Masukชุยชิงชิงไม่รู้ว่าสามีของนางแอบฟังอยู่ตั้งแต่เมื่อไหร่กัน เมื่อมาถึงก็เข้ามาตบตีนางต่อหน้าลูกสาว ทั้งที่นางไม่รู้ว่าตนเองผิดอันใด
“ท่านพี่!” เสียงสั่นเครือเจือด้วยความเสียใจเอ่ยขึ้น ดวงตาพร่าด้วยน้ำตามองไปยังสามีที่ตนแสนรักที่เคยดีกับนาง แต่สุดท้ายเขาก็ทัดทานแรงกดดันจากมารดาแสนร้ายกาจผู้นั้นไม่ได้ และลงมือตบตีนางในที่สุด
มือข้างหนึ่งยกขึ้นกุมแก้มที่กำลังชาหนึบด้วยแรงตบสุดแรงแบบไม่ยั้งมือ ดวงตาตัดพ้อนี้ไม่ทำให้ฟู่เฉียนอี้รู้สึกสำนึกผิด ทั้งคิดว่าที่กระทำมาถูกแล้ว
“ยังมีหน้ามาเรียกข้าท่านพี่อีกหรือ” น้ำเสียงกรุ่นโกรธเปล่งออกมา มองสองแม่ลูกที่ตนเคยเอ็นดูอย่างไม่เหลือความเมตตาอีกต่อไป
“ท่านพ่อท่านตีท่านแม่ทำไม” จื่อเถาโกรธแทนท่านแม่ จึงลุกขึ้นจากเตียงนอนผลักท่านพ่อให้ออกห่างจากพวกนาง บุรุษผู้นี้ไร้เหตุผลไม่สมควรเป็นบิดาของนาง
“หากเจ้าเห็นว่าข้ายังเป็นพ่อ ก็ไปคุกเข่าขอโทษแม่ใหญ่เจ้าเสีย นางทุ่มเทสั่งสอนเจ้า ให้เจ้ามานินทาว่าร้ายเช่นนี้ได้หรือ”
เพราะเหยาเอินไปรายงานตนตั้งแต่หน้าประตูจวน ว่าสองแม่ลูกคิดเหิมเกริมไม่เคารพนาง ทั้งท่านแม่ก็ถือหางเหยาเอินจึงสั่งให้เขาไปจัดการ เดิมก็แค่อยากมาสอบถาม แต่ใครจะคิดว่านางสั่งสอนให้บุตรสาวว่าร้ายคนอื่น ถึงขนาดอยากออกจากตระกูลไป
“ถ้าเช่นนั้นท่านก็ไม่ใช่บิดาข้า” เรื่องอะไรให้นางไปขอโทษนางมารร้ายผู้นั้นเล่าจ้างให้ก็ไม่ไป และนี่อาจจะเป็นเรื่องที่หมางใจระหว่างนางกับบิดา จนทำให้มารดาต้องคิดอยากออกไปอยู่ข้างนอกกับนางเป็นแน่
“เจ้าดื้อดึงเช่นนี้อยากโดนทำโทษใช่หรือไม่” เสียงกร้าวตวาดลั่นใส่ลูกสาว ที่ตอนนี้กล้าต่อปากต่อคำกับเขาเสียแล้ว ชุยชิงชิงนิสัยเช่นนี้สินะ บุตรสาวของเขาถึงได้เป็นคนเช่นนี้ได้
‘เขาควรเชื่อมารดาตั้งแต่แรก ไม่ควรดื้อแต่งกับนาง’
“ไม่เจ้าค่ะ ท่านพี่ลูกไม่มีความผิด ท่านจะมาหาเรื่องพวกเราไม่ได้” ชุยชิงชิงไม่คิดว่าสามีจะใจมืดบอด มองไม่เห็นความร้ายกาจของสตรีผู้นั้น ทั้งยังคิดทำโทษบุตรสาวเสียอีก
ต้องเป็นบิดาเช่นไรถึงทำได้ขนาดนี้
“ยังไม่รู้ความผิดใช่หรือไม่”
คำถามของสามีทำให้ชุยชิงชิงเกินจะทนแล้วเช่นกัน ทำร้ายนางไม่ว่า แต่ว่าสามีจะมาพาลทำร้ายบุตรสาวที่นางคลอดมาอย่างยากลำบากไม่ได้เด็ดขาด
“ท่านพี่พวกเราไม่ได้มีความผิด ท่านจะลงโทษโดยไม่สอบสวนไม่ได้” ชุยชิงชิงทุ่มสุดตัวปกป้องบุตรสาวของนาง โดยหารู้ไม่ว่านี่เป็นการกระทำที่ทำให้จื่อเถาซาบซึ้งใจยิ่ง แววตาดำสนิทดุจหมึกเขียนแผ่ซ่านความอำมหิตออกมาจากเด็กวัยหกหนาว แล้วไม่นานก็พลันเปลี่ยนกลับเป็นวิญญาณของลีลี่อีกครั้ง
นางรับรู้ความเคียดแค้นชิงชังบิดาจากก้นบึ้งลึกสุดหัวใจของเด็กน้อยคนนี้ แต่นางจะไม่นำพาให้ร่างนี้มีจุดจบเลวร้ายเช่นนั้นแน่ ดวงตาไร้เดียงสาเปล่งออกมาแทนที่มองจับจ้องบิดาว่าจะทำเช่นไรกับนาง ที่นินทาว่าฮูหยินคนใหม่ของเขา
‘ในเมื่อนางมีฐานะเป็นลูกสาวภรรยาที่ถูกปลดจากตำแหน่งฮูหยิน เช่นนั้นก็ควรร้ายกาจให้น้อยแสร้งสร้างความสงสารให้มาก’
“ข้าเพียงเดินอยู่ในสวน จู่ ๆ ก็ถูกคนของฮูหยินจับตัวไปขัง ข้าเองก็ไร้ทางสู้ เช่นนี้ท่านพ่อจะให้ข้าคุกเข่าอีกหรือ ข้ายังไม่รู้ความผิดด้วยซ้ำ” ใบหน้าเล็กบีบน้ำตาออกมาสร้างความสงสารให้มารดาอย่างชุยชิงชิงเป็นอย่างยิ่ง
‘ในเมื่ออยู่ในตระกูลฟู่เฉียนไร้ความเป็นธรรม
นางควรออกไปอยู่ข้างนอกกับบุตรสาวดีหรือไม่’ แต่ไม่ทันได้คิดนาน สามีก็กล่าววาจาขับไล่นางเสียแล้ว“เหอะ...ไม่เคารพฮูหยินเจ้ายังไม่รู้ความผิดอีกหรือ เช่นนั้นพวกเจ้าแม่ลูกไม่ใช่คนของตระกูลฟู่เฉียนอีกต่อไปหากไม่ไปคุกเข่าที่ศาลบรรพชน”
พรึ่บ!!!
ฟู่เฉียนอี้สะบัดชายเสื้อเดินกลับออกจากเรือนอัปมงคลซือเจีย ที่ตอนนี้ไม่ได้อยากมาเยือน เดิมเพราะต้องตามใจท่านแม่ถึงได้ให้นางพักเรือนนี้ แต่ไม่ว่าครั้งใดที่เขามาเยือนมักเกิดเรื่องไม่ดี
ครั้งนี้ถึงขนาดให้บุตรีต่อล้อต่อเถียง นางสองคนแม่ลูกยังจะอยู่ตระกูลนี้ได้อย่างราบรื่นอีกหรือ ในเมื่ออยากออกจากตระกูลฟู่เฉียนของเขาก็ให้นางไป หากยังไม่อยากไปก็คุกเข่าเสีย ท่านแม่จะได้เลิกกดดันเขาเรื่องสองแม่ลูกผู้นี้เสียที
เมื่อคิดถึงยามรักใคร่นางเมื่อหลายปีก่อน เขาเป็นเพียงหนุ่มน้อยที่เพิ่งริเริ่มรัก แต่เมื่อนานวันไปมารดาส่งสตรีมากหน้าหลายตามาให้เขาถึงเรือน ความสัมพันธ์ดุจฉันสามีภรรยาก็ค่อย ๆ เริ่มจืดจาง ยิ่งนางคลอดบุตรสาวหาใช่บุตรชายที่สืบทอดตระกูล ยิ่งทำให้เขาไม่อยากมาพบนาง
ตอนนี้เขาแต่งสตรีตระกูลเหยาเข้ามาส่งเสริมบารมี เพราะตระกูลชุยกับตระกูลฟู่เฉียนตัดขาดสิ้นเชิง ต่อให้เป็นตระกูลที่มีหน้ามีตาในราชสำนัก แต่ทว่ากลับไม่มีประโยชน์อันใด เมื่อท่านแม่ของเขายังถือว่าตระกูลชุยยังคงเป็นศัตรูมาช้านาน ทั้งความบาดหมางในอดีตที่เขาเองก็ไม่แน่ชัด
จึงได้แต่ตามใจมารดาเท่านั้นคล้อยหลังบิดา จื่อเถายิ้มมุมปาก เดินไปยังหีบเสื้อผ้าและสมบัติ นางตรวจดูของต่าง ๆ แล้วก็เก็บของจำเป็นลงในหีบ ส่วนท่านแม่ได้แต่นั่งเหม่อลอย จนเมื่อนางเรียกให้ได้สติอีกครั้งท่านแม่ถึงหันมาตอบนาง
“ท่านแม่เก็บของเสร็จแล้วเจ้าค่ะ พวกเราไปนอนที่ร้านค้ากันเถอะ” มีร้านค้าในมือตั้งหนึ่งร้าน จะทำอันใดก็สะดวกแล้ว จากที่ดูหีบสมบัติร้านค้าในเมืองนั้นมีพื้นที่ด้านหลังขนาดกลาง ไว้เพาะปลูกได้บ้างแล้วก็มีคลองน้ำไหลผ่านด้านหลัง เรื่องน้ำใช้คงตัดปัญหาไปได้
“เจ้าแน่ใจหรือจะไปจากตระกูลนี้ หากไปแล้วจะหันหลังกลับอีกไม่ได้แล้วนะ” ชุยชิงชิงคิดถึงอนาคตลูกสาวเท่านั้น ต่อให้ตนต้องไร้ศักดิ์ศรีก็ยินดีไปคุกเข่าทั้งไม่มีความผิด
“ท่านแม่ท่านฟังข้า พวกเราไม่มีอำนาจ ไม่มีปากเสียงอยู่ใต้อำนาจฮูหยินคนใหม่ ท่านพ่อที่ร้ายกาจกับพวกเรา อนาคตข้ายังจะได้แต่งกับบุรุษที่ดีหรือ นางจะยอมให้ข้าที่ไม่ใช่ลูกแท้ ๆ แต่งงานกับคนที่ดีกว่าบุตรที่จะเกิดกับนางหรือเจ้าคะ ขนาดพวกเราอยู่เงียบ ๆ ยังมีเรื่องไม่เว้นแต่ละวัน อีกอย่างข้าคิดว่าท่านพ่อก็ใจร้ายกับพวกเรา อย่างไรเราแม่ลูกก็ไม่อดตายเจ้าค่ะ เชื่อข้าข้าจะทำให้พวกเราร่ำรวยเอง”
จื่อเถาไม่ยอมอยู่ในจวนเพื่อโดนข่มเหงจนเป็นความแค้นสะสมแล้วฆ่าล้างตระกูลพวกเขาให้ความผิดติดตัว
‘นางย้อนอดีตกลับมาแก้ไข ย่อมไม่จบแบบเดิม’
“ก็ได้แม่เชื่อเจ้า” ชุยชิงชิงคิดว่าสามีไม่รักและเมตตานางแล้ว อยู่ไปก็รังแต่จะมีปัญหา ไม่สู้ออกไปตายเอาดาบหน้าเผชิญความลำบากกายแต่สบายใจกันสองคนไม่ดีกว่าหรือ
“หนังสือปลดภรรยาท่านมีอยู่แล้วใช่หรือไม่” นางถามหาเพราะว่าจะได้เป็นสิ่งยืนยันความสัมพันธ์ระหว่างตระกูลฟู่เฉียนกับนางสองแม่ลูกจบลงแล้ว หากจะมารังแกกันนางจะไม่ยอมอีกแน่
“แม่เก็บเอาไว้แล้ว”
จะไม่ให้เก็บอย่างดีได้อย่างไร ในเมื่อสามีคิดปลดนางสารพัดข้ออ้างที่นางยากปฏิเสธ นางจึงเก็บมันไว้เตือนใจว่าอย่ารักบุรุษใจโลเลผู้นี้อีก
สองแม่ลูกหอบหิ้วของส่วนตัวกันออกมา ในหีบมีสินเดิมกับเสื้อผ้า หีบไม้นี้ท่านยายทำให้ท่านแม่นางแบบพิเศษมีช่องเก็บตำลึงด้านใต้ ที่หากไม่พลิกหีบเปิดออกก็จะไม่รู้ว่ามีตำลึงอยู่เท่าใด แต่เมื่อก้าวพ้นเรือนซือเจียคนของฮูหยิน
ผู้เฒ่ากลับมาขัดขวางพวกนาง“จะไปที่ใด...!”
เสียงกระบี่ดึงจากฝัก ทำให้คนที่อยู่ในชุดแดงเจ้าสาวภายใต้ผ้าคลุมถึงกับสะดุ้ง ความมืดรอบกายทำให้นางตัวสั่นเทาแสงกระบี่ที่สะท้อนกับแสงจันทร์จากหน้าต่างแยงตาทำให้นางถอยทั้งที่ยังคลุมผ้าจนไปนั่งลงบนเตียง “ฮึก...ไม่นะ” จื่อเถาส่ายหน้าเบา ๆ นางไม่อยากตายในคืนเข้าหอ นาง...นางอยากอยู่ต่อมีชีวิตกับคนที่รัก ปลายกระบี่ตวัดขึ้นทำให้ผ้าคลุมหน้าเจ้าสาวเปิดออก ใบหน้าคนผู้นี้มืดดำไปด้วยความคับแค้น นางส่ายหน้าไปมาหาทางหนีรอดแต่ไม่มี “ชะ...ช่วย...ช่วยด้วย” เสียงหวีดร้องของจื่อเถาดังขึ้นสุดเสียง แต่ทว่าไม่ทำให้คนที่ยืนตรงหน้าลดกระบี่ลงเลยสักนิดทั้งเสียบเข้ามาที่กลางท้อง ฉึก! กรี๊ด!!! เสียงกรีดร้องพร้อมกับร่างที่ลุกขึ้นนั่งหอบหายใจ ทำให้คนที่นอนเคียงข้างนางตื่นขึ้นมา แล้วโอบกอดนางไว้ “เจ้าเป็นอะไรไป...ฮูหยินของข้า” เขาดึงนางเข้ามากอดปลอบลูบหลังเบา ๆ ให้นางสงบใจ หากให้เดานางคงฝันร้ายกระมังถึงได้ร้องขนาดนี้ “ท่านพี่ข้า...ข้าฝันไป” จื่อเถาไม่รู้จะบอกอย่างไรดี นางฝันถึงคืนแต่งงานและถูกสังหารอย่างเลือดเย็น หรือนี่จะเป็นวิญญาณจื่อเถาที่แท้จ
ลู่หลงเจ็บปวดใจที่โดนแกล้ง วันนี้เขาตื่นแต่เช้ามาผัดข้าวผัดให้ทุกคนได้กินฝีมือเขาเพื่อเป็นการสั่งสอน โดยไม่บอกผู้ใดด้วย วันนี้เป็นวันส่งท้ายปี เช่นนั้นเจ้าพวกนี้ต้องโดนเขาสั่งสอน กลิ่นหอมของข้าวผัดคลุ้งไปทั่ว และแน่นอนว่าลู่หลงไม่ให้พวกเขารู้เด็ดขาดว่าข้าวผัดนี้ฝีมือเขาทำ เพราะถ้ารู้เจ้าพวกนี้จะบ่ายเบี่ยงไม่ยอมกินเข็ดหลาบตั้งแต่ครั้งพี่จื่อเถาป่วย “พวกเจ้าต้องได้กินข้าวผัดฝีมือข้า...!”เสียงที่อำมหิตนั้นทำเอาจื่อเถาที่แอบเข้ามาดูในครัวว่าผู้ใดทำอาหารกัน เห็นเจ้าลู่หลงตัวแสบแอบมาทำก็เข้าใจทันทีว่าเขาโดนกลั่นแกล้งจึงต้องเอาคืน นางจะเก็บไว้เป็นความลับก็แล้วกัน แล้วไปดูสาวใช้จัดเตรียมเครื่องเซ่นไหว้บรรพบุรุษว่าไปถึงไหนแล้วกระดาษแดงเขียนคำว่ามงคลประดับอยู่ ร่ำรวยเงินทอง มีกินมีใช้ อายุยืนนาน ติดรอบบ้านทำให้ดูครึกครื้นยิ่งนักบรรยากาศเช่นนี้ดีจริง ๆ บรรยากาศแสนอบอุ่น พี่น้องพร้อมหน้า ทำกิจกรรมร่วมงานหลังจากเมื่อวานให้คนจัดการเรื่องศพของท่านยายเหิงเจี๋ย นางก็ให้ท่านหมอจากในเมืองมาตรวสุขภาพคนแก่คนเฒ่าในหมู่บ้าน ทั้งจัดยาให้โดยนางออกค่าใช้จ่ายให้ทั้งหมด ปีนี้ผลผลิตไม่ได้ตามเ
“ท่านพูดอะไรเจ้าคะ” จื่อเถามึนไปหมด วันนี้นางพูดอะไรผิดไปหรือ ไปต่อว่าเขาเมื่อไหร่กันแน่ “ก็เจ้า...ชอบทุกคนที่ซื้อของให้ แต่ข้าซื้อให้เจ้าไม่เห็นชมข้าบ้างเลย” จื่อเถาไม่คิดว่าเขาจะคิดเยอะขนาดนี้ อยู่ด้วยกันมาหลายปี มีลูกด้วยกันตั้งสี่คน แต่อย่างว่าครอบครัวก็ต้องใส่ใจทุกคนอย่างเท่าเทียมสินะ นางเข้าไปสวมกอดเขาไว้ ซุกหน้ากับแผ่นหลังคล้ายอ้อนเล็กน้อย ทำให้อีกคนที่กำลังน้อยใจภรรยาสีหน้าดีขึ้น “ท่านพี่...ท่านนะดีที่สุดในใจข้าแล้ว ตั้งแต่แต่งงานกันมาท่านดูแลข้าดีที่สุด” เสียงอ่อนหวานทำให้อีกคนยิ้มออก มือหนายกขึ้นทาบมือนุ่มของนางเอาไว้ บอกให้รู้ว่าเขารักนางมากเพียงใด จื่อเถาเคยแต่ดูแลทุกคนมาตลอดชีวิต เมื่อแต่งงานจึงได้เข้าใจว่าการได้มีคนดูแลมันดีเพียงใด แล้วเขาจะไม่ดีได้อย่างไรกันเล่า “เช่นนั้นเจ้าชมข้าบ่อย ๆ ดีหรือไม่” เขาหันกลับมาหานางแล้วยกนางขึ้นอุ้มเดินไปที่เตียง และไม่ต้องบอกก็รู้ว่าสามีต้องการสิ่งใด “ได้...ข้าจะชมท่านทั้งคืน” แล้วคนขี้น้อยใจก็ร่วมรักภรรยาคนงามทั้งคืน วันถัดมาเหล่าองค์ชายอีกสองคนจึงตามมาสมทบและได้พั
หลังจากพาเด็ก ๆ นอนกลางวันแล้ว เหล่าพี่น้องของนางถึงได้ปลีกตัวมาหานางได้ นางจึงทำขนมบัวลอยที่เคยทำเมื่อตอนงานหยวนเซียวให้พวกเขาได้กินกัน ทุกคนต่างคิดถึงบรรยากาศเก่า ๆ “ข้าคิดถึงงานเทศกาลโคมปีแรกของเจียงซู ข้าเกือบไม่รอดเสียแล้ว” เสิ่นหนิวที่จำช่วงนั้นได้ดี ไฟไหม้ตอนเทศกาลโคมไฟ มีเขาคนเดียวที่ติดอยู่ในกองเพลิงและพี่จื่อเถาก็กล้าหาญมากที่เข้าไปช่วยเขา แม้ตอนหลังท่านลุงเผิงหยวนจะมาช่วยพวกเขาอีกที “เวลาผ่านมาพอคิดย้อนไป พวกเราไม่น่ารอดกันมาได้เลย เจอแต่ละเหตุการณ์” ลู่หลงพูดขึ้นแล้วก็ขำ ความอดทนของพวกเขานี้จะมีใครเทียบได้อีก “ทั้งหมดเพราะพี่จื่อเถาต่างหาก ที่พาพวกเราผ่านความเป็นความตายมาได้ ตอนท่านยายตายข้าคิดจะตายตามท่านยายไปเสียแล้ว แต่ท่านก็ช่วยเหลือจนข้ามีกำลังใจสู้ต่อ” อี้หานกล่าว หากเขาเลือกตายตามท่านยายไปเขาจะไม่รู้เลยว่าตนเองยังมีญาติ แม้พวกเขาจะไม่ติดต่อตนก็ตาม แต่นับว่าไม่ได้อยู่ในโลกนี้โดดเดี่ยว และมีบ้านที่เจียงซูยังอบอุ่นเสมอ “ว่าแต่เจ้าเถอะ ทำไมมาก่อนสององค์ชายนั่น” จื่อเถาฟังพวกเขารำลึกความหลัง แล้วก็ต้องถามด้วยความประหลาดใ
“เจ้าว่าอึกเดียวจะเป็นอะไรไหม” ลู่หลงป้องปากกระซิบกระซาบกับลู่จิ่น ไม่ให้พี่ไป๋ได้ยิน “คงไม่เป็นอะไร ลูกผู้ชายต้องดื่มเหล้า ยิ่งธนู ขี่ม้า ถึงสมกับเป็นลูกผู้ชาย” ลู่จิ่นให้เหตุผลสนับสนุนการลองชิมสุราหลิ่งจือ แม้จะมีรสชาติหวานล้ำ แต่ว่าดื่มไม่ระวังก็เมาหัวทิ่มเช่นกันพี่จื่อเถาบอก จื่อเถาเดินมาสมทบเห็นเจ้าแฝดลู่กระซิบกระซาบอะไรกันแล้วก็อดสงสัยไม่ได้ เจ้าพวกนี้ต้องให้ท่านน้าของพวกเขาทำเรื่องไม่ดีแน่ “นั่นพวกเจ้าวางแผนอะไรกัน” จื่อเถาหรี่ตามองจับผิด ต่อให้โตแล้วสองแฝดแซ่ลู่ก็ยังแสบเหมือนตอนเด็ก ๆ นางไม่รู้ว่าความแสบสันนี้ได้มาจากใครกัน “ปะ...เปล่านะขอรับ ข้าเพียงตกลงกันว่าคืนนี้จะเอาเผิงซานกับเผิงซุนไปนอนด้วยก็เท่านั้น ไม่ได้วางแผนสักหน่อย” เสียงเล็กเสียงน้อยของลู่หลงตัดพ้อจื่อเถาทำเอานางอยากจะหยิกเหมือนตอนเด็ก ๆ เสียจริง “แม่หนูหนิงมาหาพี่จื่อเถาสิลูกให้ท่านพ่อเหลาดาบได้สะดวก” นางเห็นไป๋อวิ๋นเอาลูกสาวนั่งตักไปด้วยเหลาไม้ไปด้วยก็กลัวว่าเขาจะไม่ถนัด “เจ้าค่ะ” ไป๋หนิงวิ่งมาหาจื่อเถานางย่อตัวอุ้มน้องสาวที่อายุห่างกันมากเหลือเกินจนนางแทบเป
4 ปีผ่านไป จื่อเถาให้กำเนิดบุตรชายสี่คน เป็นฝาแฝดทั้งสองท้อง โดยมีชื่อ เผิงซาน เผิงซุน เผิงเซียว และเผิงซื่อ นางเลี้ยงเหล่าเด็ก ๆ ให้อยู่ใกล้ชิดธรรมชาติ นางแบ่งแปลงปลูกผูเถาสีแดง ใช้นำจากบ่อน้ำพุวิเศษรดทำให้ลูกดกยิ่งนัก และตอนนี้เหล้าหมักจากผลผูเถาชื่อว่าเหล้าหลิ่งจือที่แปลว่าความหอมหวานแห่งสายลมเป็นที่ต้องการของทั้งแคว้น และองค์รัชทายาทกับองค์ชายรองมาซื้อไปเกือบครึ่งของแต่ละรอบ ของการเปิดถังหมักทำให้เหล้าหลิ่งจื่อไม่พอต่อการขาย คราวนี้นางจึงไม่ให้พวกเขาซื้อและเอาขายหน้าร้านเพียงอย่างเดียวเท่านั้น ทำให้เขาตัดพ้อต่อว่านางเสียยกใหญ่ แต่นางก็ไม่สนใจเพราะมัวแต่เอาไปในวังทั้งองค์ชายอี้หาญและเขาทั้งสองก็ไม่เป็นอันทำอะไร ตกเย็นจับกลุ่มกันดื่มเหล้า “ท่านแม่ไหนี้ข้าชิมได้หรือไม่” เผิงซานเป็นพี่ใหญ่เกิดวันเดียวกับเผิงซุน แต่ความทะเล้นเหมือนได้ลู่หลงมาจนเต็มทั้งอยากชิมของทุกอย่างที่นางทำ กระทั่งเหล้าหมักผูเถาของนาง “เหล้ากินไม่ได้ เจ้าจะเมาเอา” จื่อเถายิ้มตอบพร้อมลูบหัวเจ้าก้อนซาลาเปาน้อยของนาง ยิ่งเห็นใบหน้าเศร้าทำเอานางอดขำไม่ได้ “ไปฝึกเพลงดาบกับท่านตาไป๋ของเจ้าดีหร







