ตอนนี้เป็นเวลาสองทุ่มเข้าไปแล้ว แม้จะเป็นเวลานอนของที่รัก แต่วรรณารีก็เต็มใจที่จะพาลูกมาโรงพยาบาลด้วยมีความหวังอย่างแรงกล้าว่าพลังวิเศษของลูกจะช่วยได้
ที่ต้องพาที่รักมาแทนที่จะนำมาแต่น้ำลายนั้นเพราะเมื่อสองวันก่อนที่รักหยดน้ำลายใส่แก้วน้ำทิ้งไว้ให้สายหลายชั่วโมง ผลก็คือน้ำแก้วนั้นไม่หลงเหลือประสิทธิภาพอย่างที่ควรจะเป็น ทั้งสายและวรรณารีจึงรู้ว่าน้ำลายของที่รักไม่สามารถทิ้งระยะไว้นานได้
เมื่อวรรณารีเดินมาถึงห้องพักผู้ป่วย วนาลีก็หันไปมองอย่างมีความหวัง
“ขอบใจมากนะวรรณที่มาช่วย” เธอบอกเสียงเครือ
จุลพงศ์ที่ฟื้นแล้วก็เหลียวมองที่รักด้วยสีหน้าไม่ต่างไปจากภรรยา
“พวกเรายินดีค่ะ” วรรณารีเหลียวมองโดยรอบก็พบว่ามีคนไข้อื่นนอนเรียงรายอยู่หลายคน เธอจึงพยักหน้าให้สายและพาที่รักเดินเลี่ยงออกมานอกห้อง
สายหยิบแก้วที่ใส่น้ำไว้ค่อนแก้วตามไปอย่างไม่รอช้าโดยมีขบวนเดินตามเป็นพรวน ทิ้งให้วนาลีอยู่กับสามีเพียงลำพัง
“จิ๊ดริด หยดน้ำลายใส่แก้วนี้หน่อยสิลูก” วรรณารีเอ่ยปากกับลูก
ที่รักเงยหน้ามองแม่ “ให้ยาย?”
วรรณารีส่ายหน้า “ไม่ใช่จ้ะ ให้ลุงพงศ์ ลุงพงศ์จะได้กลับมาเดินได้ไงลูก”
ที่รักตาเป็นประกาย “ลุงพงศ์ใจดี จิ๊ดริดอยากช่วย” เด็กหญิงหยิบแก้วน้ำจากมือแม่และเตรียมหยดน้ำลายใส่ แต่ว่า...
“น้ำลายไม่ออก” เด็กหญิงบอกแม่หน้าจ๋อย
“เอ๋...ลองกุ๊ก ๆ ปากดูไหมลูก เผื่อน้ำลายจะมา”
เด็กหญิงทำตาม สุดท้ายผลที่ได้ก็ยังคงเดิม
“เอาไงดี ให้จิ๊ดริดกินน้ำก่อนดีไหม” สายแนะนำ
“จิ๊ดริดไม่หิวน้ำ” เด็กหญิงส่ายหน้าปฏิเสธ
ในตอนนั้นเอง ช็อกโกแลตชิ้นเล็กก็ลอยมาอยู่ตรงหน้าที่รัก
ทุกคนต่างเหลียวมองไปยังคชาภัทรอย่างคาดไม่ถึง
“ช็อกโกแลตอร่อยนะ” เด็กชายยังคงยื่นช็อกโกแลตล่ออยู่เบื้องหน้า
เด็กอ้วนน้ำลายเริ่มผุดซึมที่มุมปากและหยดแหมะลงอย่างช้า ๆ วรรณารีรีบเอาแก้วไปรองอย่างดีใจ
“น่าจะต้องใช้น้ำลายเยอะกว่าปกติ ช้างมีอีกไหม” สายหันไปถาม
คชาภัทรก็ฉลาดพอที่จะหยิบช็อกโกแลตจากกระเป๋ากางเกงมาอีกสองชิ้น
คราวนี้น้ำลายของที่รักหยดลงมาเป็นสาย
เมื่อได้น้ำลายมาครึ่งต่อครึ่งของน้ำ วรรณารีจึงรีบตรงดิ่งไปที่ห้องผู้ป่วย ทันทีที่ได้รับแก้วน้ำมา จุลพงศ์ก็ยกขึ้นดื่มโดยไม่นึกรังเกียจใด ๆ
หลังจากสิบนาทีผ่านไปท่ามกลางสายตาที่ลุ้นอย่างใจจดใจจ่อของทุกคนรอบข้าง จุลพงศ์ก็มีใบหน้าที่เหยเกอย่างหนัก ลำตัวบิดงอคล้ายเจ็บปวดอย่างแสนสาหัสรวมถึงเหงื่อกาฬที่ผุดออกมาท่วมตัวจนทุกคนตกใจ
“เป็นอะไรคะ เจ็บตรงไหน” วนาลีรีบไปประคองสามีเอาไว้
“หรือว่าไม่ได้ผล” สายเอ่ยอย่างวิตก
“ฉันกดเรียกพยาบาลมาดีกว่านะคะ” วนาลีเอ่ยกับสามีพลางเอื้อมมือไปที่ปุ่มกดเพื่อเรียกพยาบาลเข้ามาดู
จุลพงศ์ยกมือที่ชื้นไปด้วยเหงื่อมาห้ามภรรยา “ไม่ต้องเรียก” เขาบอกพลางกัดริมฝีปากตัวเองแน่นด้วยความปวด
“เรียกมาดูหน่อยเถอะค่ะ มีอันตรายอะไรหรือเปล่าก็ไม่รู้” วนาลีเอ่ยเสียงเครียด
“ไม่...ผมรู้สึกเหมือนกระดูกที่ขากำลังเรียงตัวอยู่”
“เอ๊ะ?” ในใจของวนาลีตอนนี้ไม่สามารถบรรยายได้เลยว่าควรรู้สึกอย่างไร เธอรีบเปิดผ้าห่มที่คลุมขาของสามีออกเพื่อดูให้ชัด
แล้วทุกสายตาก็ต่างเบิกโพลงเมื่อเห็นสิ่งมหัศจรรย์ที่เกิดขึ้นเบื้องหน้า ขาและเท้าของจุลพงศ์จากที่เคยบิดงอไปคนละทิศละทางกลับค่อย ๆ เคลื่อนและอยู่ทรงอย่างที่ควรจะเป็น
ทุกคนต่างหันมายิ้มให้กันอย่างดีใจ
“ได้ผลจริง ๆ” ยี่สุ่นเอ่ยเสียงสั่นอย่างดีใจกับภาพที่เห็น ส่วนวนาลีนั้นได้สะอื้นไห้ออกมาอย่างดีใจสุดขีด
เธอทรุดตัวคุกเข่าลงกับพื้นและสวมกอดที่รักซึ่งกำลังเงยหน้ามองทุกคนอย่างสงสัยเอาไว้แน่น “ป้าขอบใจจิ๊ดริดมากนะลูก หนูเป็นนางฟ้าผู้คุ้มครองของครอบครัวเราทุกคน”
ที่รักที่โดนสวมกอดแน่นยังคงเงยหน้ามองวนาลีด้วยสีหน้างุนงง “หนูเป็นนางฟ้า?”
“ใช่ จิ๊ดริดเป็นนางฟ้าที่ช่วยให้ลุงพงศ์เดินได้อีกครั้ง” วนาลียืนยันด้วยรอยยิ้มเปื้อนหน้า
“ลุงพงศ์จะหายแล้ว?”
“ใช่ ลุงพงศ์กำลังจะหายดี ลุงพงศ์จะอุ้มจิ๊ดริดชูสูง ๆ ขึ้นบนฟ้าได้อีกครั้งแล้วนะ”
ที่รักปรบมืออย่างดีใจ “จิ๊ดริดชอบให้ลุงอุ้มขึ้นสูง ๆ”
บรรดาผู้ใหญ่ต่างหัวเราะร่วนออกมา มีเพียงวรรณารีเท่านั้นที่กำลังมองลูกอย่างสงสารจับใจ
“ต่อไปพี่จะไปเล่นกับจิ๊ดริดทุกวันเลย” อลิสราก็มีวิธีตอบแทนบุญคุณในแบบของเธอ
ที่รักส่งยิ้มแป้นให้
คชาภัทรไม่ได้พูดอะไรออกมา เขาเพียงแค่ดึงขนมทั้งหมดที่มีอยู่ในกระเป๋ากางเกงมาไว้เต็มมือและส่งให้ที่รักเงียบ ๆ
ที่รักน้ำลายไหลยืดออกมาอีกครั้ง
“คนไข้เตรียมตัวเข้าห้องผ่าตัดได้แล้วค่ะ” เสียงพยาบาลที่ดังขึ้นด้านหลังได้ทำลายบรรยากาศแช่มชื่นในตอนนี้ไปจนเกลี้ยง
“ขอเวลาอีกนิดได้ไหมคะ ฉันมั่นใจว่าสามีฉันไม่ต้องผ่าตัดขาแล้ว”
“ไม่ได้ค่ะ แบบนี้จะเป็นอันตรายต่อคนไข้นะคะ” พยาบาลสูงวัยปฏิเสธเสียงแข็งและกวักมือเรียกคนงานเปลที่ยืนรออยู่ไกล ๆ
“คุณจุลพงศ์ไม่อยากผ่าตัดขาแล้วค่ะ” วนาลียืนขวาง
“ไม่ได้ค่ะ ถ้าไม่รีบผ่า คนไข้อาจเสียชีวิตได้นะคะ”
“แต่ขาสามีฉันดีขึ้นแล้วนะคะ ฉันขอเอกซเรย์อีกรอบ ถ้าแย่จริงฉันจะยินยอมให้ตัดขาทันที” เธอเปิดผ้าห่มให้พยาบาลดูขาของสามี
พยาบาลถึงกับเบิกตาค้าง ถ้ามองข้ามรอยแผลที่เหวอะหวะอยู่ทั่วไป สภาพขาของจุลพงศ์ในตอนนี้ดูเหมือนปกติอย่างที่คนทั่วไปเป็น
“เปล ๆ พาคนไข้ไปเอกซเรย์เร็วเข้า” คราวนี้พยาบาลกวักมือเรียกคนงานด้วยน้ำเสียงตื่นเต้น
ผลเอกซเรย์ที่ออกมานั้นได้สร้างความงุนงงให้กับแพทย์เจ้าของไข้เป็นอย่างยิ่ง กระดูกของจุลพงศ์ได้ต่อประสานกันจนเกือบเหมือนปกติ เพียงแค่ใส่เผือกเพื่อไม่ให้กระดูกเคลื่อนก็พอ
เพื่อให้กระดูกประสานตัวโดยเร็ว ตลอดหนึ่งเดือนมานี้ ที่รักจึงต้องผลิตน้ำลายให้จุลพงศ์ทุกวัน ซึ่งไม่ใช่ปัญหาหากได้ช็อกโกแลตของคชาภัทรเข้าล่อ ส่งผลให้ที่รักอ้วนเกินพิกัดภายในเวลาไม่ถึงเดือนจนวรรณารีวิตก ส่วนคชาภัทรก็รู้สึกผิดอยู่ไม่น้อยเช่นกัน
“พี่จะดูแลจิ๊ดริดทุกวัน” คชาภัทรพูดสัญญากับเด็กอ้วน
ข้างฝ่ายสายเองก็มีข่าวดีไม่ต่างกัน หลังจากดื่มน้ำวิเศษต่ออีกหนึ่งเดือน ผลที่ได้คือไม่เหลือเชื้อมะเร็งในร่างกายอีก สีหน้าของสายแช่มชื่นขึ้นทันตาเหมือนย้อนอายุได้อีกเป็นสิบปี
“ฉันจะตอบแทนจิ๊ดริดยังไงดีนะ” สายพูดกับวรรณารีอย่างอารมณ์ดี
“จิ๊ดริดและวรรณรักป้านะคะ ไม่ต้องการอะไรตอบแทน ขอแค่ป้ามีสุขภาพแข็งแรง อยู่เป็นพระในบ้านให้พวกเราทั้งคู่ไปนาน ๆ ก็พอ”
สายยิ้มให้วรรณารีอย่างพอใจ
หลังปลีกตัวออกมาจากโซนเด็กเล่นได้ พีรายุเริ่มรู้สึกผ่อนคลายขึ้น เขาเร่งฝีเท้าไปยังร้านเพชร สถานที่นัดหมายกับภรรยา ระหว่างนั้น ชายหนุ่มได้ยกกาแฟที่เริ่มเย็นชืดขึ้นดื่มด้วยภายในเวลาไม่ถึงหนึ่งนาทีให้หลัง เขาได้เกิดอาการหน้ามืดจนเซถลาไปชนกับคนที่เดินอยู่บริเวณนั้น“คุณเป็นอะไรหรือเปล่าครับ” ผู้ชายที่ถูกชนรีบประคองพาเขาไปนั่งพักตรงม้านั่งซึ่งตั้งอยู่ไม่ไกลพีรายุรีบโบกมือปฏิเสธพลางสูดหายใจเข้าลึก “น่าจะตาลายเพราะคนเยอะ ไม่เป็นอะไรมากครับแค่นั่งพักสักครู่ก็หาย ขอบคุณมากนะครับ”เมื่อเห็นว่าสีหน้าพีรายุค่อย ๆ กลับมามีสีเลือดอีกครั้ง คน ๆ นั้นจึงวางใจและเดินจากไปพีรายุยังคงมีอาการมวนในท้องไม่หยุด เขานั่งหลับตานิ่งอยู่หลายนาที แล้วทันใดนั้นเอง“วรรณ!” ชายหนุ่มเอ่ยเรียกวรรณารีออกมาเสียงดัง ดวงตาสอดส่ายไปมาโดยรอบอย่างสับสน ในเวลาเดียวกันนั้นเองก็มีเสียงโทรศัพท์ดังขึ้น เขาหยิบขึ้นมากดรับด้วยสีหน้าที่ยังไม่ดีขึ้น“สวัสดีครับ”“พีอยู่ไหนแล้วคะ จินนั่งรออยู่ที่ร้านเพชรนานแล้วนะ อย่าบอกนะคะว่าลืม จินไม่ยอมจริง ๆ ด้วย วันนี้ไ
“แม่จ๋า ไหนชุดโยคะ”“ไปหาซื้อชุดนักเรียนกับอุปกรณ์เรียนก่อน ส่วนชุดโยคะเอาไว้ทีหลัง” วันนี้วรรณารีพาที่รักมาหาซื้อชุดและอุปกรณ์การเรียน เนื่องจากเด็กหญิงจะเริ่มเข้าเรียนระดับชั้นอนุบาลในภาคการศึกษาหน้า ซึ่งนับแล้วเหลือเวลาอีกสองสัปดาห์ก็จะเปิดเทอมแล้ววรรณารีพามาที่ห้างใหญ่ใจกลางกรุงเทพฯ เพราะที่นี่มีสวนสนุกขนาดใหญ่อยู่ด้านใน เธอตั้งใจจะพาลูกมาเล่นสนุกที่นี่เพื่อเป็นรางวัลปลอบใจก่อนที่จะเปิดเทอม อลิสรา คชาภัทร และนับหนึ่งก็ตามมาด้วยส่วนเรื่องชุดโยคะนั้นเพราะที่รักต้องการเรียนเองเนื่องจากเห็นคชาภัทร อลิสรา และนับหนึ่งไปเรียนศิลปะการต่อสู้ทุกเสาร์อาทิตย์ที่ศูนย์กิจกรรมพิเศษใกล้บ้าน โดยคชาภัทรและนับหนึ่งเลือกเรียนมวยไทย ส่วนอลิสราเรียนเทควันโดเมื่อเห็นพี่ทั้งสามมีความสุขมากในการไปเรียนที่นั่น ที่รักก็อยากไปกับพี่ ๆ ด้วย แล้วไม่รู้เธอไปได้ยินมาจากไหนว่าการเรียนโยคะทำให้ผอมได้ เธอจึงมุ่งมั่นที่จะเรียนให้ได้ซึ่งวรรณารีเองก็ไม่ขัด สิ่งใดที่เป็นความปรารถนาของลูก เธอพร้อมที่จะสนับสนุนเสมอ“รีบไปซื้อแล้วก็กลับกันเลย ตอนเย็นจิ๊ดริดจะไปเรียน
“พี่ช้าง จิ๊ดริดผอมลงยัง” ที่รักร้องถามเมื่อเจอหน้าคชาภัทรสะดุดกึกและรีบกวาดตาสำรวจร่างป้อมที่ยืนอยู่ตรงหน้าโดยอัตโนมัติ ที่รักในวันนี้ใส่ชุดกระโปรงสีเหลืองอ่อนแขนกุด ทำให้เห็นแขนอวบขาวอมชมพูอย่างชัดเจน ประกอบกับใบหน้ากลมแป้นที่มีจุดเด่นตรงตาเรียวเล็ก แก้มแดงอมชมพูที่แสดงถึงความมีสุขภาพดีของเธอ ปลายนิ้วของเขาคันยิบขึ้นมาอีกครั้งด้วยอยากจิ้มแก้มนิ่ม ๆ เล่น แต่เมื่อนึกถึงแรงถีบของเธอที่เขาเจอมานับครั้งไม่ถ้วน คชาภัทรจำต้องสกัดความอยากของตัวเองลงอย่างยากเย็น“น้องถามทำไมไม่ตอบ” อลิสราหันมาเอ็ด “ตอบดี ๆ ล่ะ” แล้วก็กำชับเสียงเหี้ยมนับหนึ่งที่ยืนอยู่ด้านข้างถึงกับเผยยิ้มออกมาคชาภัทรถอยห่างจากพี่สาวโดยสัญชาตญาณ เมื่อวานตอนค่ำเขาโดนสมาชิกในบ้านเล่นงานอยู่ไม่ใช่น้อย วันนี้ให้ตายอย่างไรก็จะไม่ทำอีกเด็ดขาดเด็กชายรุ่นพี่กวาดตาสำรวจร่างป้อมที่อยู่ตรงหน้าอีกครั้งและจ้องดูพุงที่กลมกว่าทุกวันก็ลอบถอนใจยาว“อืม ดูผอมลงนิดหน่อย” น้ำเสียงดูไม่เต็มปากนักที่รักลูบพุงตัวเองอย่างชอบใจ “วันนี้จิ๊ดริดกินข้าวน้อยกว่าทุกวัน”คชาภัทร
“จิ๊ดริดไม่สบายหรือลูก ทำไมเดินแบบนั้น” วรรณารีร้องถามอย่างประหลาดใจเมื่อเห็นที่รักกำลังก้าวขาออกจากห้องนอนอย่างเชื่องช้าในเช้าวันต่อมา กว่าที่เธอจะก้าวเท้าสัมผัสพื้นแต่ละก้าวได้นั้นเล่นเอาคนเป็นแม่ยืนลุ้นจนใจหายใจคว่ำ“หนูไม่เป็นไข้” ที่รักบอกแม่เสียงเบา“ในเมื่อสบายดีแล้วทำไมหนูก้าวช้าแบบนั้น หรือว่าปวดขาปวดข้อตรงไหน”“หนูไม่ปวด”“งั้นก้าวขาเร็ว ๆ สิลูก ค่อย ๆ ย่างแบบนั้นเดี๋ยวเสียจังหวะหัวทิ่มได้นะ”“หนูจะเดินช้า ๆ”“ทำไมล่ะลูก”“จะได้ผอม” ที่รักตอบพร้อมกับค่อย ๆ ย่างเท้าซ้าย“ทำแบบนี้จะผอมได้ยังไง”“แม่ไม่ถามเดี๋ยวหนูอ้วน” ที่รักค่อย ๆ ย่างเท้าขวาต่อวรรณารียืนงงเป็นไก่ตาแตกที่รักซึ่งใช้เวลาสิบนาทีในการก้าวจากห้องนอนไปยังห้องครัวได้สำเร็จ เธอยกมือปาดเหงื่อที่แตกซ่กตรงหน้าผากด้วยสีหน้าสดชื่นแจ่มใสเป็นที่สุดแตกต่างจากสีหน้าของแม่และยายที่กำลังยืนมองดูเธออยู่แบบลิบลับ“ทำไมหนูเดินช้าล่ะลูก” วรรณารียังคงถามอย่างกังขา“หนูจะได้ไม่หิว”“ทำแบบนี้จะไม่หิวได้ยังไง” สายไม่เข
“จิ๊ดริด มาดูปลานี่เร็ว เยอะแยะเลย” อลิสราที่เนื้อตัวมอมแมมเพราะลงไปในคลองกับเขาด้วยได้เรียกหาที่รักทันทีที่ขึ้นจากน้ำที่รักก็ลุกไปหาทันทีที่พี่เรียก เปล่า...ไม่ใช่เธอเป็นเด็กดีอะไรหรอก เพียงแต่ละครภาคต่อที่ฟังอยู่มันจบตอนไปแล้วก็เท่านั้นเอง“เอาปลาขึ้นมาให้จิ๊ดริดดูเร็วเข้า ห้ามอุ๊บอิ๊บเอาไปซ่อนเด็ดขาด” อลิสราส่งเสียงเผด็จการให้กับทุกคนที่ช่วยจับปลาอยู่ในคลอง แม้แต่กับพ่อตัวเองก็ไม่เว้นนับหนึ่งกุลีกุจอลากกะละมังใบใหญ่มาตั้งเบื้องหน้าที่รัก และเดินไปแย่งถังใบเล็กที่ใช้ใส่ปลาจากมือแต่ละคนมาเทใส่กะละมังอย่างขมีขมัน เมื่อได้จากมือครบทุกคนแล้ว เขาก็ได้หันมายิ้มให้อลิสราอย่างเอาใจอลิสราใช้มือที่เปื้อนโคลนลูบศีรษะของนับหนึ่งอย่างอารมณ์ดี “ดีมาก” เธอเอ่ยชมสั้น ๆแม้คำชมจะสั้นแต่ก็ทำให้นับหนึ่งหน้าบานเป็นจานเชิงออกมา ขณะที่คชาภัทรได้แต่กลอกตามองบนจนตาแทบกลับ“ดิ้นดุ๊กดิ๊กเต็มเลย เอาไปปล่อยกัน มันจะได้ไม่ตาย” ที่รักตาเป็นประกายเมื่อเห็นปลาจำนวนมากทั้งน้อยใหญ่กำลังว่ายเบียดกันอยู่ในกะละมัง“เราเอามากิน เหนื่อยจับจะแ
“ทองแดงโลละสองร้อย ขวดใสโลละแปด กระดาษอ่อนโลห้าบาท กระดาษแข็งโลสามบาท”เสียงใสของเด็กหญิงวัยห้าขวบที่ยังพูดไม่ชัดนักเจื้อยแจ้วอยู่บริเวณหน้าร้านรับซื้อของเก่า เป็นภาพที่ชินตาสำหรับผู้คนที่ผ่านไปมาแถวนี้เป็นอย่างดีไม่เพียงแค่ตะโกนบอกราคาเสียงใส ตัวเธอเองก็ไม่อยู่นิ่ง มือคอยขยับยกข้าวของที่มีลูกค้านำมาขาย จับแยกออกเป็นประเภทอย่างชำนาญเพื่อให้สะดวกต่อการชั่งน้ำหนักและคิดราคา แม้ข้าวของจะแลดูสกปรกในสายตาผู้คนทั่วไปแต่เด็กหญิงก็หารังเกียจไม่ ภาพนี้สร้างความรู้สึกเอื้อเอ็นดูให้กับลูกค้าที่เข้ามารับบริการเป็นอย่างยิ่ง“จิ๊ดริด อย่ายกของหนักนะลูก ให้ลุงหวินกับน้าโหน่งยกแทน” วรรณารีหันมาเตือนลูกสาวเป็นระยะ“จิ๊ดริดยกไหวจ้ะแม่จ๋า แม่ไม่ต้องห่วง” เด็กหญิงพูดตอบกลับไป“ไม่ได้นะลูก กระดูกหนูยังอ่อน ยกของหนักมากกระดูกจะเสียหายได้ แล้วหนูก็จะไม่สูงด้วยนะ”พอได้ยินคำว่าไม่สูง ที่รักรีบวางกองหนังสือที่มัดเรียงกันเป็นตั้งลงทันที ไม่ได้สิเรื่องความสวยความงามต้องมาที่หนึ่งที่รักจากแรกเกิด