนวนมาก เขาจึงคิดจะทำขายอย่างจริงจัง และจะขึ้นไปบนภูเขาหลังบ้าน เพื่อดูว่ามีสมุนไพรอะไรบ้างที่จะใช้ทำถุงหอมและยาอื่นๆ
จิงเซียวสนใจที่จะเดินขึ้นไปด้วย เพราะไม่ได้ขึ้นเขาหลังบ้านมานานแล้ว เมื่ออายุมากขึ้น จิงซิงอี้สั่งห้ามไม่ให้ชายชราเดินขึ้นเขาและออกไปเก็บสมุนไพรคนเดียวอีกต่อไป ถ้าจะไปตามสถานที่ห่างไกลจะต้องไปกับลูกศิษย์คนใดคนหนึ่ง หรือต้องรอให้จิงซิงอี้เป็นคนพาไปเอง
หลังจากกินอาหารเช้าอิ่มแล้ว สองตาหลานจึงช่วยกันเก็บล้างจาน และเตรียมอุปกรณ์เก็บสมุนไพร ทั้งอาหาร น้ำ รวมไปถึงอุปกรณ์ป้องกันตัวจากสัตว์ต่างๆ และเดินออกไปทางประตูหลังบ้านด้วยกัน
โดยปกติแล้ว บ้านแบบซื่อเหอหยวนจะมีทางเข้าออกด้านเดียว แต่จิงเซียวสร้างประตูหลังที่เปิดออกไปยังสวนหลังบ้านได้ และทางเดินนี้ยังตรงไปยังชายป่าที่อยู่ตีนเขา
บ้านของพวกเขา เป็นหลังสุดท้ายในหมู่บ้านที่อยู่ใกล้ภูเขาที่สุด มีพื้นที่หลังบ้านกว้างใหญ่ที่ล้อมรั้วเอาไว้ พวกเขาปลูกพืชผักสมุนไพรเอาไว้บ้าง แต่ตอนนี้จิงเซียวอายุมากขึ้น และเดินทางบ่อย จึงไม่มีเวลาดูแลสวนเหมือนเคย
ในระหว่างที่เดินผ่านสวนหลังบ้าน จิงซิงอี้บอกจิงเซียวว่า เขาอยากจะปลูกสมุนไพรตรงนี้ และถ้าได้ผลดี ก็จะขยายออกไปยังพื้นที่อื่น ซึ่งจิงเซียวก็เห็นด้วย เพราะเขามองเห็นว่า สภาพอากาศปัจจุบันเปลี่ยนแปลงไปมาก สมุนไพรที่โตตามธรรมชาติลดจำนวนลง ถ้าสามารถปลูกได้เอง ก็จะช่วยลดราคาต้นทุน และบ้านของพวกเขายังอยู่ติดกับภูเขาที่มีสภาพอากาศและดินที่อุดมสมบูรณ์ดี จึงน่าจะปลูกสมุนไพรได้ผลดีกว่าพื้นที่อื่นๆ
สมุนไพรจีนในปัจจุบันมีจำนวนร้อยละ 10 ของสมุนไพรทั้งโลก และมีสมุนไพรที่ใช้เป็นยาในจีนประมาณ 12,800 ชนิด ประกอบไปด้วย พืชวัตถุ สัตว์วัตถุ ธาตุวัตถุ และอื่นๆ ซึ่งมีสรรพคุณทางยาและองค์ประกอบทางเคมีแตกต่างกันไป ตามสภาพภูมิประเทศและภูมิอากาศ
ตอนนี้จีนปลูกสมุนไพรเพื่อผลิตยาและส่งออกขายเป็นปริมาณมาก จิงซิงอี้มองเห็นโอกาสนี้ด้วยเช่นกัน
สมุนไพรที่ใช้ทางการแพทย์ยังแบ่งออกเป็น เย่าไฉหรือสมุนไพร ที่เขากับจิงเซียวมองหาในวันนี้ แบบที่สอง คือ อิ่นเพี่ยน หรือตัวยาพร้อมใช้ และเฉิงเย่า ที่เป็นยาสมุนไพรสำเร็จรูป
ทั้งจิงเซียวและจิงซิงอี้มีความเชี่ยวชาญทั้งในการปลูกและการแปรรูปสมุนไพรทั้ง 3 ประเภทนี้ จิงเซียวได้รับความรู้ด้านสมุนไพรมาจากต้นตระกูลของเขา จึงถ่ายทอดมายังจิงซิงอี้และลูกศิษย์คนอื่นๆ เขายังมีความรู้และประสบการณ์จากการรักษาโรค และการเดินทางไปทั่วประเทศตั้งแต่ยังหนุ่ม จิงเซียวจึงเป็นแพทย์จีนมีชื่อเสียงอย่างมากในระดับประเทศ
สำหรับพื้นที่ที่จิงเซียวและจิงซิงอี้อาศัยอยู่ในตอนนี้ มีสมุนไพรกลุ่มเจ้อเย่า เช่น เจ้อเป้ย์หมู่ เจ้อเสวียนเซิน เจ้อตู๋หัว เจ้อจู๋ หังไป๋จื่อ และฟังจหวีฮวา ที่เติบโตขึ้นเองตามธรรมชาติ จิงซิงอี้จึงอยากจะทดลองปลูกในเชิงพาณิชย์ด้วย
ภูเขาหลังบ้านลูกนี้ไม่ได้สูงชันมากนัก แต่เป็นแนวเขาที่ทอดยาวเชื่อมไปยังเขตอื่น นานๆ ทีจึงจะมีชาวบ้านเดินขึ้นเขามาเก็บของป่า เพราะคนในหมู่บ้านส่วนใหญ่เป็นผู้สูงอายุ พวกเขาไม่ค่อยได้ขึ้นมาบ่อยนัก แต่ก็ยังมีบางคนที่ชอบมาเดินเล่นบริเวณตีนเขา และเดินขึ้นไปบนเขาบ้างบางครั้ง
จากการที่ไม่ค่อยมีมนุษย์มาบุกรุก ทำให้หลายครั้ง ชาวบ้านเห็นสัตว์ป่าโผล่มาบ่อยๆ เช่น ไก่ป่า นก กระต่าย และบางครั้งยังได้ยินเสียงหอนของฝูงหมาป่า และเสียงหมีคำรามอยู่บนยอดเขาขึ้นไป
จิงซิงอี้จึงเตรียมสมุนไพรขับไล่สัตว์ป่ามาด้วย ซึ่งเป็นสูตรที่เขาคิดค้นกับจิงเซียว
เมื่อเดินขึ้นเขาไปได้ระยะหนึ่ง ท้องฟ้าเริ่มสว่างขึ้น จนมองเห็นป่ารอบๆ ได้ชัดเจน จิงซิงอี้เดินช้าๆ เขาแบกของเอาไว้ที่หลัง และคอยดูแลจิงเซียวเป็นระยะ
ระหว่างทาง จิงเซียวจะคอยสอนหลานชาย และเล่าถึงประสบการณ์การเดินป่าเพื่อหาสมุนไพร ตามสถานที่ที่คล้ายกับภูเขานี้
เมื่อเดินมาได้ประมาณครึ่งชั่วโมง พวกเขาหยุดพักดื่มน้ำ และให้จิงเซียวได้นั่งพักบนขอนไม้ ซึ่งเป็นจุดพักประจำของพวกเขา
ต้นไม้เริ่มหนาแน่นมากขึ้น แต่แสงแดดยังส่องลงมาได้รำไร อากาศเย็นสดชื่น แต่ไม่เปียกชื้นเกินไป เพราะกำลังเข้าสู่ฤดูร้อนแล้ว พวกเขาได้ยินเสียงนกร้องเสียงดังมาไกลๆ สลับกับเสียงแมลงที่ร้องอยู่ตามพุ่มไม้
จิงซิงอี้ซึ่งยืนอยู่ใกล้ๆ กับขอนไม้ที่จิงเซียวนั่งพักอยู่ ก็มองไปที่พุ่มไม้ที่อยู่ห่างออกไป และพูดว่า “คุณตา ตรงนั้นมีไป๋จื่อ”
เขาเดินไปที่พุ่มไม้ล้มลุกที่สูงกว่าเขาเกือบเมตร และมีลำต้นตั้งตรงอวบ มีขนาดเส้นผ่านศูนย์กลางประมาณ 2-5 เซนติเมตร และมีสีม่วงแต้มเล็กน้อย ไป๋จื่อเป็นพืชที่ใช้รากในการทำยา มีกลิ่นหอมฉุน รสเผ็ด
เขาใช้เสียมขุดลงไปอย่างระมัดระวัง โชคดีที่บริเวณนี้เป็นดินร่วนซุย จึงขุดได้ไม่ยาก เขาขุดไปจนพบรากสีขาวอวบใหญ่เป็นรูปกรวยยาว เส้นผ่านศูนย์กลางประมาณ 3-5 เซนติเมตร จากนั้นก็ค่อยๆไล่ขุดไปอีกประมาณเกือบหนึ่งฟุต จนได้รากที่เป็นแขนงขึ้นมาทั้งหมด
ไป๋จื่อมักขึ้นตามภูเขาสูงที่มีความชื้น ชอบอากาศอบอุ่น แต่ทนความหนาวเย็นได้ และจะโตได้ดีบนที่ราบบนเขาเล็ก ๆ จึงเป็นจังหวะดีที่พวกเขาขึ้นเขามาในช่วงนี้ เพราะสมุนไพรที่ใช้รากทำยา ควรจะเก็บเกี่ยวในช่วงฤดูหนาวจนถึงร้อน พวกเขายังเก็บเมล็ดเพื่อเอาไปทดลองปลูกในแปลงหลังบ้านด้วย
ตลอดช่วงเช้านั้น พวกเขาเดินลึกเข้าไปในป่า และเก็บสมุนไพรที่เป็นทั้งใบ ราก ลำต้น และผลได้หลายอย่าง
จิงเซียวจะพาหลานชายและศิษย์คนอื่น เดินทางตั้งแต่ยังเด็ก และสอนให้รู้จักการเก็บสมุนไพร ทำให้จิงซิงอี้มีความเชี่ยวชาญเป็นพิเศษ ถึงแม้ว่าเขาจะมีรูปร่างสูงโปร่ง ผอมบาง แต่กลับแข็งแรงอย่างไม่น่าเชื่อ เขาจึงขุดสมุนไพรและปีนต้นไม้ได้อย่างรวดเร็วคล่องแคล่ว
ทั้งหมดนี้ เกิดจากอาหารการกินที่จิงเซียวคอยจัดหาให้ การได้ออกเดินทางไปตามสถานที่กันดารกับจิงเซียวเสมอๆ และเขายังเรียนศิลปะป้องกันตัวเพิ่มเติมด้วย
จิงเซียวมักสอนว่า จิงซิงอี้ต้องเรียนรู้ที่จะอยู่ด้วยตัวเอง ต้องป้องกันตัวเองได้ สักวันหนึ่ง จิงซิงอี้จะต้องออกไปเรียนหนังสือและเผชิญโลกกว้าง เขาไม่สามารถปกป้องจิงซิงอี้ได้ตลอดเวลา และการเดินทางไปเก็บสมุนไพรบนเขา ก็อาจเผชิญอันตรายจากทั้งสัตว์ คนร้าย และการหลงป่าด้วย จึงต้องเตรียมพร้อมให้ดี
เวลาผ่านไปจนเกือบเที่ยง จิงซิงอี้จึงชวนจิงเซียวพักกินข้าวกลางวัน เขาใช้ผ้าพลาสติกบางๆ ปูรองพื้น ที่มีความชื้นจากฝนและน้ำค้างสะสมอยู่ จากนั้นจึงประคองให้จิงเซียวนั่งลง
จิงซิงอี้เตรียมอาหารง่ายๆ ใส่กล่องมา พร้อมผลไม้และน้ำชาใส่กระติกเก็บความร้อน ระหว่างที่กินอยู่นั้น พวกเขาได้ยินเสียงบางอย่างขยับไปมาอยู่หลังต้นไม้ จิงเซียวเงี่ยหูฟัง และพูดเบาๆว่า
“เสียงขยับตัวไม่ดังมาก..อยู่แถวๆโคนต้นไม้...น่าจะเป็นสัตว์ตัวไม่ใหญ่มากนัก”
จิงซิงอี้จ้องไปที่จุดนั้น และพูดอย่างระมัดระวังว่า
“ไม่น่าจะใช่งู ไม่มีเสียงเลื้อย..เสียงเหมือนเดินเหยียบไปบนใบไม้”
เมื่อได้ยินเสียงพูดของพวกเขา เสียงเหยียบใบไม้สวบสาบก็เงียบลงไป จิงซิงอี้ตัดสินใจลุกไปดู จิงเซียวดึงแขนเขาไว้ ก่อนจะส่งเสียมเหล็กที่ใช้ขุดสมุนไพรให้เขา
ชายหนุ่มเดินอย่างระมัดระวังไปใกล้โคนต้นไม้ใหญ่ เขาชะโงกหน้ามองไปด้านหลังต้นไม้อย่างระมัดระวัง เมื่อเลื่อนสายตาลงไปมองที่พื้น เขาก็ชะงัก เมื่อสบตากับดวงตาสีน้ำตาลเข้มเกือบดำคู่หนึ่ง
เจ้าของดวงตานั่งแอบอยู่โคนต้นไม้ จิงซิงอี้ก้มตัวลงมอง และพบว่า มันคือลูกสุนัขจิ้งจอกขนสีน้ำตาลแดงตัวหนึ่ง มีขนาดตัวใหญ่ไม่เกินสองฝ่ามือ มันจ้องมองเขาด้วยสายตาหวาดระแวง และทำขนฟูขู่ จิงซิงอี้ถามมันเบาๆว่า
“ว่าไงเจ้าหนู ทำไม่มานั่งอยู่ตรงนี้ แม่ไปไหนล่ะ”
เมื่อเดินไปถึงโรงพยาบาล นางพยาบาลที่อยู่หน้าเคาเตอร์ต่างพากันมุงดูเด็กน้อยด้วยความเอ็นดู แต่จิงซิงอี้ถอยไปหลบอยู่ข้างหลังลั่วเยี่ยน เขาไม่ได้กลัว แต่ไม่ชอบให้คนแปลกหน้าเข้ามาอยู่ใกล้ๆ“เดี๋ยวๆทุกคน ใจเย็นๆ เจ้าหนูกลัวแล้ว”ลั่วเยี่ยนเตือนสาวๆ และเล่าให้พวกเธอฟังว่าไปพบเด็กชายที่ไหน และขอให้พวกเธอช่วยประกาศหาพ่อแม่ในโรงพยาบาล และถ้าไม่พบ เขาจะโทรไปแจ้งตำรวจให้ช่วยตามหาอีกทีในระหว่างที่ชายหนุ่มอธิบาย จิงซิงอี้ก็ยืนฟังเงียบๆด้วยความสนใจ แม้ว่าใครๆ จะพยายามถามชื่อและที่อยู่ เขากลับนิ่งทำหูทวนลมเหมือนไม่เข้าใจ จนลั่วเยี่ยนอดหัวเราะไม่ได้ชายหนุ่มจะต้องออกตรวจคนไข้ตอนเช้า เขาจึงคิดจะฝากให้เด็กชายอยู่กับเจ้าหน้าที่ แต่จิงซิงอี้ไม่ยอม เด็กน้อยวิ่งตามลั่วเยี่ยน ทำให้เขาต้องพาเด็กชายไปที่ห้องตรวจด้วยเขาย่อตัวลงสบตากับเด็กน้อยและพูดอย่างจริงจังว่า “ฉันไม่รู้ว่านายต้องการอะไร แต่ฉันรู้ว่านายเข้าใจทุกสิ่งที่ฉันพูด ถ้านายไม่อยากไปไหน ก็อยู่กับฉันไปก่อน ถ้าเปลี่ยนใจอยากพูด ก็พูดมาก็แล้วกันนะเจ้าหนู”จากนั้นชายหนุ่มก็ลูบหัวเด็กน้อยด้วยความเอ็นดู พวก
ตั้งแต่ยังหนุ่ม จิงเซียวมักออกเดินทางและหายไปหลายอาทิตย์ บางครั้งเขาเดินทางไปรักษาชาวบ้านตามที่ห่างไกล บางครั้งก็ไปเก็บสมุนไพรตามป่าเขาลำเนาไพร และได้รับเชิญจากผู้นำระดับประเทศ รวมไปถึงผู้มีชื่อเสียงและอำนาจขอให้ไปช่วยรักษาโรคเมื่ออายุมากขึ้น เขาจะเลือกรักษาเฉพาะคนที่เขารู้สึกถูกใจเท่านั้น ถึงแม้บางคนจะใช้ทั้งเงินและอำนาจมาข่มขู่ ชายชราก็ไม่เคยหวั่นไหว เพราะเขามีลูกศิษย์และคนไข้ที่มีชื่อเสียงคอยปกป้องอยู่เสมอนี่จึงเป็นอีกสาเหตุหนึ่ง ที่จิงเซียวไม่เคยเปิดคลินิกรักษาที่หมู่บ้านเจียวจู เพราะเขาไม่ค่อยจะอยู่บ้านนั่นเองในระหว่างที่สองตาหลานง่วนอยู่กับการทำงานของตัวเอง จิงเซียวก็บอกกับจิงซิงอี้ว่า“เสี่ยวอี้ อีกสองวันตาจะไปปักกิ่งนะ มีนัดรักษาคนไข้”ชายหนุ่มพยักหน้ารับรู้ ชายชราก็พูดต่อว่า “เสี่ยวเยี่ยน ศิษย์พี่ใหญ่ของเจ้าจะมารับตาไป”เสี่ยวเยี่ยน หรือลั่วเยี่ยน อายุ 48 ปี เป็นศิษย์คนแรกของจิงเซียว เขาเป็นเจ้าของธุรกิจโรงพยาบาลเอกชนที่รักษาด้วยแพทย์แผนปัจจุบันและแผนจีนในปักกิ่ง ตัวเขาจบแพทย์แผนปัจจุบันมา เมื่
จิงซิงอี้เห็นว่าป้าซ่งมีรูปร่างท้วม ยิ่งทำให้เข่าเสื่อมและเสียรูปมากกว่าปกติ เขาจึงอธิบายอาการให้หญิงสูงวัยฟังว่า“โรคที่ป้าเป็น คือ ข้อเข่าเสื่อมนะครับ เกิดขึ้นได้จากอายุที่มากขึ้นทำให้เสื่อม แล้วก็น้ำหนักที่มากกว่าปกติ บางคนก็เกิดจากการทำงานหนัก ยกของหนักมานาน”ป้าซ่งรีบตอบว่า “ใช่เลยจ้ะ ป้าทำไร่ทำสวนมาตั้งแต่สาวๆ บางทีก็ต้องแบกปุ๋ย แบกผักผลไม้ไปขาย ช่วงนี้ป้าปวดเข่ามาก มันตึงไปหมด พอนั่งๆนอนๆ น้ำหนักก็เลยขึ้นอย่างที่หมอเห็นนี่ละจ้ะ”ในขณะที่พวกเขากำลังพูดคุยนั้น ลุงซ่งฮ่าวเทียน ก็ถือขวดใส่นมแพะ 3 ขวดเดินเข้าบ้านมาถามว่า“เท่านี้พอมั้ยหมอจิง”เมื่อเห็นป้าซ่ง เขาจึงถามด้วยความเป็นห่วงว่า“อายี่ ออกมาทำไม จะเอาอะไรเหรอ”ป้าซ่งรีบตอบว่า“ไม่มีอะไร ฉันเห็นว่าหมอจิงมา เลยเดินออกมาทัก”จิงซิงอี้สังเกตเห็นว่า ป้าซ่งไม่อยากพูดถึงอาการของตนต่อหน้าสามี เขาจึงหันไปพูดกับซ่งฮ่าวเทียนว่า“เท่านี้ก็พอครับ พรุ่งนี้สัก 5 โมงเย็นจะแวะมาซื้ออีกนะครับ ขอบคุณครับลุงซ
ระหว่างที่ถาม จิงซิงอี้กวาดสายตาไปรอบๆ ด้านอย่างระมัดระวัง เขากลัวแม่ของมันจะพุ่งออกมาจู่โจม ถึงเจ้าตัวเล็กจะทำตัวฟู และมีแววตาหวาดระแวง แต่ก็ยังจ้องตาเขาไม่หลบจิงซิงอี้ค่อยๆ ถอยออกมานั่งที่เดิม ทั้งสองปรึกษากันว่าจะนั่งรอห่างๆ และดูว่าแม่จิ้งจอกจะมารับลูกหรือไม่ และค่อยตัดสินใจว่าจะทำอย่างไร เวลาผ่านไป 15 นาที ก็ยังไม่มีวี่แววว่าจะมีแม่จิ้งจอกเดินออกมา แต่แล้วลูกสุนัขจิ้งจอกก็ค่อยๆ โผล่หน้ามาออกมาจากหลังต้นไม้ และมองมาที่สองตาหลานในที่สุดจิงซิงอี้และจิงเซียวจึงลุกเดินไปหามันช้าๆ จิงเซียวพูดกับมันด้วยเสียงมีเมตตาว่า“เจ้าอยากจะให้พวกเราทำอะไรให้ บอกมาสิเจ้าตัวเล็ก”ลูกสุนัขจิ้งจอกเอียงคอฟัง จากนั้นมันก็หันหลังเดินเข้าไปในป่าด้านหลัง มันเดินไปสองสามก้าว และหยุดหันมามองพวกเขาหลายครั้ง เหมือนจะบอกให้ทั้งสองเดินตาม จิงซิงอี้และจิงเซียวมองหน้ากัน พวกเขารู้ว่าเจ้าตัวเล็กคงอยากจะให้พวกเขาเดินตามทั้งสองจึงเดินตามมัน ที่พามุดเข้าไปในป่าที่เริ่มรกทึบ พวกเขาต้องก้มตัวหลบเถาวัลย์และลุยเข้าไปในพุ่มไม้ที่ขวางทางเอาไว้หลายครั้ง&
จิงซิงอี้ขยับตัวตื่นตอนเช้ามืด เพราะได้ยินเสียงเปิดปิดประตูไม้หน้าบ้าน เขาลุกขึ้นและคว้าเสื้อกันหนาวมาสวมทับ ถึงแม้ว่าช่วงนี้กำลังจะเข้าสู่ฤดูร้อนแล้ว แต่หมู่บ้านนี้อยู่ใกล้กับภูเขาจึงมีอากาศเย็นตลอดทั้งปี และในช่วงเช้าแบบนี้ ยิ่งหนาวเย็นมากกว่าปกติเขาล้างหน้า เปลี่ยนเสื้อผ้าให้ทะมัดทะแมง คว้าโทรศัพท์และเป้ใส่ของ เดินออกมาจากห้องนอน และตรงไปที่ห้องครัวซึ่งอยู่ซ้ายสุดของห้องฝั่งตะวันตกเขาเริ่มต้นทำอาหารเช้า ด้วยการต้มข้าวกล้องผสมธัญพืชที่เคี่ยวจนเปื่อยนุ่ม จากนั้นก็จัดผักดองหลากชนิด ที่ใส่เกลือนิดหน่อยพอให้มีรสชาติลงไปในถ้วยเล็กๆ พร้อมกับไข่เค็มดองเองจากไข่เป็ดที่เลี้ยงตามธรรมชาติ ทำให้ไข่แดงมีสีเข้มมันเยิ้มน่ากินเมื่อทำเสร็จแล้ว เขาเดินไปที่ห้องทำงานของจิงเซียว และเคาะประตูเรียกชายชรา ทั้งสองนั่งกินข้าวเช้าด้วยกัน และมีคุยกันบ้างนิดหน่อย ตอนนี้ ชุนเฉิงเดินทางกลับบ้านของเขาที่อยู่อีกเมืองหนึ่งไปแล้ว เพื่อกลับไปดูแลคลินิกและธุรกิจของตัวเองจิงซิงอี้บอกจิงเซียวว่า เขาได้รับออเดอร์ถุงหอมสมุนไพรจำนวนมาก เขาจึงคิดจะทำขายอย่างจริงจัง และจะขึ้นไปบนภูเขาห
จิงซิงอี้ซึ่งกำลังคัดแยกสมุนไพร ก็ตอบตรงๆ ว่า “ยังไม่มีชื่อเลยครับ”จิงเซียวยิ้ม และมองหลานชายที่ก้มหน้าก้มตาเลือกสมุนไพร ก่อนจะพูดว่า“คลินิกฉางซาน”จิงซิงอี้เงยหน้าขึ้นทันทีด้วยความตกใจ จิงเซียวย้ำด้วยน้ำเสียงจริงจังขึ้นว่า“ได้เวลาที่คลินิกฉางซานจะต้องมีผู้สืบทอดแล้ว!”จากนั้น ชายชราก็พูดต่อว่า “ตาเชื่อมั่นในฝีมือของเจ้านะ ตาไม่อยากให้ความรู้ที่สั่งสมมาจากบรรพบุรุษของเรา ต้องจบไปในรุ่นของตา”ขอบตาของจิงซิงอี้ร้อนผ่าว เขารู้ว่าจิงเซียวมีความฝันที่อยากจะเปิดสำนักแพทย์ของตนเองมานานแล้ว แต่เขายังไม่มีโอกาสสักที ถึงเขาจะมีลูกศิษย์อยู่ 3 คน แต่เป็นครั้งแรกที่จิงเซียวมอบชื่อสำนักแพทย์ฉางซานให้เขาสืบทอด จิงซิงอี้ยืนยันอย่างหนักแน่นว่า“ผมจะทำให้ดีที่สุด ผมจะสืบทอดคลินิกฉางซานเองครับ!”ชุนเฉิงซึ่งยืนฟังอยู่หน้าประตูยิ้มนิดๆ ก่อนจะเคาะประตูห้องทำงานและเดินเข้ามาในห้อง ทั้งสามคนช่วยกันคัดแยกสมุนไพร และสนทนาถึงเรื่องราวที่เกิดขึ้นในช่วงที่ผ่านมา ด้วยบรรยากาศอบอุ่น