สายตื่นแต่เช้าเหมือนเช่นปกติ เมื่อก้าวลงจากเตียง กิจวัตรแรกสำหรับช่วงนี้ก็คือเดินไปเอียงคอด้านขวาอยู่หน้ากระจก แล้วเงาสะท้อนในกระจกทำให้สายขมวดคิ้วอย่างกังวล
ตอนนี้ก้อนที่คอด้านขวาดูเหมือนจะโตขึ้นกว่าเดิม สายใช้มือกดก้อนแข็ง ๆ ข้างคออย่างกังวล หากเป็นเมื่อหลายปีก่อน สายไม่คิดจะวิตกในเรื่องการเจ็บป่วยหรือตายของเธอเลยสักนิด แต่ตอนนี้ต่างออกไป เธอมีครอบครัวของตัวเองแล้ว เธอยังอยากเห็นหลานรักของตนเติบใหญ่และมีครอบครัวมีเหลนให้เธอได้ชื่นใจ
“ป้าคะ เราไปหาหมอเถอะ” วรรณารีเองก็กังวลใจไม่แพ้กัน เธอเพียรอ้อนวอนสายอยู่หลายรอบก่อนหน้า แต่สายยังใจแข็งอยู่
สายใช้มือลูบก้อนข้างคออีกครั้ง หญิงสูงวัยนั่งคิดอยู่นานก่อนพยักหน้าตกลง
-----
“อะไรนะ? มะเร็งต่อมน้ำเหลืองระยะสาม” น้ำเสียงของสายตกใจอยู่ไม่น้อยเมื่อทราบผลการตรวจ
วรรณารีบีบมือสายเอาไว้เบา ๆ สีหน้าของเธอนั้นตกใจไม่น้อยไปกว่ากัน
“ใช่ครับ ผมแนะนำให้รีบรักษาโดยด่วน ระยะนี้การทำคีโมคือทางเลือกที่ดีที่สุด ยิ่งเริ่มไว โอกาสที่โรคสงบก็มีมาก”
“ขอฉันคิดอีกนิดได้ไหมคะ” สำหรับคนที่อยู่ในแวดวงโรงพยาบาลมาก่อนแบบเธอย่อมรู้ถึงผลกระทบจากการรับคีโมดี
“ป้าคะ รักษาเถอะ” วรรณารีพูดกล่อมระหว่างนั่งรถกลับบ้านด้วยกัน
“ฉันขอเวลาคิดอีกนิด...อ้อ...เรียกทนายสมคิดให้มาหาฉันหน่อย ฉันอยากทำพินัยกรรม” สายบอกเสียงเรียบ
“ป้าคะ” สายตาของวรรณารีเผยแววร้อนรน
สายหันมามองและตบหลังมือของวรรณารีเบา ๆ “อย่าคิดมาก ฉันยังอยู่กับเธอและลูกไปอีกนาน”
สายนั่งคิดอยู่ที่บ้านเป็นเวลาสามวันเข้าไปแล้ว แต่ก็ยังคิดไม่ตกเสียที เธอจึงได้แต่กินยาประวิงอาการที่ทางโรงพยาบาลมอบให้ไปก่อนเท่านั้น
“ยายไม่สบาย” ที่รักเดินมาเกาะเข่าของสายและเงยหน้ามองอย่างกังวล
สายใช้มือลูบผมนิ่มของหลานสาวอย่างอ่อนโยน “เดี๋ยวยายก็หายแล้ว พอหายยายจะพาจิ๊ดริดไปเล่นของเล่นในห้างดีไหม”
ที่รักพยักหน้าหงึก ๆ อย่างชอบใจ “ยายใกล้หายแล้ว”
“ใช่ ยายใกล้หายแล้ว” สายเอ่ยและมองหลานอย่างอาวรณ์
“ป้าคะ กินยาค่ะ” วรรณารีถือแก้วน้ำพร้อมยาเดินเข้ามา
“จิ๊ดริดถือน้ำให้ยาย” เด็กหญิงแย่งแก้วน้ำจากมือแม่
“ถือระวังนะลูก”
สายถือยาในมือพร้อมนั่งรอแก้วน้ำจากหลานรักด้วยแววตาอ่อนโยน
“ยาย น้ำ” เด็กหญิงเดินมาอย่างระวัง แต่ระหว่างกำลังยื่นแก้วน้ำให้สาย น้ำลายของเธอดันหยดลงไปในแก้วน้ำเสียได้
ที่รักเหลียวมองแม่แล้วทำหน้าเสีย
“ไม่เป็นไรจ้ะ เดี๋ยวแม่ไปเปลี่ยนให้” คนเป็นแม่พูดปลอบ
“ไม่ต้อง” สายเอ่ยห้าม “แค่น้ำลายของหลานฉัน ฉันไม่รังเกียจหรอก เอามาเถอะ” ว่าแล้วเธอก็รับแก้วน้ำจากมือที่รักและยกดื่มจนหมด หลังจากนั้นก็นอนพักจนถึงบ่าย
ตอนตื่นมาในช่วงบ่าย สายรู้สึกสบายตัวกว่าทุกวัน มิหนำซ้ำยังกินข้าวมื้อเย็นได้มากกว่าทุกวันด้วย สร้างความดีใจให้กับวรรณารีเป็นอย่างมาก
แล้วเรื่องมหัศจรรย์ก็เกิดขึ้นในเช้าของอีกวัน
“ป้าคะ ทำไมวรรณรู้สึกว่าก้อนที่คอยุบลง” วรรณารีทักขึ้นมา
ยี่สุ่นที่มาเยี่ยมเพื่อนแต่เช้าได้เดินเข้ามาดูใกล้ ๆ และพยักหน้าสนับสนุนคำพูดนั้น “ใช่ ยุบลงจริง ๆ เธอไปทำอะไรมาหรือเปล่า”
สายหยิบกระจกมาส่องแล้วทำหน้าฉงน “ไม่ได้ทำอะไรเลยนะ”
“แล้วกินยาหรือกินอะไรผิดแผกไปไหม” ยี่สุ่นยังคงข้องใจ
“ไม่นะ กินเหมือนปกติ ถ้าจะมีก็คงน้ำลายผสมน้ำของจิ๊ดริดแหละมั้ง” สายเล่าด้วยน้ำเสียงที่เจือด้วยความขบขันเล็กน้อย
“หือ?” ทั้งยี่สุ่นและวรรณารีต่างอุทานออกมาและเหลียวมองที่รักที่กำลังนั่งดื่มนมอยู่ด้านข้างด้วยแววตาสงสัย
สายเองก็เหลียวมองหลานสาวด้วยอาการไม่ต่างกัน
“วรรณ วันนี้ลองน้ำธรรมดาแบบไม่มีน้ำลายนะ” สายอยากพิสูจน์อะไรบางอย่าง ในใจเธอตอนนี้เหมือนเริ่มมีความหวังขึ้นมาราง ๆ แล้ว
อาการปวดทรมานและขนาดก้อนเนื้อที่โตขึ้นอย่างชัดเจนในเช้าวันต่อมาได้สร้างความหวังในใจให้สายอย่างแรงกล้า
สายสลับมาดื่มน้ำผสมน้ำลายของที่รักอีกครั้ง และผลที่ได้คืออาการสบายตัว ไม่หลงเหลือความรู้สึกปวดอีก รวมถึงก้อนที่คอเริ่มยุบหายไปทีละน้อยตามจำนวนวันที่ดื่มน้ำวิเศษ ทั้งหมดนี้ได้สร้างความดีใจให้กับสายและวรรณารีเป็นอย่างมาก
“ฉันบอกแล้วว่าจิ๊ดริดคือนางฟ้า” ยี่สุ่นที่มารอดูผลในอีกห้าวันต่อมาได้ฟันธงอย่างมั่นใจ
“ใช่ จิ๊ดริดคือนางฟ้าน้อย ๆ ของพวกเรา” สายอุ้มที่รักขึ้นนั่งตักและกอดหอมเธออย่างแสนรัก
ขณะที่คุยกันอยู่นั้น คนงานในไร่ของยี่สุ่นได้วิ่งเข้ามาหาหน้าตาตื่น
“มีอะไร” ยี่สุ่นใจกระตุกล่วงหน้าไปแล้ว
“คุณพงศ์ตกรถไถโดนล้อทับจนกระดูกขาแตกครับ คุณลีพาส่งโรงพยาบาลไปแล้ว”
“อะไรนะ!” ยี่สุ่นผุดลุกขึ้นพร้อมกับสีหน้าซีดเผือด
“รีบไปที่โรงพยาบาลกันเร็วเข้า” สายที่ตั้งสติได้ดีกว่ารีบประคองเพื่อนเดินออกจากบ้านไปโดยมีวรรณารีและที่รักวิ่งตามไปติด ๆ
ที่โรงพยาบาล ครอบครัวยี่สุ่นทุกคนกำลังนั่งรออยู่หน้าห้องผ่าตัดด้วยสีหน้ากังวล แม้แต่อลิสราที่ไม่ค่อยเกรงกลัวใด ๆ ตอนนี้เด็กหญิงถึงกับนั่งหน้าซีดเผือด ส่วนคชาภัทรเอง แม้จะวัยเพียงแค่หกขวบแต่เด็กชายก็พอรู้ว่าอะไรเป็นอะไร เขากำลังนั่งจ้องนิ่งไปที่ประตูห้องผ่าตัดด้วยแววตากังวล
“แม่คะ” เมื่อเห็นยี่สุ่น วนาลีที่ฝืนเข้มแข็งมาตลอดถึงกับน้ำตาร่วงพรูออกมา
ยี่สุ่นเข้าไปกอดปลอบลูก “ไม่เป็นไรลูก พงศ์ต้องไม่เป็นอะไรมาก” ยี่สุ่นปลอบเสียงสั่น
“พี่” ที่รักเดินเข้าไปจับเข่าของคชาภัทรและเงยหน้ามองด้วยความเป็นห่วง
คชาภัทรฝืนยิ้มให้ “จิ๊ดริดอยากกินขนมใช่ไหม พี่ให้” เด็กชายยื่นคุกกี้ห่อเล็กที่พกติดกระเป๋ากางเกงไว้เสมอให้
ที่รักยื่นมือรับและเดินมานั่งข้างพี่ชายข้างบ้าน เธอไม่ได้แกะขนมกินเหมือนที่เคยเป็น เด็กหญิงเลือกที่จะถือขนมอยู่เงียบ ๆ และมองไปที่ใบหน้าของคชาภัทรด้วยความเป็นห่วง
กว่าจุลพงศ์จะผ่าตัดเสร็จก็ล่วงเลยไปช่วงหัวค่ำ ซึ่งผลที่ออกมาไม่น่าพึงใจเลย
“อะไรนะคะหมอ ต้องตัดขาทิ้งตั้งแต่เข่าลงมาหรือคะ” วนาลีถึงกับปล่อยโฮออกมา
“ใช่ครับ ผมผ่าตัดดามต้นขาให้แล้ว แต่ส่วนที่อยู่ใต้เข่าไปกระดูกแตกเป็นชิ้นและเส้นเลือดค่อนข้างเสียหายหนัก คนไข้ต้องเข้าห้องผ่าตัดอีกรอบช่วงกลางดึกนี้เพื่อตัดขาออกทั้งสองข้างป้องกันติดเชื้อในกระแสเลือด” แพทย์เจ้าของไข้ชี้แจงอย่างเห็นใจ “อีกเดี๋ยวคนไข้น่าจะฟื้นแล้ว ผมอยากให้ญาติช่วยพูดให้คนไข้เข้าใจด้วยนะครับ”
หลังจากย้ายจุลพงศ์มาอยู่ในห้องฉุกเฉิน วนาลีเอาแต่นั่งนิ่งและจ้องหน้าสามีด้วยดวงตาแดงก่ำ อลิสราและคชาภัทรก็ไม่ต่างกัน ส่วนยี่สุ่นไปนั่งทำใจอยู่นอกห้อง
สายเข้าไปนั่งใกล้เพื่อนและบีบมือให้กำลังใจ
“ไม่รู้มันเวรกรรมอะไร เพิ่งอายุแค่สี่สิบปีเท่านั้นกลับต้องมากลายเป็นคนพิการ” ยี่สุ่นพูดเสียงสั่น
“ยี่สุ่น...” แล้วสายก็ชะงักคำพูดปลอบ เธอเอามือไปจับก้อนเนื้อข้างคอเหมือนนึกอะไรได้บางอย่าง
“ยี่สุ่น” สายเรียกชื่อเพื่อนอีกครั้ง “เธอว่าน้ำลายจิ๊ดริด...”
คราวนี้ยี่สุ่นหันขวับไปมองหน้าเพื่อนด้วยประกายตาเจิดจ้า “ไม่มีอะไรจะเสียแล้วนี่”
สายตื่นแต่เช้าเหมือนเช่นปกติ เมื่อก้าวลงจากเตียง กิจวัตรแรกสำหรับช่วงนี้ก็คือเดินไปเอียงคอด้านขวาอยู่หน้ากระจก แล้วเงาสะท้อนในกระจกทำให้สายขมวดคิ้วอย่างกังวลตอนนี้ก้อนที่คอด้านขวาดูเหมือนจะโตขึ้นกว่าเดิม สายใช้มือกดก้อนแข็ง ๆ ข้างคออย่างกังวล หากเป็นเมื่อหลายปีก่อน สายไม่คิดจะวิตกในเรื่องการเจ็บป่วยหรือตายของเธอเลยสักนิด แต่ตอนนี้ต่างออกไป เธอมีครอบครัวของตัวเองแล้ว เธอยังอยากเห็นหลานรักของตนเติบใหญ่และมีครอบครัวมีเหลนให้เธอได้ชื่นใจ“ป้าคะ เราไปหาหมอเถอะ” วรรณารีเองก็กังวลใจไม่แพ้กัน เธอเพียรอ้อนวอนสายอยู่หลายรอบก่อนหน้า แต่สายยังใจแข็งอยู่สายใช้มือลูบก้อนข้างคออีกครั้ง หญิงสูงวัยนั่งคิดอยู่นานก่อนพยักหน้าตกลง-----“อะไรนะ? มะเร็งต่อมน้ำเหลืองระยะสาม” น้ำเสียงของสายตกใจอยู่ไม่น้อยเมื่อทราบผลการตรวจวรรณารีบีบมือสายเอาไว้เบา ๆ สีหน้าของเธอนั้นตกใจไม่น้อยไปกว่ากัน“ใช่ครับ ผมแนะนำให้รีบรักษาโดยด่วน ระยะนี้การทำคีโมคือทางเลือกที่ดีที่สุด ยิ่งเริ่มไว โอกาสที่โรคสงบก็มีมาก”“ขอฉันค
เมื่อไปถึงที่ดินดังกล่าวก็เป็นอย่างที่พีรายุคาดไว้ พื้นที่แถบนี้เป็นบริเวณที่พัฒนาต่อได้ยากเพราะเป็นแถบสวนและไร่ของชาวบ้าน รวมถึงเป็นเขตที่นิยมค้าขายของเก่ากันอย่างเป็นล่ำเป็นสัน มีร้านค้าของเก่าอยู่ถึงสิบกว่าร้านบริเวณนี้ คงจะหานักธุรกิจเข้ามาพัฒนาที่ดินแถบนี้ให้เจริญได้ยากแต่ถึงกระนั้น พีรายุก็ตกลงที่จะซื้อไว้เพราะจินดาราอยากได้นักหนา โดยจะนัดโอนกันในอีกหนึ่งเดือนข้างหน้า“จิ๊ดริดของเก่า” พีรายุพึมพำออกมาอย่างต้องมนต์สะกด“ชื่อแปลกจัง ดูตล๊กตลก ว่าไหมคะพี” จินดาราเบะปากให้กับร้านรับซื้อของเก่าขนาดใหญ่ที่ตั้งอยู่ข้างทางระหว่างนั่งรถกลับจากดูที่ดินพีรายุยังคงนิ่งเงียบ เขามองดูป้ายร้านที่อยู่ฝั่งตรงข้ามอย่างเหม่อลอย“วรรณ” ชายหนุ่มพึมพำออกมาเสียงเบา“คุณว่าอะไรนะคะ” จินดาราเอียงหน้ามาถาม“วรรณ!” พีรายุตะโกนเสียงดังลั่นรถก่อนหักพวงมาลัยรถเข้าข้างทางอย่างกะทันหัน และพยายามเปิดประตูรถเพื่อจะเดินข้ามไปอีกฝั่งให้ได้“คุณจะทำอะไรคะ!” จินดาราพยายามยื้อแขนชายหนุ่มเอาไว้ไม่ให้เขาเปิดประตูออกไปได้ ขณะที่สีหน้าของเธอเผยถ
ที่อาคารสำนักงานของบริษัทเทพสถิต บริษัทจัดหาวัสดุก่อสร้างขนาดใหญ่ซึ่งเป็นอาคารสูงสิบชั้น มีพนักงานกว่าสามร้อยคน แต่ส่วนมากกลับทำงานด้วยสีหน้าเรียบเฉย แววตาแทบจะหาความสุขไม่ได้ แม้บริษัทนี้จะดูก้าวหน้ายิ่งกว่ารุ่นพ่อของเจ้าของบริษัท รวมถึงสวัสดิการและเงินเดือนที่สูงกว่าที่ทำงานอื่นก็ตาม“นี่เธอ คุณจินดาราอยากกินเค้กมะพร้าวของร้านมิวกี้ เธอไปซื้อมาหน่อย” ชยากร ผู้ช่วยฝ่ายจัดซื้อของบริษัทเดินมาเคาะนิ้วที่โต๊ะประชาสัมพันธ์และสั่งพนักงานประชาสัมพันธ์ที่กำลังนั่งทำงานอยู่หน้าบริษัทเสียงแข็ง“แม่บ้านก็มี ไปให้พวกเธอซื้อสิคะ” ชไมพร หัวหน้าฝ่ายประชาสัมพันธ์ตอบกลับมาด้วยน้ำเสียงไม่พอใจ“พวกแม่บ้านทั้งเล็บทั้งมือดำปี๋ จะให้ไปหยิบของกินของคุณจินได้ยังไง พวกเธอนั่นแหละออกไป ร้านอยู่เลยจากนี่แค่สองป้ายรถเมล์เอง ไม่ทันเหนื่อยหรอก”“มันไม่ใช่หน้าที่ของพวกเรานะคะ เรายังมีงานที่ต้องเคลียร์ให้เสร็จก่อนเลิกงาน” ชไมพรยังคงเสียงแข็งชยากรหรี่ตามองเธอ “เธอก็รู้ใช่ไหมว่าคุณจินดาราเป็นใคร แล้วคุณพีรายุรักเธอมากแค่ไหน พวกเธออยากถูกไล่ออกจากงานก่อนสี่โมงเย็น
หลังจากที่กล่อมที่รักให้นอนหลับไปแล้ว ทั้งคู่ได้พากันไปนั่งหารือเกี่ยวกับทรัพย์สินที่เพิ่งได้มาใหม่“ป้าคะ มันไม่เป็นไรจริง ๆ หรือที่จะไม่ติดต่อบอกเจ้าของที่ดินคนเดิมว่าเราเจอของมีค่าแบบนี้”สายส่ายหน้าพร้อมค้อนขวับให้หนึ่งที “เธอนี่กังวลอะไรไม่เข้าท่า”“ป้าเชื่อว่าเจ้าของเดิมคงไม่รู้เรื่องนี้มาก่อน หรือแม้แต่พ่อของเขาซึ่งเป็นเจ้าของคนก่อนก็ไม่น่าจะรู้ ถ้ารู้คงบอกลูกเขาไปนานแล้วว่ามีสมบัติซ่อนอยู่ข้างใน ป้าซื้อที่ดินนี้มายี่สิบปีก็ไม่เห็นมีใครมาตามหาตู้นี้สักคน ป้าถือว่านี่เป็นสิทธิ์โดยชอบธรรมที่เราควรจะได้”เมื่อเห็นท่าทีที่ยังสับสนของวรรณารี สายก็ยิ้ม ๆ และพูดต่อ “ป้าจะบอกอะไรให้นะวรรณ วิธีที่เราจะอยู่ในสังคมนี้อย่างมีความสุข นอกจากไม่ไปรังแกใครแล้ว ต้องไม่เป็นคนดีจนเกินงามด้วย อะไรที่เป็นสิทธิ์และโอกาสของเรา เราก็ควรฉกฉวยเอาไว้ ไม่อย่างนั้นอาจต้องมานั่งเสียดายเหมือนชีวิตของป้า” สายนิ่งไปสักระยะแล้วจึงพูดต่อ “แต่อะไรที่ไม่ใช่ของเราก็ควรปล่อยมือไป อย่าพยายามยื้อให้เหนื่อย”“อีกอย่าง โชคครั้งนี้ถ้าจิ๊ดริดไม่เป็นคนบอก เราทั้งคู่ก็ไม
หลังจากวรรณารีง้างฝากล่องลึกลับนี้ขึ้นมา หญิงสาวก็เบิกตากว้างกับภาพที่เห็นอยู่ตรงหน้า หัวใจเต้นแรงราวกับจะกระโดดออกมานอกร่าง มือและเท้าเย็นเฉียบเหมือนกับไปแช่น้ำแข็งมานานนับชั่วโมงตอนนี้แสงประกายสีทองจากสิ่งของภายในกล่องได้ทำให้ดวงตาเธอพร่ามัวจนต้องกะพริบถี่ ๆ เพื่อหวังจะเห็นภาพตรงหน้าให้ชัดขึ้นทองแท่งจำนวนมากวางเรียงกันในกล่องแบบเต็มพื้นที่!หญิงสาวใช้มืออันสั่นระริกลากผ่านทองแท่งเหล่านั้นอย่างแผ่วเบาด้วยกลัวว่านี่จะเป็นเพียงความฝัน หากเธอสัมผัสแรงไปกลัวว่าจะต้องตื่นจากความฝันอันแสนดีนี้เสียก่อนวรรณารีเหลียวมองไปรอบตัวอย่างระแวดระวังก่อนจะรีบปิดฝากล่องลงตามเดิมและกดปุ่มกลม ๆ เล็ก ๆ นี้อีกครั้ง ฝากล่องได้เลื่อนเข้าหากันจนปิดสนิทกลายสภาพเป็นชั้นหนังสือธรรมดาทั่วไปอีกครั้งเมื่อเห็นว่ากล่องปิดสนิทดีแล้วเธอก็รีบเข้าไปในตัวบ้านและวิ่งตรงไปยังห้องนอนของสายทันทีหลังจากนั้นไม่นาน วรรณารีก็เดินนำออกมาหน้าตาตื่น ตามด้วยสายที่มีสีหน้าแบบเดียวกัน และปิดท้ายด้วยเด็กน้อยร่างอ้วนที่วิ่งตามมาห่าง ๆ ด้วยขาอันสั้นของเธอ
วรรณารีและสายรอจนกระแต พี่เลี้ยงของที่รักกลับไปพักผ่อนยังบ้านพักคนงานที่สร้างไว้ให้เรียบร้อยแล้ว ทั้งสามคนจึงพากันมายืนเมียง ๆ มอง ๆ รอบตู้ไม้อย่างสนอกสนใจแต่ไม่ว่าจะมองมุมไหนตู้ไม้ก็คือตู้ไม้ ไม่เห็นมีอะไรพิเศษตรงจุดไหน เป็นเพียงตู้ไม้ที่มีชั้นสำหรับวางหนังสือทั้งสามชั้นหนากว่าตู้ปกติทั่วไปเท่านั้น คาดว่าที่ทำให้หนาก็เพื่อรองรับหนังสือซึ่งมีน้ำหนักมากนั่นเอง“ตู้ใบนี้ดีจริงหรือลูก” วรรณารีอดถามออกมาไม่ได้ที่รักพยักหน้าแรง ๆ ติดกันหลายทีจนไขมันตรงแก้มกลม ๆ สั่นกระเพื่อมไปมา มือวรรณารีคันยุบยิบอยากจะบีบแก้มนุ่ม ๆ นั้นใจแทบขาดแต่ก็ต้องยั้งใจเอาไว้วรรณารีและสายพากันเดินวนดูอีกสองรอบก็เหมือนจะไร้ผล“ป้าว่าเรื่องดีที่จิ๊ดริดบอกอาจจะไม่เกิดขึ้นทันทีก็ได้ กลับเข้าบ้านกันดีกว่ายุงเริ่มชุมแล้ว”วรรณารีพยักหน้าเห็นด้วย เธอให้สายพาที่รักเข้าไปก่อน ส่วนตัวเองจะขอทำความสะอาดคราบฝุ่นให้หมดเพราะรู้สึกไม่สบายใจกลัวจะมีแมลงมีพิษหลงเหลืออยู่จนทำอันตรายต่อคนในบ้านได้ใช้เวลาเพียงสิบนาทีก็เช็ดทำความสะอาดภายนอกจนเอี่ยมอ่อง แล้วความสวยง