Masukพระราชวังต้าหมิงกง
ตำหนักองค์ชายหลี่หลงจี พระวรกายสูงใหญ่ของโอรสสวรรค์ พระนามหลี่หลงจี กำลังทอด พระเนตรภาพเขียนสีตรงหน้าด้วยความพึงพอพระทัยเป็นยิ่งนัก ด้วยภาพวาดดังกล่าวปรากฏเป็นภาพอิสตรีที่กำลังยืนชมดอกโบตั๋น ภาพวาดที่ขึ้นเป็นมันวาวยิ่งขับให้อิสตรีที่อยู่ในภาพดังกล่าวงดงามอย่างยิ่งยวด เสียงฝีเท้าของคนกำลังเดินก้าวเข้ามาใกล้พระตำหนัก พร้อมเสียงพูดคุยกับทหารรักษาการณ์อยู่หน้าตำหนักเพียงครู่ก่อนจะปรากฏร่างของแม่ทัพใหญ่จ้าวเทียนอี้หยุดยืนอยู่หน้าประตู “องค์ชายมีรับสั่งให้กระหม่อมเข้าเฝ้ามีสิ่งใดหรือพ่ะย่ะค่ะ” แม่ทัพหนุ่มเอ่ยทูลถามพร้อมพระวรกายขององค์ชายหันกลับมาทอดพระเนตรแม่ทัพหนุ่มรูปงาม “ทหารหลวงไปตามเจ้าทันเวลา หาไม่แล้วเจ้าคงจะออกเดินทางไปแล้วสินะ” รับสั่งถามกลับไป “ใช่แล้วพ่ะย่ะค่ะ... ว่าแต่องค์ชายมีเหตุสิ่งใดหรือที่เรียกกระหม่อมเข้าเฝ้า” จ้าวเทียนอี้กราบทูลถามด้วยความสงสัย ก่อนจะเหลือบสายตาเห็นภาพวาดที่อยู่ในพระหัตถ์ และกำลังถูกยื่นให้ตรงหน้า “ข้าต้องการให้เจ้าตามหาหญิงงามในภาพวาดนี้ให้กับข้า มันเป็นภาพวาดที่ถูกส่งมาจากหัวเมืองไม่รู้ว่าเป็นหัวเมืองไหน เจ้ามีฝ่ายข่าวฝีมือดีมากมายจงส่งกำลังให้ออกตามหานางในภาพวาดนี้ว่าแท้จริงแล้วมีตัวตนจริงหรือไม่ หรือเป็นเพียงแค่ภาพวาดตามจินตนาการของเหล่าจิตรกรเท่านั้นเอง” รับสั่งพร้อมยื่นภาพวาดดังกล่าวให้กับแม่ทัพคู่พระทัย จ้าวเทียนอี้รับภาพวาดดังกล่าวจากพระหัตถ์ก่อนจะก้มลงมองภาพตรงหน้าอย่างพิเคราะห์ให้ถี่ถ้วนและทันทีที่สายตาเห็นภาพวาดหญิงงามตรงหน้า หัวใจของแม่ทัพรูปงามแทบจะหยุดหายใจไปชั่วขณะ เมื่อพบว่าภาพวาดของหญิงงามตรงหน้านี้งดงามดั่งเทพธิดาบนสรวงสวรรค์ แม่ทัพหนุ่มยืนนิ่งไม่ไหวติงเป็นอยู่เช่นนั้นนิ่งนาน “แม่ทัพจ้าว!” องค์ชายหนุ่มรับสั่งเรียกขุนพลคู่พระทัย ทว่าหามีปฏิกิริยาตอบสนองจนต้องมีรับสั่งอีกครั้ง “จ้าวเทียนอี้!” ครานี้รับสั่งชื่อแซ่ด้วยสุรเสียงเน้นหนักและนั่นทำให้แม่ทัพรูปงามตื่นจากภวังค์ “อะ... เอ่อ... พ่ะย่ะค่ะองค์ชาย กระหม่อมต้องขอพระราชทานอภัยที่ไม่ได้ยินรับสั่งของพระองค์” องค์ชายหนุ่มทรงพระสรวลออกมาเบาๆ ก่อนจะมีรับสั่งขึ้น “ข้าไม่แปลกใจหรอกที่เจ้าจะมีอาการเป็นเช่นนั้น เพราะครั้งแรกที่ข้าเห็นภาพนี้ ก็มีอาการไม่แตกต่างไปจากเจ้าแม้แต่น้อย ข้าจึงใคร่รู้ยิ่งนักว่าหญิงงามในภาพวาดมีตัวตนจริงหรือไม่ ดังนั้นจึงเรียกเจ้ามาพบเพื่อให้ฝ่ายข่าวของเจ้าติดตามนางให้ข้า เพื่อที่ข้าจะเตรียมการคิดทำสิ่งใดต่อไป” แม่ทัพหนุ่มยืนนิ่งฟังอย่างสงบ ครั้นเมื่อได้ยินเช่นนั้นอดไม่ได้ที่จะเอ่ยกราบทูลออกไป “กราบทูลองค์ชาย หญิงงามในภาพวาดโอกาสที่จะเป็นคนจริงๆ ยากยิ่งนัก หญิงงามในภาพวาดนางงดงามราวเทพธิดาอย่างยิ่งยวด หามีอิสตรีใดในต้าถังปรากฏหญิงที่มีลักษณะเช่นนี้แม้แต่น้อย เกรงว่าจะเป็นเพียงจินตนาการของนักจิตรกรฝีมือเยี่ยมต่างหากเล่าที่เสกสรรภาพวาดนี้ขึ้นมา” พระเนตรขององค์ชายหนุ่มมีแววผิดหวังเมื่อได้ยินเช่นนั้น หากแต่ก็ยังไม่ทรงละความพยายามที่ทรงตั้งใจเอาไว้แต่แรกเริ่มว่าจะต้องค้นหาหญิงงามในภาพวาดนี้ให้ได้ ก่อนจะได้ยินแม่ทัพตรงหน้าเอ่ยแทรกขึ้น “กระหม่อมขอบังอาจทูลถามพระองค์สักเพียงคำจะได้หรือไม่” พระขนงคมเข้มขมวดมุ่นเข้าหากันด้วยความสงสัยเมื่อทรงได้ยินเช่นนั้น “เจ้าอยากถามอะไรก็จงว่ามา” ครั้นทรงประทานอนุญาตจ้าวเทียนอี้จึงกราบทูลถามออกไปทันที “หากแม้นหญิงงามในภาพวาดเกิดมีตัวตนขึ้นมาจริงๆ แล้วไซร้พระองค์หมายมั่นจะให้นางเข้ามาเป็นพระสนมใช่หรือไม่พ่ะย่ะค่ะ” คำกล่าวของแม่ทัพจ้าวทำให้พระองค์แย้มสรวลออกมาทันที ผิดกับเมื่อครู่ที่ผ่านมาอย่างสิ้นเชิง “ข้าหมายใจให้นางเป็นฮองเฮาเคียงข้างกายข้า มันเป็นสิ่งที่คู่ควรแล้วสำหรับนาง ข้าบอกเจ้าตามตรงได้เลยว่า หญิงงามในภาพวาดทำให้ข้าตกหลุมรักนางทันที แม้ว่าจะมีหญิงงามข้างกายข้ามากมายแต่ไม่เคยมีผู้ใดทำให้หัวใจข้าเป็นเยี่ยงนี้มาก่อน เพราะฉะนั้นไม่ว่าจะอย่างไรก็ตาม ข้าจะต้องส่งคนออกติดตามนางให้ทั่วแผ่นดินให้จงได้ ข้าจะใช้อำนาจที่ข้ามีหลังจากขึ้นครองบัลลังก์แล้วหานางให้พบ” รับสั่งของพระองค์ทำให้จ้าวเทียนอี้ถึงกับยืนนิ่งไปโดยพลัน การเปลี่ยนตัวฮองเฮาที่มีการดูลักษณะเอาไว้แล้วล่วงหน้าเพื่อเตรียมพิธีอภิเษกหลังจากพระองค์ขึ้นครองบัลลังก์กระทบกับเสนาบดีเว่ยมากที่สุด “แต่ฝ่ายในได้คัดสรรหญิงงามผู้ที่จะมาเป็นฮองเฮาข้างพระวรกายเอาไว้เรียบร้อยแล้ว ทันทีที่พระองค์ขึ้นครองราชย์ ซึ่งผู้ที่จะมาเป็นฮองเฮาเคียงข้างพระวรกายของพระองค์จะต้องมีลักษณะตามโบราณราชประเพณีที่สืบทอดต่อๆ กันมาเพราะการให้กำเนิดโอรสสวรรค์เพื่อเป็นรัชทายาทสืบทอดบัลลังก์จำต้องอาศัยปัจจัยหลายต่อหลายอย่าง” แม่ทัพหนุ่มกราบทูลแสดงความคิดเห็นของตน ก่อนจะหยุดชะงักเมื่อเห็นพระองค์ดำเนินเข้ามาใกล้ พร้อมสุรเสียงรับสั่ง “ในเมื่อข้าจะขึ้นเป็นองค์จักรพรรดิในอีกไม่กี่เดือนข้างหน้านับต่อจากนี้ ข้าก็ต้องการที่จะเลือกฮองเฮาด้วยตัวของข้าเองเช่นกัน ฝ่ายในจะต้องมีหน้าที่ทำตามคำสั่งของข้า มิใช่ข้าต้องทำตามคำสั่ง ข้าจะทำการเปลี่ยนแปลงระเบียบของฝ่ายในในการคัดเลือกฮองเฮาและพระมเหสีตลอดจนพระสนมแห่งแผ่นดินต้าถังเสียใหม่ เพื่อให้ฮ่องเต้มีส่วนร่วมในการคัดสรรหญิงงามจากทุกสารทิศนี้ด้วย” “แต่องค์ชาย...” หากแต่ยังมิทันกล่าวสุรเสียงก็แทรกขึ้นดังก้อง “พอได้แล้ว! ข้าไม่ต้องการฟังอะไรอีก... เจ้ามีหน้าที่รับคำสั่งจากข้าให้ไปทำอะไรก็จงจัดการตามที่ข้าต้องการ หากแม้นนางไม่มีตัวตนจริงๆ แล้วไซร้ข้าจะได้ตัดใจ” รับสั่งของพระองค์ทำให้แม่ทัพหนุ่มสิ้นคำจะกล่าวสิ่งใดออกมาอีก “กระหม่อมจะสั่งฝ่ายข่าวลงไปให้ออกตามหาหญิงงามในภาพวาดนี้ตามพระประสงค์พ่ะย่ะค่ะ ได้ผลเช่นไรจะมากราบทูลให้พระองค์ทรงทราบ เช่นนั้นกระหม่อมขอทูลลาเพื่อเตรียมตัวออกเดินทาง” กล่าวพร้อมใช้มือม้วนภาพวาดตรงหน้าเก็บให้เรียบร้อยพร้อมใช้เชือกรัดและผูกติดกันจนแน่น ท่ามกลางสายพระเนตรขององค์ชายหลี่หลงจี ทอดพระเนตรตามด้วยความรู้สึกหทัยหายที่จะไม่ได้ทอดพระเนตรภาพวาดตรงหน้านั้นอีก “ข้าหวังว่าจะได้รับข่าวดีจากเจ้า” รับสั่งย้ำเตือนกับขุนพลหนุ่มเป็นการตบท้าย จ้าวเทียนอี้โค้งถวายบังคมพร้อมกราบทูลกลับไป “กระหม่อมอยากให้พระองค์ทำพระทัยเผื่อไว้ล่วงหน้า เพราะหญิงงามเช่นนี้จะพบได้ก็บนสรวงสวรรค์เท่านั้น” หากแต่คำกราบทูลของแม่ทัพรูปงามกลับทำให้พระองค์ไม่คิดเช่นนั้น “แต่ข้าเห็นต่างไปจากเจ้า หลงลืมไปแล้วหรือไรว่าแผ่นดินอันกว้างใหญ่นี้ปรากฏอิสตรี ที่มีความงดงามอันลือเลื่องเกิดขึ้นมาแล้ว หญิงงามไซซี ผู้ซึ่งได้รับฉายานามว่า “มัจฉาจมวารี” ความงามของนางที่ทำให้แม้แต่ฝูงปลายังต้องจมลงสู่ใต้น้ำ หรือแม้กระทั่งหวังเจาจิน ซึ่งมีฉายาว่าปักษีตกนภา ความงามของนางที่ทำให้แม้แต่ฝูงนกยังต้องร่วงหล่นจากท้องฟ้า ทุกนางล้วนมีตัวตนและเลือดเนื้อสามารถจับต้องได้ ไม่ใช่ว่าไม่เคยเกิดขึ้น” พระองค์ยังคงยืนกรานตามความคิด จ้าวเทียนอี้สิ้นคำจะกล่าวสิ่งใดต่อไปอีกได้แต่ยืนเงียบงันอยู่เช่นนั้น เพราะกราบทูลสิ่งใดออกไปก็มิอาจล้มเลิกความตั้งใจของพระองค์เป็นแม่นมั่น จึงตัดสินใจกราบทูลเพื่อเป็นการตัดบทออกไป “กระหม่อมจะพยายามค้นหาหญิงงามผู้นี้ตามรับสั่งของพระองค์อย่างสุดความสามารถพ่ะย่ะค่ะ และต้องกราบทูลพระองค์ให้ทราบล่วงหน้าว่าภาพวาดนี้กระหม่อมจะให้จิตรกรเอกที่มิใช่ในวังหลวงทำการคัดลอกภาพวาดต้นแบบ ป้องกันมิให้ผู้ใดล่วงรู้รายละเอียดเกี่ยวกับภาพ วาดนี้ว่ามาจากที่ใด เพื่อแจกจ่ายให้กับสายข่าวที่อยู่ทุกหัวเมืองและทุกมณฑลของต้าถัง และให้สายข่าวทุกหัวเมืองส่งข่าวรายงานทุกๆ สิบหาวันพ่ะย่ะค่ะ” และนั่นทำให้องค์ชายหลี่หลงจีก้มพระพักตร์ขึ้นลงติดๆ กันพร้อมแย้มสรวลด้วยความพึงพอพระทัยเมื่อได้ยินเช่นนั้นพระเนตรยังคงจับอยู่ที่ร่างของขุนพลคู่ใจที่กำลังก้าวถอยหลังออกไปจากพระตำหนักอย่างช้าๆ ก่อนจะทรงมีรับสั่งขึ้นอีกครั้ง “เดี๋ยวก่อน... เทียนอี้!” ร่างใหญ่ของแม่ทัพหนุ่มหยุดชะงักโดยพลันเมื่อได้ยินรับสั่งเพรียกหาตามหลัง ก่อนจะหันกลับมาอย่างรวดเร็ว “องค์ชายมีสิ่งใดจะสั่งความอีกอย่างนั้นหรือพ่ะย่ะค่ะ” องค์ชายสามพระดำเนินเข้ามาใกล้ก่อนจะหยุดประทับอยู่ตรงหน้าแม่ทัพรูปงาม “ข้าต้องการความคืบหน้าสิ่งที่สั่งให้เจ้าไปสืบค้นหาเกี่ยวกับคัมภีร์อมตะที่กล่าวขานกันมาอย่างช้านาน มีความคืบหน้าเป็นอย่างไรบ้าง อีกไม่กี่เดือนข้างหน้าข้าจะขึ้นครองบัลลังก์เป็นผู้ครอบครองแผ่นดินนี้ ดังนั้นคัมภีร์อมตะที่หายสาบสูญไปข้านั้นก็อยากได้ครอบครองไว้เช่นกัน ชีวิตที่มิมีวันตายและคงความอ่อนเยาว์ไม่ชราภาพเป็นสุดยอดปรารถนาขององค์ฮ่องเต้มาทุกรัชกาล เพราะฉะนั้นเจ้าต้องหาให้พบนะจ้าวเทียนอี้” พระองค์รับสั่งแกมบังคับเอาแต่พระทัยองค์เอง ดวงตาดำใหญ่ของแม่ทัพหนุ่มก้มมองลงต่ำราวกับว่ากำลังปกปิดอะไรบางอย่างที่ตนล่วงรู้อยู่แก่ใจ “คัมภีร์อมตะเป็นตำนานเล่าขานสืบต่อกันมานานนับตั้งแต่สร้างแผ่นดิน จะมีอยู่จริงหรือไม่ดั่งเช่นงมเข็มในมหาสมุทรก็ว่าได้ หากแม้นมีอยู่จริงแล้วไซร้จะล่วงรู้เช่นไรว่ามีลักษณะอย่างใดบ้างแม้นว่าจะพานพบก็ใช่ว่าจะอ่านได้เพราะคัมภีร์ดังกล่าวข้าได้ยินมาว่าจารึกด้วยอักษรโบราณ จะมีผู้ใดหยั่งรู้สามารถอ่านได้กระนั้นหรือพ่ะย่ะค่ะ” คำกล่าวของจ้าวเทียนอี้ทำให้องค์ชายหนุ่มเกิดประเด็นต้องขบคิด “จริงสิ... เหตุใดข้าจึงหลงลืมข้อนี้ไปได้” พระองค์รับสั่งพึมพำเบาๆ พลางใช้ความคิดก่อนจะมีรับสั่งขึ้น “เรื่องนั้นข้าจะจัดการเองภายหลังเมื่อข้าขึ้นครองบัลลังก์แล้ว จะสั่งให้ค้นหานักปราชญ์ผู้รอบรู้ในการอ่านและเขียนอักษรโบราณ แต่นั่นต้องภายหลังจากที่ล่วงรู้ว่าคัมภีร์อมตะนั้นมีอยู่จริงซึ่งนั่นก็คือหน้าที่ของเจ้าจะต้องหาให้พบ” รับสั่งขององค์ชายหลี่หลงจีทำให้แม่ทัพจ้าวยืนนิ่งฟังอย่างสงบก่อนจะเงยหน้าพร้อมเอ่ยขึ้น “ถ้าเช่นนั้นกระหม่อมจะเร่งสั่งการลงไปให้ฝ่ายสืบข่าวเพิ่มกำลังกระจายออกไปอีกเพื่อค้นหาคัมภีร์อมตะและหญิงงามในภาพวาดสองสิ่งที่พระองค์ต้องการ “ดีมากเทียนอี้... เจ้าเป็นคนที่ข้าไว้ใจมากที่สุดนอกจากจะรบเคียงบ่าเคียงไหล่อยู่กับข้ามาโดยตลอดแล้ว สิ่งที่เป็นความลับสุดยอดของข้ามีเจ้าเท่านั้นที่ข้าไว้ใจให้ทำจึงได้มอบงานสำคัญนี้ให้แก่เจ้าเพียงผู้เดียว” รับสั่งจากส่วนลึกในพระทัย “กระหม่อมจะพยายามค้นหาสิ่งที่พระองค์ต้องการให้พบจนได้พ่ะย่ะค่ะ... ถ้าเช่นนั้นกระหม่อมขอทูลลา” แม่ทัพรูปงามกล่าวพร้อมล่าถอยออกจากพระตำหนักไปอย่างรวดเร็ว ท่ามกลางสายพระเนตรขององค์ชายหลี่หลงจีทอดพระเนตรตามหลัง “ข้าหวังว่าเจ้าจะมีตัวตนอยู่ในผืนแผ่นดินของข้าแห่งนี้จริงๆ” พระองค์ทรงคาดหวังอยู่ภายในพระทัยเป็นอันมาก ด้วยเพราะหญิงงามในภาพวาดเป็นรักแรกพบ ที่ไม่เคยรู้สึกกับสตรีใดมาก่อน ด้วยเหตุใดเล่าจึงตกหลุมรักหญิงงามในภาพวาดที่ยังมิล่วงรู้เลยว่ามีตัวตนจริงๆ หรือไม่อย่างไร หรือจะเป็นเพียงจินตนาการของจิตรกรฝีมือเยี่ยมที่สรรสร้างขึ้นมาเอง ทว่าองค์หลี่หลงจีทรงมีลางสังหรณ์ที่แม่นยำอย่างยิ่งยวด ว่าหญิงงามในภาพวาดจะต้องมีตัวตนจริงแน่นอนและรวมไปถึงคัมภีร์อมตะด้วยเช่นกันในเวลาต่อมา ร่างงามที่อยู่เบื้องหน้าค่อยๆ เคลื่อนไหวขึ้นมาทีละน้อยทีละน้อย ท่ามกลางสายตาของทุกคนที่อยู่ในบริเวณนั้นเฝ้ารอคอยอย่างใจจดใจจ่อและสิ่งที่ทุกคนรอคอยก็มาถึง เมื่อดวงตาที่ปิดสนิทมาอย่างยาวนานบัดนี้กำลังกลอกกลิ้งไปมาบ่งบอกให้ล่วงรู้ว่า ร่างตรงหน้ากำลังตื่นจากการหลับใหล เปลือกตาที่ปิดสนิทค่อยๆ เปิดขึ้นอย่างช้าๆ เผยให้เห็นดวงตากลมโตที่กำลังกะพริบขึ้นลงติดๆ กันเพื่อขับไล่ภาพที่พร่ามัวก่อนจะค่อยๆ เห็นทุกสิ่งทุกอย่างอย่างชัดเจน พระจันทร์ดวงใหญ่ลอยอยู่บนฟ้า ส่องแสงเหลืองนวลให้ความสว่างไปทั่วผืนแผ่นดินมังกร “โอ้โห! พระจันทร์สวยจังเลย ไม่เคยเห็นดวงใหญ่ขนาดนี้มาก่อน” สิ้นเสียงรำพึง เสียงของทุกคนที่อยู่หน้าเรือนนอนต่างร้องออกมาพร้อมกัน “ลี่เซียน! ลี่เซียนฟื้นแล้ว!” จางฮูหยินและอี้หานพร้อมสาวใช้ลี่อิงต่างรีบก้าวเดินเข้าไปหา จางฮูหยินโผเข้าสวมกอดร่างอรชรตรงหน้าด้วยความดีใจเป็นยิ่งนักเมื่อเห็นลูกสาวคนสุดท้องได้สติฟื้นขึ้นมาเสียที โดยมีอี้หานประคองร่างน้อยๆ จากพื้นให้ลุกขึ้นนั่งพร้อมลูบเส้นผมยาวสลวยของน้องไปมาด้วยความดีใจเช่นกัน “แม่ดีใจเหลือเกินลี่เซียน ในที่สุดเจ้าก็ฟื้นขึ้นมาเส
คฤหาสน์ตระกูลจาง คืนวันพระจันทร์เต็มดวง ภายหลังที่หลวงจีนหนุ่มจางเฟยเทียนได้นำน้ำทิพย์บนยอดเขาดอกบัวจากเทือกเขาหวงซานหยดลงไปในปากให้กับลี่เซียนน้องสาวคนสุดท้องของตระกูลไปแล้วนั้น ตั้งแต่วันนั้นเวลาล่วงเลยผ่านไปสามวัน คืนพระจันทร์เต็มดวงก็ปรากฏอยู่บนท้องฟ้าเบื้องบน พระจันทร์ในค่ำคืนนี้ดวงใหญ่โตกว่าที่เคยเห็นมากมายยิ่งนัก อีกทั้งสุกสกาวส่องแสงเป็นประกายจนผืนแผ่นดินเบื้องล่างสว่างเรืองรองแม้จะอยู่ในช่วงเวลาแห่งรัตติกาลก็ตาม “ท่านพ่อ! ท่านแม่! พวกท่านมาดูพระจันทร์ในค่ำคืนนี้สิ ช่างแลดูใหญ่โตกว่าทุกครั้งที่ผ่านมา สวยงามยิ่งนัก” คำกล่าวของจางอี้หานทำให้ประมุขของบ้านพยุงร่างฮูหยินก้าวเข้ามาในบริเวณพื้นที่หน้าลานกลาง บ้านซึ่งจัดเป็นสวนย่อม สองสามีภรรยาแหงนหน้ามองพระจันทร์บนท้องฟ้าตามคำกล่าวของบุตรชายพร้อมเสียงรำพึง “เฟยเทียนบอกว่าวันใดที่พระจันทร์เต็มดวงและมีดวงใหญ่กว่าทุกครั้งวันนั้นคือวันที่ลี่เซียนจะฟื้นขึ้นมาใช่หรือไม่ท่านพี่” ฮูหยินจางเอ่ยถามสามีเพื่อความแน่ใจ หยวนฟู่พยักหน้าขึ้นลงติดๆ กันแทนคำตอบของตนพร้อมเอ่ยขึ้น “เฟยเทียนไปอยู่เสียที่ใดกันเล่า พวกเจ้าเห็นคุณชายเล็กหรือไม่”
พระราชวังต้าหมิงกง ตำหนักองค์ชายหลี่หลงจี พระวรกายสูงใหญ่ของโอรสสวรรค์ พระนามหลี่หลงจี กำลังทอด พระเนตรภาพเขียนสีตรงหน้าด้วยความพึงพอพระทัยเป็นยิ่งนัก ด้วยภาพวาดดังกล่าวปรากฏเป็นภาพอิสตรีที่กำลังยืนชมดอกโบตั๋น ภาพวาดที่ขึ้นเป็นมันวาวยิ่งขับให้อิสตรีที่อยู่ในภาพดังกล่าวงดงามอย่างยิ่งยวด เสียงฝีเท้าของคนกำลังเดินก้าวเข้ามาใกล้พระตำหนัก พร้อมเสียงพูดคุยกับทหารรักษาการณ์อยู่หน้าตำหนักเพียงครู่ก่อนจะปรากฏร่างของแม่ทัพใหญ่จ้าวเทียนอี้หยุดยืนอยู่หน้าประตู “องค์ชายมีรับสั่งให้กระหม่อมเข้าเฝ้ามีสิ่งใดหรือพ่ะย่ะค่ะ” แม่ทัพหนุ่มเอ่ยทูลถามพร้อมพระวรกายขององค์ชายหันกลับมาทอดพระเนตรแม่ทัพหนุ่มรูปงาม “ทหารหลวงไปตามเจ้าทันเวลา หาไม่แล้วเจ้าคงจะออกเดินทางไปแล้วสินะ” รับสั่งถามกลับไป “ใช่แล้วพ่ะย่ะค่ะ... ว่าแต่องค์ชายมีเหตุสิ่งใดหรือที่เรียกกระหม่อมเข้าเฝ้า” จ้าวเทียนอี้กราบทูลถามด้วยความสงสัย ก่อนจะเหลือบสายตาเห็นภาพวาดที่อยู่ในพระหัตถ์ และกำลังถูกยื่นให้ตรงหน้า “ข้าต้องการให้เจ้าตามหาหญิงงามในภาพวาดนี้ให้กับข้า มันเป็นภาพวาดที่ถูกส่งมาจากหัวเมืองไม่รู้ว่าเป็นหัวเมืองไหน เจ้ามีฝ่ายข่าวฝีมือดีมา
นครฉางอาน ปีที่ 2 ในรัชสมัยจักรพรรดิถังรุ่ยจง เมืองหลวงใหญ่แห่งแผ่นดินต้าถังในเวลานี้เต็มไปด้วยชาวเมืองฉางอานมากมาย กำลังยืนมุงเพื่ออ่านแผ่นประกาศของวังหลวง เนื่องจากมีข่าวลือแพร่สะพัดมานานไม่ต่ำกว่าสองเดือนแล้ว ว่าฮ่องเต้ถังรุ่ยจง จะทรงสละราชสมบัติให้กับพระโอรสองค์ที่สามพระนามว่า เจ้าชายหลี่หลงจี ทั้งนี้เพราะเหตุการณ์ในวังหลวงช่างสลับซับซ้อนยิ่งนัก ภายหลังรัชกาลของบูเช็กเทียน สภาพการเมืองภายในราชสำนักปั่นป่วนวุ่นวาย เนื่องจากถังจงจงอ่อนแอ อำนาจทั้งมวลตกอยู่ในมือของเหวยฮองเฮา ที่คิดจะยิ่งใหญ่ได้เช่นเดียวกับบูเช็กเทียน เหวยฮองเฮาหาเหตุประหารรัชทายาท จากนั้นได้วางยาพิษสังหารถังจงจงฮ่องเต้ โอรสองค์ที่สามของถังรุ่ยจง นามหลี่หลงจีภายใต้การสนับสนุนขององค์หญิงไท่ผิงชิงนำกำลังทหารบุกเข้าวังหลวงสังหารเหวยฮองเฮาและพวก ภายหลังเหตุการณ์องค์หญิงไท่ผิงหนุนถังรุ่ยจงขึ้นครองราชย์ แต่งตั้งหลี่หลงจีเป็นรัชทายาท แต่แล้วองค์หญิงไท่ผิงพยายามเข้ากุมอำนาจเบ็ดเสร็จ แต่เกิดขัดแย้งกับรัชทายาทหลี่หลงจี ดังนั้นเพื่อตัดปัญหาและจะมีเหตุการณ์บานปลายไปมากกว่านี้ ในปี 712 จักรพรรดิถังรุ่ยจงจึงสละราชย์สมบัติให้กั
หนึ่งเดือนผ่านไป บ้านตระกูลจางในยามนี้เต็มไปด้วยความทุกข์ บ่าวไพร่นับร้อยทั้งชายหญิงต่างเฝ้ารอคอยว่าเมื่อไรคุณหนูเล็กของตระกูลจะฟื้นขึ้นมาเสียที นับตั้งแต่พลัดตกลงไปในบ่อน้ำจนกระทั่งถูกช่วยขึ้นมา หมอยาที่ว่าเก่งกาจจากทั่วทุกสารทิศถูกเกณฑ์มารักษาคุณหนูบ้านตระกูลจางคนแล้วคนเล่า แต่ก็ยังไม่สามารถทำให้จางลี่เซียนฟื้นขึ้นมาแม้แต่น้อย ยังคงหลับใหลทอดกายอยู่บนฟูกนอนมานานกว่าหนึ่งเดือนแล้ว “ท่านพี่ลี่เซียนนอนอยู่แบบนี้มาเดือนหนึ่งแล้ว มิมีทีท่าว่าลูกจะฟื้นขึ้นมาเสียที ข้าเป็นห่วงลูกใจจะขาดยิ่งแล้ว ทำไมนะเหตุใดจึงต้องเกิดเหตุการณ์แบบนี้ด้วย” จางฮูหยินกล่าวพร้อมยกผ้าเช็ดหน้าผืนน้อยซับน้ำตาของตัวเองด้วยความทุกข์ใจยิ่งนัก ท่อนแขนใหญ่ของผู้เป็นสามีตรงเข้าโอบกอดร่างอวบอิ่มที่ยืนอยู่ตรงหน้าเพื่อปลอบประโลม สีหน้าของผู้นำตระกูลจางในขณะนี้มีแต่ความทุกข์ไม่ยิ่งหย่อนไปกว่ากัน “ทำใจดีๆ ไว้ฮูหยิน ลี่เซียนของเราจะต้องฟื้นขึ้นมา ลูกของเราต้องฟื้น ซึ่งข้าเองก็หวังไว้เช่นนั้น” “แต่นี่หนึ่งเดือนเข้าไปแล้วนะท่านพี่ยังไม่มีวี่แววที่ลูกจะฟื้นเลย ถ้าหากไม่ตื่นขึ้นมาเลยจะทำเช่นไรต่อไปดี โธ่ ลูกรักของแม่ ตื่นขึ้
ดวงวิญญาณของฟางเซียนจากยุคปัจจุบันได้มาปรากฏอยู่ในยุคอดีตที่กาลเวลาย้อนกลับไปกว่าหนึ่งพันห้าร้อยปี ในรัชสมัยจักรพรรดิถังเสวียนจง กษัตริย์องค์ที่หกแห่งราชวงศ์ถัง ดวงวิญญาณของฟางเซียนถูกนำกลับมาก่อนที่จะเกิดเหตุการณ์เมื่อคนทางวังหลวงได้มาพบหญิงงามที่สุดในแผ่นดินต้าถังและถูกเรียกตัวเขาวังเพื่อถวายตัวให้กับจักรพรรดิถังเสวียนจง ทำให้เกิดเรื่องราวมากมายทั้งความรัก ริษยาและการแย่งชิงภายในราชสำนักฝ่ายใน และทำให้จางลี่เซียนในชาติอดีตพบจุดจบอย่างน่าเวทนา และร่างของคุณหนูจางลี่เซียนก็คืออดีตชาติของเธอนั่นเอง ดวงวิญญาณของหญิงสาวถูกแรงดึงดูดมหาศาลดึงดวงวิญญาณของเธอเข้าไปในร่างของคุณหนูเล็กแห่งบ้านตระกูลจางอย่างรวดเร็ว ทำให้ดวงวิญญาณจากยุคปัจจุบันและดวงวิญญาณจากยุคอดีตซึ่งเป็นอดีตซาติของเธอหลอมเข้ากลายเป็นดวงจิตและดวงวิญญาณดวงเดียวกัน ล่วงรู้ภพอดีตชาติและภพอนาคตอย่างไม่คาดฝัน ท่ามกลางความงุนงงและสับสนของหญิงสาวที่ไม่รู้ว่าบัดนี้เธอมาอยู่ ณ ที่แห่งหนใดกันหนอ “นี่ฉันอยู่ที่ไหน! ฉันอยู่ที่ไหน!” สิ้นเสียงรำพึง ฟางเซียนสิ้นสติไปทันทีพร้อมกับร่างงามก็เริ่มจมดิ่งลงไปอยู่ที่ก้นบ่อ กระดองเต่าที่สลักจา







