LOGIN“เฮ้อ…เงินห้าหมื่นมันหายากจังวะ” ลูกหว้าตัดพ้อก่อนจะตั้งสติขับรถออกจากคลับอย่างรวดเร็ว อีกทั้งรถที่ขับยังเป็นรถเช่า ลูกหว้าที่มีชั่วโมงบินสูงที่สุดในบรรดาสามสาวครั้งนี้ยังพลาด เพราะเงินเป็นเหตุคำเดียว เธอเองก็ร้อนเงิน สุดท้ายไม่รู้ว่าเงินครั้งนี้ที่ได้มาจะได้ใช้ตามที่หวังไว้หรือเปล่าก็ไม่รู้…สามสาวต่างทอดถอนใจ ไม่ใช่เพียงตำรวจเพราะสามหนุ่มที่ถูกมอมไม่ยอมเลิกราแน่ ๆ โดยเฉพาะคนที่ชื่อ ‘เฮียไช้’ เหมือนจะเป็นลูกพี่ใหญ่ที่คนในปาร์ตี้ให้ความเคารพ แม้ระยะทางจะทิ้งห่างคลับแห่งนั้นมาพอสมควรแต่ปานประดับกลับมือสั่นไม่หยุด ไหนจะเฮียไช้ ไหนจะชายหนุ่มเมื่อครู่ที่เธอเดินชน น้ำหอม น้ำเสียงที่พูดคุยมันออกจะคุ้น ๆ หูอยู่บ้าง พลันนึกถึงไปยังเจ้าของนาฬิกา เจ๊สรบอกว่าเขามาถามหาเธออยู่บ่อยครั้ง แต่ว่าตอนนั้นเธอไม่ได้ไปไหนเลยนอกจากห้องเช่ากับโรงพยาบาลและไม่ได้ทำงาน แม้ว่าลูกค้าจะโมโหมากขนาดไหน แต่เวลาก็ล่วงเลยมานานเจ๊สรว่าเขามาขอดูกล้องวงจรปิด แต่เพราะเทปบันทึกไว้เพียง 6 เดือนหลังจากนั้นจะถูกแทนที่ด้วยวิดีโอไฟล์ใหม่ เจ๊สรเอ่ยเตือนด้วยความเป็นห่วงหลายประโยค
“ถ้าเขามาถามหาปานอีก บอกว่าปานตายไปแล้วนะคะ”
“แกไม่ได้เอาอะไรของเขามาใช่ไหม หรือว่าเคยเป็นเด็กเขา” เจ๊สรเอ่ยถามอย่างสงสัย อีกอย่างเด็กคนนี้ก็ไม่เคยมีเรื่องทำนองนี้มาก่อน พวกชิงรักหักสวาท แอบเป็นเมียน้อยอย่างลับ ๆ บ้างเคยมีสัมพันธ์กันมาก่อน คลับบาร์ทุกที่มันก็เทากันทั้งแหละ เทามากเทาน้อยแตกต่างกันไป อีกอย่างเธอก็ห้ามให้เด็กในร้าน ‘ขายที่นาผืนน้อย’ ไม่ได้ด้วย มันเกินควบคุม หากเกิดเรื่องอะไรแดงขึ้นมาก็ ‘ไล่ออก’ สถานเดียว แต่ก็ยังเล็ดลอดหูตาได้อีก
“เปล่าหรอกค่ะ เขาคงแค้นที่เสียฟอร์ม ตอนนั้นเจ๊จำไม่ได้เหรอ ไอ้คนที่เมาแทบจะใช้ผู้ชายสองสามคนอุ้มขึ้นรถน่ะ เขาท้าหนูเอง…พอเจอสูตรแรงเข้าหน่อยก็มีสภาพอย่างที่เห็น”
“อืม ๆ เอาแบบนี้ก็แล้วกัน” เจ๊สรตัดบท อีกอย่างเธอก็ไม่รู้ต้นสายปลายเหตุด้วย เรื่องอะไรจะต้องเป็นหนังหน้าไฟ อีกอย่างลูกค้าคนนั้นก็เหมือนจะเป็นคนมีสี ไม่รู้ไม่เห็นดีที่สุด! เด็กในร้านเข้า ๆ ออก ๆ เป็นปกติ อยู่นาน ๆ ไม่ค่อยมี เจ๊สรคิดได้ดังนั้นก็ตัดจบไม่ได้เซ้าซี้อะไรอีก
หลังจากนั้นเธอก็เปลี่ยนงานไปรับจ้างเสิร์ฟ สองสามงาน บ้างก็รับจ้างแปลภาษาเธอใช้ชีวิตอยู่ในช่วงกลางวันถึงหนึ่งปีเต็มกลับไม่คิดไม่ฝันว่าเธอจะได้เจอกับเจ้าของนาฬิกาเรือนนั้นในงานแต่งริมน้ำร้านอาหารบ้าน ๆ แบบนี้
จิรัติกรมางานแต่งเพื่อนชาวญี่ปุ่นด้วยความไม่คาดคิด ไม่คาดคิดว่าเพื่อนเขาจะสละโสดเร็วกว่าใคร ๆ ในรุ่น ก็แหงล่ะ…เจ้าชู้ประตูดินเสียขนาดนั้น แต่พอมาเจอเจ้าสาวในวันนี้ เขายังรับรู้ได้เลยว่าเพื่อนรักของเขามีความสุขในการแต่งงานครั้งนี้จริง ๆ แถมลูกชายยังน่ารักน่าชัง อ้วนท้วนสมบูรณ์เชียว
นึกถึงตอนที่ริวอิจิมาขอให้ช่วยรวบหัวรวบหางผู้หญิงคนหนึ่งแล้วก็อดขำไม่ได้ เพื่อนเขาถึงต้องลงทุนมากมายเพื่อทะเบียนสมรสฉบับเดียว แทนที่จะเป็นผู้หญิงคนนั้นที่ต้องอ้อนวอนขอทะเบียนสมรสจากริวอิจิน่ะ
ส่งเพื่อนเข้าประตูวิวาห์พลันอดที่จะคิดถึงตัวเองไม่ได้…แล้วชีวิตคู่ของเขาจะเป็นแบบไหน เจ้าสาวจะเป็นใคร แม้ว่าไม่เคยฉุกคิดเรื่องนี้ในหัวมาก่อนเลยก็ตาม ความคิดในหัวแตกกระเจิงเมื่อเห็นใครบางคนในครรลองสายตา คนคนนั้นที่ติดอยู่ในหัวของเขา
แมวขโมย!
สองแขนของปานประดับถูกกระชากอย่างแรงหลังจากที่เธอเพิ่งจะเรียงจานชามบนโต๊ะในงานเลี้ยงฉลองสมรสได้ไม่นาน
“อะ” หญิงสาวร้องเสียงหลง แถมยังต้องตกใจจนหน้าขาวซีดเมื่อเห็นว่าอีกฝ่ายเป็นใคร
โลกมันจะกลมเกินไปแล้ว อีกอย่างเธอเองก็คอยระมัดระวังตัวตลอด…
“ไง” จิรัติกรถามด้วยใบหน้าราบเรียบแต่แววตากลับวาวโรจน์
“คะ” ปานประดับตีเนียน แต่มือไม้เย็นและอ่อนแรงจนเกือบจะถือถาดในมือไว้ไม่อยู่
“ยัยหัวขโมย”
“คะ คุณจำคนผิดแล้ว” เธอพยายามข่มเสียงสั่น ๆ ตอบกลับให้เป็นปกติมากที่สุด
“ปานประดับ! ใช่เธอหรือเปล่า” ปานประดับหน้าซีดเผือดส่ายหน้าระรัว
“มะ ไม่ใช่นะคะ” เขาลากเธอมาหลังร้าน โดยที่แขกเหรื่อภายในงานต่างก็มุ่งความสนใจไปยังตรงหน้าเวทีที่พิธีกรกำลังเอ่ยต้อนรับบ่าวสาวให้ขึ้นมาบนเวที จังหวะนรกมาก ปานประดับถูกเขาฉุดกระชากลากถูอย่างแรงจนมาถึงหลังร้านที่ติดกับแม่น้ำ ก่อนจะปล่อยข้อมือที่แดงเถือกนั้นให้เป็นอิสระ
“ไง ยังจะปากแข็งอีกไหม” พอไม่มีคนอื่น เธอก็ยืนประจันหน้ากับเขา ไม่ต้องรักษาท่าทีระหว่างแขกกับบริกรอีก
“อะไรคะ”
“อะไรงั้นเหรอ นาฬิกาฉันที่เธอขโมยไป” นาฬิกาเรือนนั้นเขาถอดให้เธอเองแท้ ๆ จะว่าไปก็คนเมาคนหนึ่ง อีกอย่างเธอผิดเองที่ไม่คืนให้เขา แต่นาฬิกาเรือนนั้นก็ช่วยแม่บังเกิดเกล้าเอาไว้จวบจนวินาทีสุดท้าย…
“แล้วเราขอพี่หรือยัง” จินส่ายหน้า“แต่จินเป็นน้อง” จิรภีมม์แฝดน้องว่าพลางชี้นิ้วชี้เข้าหาตัว สามขวบแต่ช่างเจรจาและไม่ยอมเสียเปรียบใครหน้าไหนทั้งนั้น นายท่านจริญนั่งยอง ๆ พลางจ้องเข้าไปในดวงตาเด็กน้อยพูดด้วยน้ำเสียงปกติ“จินเราเป็นน้องก็จริง แต่พี่เขาไม่ได้มีหน้าที่ที่จะต้องยอมเราตลอดเวลาเพราะว่าเราเป็นน้องหรอกนะ” นายท่านจริญว่าพลางชี้นิ้วไปยังจินตะ“ถ้าอยากเล่นก็ต้องขอพี่เขาก่อน ถ้าพี่เขาไม่อนุญาตเราต้องรอ เข้าใจไหมครับเด็กดีของปู่” จิรภีมม์กอดอกพลางหันหลังให้ นายท่านจริญถอนหายใจพลางจับตัวเด็กน้อยให้หันหน้ามาประจันกันเหมือนเดิม“ขอโทษพี่เขา”“ไม่ จินไม่ผิด”“ไม่ผิดก็ไม่ต้องเล่น จนกว่าเราจะสำนึกค่อยไปเล่นกับพี่เขา” นายท่านจริญหันไปสั่งบรรพต “พาเด็กทั้งสองคนไปเล่นฝั่งโน้นก่อนไป”“ครับ” บรรพตรับคำ ก่อนจะพาเด็กทั้งสองไปเล่นอีกทาง“ถ้าจินว่าจินไม่ผิดก็ยืนอยู่กับปู่ที่นี่แหละ ปู่มีเวลาให้จินสำนึกผิดอีกนาน” นายท่านจริญว่าพลางยืนถือไม้เท้ายืนขึ้น รอให้หลานน้อยมีท่าทีสงบ พอได้ยินเสียงพี่ ๆ เล่นกันอย่างสนุกสนานก็อยากจะไปเล่นด้วยบ้าง จิรภีมม์ยืนอยู่อย่างนั้นสักครู่ก่อนจะจับขากางเกงคุณปู่เขย่ายิก
“ขอบคุณนะครับคุณปู่”“ขอบคุณมาก ๆ ค่ะ”“แล้วแกจะมีข้ออ้างอะไรอีก อายุอานามเท่าไหร่แล้วเพิ่งจะมีลูกคนเดียว”“มีน้อยแต่โตมาอย่างมีคุณภาพ” เจอคำตอบนี้ไปจริญถึงกับจุกไปไม่ถูก ก่อนจะเปลี่ยนเรื่องเฉไฉ“ระบบกงสียังอยู่ ใครมีลูกเล็กเด็กแดงฉันจะส่งเสียจนกว่าจะเรียนจนพอใจ” ก่อนจะเชิดหน้า“ข้าวของเครื่องใช้ก็เบิกกับบริษัท รวมทั้งค่าใช้จ่ายรายเดือน รวมถึงพี่เลี้ยงพอใจหรือยัง?”“อ่า…ผมขอคิดดูก่อนละกันครับ” นายท่านจริญกัดฟันกรอด จิรัติกรเคาะหน้าปัดนาฬิกาบอกความนัย“อาทิตย์ละวัน ตามนี้นะครับ”“แก!”“ก็ต้องดูพฤติกรรมคุณปู่ประกอบว่าพูดจริงทำจริงหรือเปล่า อาจจะเพิ่มเป็นสองถึงสามวัน พาไปกินข้าวที่ห้างได้บ้างอะไรบ้าง”“บรรพต! จัดการให้เรียบร้อยและเร็วที่สุด”“ได้ครับ!”คล้อยหลังปานประดับที่เดินกอดแขนสามีเอ่ยถามพลางทำสีหน้าเห็นใจ“ฉันรู้ว่าเธอจะพูดอะไร ไม้อ่อนดัดง่าย ไม้แก่ดัดยาก ตาแก่นั่นต้องโดนซะบ้าง เธอก็เห็นผลลัพธ์ในการเลี้ยงลูกของเขาแล้วนี่”“จะว่าไปก็น่าเศร้านะคะ ท่านเลยตั้งความหวังไว้กับจินตะเอาไว้มากเลยทีเดียว” ปานประดับลูบหัวลูกน้อยด้วยความเห็นใจ“แล้วใครใช้ให้เลี้ยงลูกหลานแบบนั้นล่ะ” จิรัติกรตอบ
“คุณจะไม่ลงไปเจอหน่อยเหรอคะ”“ไม่ล่ะ…ชั่วโมงเดียว”“เอาอย่างนั้นก็ได้ค่ะ” ปานประดับอุ้มลูกน้อยแนบอกโดยมีบอดีการ์ดเดินตามเป็นพรวน ลงไปหาคุณปู่ด้านล่าง นายท่านจริญที่ดูแก่ชราแต่ยังคงเหลือมาดท่านเจ้าสัว ยังคงความน่าเกรงขามแม้จะนั่งรอที่ห้องรับแขกด้านล่าง แต่สีหน้าเก็บซ่อนความกระวนกระวายไม่มิดชะเง้อมองหาหลานน้อยไม่วางตา“เดี๋ยวก็มาครับ” บรรพตที่ตามมารับใช้เอ่ยเตือน “นั่นไงครับ มาแล้ว”“ไหน ๆ”“สวัสดีค่ะ” ปานประดับยกมือไหว้พร้อมกับอุ้มจินตะที่หันหน้าออก“ขอฉันอุ้มหน่อย” ปานประดับให้อุ้มแต่โดยดีเพราะสงสารคนแก่ตรงหน้า ว่ากันว่าปู่ย่าสมัยที่เป็นพ่อแม่มักจะเข้มงวดกับลูก แต่กับหลานจะสปอยนั้นเป็นความจริง นายท่านจริญอุ้มจินตะโยกไปมาอย่างมีความสุขก่อนจะโบกมือน้อย ๆ บรรพตที่ถือหูกระเป๋าพลาสติกสีดำดูมีน้ำหนักเลื่อนมาทางปานประดับ“อะไรคะ”“ของรับขวัญหลาน” นายท่านจริญพูดโดยไม่เงยหน้ามามองปานประดับ พูดอ้อมแอ้มในคอ“ฉันเตรียมไว้นานแล้ว”“ขอบคุณค่ะ”“ของหลานไม่ใช่ของเธอ”“ดิฉันทราบค่ะ ไหน ๆ ก็มาแล้วไปเล่นกันที่สวนด้านหลังดีไหมคะ อากาศเย็นกำลังดี”“เธอนำไปสิ”“ได้ค่ะ”สักพักก็มีเสียงโวยวายเมื่อนายท่านจริญ
“ไอ้จิเมื่อไหร่แกจะเอาหลานมาให้ฉันอุ้ม” จิรัติกรยกโทรศัพท์ออกห่างจากหู ก่อนจะวางไว้บนโต๊ะทำงานไม่สนใจเสียงก่นด่าของนายท่านจริญที่ดังลอดออกมาตามสาย แม้ว่าการให้กำเนิดทายาทของผู้บริหารยักษ์ใหญ่ JK1 GROUP ไม่ได้เป็นความลับแต่ก็ไม่เคยปรากฏบนสื่อที่ไหนมาก่อน อีกทั้งปานประดับเองก็อยากจะให้ลูกชายเติบโตมาอย่างอิสระ ไม่มีพันธะกับ JK1 GROUP ที่ต้องแบกภาระเอาไว้บนบ่าตั้งแต่ลืมตาดูโลกเพราะคำว่าทายาท เธอยากให้โอกาสลูกชายได้เลือกทางเดินเอง และเด็กชายจินตะเองก็ไม่เคยพบเจอญาติฝั่งเอกาฤกษ์ยกเว้นฝั่งแม่อย่างอารยาที่มาหา ช่วยเลี้ยงหลานอาทิตย์ละสามสี่วัน“นายท่านจริญมีหลานตั้งแต่เมื่อไหร่”“แก แกอยากเห็นฉันอกแตกตายใช่ไหม”“ก็แล้วแต่จะคิดครับ”“ฉันเป็นพ่อแก”“แล้ว?”“เมื่อไหร่แกจะยกโทษให้ฉัน”“แล้วต้องยกโทษให้ด้วยเหรอครับ”“ฉันสูญเสียลูกเต้าไปตั้งหลายคน ฉัน…ไม่อยากเสียแกไปอีกคน มีทางไหนที่พอจะให้ฉันแก้ไข แกบอกมาฉันจะทำ”“ขอคิดดูก่อนละกันนะครับ” จิรัติกรกดวางสายพร้อมกับเมินสายเรียกเข้าที่สั่นครืดคราดต่อเนื่องไม่มีทีท่าว่าจะหยุดจนต้องกดปิดสั่นแล้ววางไว้ในลิ้นชัก ปานประดับที่อุ้มลูกน้อยวัยหกเดือนที่กำลังฝึกน
“ไม่เคยได้ยินหรือคะ รักใครให้ดื่มนม นี่แหละค่ามัดจำของญ่า” เชาวน์ชลิตได้แต่เลยตามเลย เพราะเขาเองก็ยอมที่จะให้ชัญญ่ามัดมือชกในวิธีการของเธอเอง เอวบางเริ่มบดเบียดแนบชิดส่วนล่าง กระโปรงบางของชุดนอนที่เป็นปราการสุดท้ายปกปิดของสงวน ชัญญ่าเองก็ขุดหลุมรอเหยื่อเข้ามาติดกับอย่างแยบยลเช่นกัน พี่น้องคู่นี่แสบพอ ๆ กัน“ญ่า” เชาวน์ชลิตครางเสียงกระเส่าเมื่อกางเกงชุดนอนถูกถอดออกพร้อมกับส่วนชื้นแฉะที่ถูไถขึ้นลงหยอกล้อกับความเป็นชายให้ค่อย ๆ ผงาด“เป็นของญ่า แล้วญ่าจะไม่ทำให้พี่เชาวน์เสียใจ” คำนี้เขาเองต้องเป็นฝ่ายพูดไม่ใช่เหรอไง เชาวน์ชลิตที่กำลังจะอ้าปากแย้งริมฝีปากบางก็งับลงมาดูดดึงอย่างมันเขี้ยวเสียก่อน สายตาและท่าทางของชัญญ่าในตอนนี้เหมือนนางแมวยั่วสวาท ไม่เหลือเค้าชัญญ่าที่ขี้อายก่อนหน้าเลยแม้แต่น้อย“ญ่า เดี๋ยวจะเจ็บเอา” เมื่ออีกฝ่ายพยายามใช้ความเปียกปอนของเธอถูไถกับหัวบากนั้นช้า ๆ เหมือนจะเข้าแต่ก็ไม่เข้า เชาวน์ชลิตได้แต่ข่มความอึดอัดเอาไว้ไม่อยากจะกระแทกสวนขึ้นไปแรง ๆ เขาอยากจะทะนุถนอมคนตรงหน้าให้เหมาะสมกับที่ชัญญ่าคอยดูแลเขาเสมอมา ชัญญ่าก้มลงไปจูบตรงซอกคอไล่ลงมายังหน้าอกขาวที่เหมือนจะซูบผอมล
“ขอบคุณนะคะ” เชาวน์ชลิตที่หลังจากฟังคำตัดสินก็โล่งใจและกลับมามีชีวิตชีวาอีกครั้ง และความกะล่อนก็เริ่มมีให้เห็น“ญ่ารับคำขอบคุณไว้ก็ได้ค่ะ แต่ว่าพี่เชาวน์ต้องกลับไปนอนที่ห้องตัวเอง”“นี่คอนโดพี่”“งั้นญ่ากลับเอง” เรื่องอะไรเธอจะยอมให้เขากินฟรี แม้ว่าเธออยากจะกินเขาจนตัวสั่น ทำทีสงวนตัวเล็กน้อยแต่พองามย่อมเรียกคะแนนความน่ารักน่าเอ็นดูเพิ่มขึ้นเป็นกองข้อมือขาวถูกจับไว้หลวม ๆ พร้อมกับวางทาบไว้ที่หน้าอกซ้าย“พี่เพิ่งผ่านเหตุการณ์หน้าเสียวหน้าขวานมา ญ่านอนเป็นเพื่อนพี่ได้หรือเปล่า”“อ้อนวอนหรือคะ”“ใช่”“แล้วให้ญ่านอนในฐานะอะไร”“แล้วญ่าอยากได้ฐานะอะไรล่ะ” ชัญญ่าทำสีหน้าครุ่นคิด“ขอคิดดูก่อนละกัน”“อย่าคิดนานพี่แก่แล้ว”“เหอ ๆ ญ่าไม่ใช่ของตายนะคะ”“พี่ไม่เคยเห็นญ่าเป็นของตาย เพียงแต่เมื่อก่อน…” เชาวน์ชลิตหลุบตา“เราอายุห่างกันมากขนาดนั้น” ชัญญ่ายักไหล่“ก็จริง…อีกอย่างเด็กหนุ่มมหาลัยกับเด็กสาวม.ต้นก็ยังไง ๆ อยู่”“ไม่ใช่แค่นั้นหรอก อีกอย่างเรามีศักดิ์เป็นน้องไอ้จิด้วย เอาน้องเพื่อนเป็นแฟนก็ยังไงอยู่ ตอนนั้นพี่เองไม่มีความคิดจะหยุดที่ใคร”“เหรอคะ…ตอนนี้ล่ะ”“พี่ว่าตอนนี้ถูกที่ถูกเวลา และพี่







