LOGINไฉ่หงสาวใช้คนสนิทของฮูหยินผู้เฒ่าเดินมาติดตามเรื่องของสองแม่ลูก ที่วันนี้ได้ให้นายท่านอี้จัดการ และกำลังให้คนไปดูที่ศาลบรรพชนเฝ้าสองแม่ลูกคุกเข่า แต่ไม่คิดว่าพวกนางกำลังขนของออกจากเรือนซือเจีย นางจึงขวางเอาไว้ก่อน
“ไฉ่หงเจ้าหลบไปเสีย” จื่อเถาไม่เคยคิดเคารพคนของท่านย่าใจร้ายอยู่แล้ว ในเมื่อรังเกียจเราสองแม่ลูกก็ควรจะหลีกหนีให้ห่าง เหตุใดจึงมาขวางทางเช่นนี้เล่า
“นั่นพวกท่านจะไปที่ใด ไม่ใช่ว่าต้องไปคุกเข่าหรือ” ไฉ่หงไม่หลบทั้งยังขวางเอาไว้ แล้วเตือนให้สองแม่ลูกรู้ว่าควรไปที่ใด
“เหอะ...คุกเข่าไปคนเดียวสิ ข้าไม่คุกเข่าท่านแม่ของข้าก็ด้วย หลบไปต่อไปนี้เราสองแม่ลูกไม่ใช่คนตระกูลฟู่เฉียนแล้ว” จื่อเถาเดินเข้ามาผลักสตรีรูปชั่วผู้ที่มีจิตใจอำมหิตไม่ต่างจากนาย
“คุณหนู...นี่ท่าน” ไฉ่หงไม่กล้าเสียมารยาท อย่างไรก็เป็นคุณหนู แต่ทว่านางจะให้คำสั่งของฮูหยินผู้เฒ่ากลายเป็นเพียงลมปากไม่ได้ อย่างไรก็จะให้สองแม่ลูกไปคุกเข่าที่ศาลบรรพชน
“ท่านเป็นบ่าวของท่านย่า เหตุใดไม่ดูแลท่านย่า หรือแท้ที่จริงท่านย่านึกเป็นห่วงข้ากับท่านแม่ใช่หรือไม่
ให้ท่านมาดูแลเช่นนี้รบกวนแล้ว” จื่อเถาประชดประชัน เพราะไม่อยากอยู่ตระกูลนี้ให้ความอัปมงคลติดกายไปท่านแม่แต่งงานกับบ้านที่มีความคิดอัปมงคลเช่นนี้ได้อย่างไร มีอย่างที่ไหนส่งสตรีอุ่นเตียงให้บุตรชายสร้างความร้าวฉานไม่เว้นวัน สุดท้ายเพื่อไม่อยากให้ทายาทสืบสกุลฟู่เฉียนมีสายเลือดตระกูลชุยถึงกับยุยงท่านพ่อ อ้างเรื่องอำนาจเกื้อหนุนตระกูล ให้ปลดท่านแม่เป็นเพียงอนุแล้วให้สตรีชั่วเหยาเอินแต่งเข้ามาแทน
‘แม่ข้ายังไม่ตายสักหน่อย ทำเช่นนี้ก็เหลือคนเกินไปแล้ว’
“คุณหนูสำคัญตัวผิดไปแล้วกระมัง อย่างท่านสองคนแม่ลูกหรือจะมีคนห่วงใย” ไฉ่หงกล่าวอย่างถือดี นางเป็นสาวใช้คนสนิทของฮูหยินผู้เฒ่าย่อมต้องรู้ใจนายของตนเป็นอย่างดี
“แล้วท่านมาทำอันใด”
“มานำทางท่านไปศาลบรรพชน”
“ผิดแล้ว เมื่อครู่ท่านพ่อไล่เราสองแม่ลูกออกจากบ้านแล้ว ต่อไปนี้คนในตระกูลฟู่เฉียนไม่สามารถสั่งให้เราทำอันใดได้อีก เพราะเราสองคนจะไม่ทำ” จื่อเถาย่อมไม่เชื่อฟังคนที่นี่อยู่แล้ว ในเมื่อเลือกเดินออกไปย่อมไม่นึกเสียดายภายหลังแน่นอน
“นี่พวกท่าน...!” ไฉ่หงไม่คิดไม่ฝันเช่นกันว่านายท่านอี้จะไล่สองแม่ลูกจากไป เช่นนั้นหีบที่นางถืออยู่...
“เช่นนั้นก็ต้องให้เราตรวจของในมือท่าน เอาสิ่งใดออกไปหรือไม่”
“จะเอาสิ่งใดไปได้ เรือนซือเจียมีอันใดมีค่างั้นรึ
ข้าใช้ตาเล็ก ๆ ของข้าตรวจดูก็มีแต่เครื่องเรือนเก่า ๆ แจกันแตก ๆ ส่วนเครื่องประดับอื่น ๆ ไม่เคยได้รับมานานแล้ว ส่วนสินเดิมพวกท่านคงไม่อับจนกระทั่งยึดคืนของเราสองแม่ลูกหรอกนะ ไม่เช่นนั้นข้ากับท่านแม่จะไปร้องเรียนทางการ”ยุคนี้นางทราบว่าสินเดิมนั้นบ้านสามีไม่อาจแตะต้องได้ต่อให้แต่งกันมาแล้วก็ตาม นั่นทำให้ท่านแม่ของนางจึงยังมีทรัพย์สินอยู่บ้าง อีกอย่างท่านแม่ตัดสัมพันธ์กับบ้านท่านยายไป เอาไว้นางสืบดูแล้วค่อยฟื้นฟูความสัมพันธ์ให้กลับคืนมาอีกทีก็ไม่สาย แต่ก่อนจะคิดไปถึงจุดนั้นนางต้องทำให้ท่านแม่และนางมั่งคั่งร่ำรวยเสียก่อน เพื่อไม่ให้คนทางนั้น
ดูแคลนเราสองแม่ลูกท่านย่ามีบุตรชายคนเดียวคือท่านพ่อ เขาย่อมอยากให้ท่านพ่อมีทายาทสืบสกุลที่มาจากครอบครัวมั่งคั่ง แต่นางจะทำให้คนพวกนี้รู้สึกเสียดายที่เลือกตัดขาดตระกูลมารดาของนางให้จงได้
“มีค่าหรือไม่ตรวจดูก็รู้แล้ว” ไฉ่หงย่อมทำตามหน้าที่ตรวจสอบสองแม่ลูกให้เป็นไปตามที่ฮูหยินผู้เฒ่า
สั่งการ แต่ว่าเมื่อให้คนตรวจค้นดูแล้วก็ไม่มีสิ่งใดที่มีค่าคิดตัวไปเลย นั่นยิ่งสนับสนุนเรื่องที่คุณหนูจื่อเถาพูดว่าเรือนตะวันตกไม่มีสิ่งใดมีค่าเป็นความจริง“เอาคืนไป” ไฉ่หงตรวจค้นเสร็จก็ให้คนเอาของคืนสองแม่ลูกนั้นไป ส่วนนางก็ยังไม่หลีกทางให้แต่โดยดี ยังคงรั้งเอาไว้ก่อน เพราะเรื่องคำสั่งไล่สองแม่ลูกนี้ยังไม่ถูกประกาศออกมา ไม่แน่ว่านางกับแม่ของนางจะถือโอกาสนี้ออกไปด้านนอก
“ข้าก็บอกอยู่ว่าไม่มีอะไร แล้วท่านก็หลีกไปได้แล้ว หากท่านพ่อมาต่อว่าข้าสองแม่ลูกอีก ข้าจะบอกว่าเป็นท่านที่ขัดขวางไม่ยอมให้เราออกจากตระกูล หรือที่จริงแล้วท่านย่าเพียงแต่ร้ายกับเราเพียงลมปาก ที่จริงก็อยากให้เราเป็นคนสำคัญของจวนใช่หรือไม่”
จื่อเถาพลิกลิ้นเมื่อเห็นฮูหยินเดินผ่านมา และได้ผลนางทำให้คนอย่างเหยาเอินร้อนรน ถึงขนาดเบี่ยงทิศเดินทางมาทางด้านเรือนของนางแทนที่จะมุ่งหน้าไปยังเรือนของท่านย่าเพื่อไปสอพลอเช่นเคย
“ไฉ่หง เอะอะสิ่งใดกัน” เสียงที่มีพลังเปล่งขึ้นทำเอาไฉ่หงต้องก้มหน้า นางรับรู้ว่าฮูหยินไม่ชอบใจสองแม่ลูกเพราะฮูหยินผู้เฒ่ายุยง แต่ทว่าอำนาจในตระกูลฮูหยินก็มากกว่านางอยู่ดี
“ฮูหยินใหญ่มาก็ดีแล้ว ท่านพ่อไล่เราสองคนแม่ลูกออกจากจวน แต่ท่านดูเอาเถิด ดูเหมือนท่านย่าจะไม่พอใจการลงโทษของท่านพ่อ ที่ให้เราออกจากตระกูล ถึงขนาดส่งไฉ่หงมาขัดขวาง เช่นนี้พวกเราคงต้องอยู่ต่อไปแล้วกระมัง”
จื่อเถาพูดจ้อย ๆ ไม่นึกเกรงบารมีผู้ใด ยิ่งพูดคำที่ทำให้ระคายหูแม่เลี้ยงของนาง ยิ่งทำให้จุดไฟโทสะในอกของเหยาเอินให้ปะทุ และช่วยให้การออกจากจวนของเราสองแม่ลูกยิ่งกว่าราบรื่น
“ไฉ่หง เจ้ากล้าขัดคำสั่งนายท่านงั้นหรือ” เหยาเอินไม่พอใจ ไม่รู้ว่าท่านแม่สามีคิดอย่างไร เห็นอยู่ว่ารักเอ็นดูนาง แต่ทำไมสองแม่ลูกนี้กำลังออกจากตระกูลกลับมาขัดขวาง
‘หรือที่แท้แค่สวมหน้ากากใส่นางกัน’
“เอ่อ...ฮูหยิน...บ่าว...บ่าวเปล่าเจ้าค่ะ”
“เปล่าอันใด เห็นอยู่ว่าเจ้าขวางทาง ก่อนตะวันตกดินเราสองแม่ลูกต้องออกจากตระกูล ทั้งท่านพ่อยังสั่งบ่าวให้เอาเกลือมาโรยล้างเสนียด เจ้าก็กล้าขัดหรือ”
คำพูดที่เหลือนางแต่งขึ้นมาเอง เมื่อท่านแม่สะกิดนาง จึงหันมาขยิบตาเล็กน้อยเป็นอันรู้กัน แล้วนางกับแม่ก็ลอบยิ้มไม่ให้ผู้ใดเห็น
“พวกเจ้าออกไป ไปแล้วไปลับอย่ากลับมาเหยียบตระกูลฟู่เฉียนอีก” เหยาเอินไม่รอช้าผสมโรงไล่สองแม่ลูกไปทันที นางไม่เข้าใจแม่สามีว่ากำลังวางแผนสิ่งใดอยู่ในใจ ดังนั้นเลือกกำจัดสองแม่ลูกนี้ก่อนน่าจะเป็นเรื่องที่ดี
จื่อเถาเดินนำหน้ามารดาไม่เหลียวหลังออกจากตระกูลเน่า ๆ นี้ไป
‘ท่านย่าน่ารังเกียจ บิดาชั่วช้า แม่เลี้ยงใจร้ายอยู่ให้โง่สิ!’
คนของฮูหยินฟู่เฉียนเดินตามพวกนางสองแม่ลูกมาห่าง ๆ คงมาดูให้แน่ใจว่านางออกจากตระกูลจริงหรือไม่ แต่จื่อเถาไม่สนใจนาง เรียกคนรับจ้างรถลากให้ไปส่งที่ร้านค้าในตลาดการค้าฮกเกี้ยน ที่มีร้านค้าที่เป็นชื่อของท่านแม่อยู่
“ท่านแม่ต่อไปชีวิตพวกเราจะดีขึ้นแล้วเจ้าค่ะ”
จื่อเถากุมมือมารดา แค่หลุดจากบิดาใจร้ายใจดำผู้นั้นมาได้ ชีวิตพวกนางก็สูงขึ้นแล้ว ชะตาชีวิตของจื่อเถาน้อยก็จะเริ่มเปลี่ยนสินะ“ตรงร้านค้าโน้นใช่หรือไม่นายหญิง” คนลากรถถามย้ำเพื่อความแน่ใจ ชุยชิงชิงจึงตอบกลับด้วยน้ำเสียงอ่อนหวาน
“ใช่เจ้าค่ะท่านลุง ร้านค้าของข้าอยู่ตรงนั้น” ร้านค้าที่ท่านแม่ของชุยชิงชิงยกให้นั้น เป็นร้านค้าที่มีทำเลที่ดีในย่านการค้าฮกเกี้ยนในเมืองหลวงตานหยาง แคว้นจิงฉู่แห่งนี้ เดิมนางอยากขยับขยายแต่ทว่าแต่งงานไป สามีก็จุนเจือน้อยนัก เพราะท่านแม่สามีที่ตั้งแง่รังเกียจนาง
เมื่อมาถึงร้านค้าของตนที่ยังไม่ทรุดโทรมนัก แววตากลับหม่นลง ‘ท่านแม่คงส่งคนมาดูแลสินะ’ ชุยชิงชิงคิดถึงมารดายิ่ง ต่อให้นางดื้อด้านเพียงใด ท่านแม่ก็ยังรักและเป็นห่วงนางเสมอ
แต่เหมือนว่าด้านข้างร้านของนางจะมีเรื่องอะไรสักอย่างผู้คนมุงกันมาก ทำให้นางและบุตรสาวอยากรู้ไปด้วยสองแม่ลูกเดินไปทางนั้น ก็ได้ยินเสียงเด็กร้องไห้โหยหวน
พาให้นึกอยากรู้เรื่องราวความเป็นมาเสียงกระบี่ดึงจากฝัก ทำให้คนที่อยู่ในชุดแดงเจ้าสาวภายใต้ผ้าคลุมถึงกับสะดุ้ง ความมืดรอบกายทำให้นางตัวสั่นเทาแสงกระบี่ที่สะท้อนกับแสงจันทร์จากหน้าต่างแยงตาทำให้นางถอยทั้งที่ยังคลุมผ้าจนไปนั่งลงบนเตียง “ฮึก...ไม่นะ” จื่อเถาส่ายหน้าเบา ๆ นางไม่อยากตายในคืนเข้าหอ นาง...นางอยากอยู่ต่อมีชีวิตกับคนที่รัก ปลายกระบี่ตวัดขึ้นทำให้ผ้าคลุมหน้าเจ้าสาวเปิดออก ใบหน้าคนผู้นี้มืดดำไปด้วยความคับแค้น นางส่ายหน้าไปมาหาทางหนีรอดแต่ไม่มี “ชะ...ช่วย...ช่วยด้วย” เสียงหวีดร้องของจื่อเถาดังขึ้นสุดเสียง แต่ทว่าไม่ทำให้คนที่ยืนตรงหน้าลดกระบี่ลงเลยสักนิดทั้งเสียบเข้ามาที่กลางท้อง ฉึก! กรี๊ด!!! เสียงกรีดร้องพร้อมกับร่างที่ลุกขึ้นนั่งหอบหายใจ ทำให้คนที่นอนเคียงข้างนางตื่นขึ้นมา แล้วโอบกอดนางไว้ “เจ้าเป็นอะไรไป...ฮูหยินของข้า” เขาดึงนางเข้ามากอดปลอบลูบหลังเบา ๆ ให้นางสงบใจ หากให้เดานางคงฝันร้ายกระมังถึงได้ร้องขนาดนี้ “ท่านพี่ข้า...ข้าฝันไป” จื่อเถาไม่รู้จะบอกอย่างไรดี นางฝันถึงคืนแต่งงานและถูกสังหารอย่างเลือดเย็น หรือนี่จะเป็นวิญญาณจื่อเถาที่แท้จ
ลู่หลงเจ็บปวดใจที่โดนแกล้ง วันนี้เขาตื่นแต่เช้ามาผัดข้าวผัดให้ทุกคนได้กินฝีมือเขาเพื่อเป็นการสั่งสอน โดยไม่บอกผู้ใดด้วย วันนี้เป็นวันส่งท้ายปี เช่นนั้นเจ้าพวกนี้ต้องโดนเขาสั่งสอน กลิ่นหอมของข้าวผัดคลุ้งไปทั่ว และแน่นอนว่าลู่หลงไม่ให้พวกเขารู้เด็ดขาดว่าข้าวผัดนี้ฝีมือเขาทำ เพราะถ้ารู้เจ้าพวกนี้จะบ่ายเบี่ยงไม่ยอมกินเข็ดหลาบตั้งแต่ครั้งพี่จื่อเถาป่วย “พวกเจ้าต้องได้กินข้าวผัดฝีมือข้า...!”เสียงที่อำมหิตนั้นทำเอาจื่อเถาที่แอบเข้ามาดูในครัวว่าผู้ใดทำอาหารกัน เห็นเจ้าลู่หลงตัวแสบแอบมาทำก็เข้าใจทันทีว่าเขาโดนกลั่นแกล้งจึงต้องเอาคืน นางจะเก็บไว้เป็นความลับก็แล้วกัน แล้วไปดูสาวใช้จัดเตรียมเครื่องเซ่นไหว้บรรพบุรุษว่าไปถึงไหนแล้วกระดาษแดงเขียนคำว่ามงคลประดับอยู่ ร่ำรวยเงินทอง มีกินมีใช้ อายุยืนนาน ติดรอบบ้านทำให้ดูครึกครื้นยิ่งนักบรรยากาศเช่นนี้ดีจริง ๆ บรรยากาศแสนอบอุ่น พี่น้องพร้อมหน้า ทำกิจกรรมร่วมงานหลังจากเมื่อวานให้คนจัดการเรื่องศพของท่านยายเหิงเจี๋ย นางก็ให้ท่านหมอจากในเมืองมาตรวสุขภาพคนแก่คนเฒ่าในหมู่บ้าน ทั้งจัดยาให้โดยนางออกค่าใช้จ่ายให้ทั้งหมด ปีนี้ผลผลิตไม่ได้ตามเ
“ท่านพูดอะไรเจ้าคะ” จื่อเถามึนไปหมด วันนี้นางพูดอะไรผิดไปหรือ ไปต่อว่าเขาเมื่อไหร่กันแน่ “ก็เจ้า...ชอบทุกคนที่ซื้อของให้ แต่ข้าซื้อให้เจ้าไม่เห็นชมข้าบ้างเลย” จื่อเถาไม่คิดว่าเขาจะคิดเยอะขนาดนี้ อยู่ด้วยกันมาหลายปี มีลูกด้วยกันตั้งสี่คน แต่อย่างว่าครอบครัวก็ต้องใส่ใจทุกคนอย่างเท่าเทียมสินะ นางเข้าไปสวมกอดเขาไว้ ซุกหน้ากับแผ่นหลังคล้ายอ้อนเล็กน้อย ทำให้อีกคนที่กำลังน้อยใจภรรยาสีหน้าดีขึ้น “ท่านพี่...ท่านนะดีที่สุดในใจข้าแล้ว ตั้งแต่แต่งงานกันมาท่านดูแลข้าดีที่สุด” เสียงอ่อนหวานทำให้อีกคนยิ้มออก มือหนายกขึ้นทาบมือนุ่มของนางเอาไว้ บอกให้รู้ว่าเขารักนางมากเพียงใด จื่อเถาเคยแต่ดูแลทุกคนมาตลอดชีวิต เมื่อแต่งงานจึงได้เข้าใจว่าการได้มีคนดูแลมันดีเพียงใด แล้วเขาจะไม่ดีได้อย่างไรกันเล่า “เช่นนั้นเจ้าชมข้าบ่อย ๆ ดีหรือไม่” เขาหันกลับมาหานางแล้วยกนางขึ้นอุ้มเดินไปที่เตียง และไม่ต้องบอกก็รู้ว่าสามีต้องการสิ่งใด “ได้...ข้าจะชมท่านทั้งคืน” แล้วคนขี้น้อยใจก็ร่วมรักภรรยาคนงามทั้งคืน วันถัดมาเหล่าองค์ชายอีกสองคนจึงตามมาสมทบและได้พั
หลังจากพาเด็ก ๆ นอนกลางวันแล้ว เหล่าพี่น้องของนางถึงได้ปลีกตัวมาหานางได้ นางจึงทำขนมบัวลอยที่เคยทำเมื่อตอนงานหยวนเซียวให้พวกเขาได้กินกัน ทุกคนต่างคิดถึงบรรยากาศเก่า ๆ “ข้าคิดถึงงานเทศกาลโคมปีแรกของเจียงซู ข้าเกือบไม่รอดเสียแล้ว” เสิ่นหนิวที่จำช่วงนั้นได้ดี ไฟไหม้ตอนเทศกาลโคมไฟ มีเขาคนเดียวที่ติดอยู่ในกองเพลิงและพี่จื่อเถาก็กล้าหาญมากที่เข้าไปช่วยเขา แม้ตอนหลังท่านลุงเผิงหยวนจะมาช่วยพวกเขาอีกที “เวลาผ่านมาพอคิดย้อนไป พวกเราไม่น่ารอดกันมาได้เลย เจอแต่ละเหตุการณ์” ลู่หลงพูดขึ้นแล้วก็ขำ ความอดทนของพวกเขานี้จะมีใครเทียบได้อีก “ทั้งหมดเพราะพี่จื่อเถาต่างหาก ที่พาพวกเราผ่านความเป็นความตายมาได้ ตอนท่านยายตายข้าคิดจะตายตามท่านยายไปเสียแล้ว แต่ท่านก็ช่วยเหลือจนข้ามีกำลังใจสู้ต่อ” อี้หานกล่าว หากเขาเลือกตายตามท่านยายไปเขาจะไม่รู้เลยว่าตนเองยังมีญาติ แม้พวกเขาจะไม่ติดต่อตนก็ตาม แต่นับว่าไม่ได้อยู่ในโลกนี้โดดเดี่ยว และมีบ้านที่เจียงซูยังอบอุ่นเสมอ “ว่าแต่เจ้าเถอะ ทำไมมาก่อนสององค์ชายนั่น” จื่อเถาฟังพวกเขารำลึกความหลัง แล้วก็ต้องถามด้วยความประหลาดใ
“เจ้าว่าอึกเดียวจะเป็นอะไรไหม” ลู่หลงป้องปากกระซิบกระซาบกับลู่จิ่น ไม่ให้พี่ไป๋ได้ยิน “คงไม่เป็นอะไร ลูกผู้ชายต้องดื่มเหล้า ยิ่งธนู ขี่ม้า ถึงสมกับเป็นลูกผู้ชาย” ลู่จิ่นให้เหตุผลสนับสนุนการลองชิมสุราหลิ่งจือ แม้จะมีรสชาติหวานล้ำ แต่ว่าดื่มไม่ระวังก็เมาหัวทิ่มเช่นกันพี่จื่อเถาบอก จื่อเถาเดินมาสมทบเห็นเจ้าแฝดลู่กระซิบกระซาบอะไรกันแล้วก็อดสงสัยไม่ได้ เจ้าพวกนี้ต้องให้ท่านน้าของพวกเขาทำเรื่องไม่ดีแน่ “นั่นพวกเจ้าวางแผนอะไรกัน” จื่อเถาหรี่ตามองจับผิด ต่อให้โตแล้วสองแฝดแซ่ลู่ก็ยังแสบเหมือนตอนเด็ก ๆ นางไม่รู้ว่าความแสบสันนี้ได้มาจากใครกัน “ปะ...เปล่านะขอรับ ข้าเพียงตกลงกันว่าคืนนี้จะเอาเผิงซานกับเผิงซุนไปนอนด้วยก็เท่านั้น ไม่ได้วางแผนสักหน่อย” เสียงเล็กเสียงน้อยของลู่หลงตัดพ้อจื่อเถาทำเอานางอยากจะหยิกเหมือนตอนเด็ก ๆ เสียจริง “แม่หนูหนิงมาหาพี่จื่อเถาสิลูกให้ท่านพ่อเหลาดาบได้สะดวก” นางเห็นไป๋อวิ๋นเอาลูกสาวนั่งตักไปด้วยเหลาไม้ไปด้วยก็กลัวว่าเขาจะไม่ถนัด “เจ้าค่ะ” ไป๋หนิงวิ่งมาหาจื่อเถานางย่อตัวอุ้มน้องสาวที่อายุห่างกันมากเหลือเกินจนนางแทบเป
4 ปีผ่านไป จื่อเถาให้กำเนิดบุตรชายสี่คน เป็นฝาแฝดทั้งสองท้อง โดยมีชื่อ เผิงซาน เผิงซุน เผิงเซียว และเผิงซื่อ นางเลี้ยงเหล่าเด็ก ๆ ให้อยู่ใกล้ชิดธรรมชาติ นางแบ่งแปลงปลูกผูเถาสีแดง ใช้นำจากบ่อน้ำพุวิเศษรดทำให้ลูกดกยิ่งนัก และตอนนี้เหล้าหมักจากผลผูเถาชื่อว่าเหล้าหลิ่งจือที่แปลว่าความหอมหวานแห่งสายลมเป็นที่ต้องการของทั้งแคว้น และองค์รัชทายาทกับองค์ชายรองมาซื้อไปเกือบครึ่งของแต่ละรอบ ของการเปิดถังหมักทำให้เหล้าหลิ่งจื่อไม่พอต่อการขาย คราวนี้นางจึงไม่ให้พวกเขาซื้อและเอาขายหน้าร้านเพียงอย่างเดียวเท่านั้น ทำให้เขาตัดพ้อต่อว่านางเสียยกใหญ่ แต่นางก็ไม่สนใจเพราะมัวแต่เอาไปในวังทั้งองค์ชายอี้หาญและเขาทั้งสองก็ไม่เป็นอันทำอะไร ตกเย็นจับกลุ่มกันดื่มเหล้า “ท่านแม่ไหนี้ข้าชิมได้หรือไม่” เผิงซานเป็นพี่ใหญ่เกิดวันเดียวกับเผิงซุน แต่ความทะเล้นเหมือนได้ลู่หลงมาจนเต็มทั้งอยากชิมของทุกอย่างที่นางทำ กระทั่งเหล้าหมักผูเถาของนาง “เหล้ากินไม่ได้ เจ้าจะเมาเอา” จื่อเถายิ้มตอบพร้อมลูบหัวเจ้าก้อนซาลาเปาน้อยของนาง ยิ่งเห็นใบหน้าเศร้าทำเอานางอดขำไม่ได้ “ไปฝึกเพลงดาบกับท่านตาไป๋ของเจ้าดีหร







