Share

6

Author: Clear Clouds
last update Last Updated: 2025-09-01 20:30:40

จิงซิงอี้ขยับตัวตื่นตอนเช้ามืด เพราะได้ยินเสียงเปิดปิดประตูไม้หน้าบ้าน เขาลุกขึ้นและคว้าเสื้อกันหนาวมาสวมทับ ถึงแม้ว่าช่วงนี้กำลังจะเข้าสู่ฤดูร้อนแล้ว แต่หมู่บ้านนี้อยู่ใกล้กับภูเขาจึงมีอากาศเย็นตลอดทั้งปี และในช่วงเช้าแบบนี้ ยิ่งหนาวเย็นมากกว่าปกติ

เขาล้างหน้า เปลี่ยนเสื้อผ้าให้ทะมัดทะแมง คว้าโทรศัพท์และเป้ใส่ของ เดินออกมาจากห้องนอน และตรงไปที่ห้องครัวซึ่งอยู่ซ้ายสุดของห้องฝั่งตะวันตก

เขาเริ่มต้นทำอาหารเช้า ด้วยการต้มข้าวกล้องผสมธัญพืชที่เคี่ยวจนเปื่อยนุ่ม จากนั้นก็จัดผักดองหลากชนิด ที่ใส่เกลือนิดหน่อยพอให้มีรสชาติลงไปในถ้วยเล็กๆ  พร้อมกับไข่เค็มดองเองจากไข่เป็ดที่เลี้ยงตามธรรมชาติ ทำให้ไข่แดงมีสีเข้มมันเยิ้มน่ากิน

เมื่อทำเสร็จแล้ว เขาเดินไปที่ห้องทำงานของจิงเซียว และเคาะประตูเรียกชายชรา ทั้งสองนั่งกินข้าวเช้าด้วยกัน และมีคุยกันบ้างนิดหน่อย ตอนนี้ ชุนเฉิงเดินทางกลับบ้านของเขาที่อยู่อีกเมืองหนึ่งไปแล้ว เพื่อกลับไปดูแลคลินิกและธุรกิจของตัวเอง

จิงซิงอี้บอกจิงเซียวว่า เขาได้รับออเดอร์ถุงหอมสมุนไพรจำนวนมาก เขาจึงคิดจะทำขายอย่างจริงจัง และจะขึ้นไปบนภูเขาหลังบ้าน เพื่อดูว่ามีสมุนไพรอะไรบ้างที่จะใช้ทำถุงหอมและยาอื่นๆ

จิงเซียวสนใจที่จะเดินขึ้นไปด้วย เพราะไม่ได้ขึ้นเขาหลังบ้านมานานแล้ว เมื่ออายุมากขึ้น จิงซิงอี้สั่งห้ามไม่ให้ชายชราเดินขึ้นเขาและออกไปเก็บสมุนไพรคนเดียวอีกต่อไป ถ้าจะไปตามสถานที่ห่างไกลจะต้องไปกับลูกศิษย์คนใดคนหนึ่ง หรือต้องรอให้จิงซิงอี้เป็นคนพาไปเอง

หลังจากกินอาหารเช้าอิ่มแล้ว สองตาหลานจึงช่วยกันเก็บล้างจาน และเตรียมอุปกรณ์เก็บสมุนไพร ทั้งอาหาร น้ำ รวมไปถึงอุปกรณ์ป้องกันตัวจากสัตว์ต่างๆ และเดินออกไปทางประตูหลังบ้านด้วยกัน

โดยปกติแล้ว บ้านแบบซื่อเหอหยวนจะมีทางเข้าออกด้านเดียว แต่จิงเซียวสร้างประตูหลังที่เปิดออกไปยังสวนหลังบ้านได้ และทางเดินนี้ยังตรงไปยังชายป่าที่อยู่ตีนเขา

บ้านของพวกเขา เป็นหลังสุดท้ายในหมู่บ้านที่อยู่ใกล้ภูเขาที่สุด มีพื้นที่หลังบ้านกว้างใหญ่ที่ล้อมรั้วเอาไว้ พวกเขาปลูกพืชผักสมุนไพรเอาไว้บ้าง แต่ตอนนี้จิงเซียวอายุมากขึ้น และเดินทางบ่อย จึงไม่มีเวลาดูแลสวนเหมือนเคย

ในระหว่างที่เดินผ่านสวนหลังบ้าน จิงซิงอี้บอกจิงเซียวว่า เขาอยากจะปลูกสมุนไพรตรงนี้ และถ้าได้ผลดี ก็จะขยายออกไปยังพื้นที่อื่น ซึ่งจิงเซียวก็เห็นด้วย เพราะเขามองเห็นว่า สภาพอากาศปัจจุบันเปลี่ยนแปลงไปมาก สมุนไพรที่โตตามธรรมชาติลดจำนวนลง ถ้าสามารถปลูกได้เอง ก็จะช่วยลดราคาต้นทุน และบ้านของพวกเขายังอยู่ติดกับภูเขาที่มีสภาพอากาศและดินที่อุดมสมบูรณ์ดี จึงน่าจะปลูกสมุนไพรได้ผลดีกว่าพื้นที่อื่นๆ

สมุนไพรจีนในปัจจุบันมีจำนวนร้อยละ 10 ของสมุนไพรทั้งโลก และมีสมุนไพรที่ใช้เป็นยาในจีนประมาณ 12,800 ชนิด  ประกอบไปด้วย พืชวัตถุ สัตว์วัตถุ ธาตุวัตถุ และอื่นๆ ซึ่งมีสรรพคุณทางยาและองค์ประกอบทางเคมีแตกต่างกันไป ตามสภาพภูมิประเทศและภูมิอากาศ

ตอนนี้จีนปลูกสมุนไพรเพื่อผลิตยาและส่งออกขายเป็นปริมาณมาก จิงซิงอี้มองเห็นโอกาสนี้ด้วยเช่นกัน 

สมุนไพรที่ใช้ทางการแพทย์ยังแบ่งออกเป็น เย่าไฉหรือสมุนไพร ที่เขากับจิงเซียวมองหาในวันนี้ แบบที่สอง คือ อิ่นเพี่ยน หรือตัวยาพร้อมใช้ และเฉิงเย่า ที่เป็นยาสมุนไพรสำเร็จรูป

ทั้งจิงเซียวและจิงซิงอี้มีความเชี่ยวชาญทั้งในการปลูกและการแปรรูปสมุนไพรทั้ง 3 ประเภทนี้ จิงเซียวได้รับความรู้ด้านสมุนไพรมาจากต้นตระกูลของเขา จึงถ่ายทอดมายังจิงซิงอี้และลูกศิษย์คนอื่นๆ เขายังมีความรู้และประสบการณ์จากการรักษาโรค และการเดินทางไปทั่วประเทศตั้งแต่ยังหนุ่ม จิงเซียวจึงเป็นแพทย์จีนมีชื่อเสียงอย่างมากในระดับประเทศ

สำหรับพื้นที่ที่จิงเซียวและจิงซิงอี้อาศัยอยู่ในตอนนี้ มีสมุนไพรกลุ่มเจ้อเย่า เช่น เจ้อเป้ย์หมู่ เจ้อเสวียนเซิน เจ้อตู๋หัว เจ้อจู๋ หังไป๋จื่อ และฟังจหวีฮวา ที่เติบโตขึ้นเองตามธรรมชาติ จิงซิงอี้จึงอยากจะทดลองปลูกในเชิงพาณิชย์ด้วย

        ภูเขาหลังบ้านลูกนี้ไม่ได้สูงชันมากนัก แต่เป็นแนวเขาที่ทอดยาวเชื่อมไปยังเขตอื่น  นานๆ ทีจึงจะมีชาวบ้านเดินขึ้นเขามาเก็บของป่า เพราะคนในหมู่บ้านส่วนใหญ่เป็นผู้สูงอายุ พวกเขาไม่ค่อยได้ขึ้นมาบ่อยนัก แต่ก็ยังมีบางคนที่ชอบมาเดินเล่นบริเวณตีนเขา และเดินขึ้นไปบนเขาบ้างบางครั้ง

จากการที่ไม่ค่อยมีมนุษย์มาบุกรุก ทำให้หลายครั้ง ชาวบ้านเห็นสัตว์ป่าโผล่มาบ่อยๆ เช่น ไก่ป่า นก กระต่าย และบางครั้งยังได้ยินเสียงหอนของฝูงหมาป่า และเสียงหมีคำรามอยู่บนยอดเขาขึ้นไป 

จิงซิงอี้จึงเตรียมสมุนไพรขับไล่สัตว์ป่ามาด้วย ซึ่งเป็นสูตรที่เขาคิดค้นกับจิงเซียว

เมื่อเดินขึ้นเขาไปได้ระยะหนึ่ง ท้องฟ้าเริ่มสว่างขึ้น จนมองเห็นป่ารอบๆ ได้ชัดเจน จิงซิงอี้เดินช้าๆ เขาแบกของเอาไว้ที่หลัง และคอยดูแลจิงเซียวเป็นระยะ

ระหว่างทาง จิงเซียวจะคอยสอนหลานชาย และเล่าถึงประสบการณ์การเดินป่าเพื่อหาสมุนไพร ตามสถานที่ที่คล้ายกับภูเขานี้

เมื่อเดินมาได้ประมาณครึ่งชั่วโมง พวกเขาหยุดพักดื่มน้ำ และให้จิงเซียวได้นั่งพักบนขอนไม้ ซึ่งเป็นจุดพักประจำของพวกเขา

ต้นไม้เริ่มหนาแน่นมากขึ้น แต่แสงแดดยังส่องลงมาได้รำไร อากาศเย็นสดชื่น แต่ไม่เปียกชื้นเกินไป เพราะกำลังเข้าสู่ฤดูร้อนแล้ว พวกเขาได้ยินเสียงนกร้องเสียงดังมาไกลๆ สลับกับเสียงแมลงที่ร้องอยู่ตามพุ่มไม้

จิงซิงอี้ซึ่งยืนอยู่ใกล้ๆ กับขอนไม้ที่จิงเซียวนั่งพักอยู่ ก็มองไปที่พุ่มไม้ที่อยู่ห่างออกไป และพูดว่า “คุณตา ตรงนั้นมีไป๋จื่อ”

เขาเดินไปที่พุ่มไม้ล้มลุกที่สูงกว่าเขาเกือบเมตร และมีลำต้นตั้งตรงอวบ มีขนาดเส้นผ่านศูนย์กลางประมาณ 2-5 เซนติเมตร และมีสีม่วงแต้มเล็กน้อย ไป๋จื่อเป็นพืชที่ใช้รากในการทำยา มีกลิ่นหอมฉุน รสเผ็ด

เขาใช้เสียมขุดลงไปอย่างระมัดระวัง โชคดีที่บริเวณนี้เป็นดินร่วนซุย จึงขุดได้ไม่ยาก เขาขุดไปจนพบรากสีขาวอวบใหญ่เป็นรูปกรวยยาว เส้นผ่านศูนย์กลางประมาณ 3-5 เซนติเมตร จากนั้นก็ค่อยๆไล่ขุดไปอีกประมาณเกือบหนึ่งฟุต จนได้รากที่เป็นแขนงขึ้นมาทั้งหมด

ไป๋จื่อมักขึ้นตามภูเขาสูงที่มีความชื้น ชอบอากาศอบอุ่น แต่ทนความหนาวเย็นได้ และจะโตได้ดีบนที่ราบบนเขาเล็ก ๆ   จึงเป็นจังหวะดีที่พวกเขาขึ้นเขามาในช่วงนี้ เพราะสมุนไพรที่ใช้รากทำยา ควรจะเก็บเกี่ยวในช่วงฤดูหนาวจนถึงร้อน พวกเขายังเก็บเมล็ดเพื่อเอาไปทดลองปลูกในแปลงหลังบ้านด้วย

ตลอดช่วงเช้านั้น พวกเขาเดินลึกเข้าไปในป่า และเก็บสมุนไพรที่เป็นทั้งใบ ราก ลำต้น และผลได้หลายอย่าง 

จิงเซียวจะพาหลานชายและศิษย์คนอื่น เดินทางตั้งแต่ยังเด็ก และสอนให้รู้จักการเก็บสมุนไพร ทำให้จิงซิงอี้มีความเชี่ยวชาญเป็นพิเศษ ถึงแม้ว่าเขาจะมีรูปร่างสูงโปร่ง ผอมบาง แต่กลับแข็งแรงอย่างไม่น่าเชื่อ เขาจึงขุดสมุนไพรและปีนต้นไม้ได้อย่างรวดเร็วคล่องแคล่ว

ทั้งหมดนี้ เกิดจากอาหารการกินที่จิงเซียวคอยจัดหาให้ การได้ออกเดินทางไปตามสถานที่กันดารกับจิงเซียวเสมอๆ และเขายังเรียนศิลปะป้องกันตัวเพิ่มเติมด้วย

จิงเซียวมักสอนว่า จิงซิงอี้ต้องเรียนรู้ที่จะอยู่ด้วยตัวเอง ต้องป้องกันตัวเองได้ สักวันหนึ่ง จิงซิงอี้จะต้องออกไปเรียนหนังสือและเผชิญโลกกว้าง เขาไม่สามารถปกป้องจิงซิงอี้ได้ตลอดเวลา และการเดินทางไปเก็บสมุนไพรบนเขา ก็อาจเผชิญอันตรายจากทั้งสัตว์ คนร้าย และการหลงป่าด้วย จึงต้องเตรียมพร้อมให้ดี

เวลาผ่านไปจนเกือบเที่ยง จิงซิงอี้จึงชวนจิงเซียวพักกินข้าวกลางวัน เขาใช้ผ้าพลาสติกบางๆ ปูรองพื้น ที่มีความชื้นจากฝนและน้ำค้างสะสมอยู่ จากนั้นจึงประคองให้จิงเซียวนั่งลง

จิงซิงอี้เตรียมอาหารง่ายๆ ใส่กล่องมา พร้อมผลไม้และน้ำชาใส่กระติกเก็บความร้อน ระหว่างที่กินอยู่นั้น พวกเขาได้ยินเสียงบางอย่างขยับไปมาอยู่หลังต้นไม้ จิงเซียวเงี่ยหูฟัง และพูดเบาๆว่า

“เสียงขยับตัวไม่ดังมาก..อยู่แถวๆโคนต้นไม้...น่าจะเป็นสัตว์ตัวไม่ใหญ่มากนัก”

จิงซิงอี้จ้องไปที่จุดนั้น และพูดอย่างระมัดระวังว่า

“ไม่น่าจะใช่งู ไม่มีเสียงเลื้อย..เสียงเหมือนเดินเหยียบไปบนใบไม้”

เมื่อได้ยินเสียงพูดของพวกเขา เสียงเหยียบใบไม้สวบสาบก็เงียบลงไป จิงซิงอี้ตัดสินใจลุกไปดู จิงเซียวดึงแขนเขาไว้ ก่อนจะส่งเสียมเหล็กที่ใช้ขุดสมุนไพรให้เขา 

ชายหนุ่มเดินอย่างระมัดระวังไปใกล้โคนต้นไม้ใหญ่ เขาชะโงกหน้ามองไปด้านหลังต้นไม้อย่างระมัดระวัง เมื่อเลื่อนสายตาลงไปมองที่พื้น เขาก็ชะงัก เมื่อสบตากับดวงตาสีน้ำตาลเข้มเกือบดำคู่หนึ่ง

เจ้าของดวงตานั่งแอบอยู่โคนต้นไม้ จิงซิงอี้ก้มตัวลงมอง และพบว่า มันคือลูกสุนัขจิ้งจอกขนสีน้ำตาลแดงตัวหนึ่ง มีขนาดตัวใหญ่ไม่เกินสองฝ่ามือ มันจ้องมองเขาด้วยสายตาหวาดระแวง และทำขนฟูขู่   จิงซิงอี้ถามมันเบาๆว่า

“ว่าไงเจ้าหนู  ทำไม่มานั่งอยู่ตรงนี้ แม่ไปไหนล่ะ”

Continue to read this book for free
Scan code to download App

Latest chapter

  • จิงซิงอี้ แพทย์จีน 2 ยุค   55

    นับตั้งแต่จิงซิงอี้เปิดคลินิกมาได้ 3 เดือนกว่า เขาทำอะไรมามากมาย ทั้งตั้งโต๊ะรักษาโรคฟรีข้างนอกที่หมู่บ้านข้างๆ ไปบริการชุมชนร่วมกับโรงพยาบาลมหาวิทยาลัย ช่วยตำรวจไขคดีฆาตกรรมที่เกิดจากการใช้ยาสมุนไพรจีน และยังมีวิดีโอคลิปตอนที่เขารักษาคนบาดเจ็บจากแก๊สระเบิดที่แพร่หลายออกไป สิ่งเหล่านี้ทำให้คนรู้จักเขามากขึ้นเขายังมีคนไข้ที่เคยรักษาที่โรงพยาบาลในเซี่ยงไฮ้ เดินทางมารักษาต่อที่คลินิกกับเขาหลายคน ถึงแม้จะต้องเดินทางมาจากที่อื่นก็ตาม โดยเฉพาะเมื่อเขาสามารถรักษาคู่สามีภรรยาที่มีบุตรยาก ให้ตั้งครรภ์ได้ในเวลาเพียงไม่กี่เดือน ทำให้คู่สามีภรรยาหลายคนที่รู้ข่าว มีความหวังและเดินทางมาหาเขามากขึ้น จิงซิงอี้รู้สึกว่า เขากลายเป็นแพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านการรักษาภาะวมีบุตรยากไปอีกหนึ่งด้าน ไม่เพียงแต่คนไข้ของเขาจะเพิ่มจำนวนขึ้น เขายังช่วยให้ธุรกิจในหมู่บ้านเจริญก้าวหน้าขึ้นตามด้วยหลังจากที่มีคนไข้เพิ่มมากขึ้น ชาวหมู่บ้านบางคนเริ่มเปิดร้านอาหารเล็กๆ และร้านขายของเพื่อรองรับคนที่เดินทางมารอรักษา เพราะคนไข้บางคนไม่สามารถกลับบ้านได้ทันในวันเ

  • จิงซิงอี้ แพทย์จีน 2 ยุค   54

    วันหนึ่งชุนเฉิงนั่งอ่านหนังสืออยู่คนเดียว แต่เขาก็หยุดอ่านและเหม่อมองออกไปไกลๆ จิงเซียวซึ่งเดินเข้ามาหยิบหนังสือสังเกตเห็น เขาจึงเรียกชื่อชุนเฉิง แล้วถามว่าเป็นอะไรหรือเปล่า ปกติแล้วชุนเฉิงรักและเคารพจิงเซียวมาก เขาจะพูดทุกอย่างกับจิงเซียวตรงๆ แต่ครั้งนี้ เขานิ่งไปและถอนหายใจยาว เขารู้สึกละอายใจที่จะบอกว่า ด้วยวัยเกือบ 40 ปีนี้ เขารู้สึกว่างเปล่า แต่ดูเหมือนจิงเซียวจะเข้าใจ ชายชราเดินเข้ามานั่งตรงข้ามเขา และพูดว่า“เจ้ากำลังรู้สึกสับสนอะไรอยู่หรือเปล่า” ชุนเฉิงยิ้มเศร้าๆ เขาตอบว่า “ผมนึกไม่ออกว่าจะทำอะไรต่อไปดี สิ่งที่กำลังตอนนี้มันก็ดีอยู่แล้ว แต่มันก็กลายมาเป็นกิจวัตรประจำวัน ข้อดีคือ เราก็ทำได้ดี ไม่ต้องเหนื่อย แต่ผมกลับรู้สึกว่ามันน่าเบื่อและไม่รู้ว่าจะทำไปเพื่ออะไร การรักษาคนไข้ผมยังชอบอยู่ครับ แต่มันก็แค่นั้น บางทีผมก็คิดว่า จะใช้ชีวิตแบบนี้ไปจนตายเลยหรือ ผมรู้สึกสิ้นหวังยังไงไม่รู้ครับ” จิงเซ

  • จิงซิงอี้ แพทย์จีน 2 ยุค   53

    “หลานสาวของภรรยาพี่เอง ตอนนี้เขาเป็นดาราวัยรุ่นมาแรงเลย เธอน่าจะจำเขาได้นะ อี้อวิ๋นซีไงล่ะ” จิงซิงอี้ทบทวนความจำ สมัยที่เรียนอยู่ในเมือง บางครั้งเขาจะไปพักที่บ้านของลั่วเยี่ยน เขาจำได้ว่ามีเด็กผู้หญิงคนหนึ่งอายุห่างจากเขา 4-5 ปี ชอบมาที่บ้านของลั่วเยี่ยน และคอยวิ่งตามจิงซิงอี้เพื่อให้เขาเล่นด้วย ภรรยาของลั่วเยี่ยนมีพี่สาวหนึ่งคน และอี้อวิ๋นซีเป็นลูกสาวคนเดียวของเธอ และยังสนิทกับภรรยาของลั่วเยี่ยนมากเมื่อจิงซิงอี้เรียนในระดับมัธยมปลายและมหาวิทยาลัย เขาเรียนหนักมาก จึงไม่ค่อยได้ไปอยู่บ้านลั่วเยี่ยน ประกอบกับที่อี้อวิ๋นซีเริ่มโตแล้ว เธอจึงไม่ค่อยมาเที่ยวเล่นแบบตอนเด็กอีกต่อไป จิงซิงอี้พอจะจำเธอได้ เขาจึงถามต่อว่า “เขาจะยอมใช้ครีมให้ผมหรือครับ พวกดาราชอบใช้ของแบรนด์เนมมากกว่านี่” ลั่วเยี่ยนทำหน้ามีเลศนัย เขาพูดยิ้มๆว่า “นายมันจะไปไม่รู้อะไร เสี่ยวซีคอยต

  • จิงซิงอี้ แพทย์จีน 2 ยุค   52

    และก็เป็นไปตามที่จิงซิงอี้คาด อีกไม่กี่วันต่อมา ผู้อำนวยการแผนกแพทย์แผนจีนได้เข้าไปคุยกับผู้อำนวยการโรงพยาบาล พวกเขาตกลงกันว่าจะให้จิงซิงอี้ทำงานไปจนจบเดือนนี้ และไม่ขอต่อสัญญา โดยอ้างว่าสถานะเศรษฐกิจไม่ดี ผู้อำนวยการแผนกแพทย์แผนจีนจำเป็นจะต้องแจ้งให้เม่งฮ่าวซึ่งเป็นอาจารย์ของจิงซิงอี้รู้ก่อน แต่ไม่สามารถบอกสาเหตุที่แท้จริงได้ เพราะโรงพยาบาลยังเกรงใจเขาอยู่ ผู้อำนวยการจะคุยกับจิงซิงอี้ และจะขอโทษเม่งฮ่าวด้วยที่ไม่สามารถจ้างจิงซิงอี้ต่อได้เม่งฮ่าวรู้จากจิงซิงอี้อยู่ก่อนแล้ว เขาไม่พอใจทางโรงพยาบาลมาก ถึงแม้ผู้อำนวยการแผนกแพทย์แผนจีนจะมาคุยกับเขา แต่ก็เหมือนไม่ไว้หน้าเขา ถึงแม้ว่าจะใช้ข้ออ้างอื่นก็ตาม สำหรับเม่งฮ่าวแล้ว เขาไม่ได้สนใจการทำงานพิเศษในโรงพยาบาลนี้เท่าไหร่ เพราะเขามีชื่อเสียงและความสามารถในระดับประเทศและต่างประเทศอยู่แล้วเขามาทำงานให้ที่นี่ เพราะรุ่นพี่ที่นับถือขอร้องให้มาช่วยเหลือ ตั้งแต่มีการก่อตั้งแผนกแพทย์แผนจีนใหม่ๆ แต่เมื่อเวลาผ่านไปหลายปี รุ่นพี่ที่เขานับถือก็เกษียณไปแล้ว เขายังทำงานให้เพราะเห็นว่า โรงพยาบาลยังปฏิบัติต่อเขาดี แต่เมื่อเกิดเหตุการ

  • จิงซิงอี้ แพทย์จีน 2 ยุค   51

    จิงซิงอี้นิ่งไปสักพัก เขามองหน้าเจี่ยเหริน เขาเห็นการทำงานของเด็กหนุ่มและนิสัยใจคอที่ดีของเขา เขาเสียดายโอกาสที่เด็กหนุ่มคนนี้ที่น่าจะไปได้ดีกว่านี้ เขาจึงพูดขึ้นว่า“นายเก็บเงินให้ดีนะ จะได้ไปเรียนต่อ ฉันรู้สึกเสียดายความสามารถของนาย ฉันจะแบ่งเป็นเปอร์เซ็นต์การขายให้ นายจะได้เก็บเอาไว้เรียนต่อ”เจี่ยเหรินรีบปฏิเสธทันที แต่จิงซิงอี้ยืนยันว่า“ทำงานก็ต้องได้เงิน และที่สำคัญ การให้โอกาสคน คือการทำบุญที่ดีอีกอย่างด้วย ฉันก็ได้รับโอกาสจากคนอื่นเหมือนกัน ฉันจึงมาอยู่จุดนี้ได้ หลังจากเรียนจบแล้ว นายจะไปทำงานที่อื่นฉันก็ไม่ว่าอะไร ทุกคนมีสิทธิ์เลือกทางเดินของตัวเอง ไม่ต้องรู้สึกผิด เพราะนายก็ได้ใช้แรงกายแรงใจช่วยงานฉันมาด้วยดีเสมอ แล้วฉันก็ให้เงินเดือนเป็นสิ่งแลกเปลี่ยน นั่นละคือการทำงาน ไม่ต้องมาคิดเรื่องบุญคุณอะไร” หลังจากวันนั้น ทั้งจิงซิงอี้และเจี่ยเหรินต่างก็หัวหมุนกับการแพ็คสินค้าและส่งของไปให้ลูกค้า พวกเขาดีใจมากที่มีคนสั่งซื้อสินค้าจนหมด 200 ชุด เขาต้องประกาศว่าสินค้าหมดแล้วและกำลัง

  • จิงซิงอี้ แพทย์จีน 2 ยุค   50

    ไลฟ์ในวันนั้นเริ่มต้นด้วยการแนะนำตัวของจิงซิงอี้ และพูดถึงคลินิก ที่ตั้ง และความเป็นมาของคลินิก รวมไปถึงตัวเขาเองว่าจบมาจากที่ใด และเชี่ยวชาญด้านใด ส่วนข้อมูลส่วนตัวอื่นๆ เขาไม่พูดถึง ถึงแม้จะมีคนดูถามเข้ามากมายทั้งอายุ และเขามีแฟนหรือยัง และเสียงชื่นชมที่ว่าเขาหล่อแค่ไหนเมื่อให้ข้อมูลจบ จิงซิงอี้ดูจะผ่อนคลายขึ้น เขาจึงเริ่มพูดว่า“วันนี้ผมจะมาเล่าถึงการดูแลผิวของตัวเองให้สวยงาม ไม่มีริ้วรอย ปัจจัยหลักที่ทำให้ผิวของเราเสีย ก็คือ แสงแดด มลภาวะ ความเครียด การไม่ดูแลผิว โรคภัยบางอย่าง การทำร้ายผิวด้วยการสูบบุหรี่ การใช้สารเคมีบางอย่าง และอาหารการกิน”เขาอธิบายพร้อมกับแชร์ภาพของผิวหนังที่เสียจากสาเหตุดังกล่าวด้วย การอธิบายของเขาเป็นไปตามหลักการแพทย์แผนปัจจุบัน ที่ทำให้คนดูแปลกใจ เพราะเขาเปิดตัวมาด้วยการบอกว่าตนเองเป็นแพทย์จีน แต่เขากลับมีความรู้แบบตะวันตก และใช้หลักวิทยาศาสตร์ในการอธิบาย ทำให้คนที่ต้องการจะเข้ามาก่อกวนและไม่เชื่อต้องหยุดฟังชั่วคราว รวมไปถึงคนฟังที่ตื่นเต้นกับหน้าตาของเขาก็หยุดฟังด้วยความสนใจจากนั้นเขาก็เริ่มอธิบายเฉพาะผิวที่เป็น

More Chapters
Explore and read good novels for free
Free access to a vast number of good novels on GoodNovel app. Download the books you like and read anywhere & anytime.
Read books for free on the app
SCAN CODE TO READ ON APP
DMCA.com Protection Status