“เดี๋ยวนี้ไม่ได้มีการลงโทษแบบนั้นแล้ว สมัยนี้คือราชวงศ์ถังไม่ใช่ราชวงศ์กวน” หวังเว่ยเถียนเถียงกลับมาอย่างถือดี ทั้ง ๆ ที่ในใจนั้นหวาดหวั่นไม่น้อย
จ้าวเยว่หันไปมองหน้าหวังเว่ยเถียนช้า ๆ ก่อนจะเอ่ยขึ้น
“ไม่มีแล้ว ก็ไม่ได้หมายความว่าจะมีขึ้นมาอีกครั้งไม่ได้ อย่าลืมสิ ว่าบิดาของข้าเป็นเจ้ากรมการคลัง อีกทั้งยังสนิทกับท่านเซียวโหว แล้วท่านเซียวโหวก็เป็นขุนนางใหญ่ในราชสำนัก และหากฝ่าบาทให้นำการลงโทษนี้มาใช้ใหม่อีกครั้ง พวกเจ้าคิดว่าจะเป็นอย่างไร”
บรรดาสตรีทุกนางต่างพากันปิดปากเงียบ มิมีผู้ใดกล้าต่อปากต่อคำกับจ้าวเยว่สักคน เพราะไม่มีบิดาของผู้ใดที่จะมียศตำแหน่งเทียบเท่ากับบิดาของนาง เว้นก็แต่บิดาของซูหลิงเจียว แต่ซูหลิงเจียวกลับวางท่าสุขุมไม่โต้ตอบอะไร
หวังเว่ยเถียนเมื่อนึกคำเอ่ยออก ก็เอ่ยขึ้นมา
“เจ้าคิดว่าวาจาที่มาจากสตรีที่มีชื่อเสียงไม่ดีเช่นเจ้า ฝ่าบาทจะรับฟังอย่างนั้นหรือ เจ้าคิดว่าเจ้าเป็นใครกัน”
คำเอ่ยของหวังเว่ยเถียนประโยคนี้ มิได้สร้างความสั่นสะเทือนใด ๆ ให้กับจ้าวเยว่เลยแม้แต่น้อย ซ้ำร้ายนางยังหัวเราะออกมาเสียด้วยซ้ำหลังจากที่ฟังจบ
“หวังเว่ยเถียนนะหวังเว่ยเถียน เมื่อก่อนสติปัญญาของเจ้านั้นไม่ดี ข้าก็พอเข้าใจ แต่ว่าเจ้าเติบโตมาจนป่านนี้ สติปัญญาของเจ้ากลับยังเป็นเช่นเดิมอยู่อีกหรือ ที่ข้าเอ่ย เจ้าฟังไม่เข้าใจหรืออย่างไร” จ้าวเยว่ถามกลับด้วยท่าทางเหยียดหยามอีกคนอย่างชัดเจน
“ทำไมข้าจะฟังไม่เข้าใจ ก็เจ้าบอกว่าจะไปกราบทูลฝ่าบาทให้นำกฎนี้ขึ้นมาใช้ใหม่ไม่ใช่หรือ” หวังเว่ยเถียนตอบกลับอย่างไม่ยอมแพ้
“มีใครสามารถบอกเล่าให้นางฟังได้บ้างหรือไม่”
จ้าวเยว่ทำเป็นเอ่ยถามทุกคน แต่ที่จริงแล้วนางก็ตั้งใจจะบอกเล่าด้วยตนเอง เพื่อตอกย้ำสติปัญญาที่ต่ำต้อยของหวังเว่ยเถียน อยู่แล้ว
คนอื่นต่างก็ปิดปากเงียบ เพราะกลัวว่าถ้าเอ่ยอะไรแล้วจะโดนนางตอกกลับมา มีเพียงแต่ซูหนิงเท่านั้นที่ฉลาดและกล้าเอ่ยที่สุด นางเป็นน้องสาวของซูหลิงเจียวก็จริง แต่ว่านิสัยต่างกันลิบลับ บางครั้งนางก็ไม่เห็นด้วยกับการกระทำของพี่สาวตนเอง แต่ด้วยความที่เป็นน้อง จึงมิอาจห้ามปรามได้
นางเดินออกมาข้างหน้าแล้วกล่าวขึ้น “ข้า ข้าเอง เมื่อสักครู่ที่แม่นางจ้าวกล่าว ก็คือบิดาของนางสนิทกับท่านเซียวโหว และท่านเซียวโหวก็เป็นขุนนางคนสนิทของฝ่าบาท ดังนั้นจ้าวเยว่ไม่ได้คิดที่จะไปกราบทูลฝ่าบาทด้วยตนเอง แต่นางจะบอกผ่านบิดาของนาง ให้ไปบอกท่านเซียวโหว แล้วให้ท่านเซียวโหวนำความกราบทูลต่อฝ่าบาท ข้ากล่าวเช่นนี้ถูกต้องหรือไม่”
“ถูกต้องแล้ว คุณหนูรองตระกูลซูช่างปราดเปรื่องยิ่งนัก”
จ้าวเยว่เอ่ยพร้อมปรบมือให้ซูหนิง ซูหลิงเจียวจึงรีบดึงน้องสาวมาอยู่ข้างหลังแล้วเอ็ดนางเสียงเบา
“เจ้าเงียบไปเลย”
“พวกข้าสนทนากัน แล้วเจ้าเข้ามาเกี่ยวอะไรด้วยเล่า อยากร่วมวงสนทนากับพวกเราหรืออย่างไร” สตรีนางหนึ่งรวบรวมความกล้าขึ้นมา จึงตะโกนถามจ้าวเยว่
จ้าวเยว่เดินตรงเข้าไปหาสตรีนางนั้น สายตาของหญิงสาวมีความท้าทายอยู่ไม่น้อย นางเดินเข้าไปใกล้ จนใบหน้าแทบจะประชิดกับใบหน้าของอีกฝ่าย แล้วเอ่ยด้วยน้ำเสียงเหยียดหยามว่า
“ที่จริงข้าก็ไม่ได้อยากจะลดตัวลงมาสนทนากับบุตรของขุนนางชั้นผู้น้อยอย่างพวกเจ้าหรอกนะ ถ้าไม่ใช่ว่าพวกเจ้าเอ่ยถึงข้าก่อน”
คำว่า ‘ลดตัวลงมา’ กับคำว่า ‘ขุนนางชั้นผู้น้อย’ ทำให้เหล่าสตรีทั้งหลายต่างก็สั่นสะท้านกันไปเป็นแถบ ด้วยไม่คิดว่าจ้าวเยว่จะกล้าเอ่ยวาจาเช่นนี้ เนื่องจากเป็นการดูหมิ่นไปถึงผู้ใหญ่
แต่ว่าจ้าวเยว่หาได้สนใจ ในเมื่อคนพวกนี้เอ่ยวาจาให้ร้ายบิดามารดาของนางก่อน นางจะเอ่ยคำว่าขุนนางชั้นผู้น้อย แล้วจะเป็นอย่างไร
“พะ...พวกข้าเอ่ยถึงเจ้าที่ไหนกัน เจ้าอย่ามาทึกทัก พวกข้าแค่คุยกันเรื่องทั่วไป” หวังเว่ยเถียนเอ่ยแก้ตัวอย่างตะกุกตะกัก
“ใช่ ๆ” เหล่าสตรีที่อยู่ด้านหลังรีบเสริม
“โถ...หวังเว่ยเถียน ถึงแม้ว่าสติปัญญาของเจ้าจะเสื่อมถอย แต่ว่าความไร้ยางอายของเจ้ามิได้เสื่อมถอยเลย”
จ้าวเยว่เอ่ยขึ้น ประโยคหลังนางเน้นเสียงหนัก ราวกับจะเอ่ยประจานหวังเว่ยเถียนอย่างไรอย่างนั้น
“คุณหนูรองตระกูลซู เมื่อสักครู่ท่านได้ยินใครเอ่ยว่าร้ายข้าและบิดามารดาของข้าหรือไม่” จ้าวเยว่เอ่ยถามซูหนิงที่ยืนอยู่
คำถามนี้กดดันซูหนิงอย่างหนัก นางเป็นคนดีที่ไม่เคยเอ่ยโกหกเลยสักครั้ง แต่ว่าครั้งนี้กลับมีพี่สาวของนางเป็นผู้ร่วมกระทำความผิดด้วย จึงได้ตัดสินใจไม่ถูกว่าจะเลือกเป็นคนดีหรือคนชั่ว และในที่สุดก็ตัดสินใจได้
“มี พวกนางต่างพากันเอ่ยถึงท่าน แล้วก็บิดามารดาท่านกันหมดเลย”
สตรีกว่ายี่สิบนางมองมาที่ซูหนิงทันที สายตาของทุกคนเต็มไปด้วยความอาฆาตมาดร้าย
“นี่เจ้าอยู่ฝั่งไหนกันแน่ ถ้าเจ้าเห็นด้วยกับนาง ก็ไปอยู่ฝั่งนาง” ซูหลิงเจียวเอ่ยขึ้น แล้วดันน้องสาวไปหาจ้าวเยว่
เมื่อซูหนิงถูกดันออกมาแล้ว ก็มีหญิงสาวนางหนึ่งเดินตามออกมา หญิงสาวผู้นั้นก็คือฟ่านถงถงนั่นเอง
เมื่อสักครู่ฟ่านถงถงไม่ได้ร่วมวงนินทากับพวกนางด้วย อีกทั้งยังห้ามปรามแล้วหลายครั้ง แต่ว่าทุกคนไม่ยอมฟัง นางจึงไม่ยินดีที่จะเข้าร่วมวงสนทนากับคนพวกนั้นอีกต่อไป แล้วเปลี่ยนมายืนฝั่งจ้าวเยว่แทน
“ข้าก็ได้ยินว่าพวกเขาเอ่ยเช่นนั้น” ฟ่านถงถงกล่าวขึ้น
จ้าวเยว่ไม่เคยคิดเลย ว่าในบรรดาสตรีที่ไร้สาระพวกนี้ จะมีคนดีมีเหตุผลอยู่ด้วย นางยิ้มให้กับคุณหนูทั้งสองเล็กน้อย ก่อนที่จะปล่อยวาจาดุเดือดต่อ
“หวังเว่ยเถียน ข้าได้ยินที่เจ้าเอ่ยทั้งหมด เจ้าเอ่ยว่าข้าเป็นสตรีที่เกียจคร้าน มีชื่อเสียงฉาวโฉ่ และบิดามารดาข้า ส่งข้าเข้ามาใช้มารยาหลอกล่อเซียวเฟิงตั้งแต่ยังแบเบาะ แล้วยังเอ่ยอีก ว่าบิดามารดาของข้านั้น มากไปด้วยเล่ห์เหลี่ยมและคิดจะจับตระกูลเซียวให้อยู่หมัด” จ้าวเยว่เอ่ยไปก็ก้าวเข้าไปใกล้หวังเว่ยเถียนทีละนิด หวังเว่ยเถียนเองก็ถอยหลังไปทีละก้าวด้วยความกลัว
“เดิมทีพวกเจ้าจะนินทาว่าร้ายข้า ข้าไม่เคยสนใจ แต่เจ้าบังอาจว่าร้ายมาถึงบิดามารดาข้า ข้าให้อภัยไม่ได้ เพราะฉะนั้นที่ข้าเอ่ยเพียงว่าพวกเจ้าเป็นบุตรีของขุนนางชั้นผู้น้อยนั้น ยังเบาไปเสียด้วยซ้ำ”
“เจ้าชักจะมากเกินไปแล้วนะ จ้าวเยว่” ซูหลิงเจียวเอ่ยขึ้น
จ้าวเยว่เริ่มมีโทสะขึ้นมาแล้ว จึงหันไปเค้นเสียงเอ่ยใส่หน้าซูหลิงเจียวว่า “ถ้าสิ่งที่ข้าทำเรียกว่ามากเกินไป แล้วสิ่งที่พวกเจ้าทำเล่าเรียกว่าอะไร ทำตัวเป็นสตรีสูงศักดิ์ แต่วาจาต่ำทรามยิ่งกว่าบ่าวไพร่”
คราวนี้นางหันกลับไปมองทุกคนแล้วเอ่ยเสียงดังว่า
“พวกเจ้าก็เหมือนกัน ถ้าหากอยากที่จะเป็นสุนัขรับใช้ใครก็ใช้สติปัญญาดูด้วย ว่าคนผู้นั้นควรค่าแก่การเดินตามหรือไม่ อย่าได้แต่เอาจมูกดมกลิ่นแล้วตามไปเพราะว่าหอม เพราะบางครั้งกลิ่นที่แรกเริ่มหอมเย้ายวน อาจจะกลายเป็นเหม็นโฉ่วก็ได้”
จ้าวเยว่เอ่ยจบก็หมุนตัวจากไป ด้านซูหนิงกับฟ่านถงถงนั้นก็แยกตัวออกไปพร้อมกับสตรีคนอื่น ๆ เช่นกัน
บัดนี้จึงเหลือเพียงแค่ซูหลิงเจียวกับหวังเว่ยเถียนที่กำลังคับแค้นใจ จนไม่รู้ว่าจะเอาคืนจ้าวเยว่อย่างไรดี
“ไทเฮาเพคะ เหล่าสตรีทะเลาะวิวาทกันที่ศาลาชมดาวเพคะ” นางกำลังนางหนึ่งเดินเข้ามากราบทูล
“เป็นผู้ใดกัน” ไทเฮาตรัสถามออกอย่างสงสัย
“เป็นคุณหนูตระกูลจ้าวกับคุณหนูตระกูลซู และคุณหนูตระกูลหวังเพคะ” นางกำนัลก้มหน้าตอบ
“เจ้ากลับไปดูซิ ว่าพวกนางเลิกทะเลาะวิวาทกันหรือยัง หากยังไม่ยอมหยุด ก็ให้บอกไปว่าข้าจะลงโทษ ถ้าใครยังคิดก่อเรื่อง”
ไทเฮาตรัสเสียงดัง และเมื่อตรัสกับนางกำนัลจบ ไทเฮาก็หันมาตรัสกับเจ้ากรมทั้งสองที่กำลังสนทนากับฮ่องเต้อยู่
“บุตรีของท่านทั้งสองก่อเรื่องอยู่ที่ศาลาชมดาว เมื่อพวกท่านกลับจวนไปแล้ว คงต้องอบรมสั่งสอนพวกนางเสียใหม่”
“พ่ะย่ะค่ะ ไทเฮา” ทั้งจ้าวฝู่และซูม่อเยี่ยต่างน้อมรับบัญชา
ใกล้ถึงเวลากลับจวนแล้ว จ้าวเยว่จึงมารวมตัวกับพี่ชายทั้งสองหน้าตำหนัก แขกเหรื่อเริ่มทยอยกลับกันแล้ว ด้านในจึงเหลือเพียงขุนนางใหญ่ไม่กี่คน รวมทั้งบิดาของพวกเขาด้วย
“ข้าว่าพวกเราไปรอที่รถม้ากันเถอะ เดี๋ยวท่านพ่อกับท่านแม่ก็ออกมา ข้าเมื่อยจะตายอยู่แล้ว อย่ายืนรอตรงนี้อีกเลย”
จ้าวอวี้เฉินเอ่ยขึ้นมาอย่างเหนื่อยอ่อน วันนี้เขามาเข้าวังเพื่อรับงานสืบราชการลับจากฮ่องเต้ ภารกิจของเขารัดตัวยิ่งนัก ตั้งแต่เช้ามายังไม่ได้พักผ่อน พอตกเย็นยังต้องมางานเลี้ยงอีก จึงเหนื่อยล้ามากกว่าทุกวัน
“เอาอย่างนั้นก็ได้ ไปกันเถอะ เจ้าเองก็นวดให้พี่รองของเจ้าหน่อยเป็นอย่างไร” จ้าวหลู่เจินหันไปหาน้องสาวแล้วเอ่ยขึ้น
“ข้านวดไม่เป็น เหตุใดจึงไม่ให้แม่นางเมิ่งแห่งหอโอบจันทร์นวดให้เล่า” จ้าวเยว่เอ่ยหยอกเย้าพี่ชาย
เมื่อได้ยินชื่อแม่นางเมิ่งแห่งหอโอบจันทร์ จ้าวอวี้เฉินก็ถึงกับหน้าแดงขึ้นมา จากที่บ่นปวดเมื่อยก่อนหน้านี้ กลับกลายเป็นว่ามีแรงวิ่งไล่ตีน้องสาวรอบรถม้าเสียได้ ทางด้านพี่ใหญ่กับน้องสามพอได้กลั่นแกล้งน้องรอง ก็พากันหัวเราะร่วนอย่างสนุกสนาน
ยามรถม้าสองคันมาจอดเทียบที่หน้าจวนเจ้ากรมการคลัง จ้าวฝู่กับจ้าวฮูหยินก็เดินลงมาจากรถม้าคันแรก ส่วนลูก ๆ ทั้งสามเดินลงมาจากรถม้าคันที่สอง ทั้งหมดก้าวเดินเข้าไปในจวนอย่างอ่อนล้า แต่เมื่อกำลังจะแยกทางกันไปยังเรือนพักของตน จ้าวฮูหยินก็เอ่ยขึ้นมาว่า
“พวกเจ้าไปได้ ยกเว้นจ้าวเยว่ มาที่ห้องโถงกับข้า”
‘ห้องโถงอีกแล้วหรือ อะไรกันอีกล่ะเนี่ย’ จ้าวเยว่คิดในใจ เริ่มสังหรณ์ใจว่าการถูกเรียกตัวในคราวนี้ ก็คงจะเป็นเรื่องไม่ดีอีกตามเคย
ภายในห้องโถง มีเพียงแค่จ้าวฮูหยินกับจ้าวเยว่สองคน คราวนี้ไม่มีใครสามารถช่วยเอ่ยให้นางได้เลย ไม่มีท่านพ่อ ไม่มีท่านพี่ทั้งสอง ไม่มีแม้กระทั่งผิงผิง นางจึงได้แต่ถอนหายใจออกมา พลางนั่งตัวงอ จนตอนนี้ตัวหดเล็กลง ราวกับเป็นเพียงลูกสุนัขตัวหนึ่ง
“เจ้าไปก่อเรื่องอันใดมา” จ้าวฮูหยินถามเสียงเย็น
“ไม่มีนะเจ้าคะ ไม่มี” จ้าวเยว่ส่ายหน้าเอ่ยหน้าตาเฉย
นางคิดไว้แล้ว ว่าจะต้องเป็นเรื่องที่นางทะเลาะวิวาทกับเหล่าสตรีพวกนั้นที่งานเลี้ยง เพราะนอกจากเรื่องนี้ ก็คงไม่มีเรื่องอื่นอีกแล้ว
“เจ้าอย่ามาเฉไฉ” จ้าวฮูหยินทำเสียงดุ
จ้าวเยว่ได้แต่ยิ้มเจื่อนส่งให้มารดาของตน
“ลูกมีเรื่องวิวาทเล็กน้อยตามประสาสตรีเจ้าค่ะ”
“เล่ามา” จ้าวฮูหยินสั่งเสียงเข้ม
จ้าวเยว่สูดหายใจเข้าคราหนึ่ง แล้วรู้สึกฮึดสู้ขึ้นมาทันที
“แต่เรื่องนี้ลูกไม่ได้ผิดนะเจ้าคะ เป็นเพราะว่าพวกนางนินทาว่าร้ายลูกก่อน มิหนำซ้ำพวกนางยังลากท่านพ่อกับท่านแม่มาเกี่ยวด้วย พวกนางเอ่ยว่าท่านพ่อกับท่านแม่ใช้เล่ห์เหลี่ยมเพื่อจะจับตระกูลเซียว อีกทั้งยัง...”
“พอๆ เจ้าพอได้แล้ว ข้าเพียงจะเรียกเจ้ามาตักเตือน ความผิดครั้งนี้ไม่ได้หนักหนาอะไร ต่อไปอย่าได้ทำอย่างนี้อีก ไม่ว่าจะที่ไหนกับผู้ใด ไว้หน้าบิดาเจ้าบ้าง ครั้งนี้ข้าจะกักบริเวณเจ้าสักสิบวัน สำนึกผิดให้ดี” จ้าวฮูหยินเอ่ยจบก็เดินออกจากประตูไป
“เจ้าค่ะ” จ้าวเยว่รับคำอย่างยอมจำนน
แม้ใจนางจะไม่อยากยอมรับบทลงโทษนี้ แต่ก็ช่างเถอะ นางก็ไม่ได้คิดจะออกนอกจวนอยู่แล้ว ถูกกักบริเวณสิบวัน แลกกับการได้สั่งสอนสตรีปากเสียพวกนั้นสักครั้ง จะเป็นไรไป
ตอนพิเศษ 6จ้าวเยว่ – เสวี่ยช่างเจิ้นครอบครัวคุณชายเสวี่ยชางเยว่อายุได้สิบหกหนาวแล้ว เขาเพิ่งเรียนจบชั้นปีสุดท้ายจากสำนักศึกษา อีกทั้งยังได้รับตำแหน่งในกองทัพ เป็นถึงหัวหน้าหน่วยพลทหารราบถือทวนอีกด้วย ผลจากการฝึกฝนตั้งแต่ยังเด็ก จึงทำให้ฝีมือทวนของเขาเป็นรองเพียงแค่บิดาเท่านั้น นอกจากนั้นต่างก็ประลองแพ้เขาราบคาบ พลทหารทุกคน จึงยอมรับในฝีมือที่เก่งกาจเกินอายุของเขาเสวี่ยชางเยว่มีน้องสาวคนหนึ่ง ปีนี่ก็อายุย่างเข้าเก้าหนาวแล้ว มีนามว่าเสวี่ยหรูหราน เป็นเด็กสาวหน้าตาน่ารัก ชอบเล่นซุกซนเหมือนบุรุษ ดูไปแล้วทั้งหน้าตาและนิสัยเหมือนกับจ้าวเยว่ไม่มีผิด นางชอบฝึกยุทธ์กับพี่ชาย และที่แตกต่างจากจ้าวเยว่อย่างหนึ่ง ก็คือนางมีฝีมือในเรื่องของศาสตร์ของสตรี ทั้งการเย็บปักถักร้อย เขียนอักษร วาดภาพ ทำอาหาร นางล้วนทำได้ดีเป็นอย่างยิ่งด้วยความที่เป็นชายหนุ่มหน้าตาหล่อเหลา รูปหน้างามประดุจสตรีเหมือนบิดาไม่มีผิด อีกทั้งยังอัธยาศัยดี วาจาไพเราะ บุตรสาวตระกูลต่างๆ จึงพากันหมายปอง ไม่ว่าจะเดินไปที่ใดในเมืองผานหยาง ย่อมมีหญิงสาวมองตามเขาอยู่เป็นประจำ บางคนถึงกับโยนผ้าเช็ดหน้าให้กลางถนนเลยก็มีและเสวี่ยชางเยว
ตอนพิเศษ 5จ้าวเยว่ – เสวี่ยช่างเจิ้นปกป้องเมืองเซียวเฟิงกับซูหนิงได้รับการต้อนรับอย่างดี วันแรกที่พวกเขามาถึงเสวี่ยช่างเจิ้นก็จัดงานเลี้ยงเล็ก ๆ ให้อย่างอบอุ่น อีกทั้งยังให้รองแม่ทัพเว่ยเป็นผู้พาทั้งสองทั้งสองเที่ยวที่เมืองผานหยางซึ่งเป็นที่แน่นอนอยู่แล้วว่า ฟ่านตวนคงจะให้ฟ่านหลินหลินเป็นคนตามไปด้วย ในเมื่อบุตรชายของท่านมหาเสนาบดีมาเมืองผานหยางทั้งที เจ้าเมืองอย่างเขา จะไม่เอาอกเอาใจได้อย่างไร“รองแม่ทัพเว่ย ท่านเห็นว่าข้าควรจะซื้อสิ่งใดไปฝากท่านพ่อกับท่านแม่ดี ที่เมืองผานหยางมีสิ่งใดน่าสนใจหรือไม่”เซียวเฟิงเอ่ยถามขึ้น พลางสายตาก็กวาดมองไปบนถนนกลางเมือง ที่มีของขายมากมายอยู่เต็มไปหมด มากมายเสียจนไม่รู้ว่าจะซื้อสิ่งใดกลับไปฝากทุกคนที่จวนดีฟ่านหลินหลินที่มีนิสัยขี้ประจบเอาใจไม่ต่างจากบิดา มีดีก็ตรงที่นางฉลาดกว่า และรู้จักวิเคราะห์สถานการณ์ จึงได้แนะนำไปว่า“ถ้าหากสำหรับบุรุษแล้วล่ะก็ จำพวกแผ่นป้าย หรือว่าตราสัญลักษณ์ที่ทำจากหยกของช่างที่นี่ฝีมือดีอย่างยิ่ง หากว่าท่านราชบัณฑิตอยากจะสั่งทำ ก็ใช้เวลาเพียงแค่สี่ห้าวันเท่านั้นเจ้าค่ะ แต่หากสำหรับสตรีแล้ว แป้งผัดหน้าที่นี่มีคุณภาพสูงไม่
ตอนพิเศษ 4จ้าวเยว่ - เสวี่ยช่างเจิ้น เสวี่ยชางเยว่จวนแม่ทัพใหญ่เสวี่ยที่เมืองผานหยางในคืนหิมะตกหนัก จวนแม่ทัพก็วุ่นวายเป็นการใหญ่ สาวใช้วิ่งวุ่นไปทั่วจวน เพื่อเตรียมของไว้รอหมอตำแยที่กำลังเดินทางมา ภายในห้องมีทั้งเสวี่ยฮูหยิน ฮูหยินผู้เฒ่า แล้วก็เสวี่ยช่างเจิ้น ที่กำลังกุมมือของจ้าวเยว่ไว้แน่น และคอยบอกนางว่า ให้อดทนอีกสักหน่อย“ประเดี๋ยวหมอตำแยก็มาแล้ว เจ้าอดทนอีกหน่อยเถิดนะ”เสวี่ยช่างเจิ้นบอกกล่าวกับภรรยา พร้อมกับกระชับมือบางไว้แน่นจ้าวเยว่ที่เพิ่งจะเคยคลอดลูกเป็นครั้งแรกก็หวั่นใจเล็กน้อย นางหันไปถามเสวี่ยฮูหยินว่า “ท่านแม่ ตอนที่ท่านคลอดท่านพี่นั้น เจ็บปวดเพียงใดเจ้าคะ”“เจ็บปวดเพียงชั่วครู่ เมื่อเจ้าได้ยินเสียงลูกก็จะหายเจ็บปวดเอง”เสวี่ยฮูหยินตอบพร้อมกับให้กำลังใจลูกสะใภ้ที่กำลังมอบทายาทให้ตระกูลเสวี่ยคนแรกน้ำร้อนสองอ่างถูกนำมาวางไว้ที่โต๊ะด้านข้างเตียง ฤดูเหมันต์อากาศหนาว จึงจำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องทำให้ทารกที่คลอดออกมาได้รับความอบอุ่น และยังต้องให้ความอบอุ่นแก่ผู้เป็นแม่เช่นกัน ผิงผิงจึงน้ำผ้าชุบน้ำอุ่นมาเช็ดตามใบหน้าและแขนขา ให้คุณหนูของตนรถม้าของจวนแม่ทัพที่ส่งให้ไปร
ตอนพิเศษ 3ซูหนิง - เซียวเฟิงแต่งงานเมื่อเซียวเฟิงกลับมาถึงจวน ก็เดินตรงไปที่ห้องโถงใหญ่ทันที แต่ทว่าบิดาและมารดากลับไม่มีใครอยู่ที่จวน ท่านเซียวโหวมีงานที่ต้องหารือกับฮ่องเต้เรื่องการสร้างเขื่อนเก็บน้ำที่เมืองต้าข่าย เพื่อช่วยเหลือราษฎรที่ต้องเผชิญกับภาวะน้ำท่วมอยู่ทุกปี ส่วนเซียวฮูหยินนั้นไปงานเลี้ยงน้ำชาที่จวนชินอ๋อง เขาจึงตัดสินใจกลับเข้าเรือนของตนเองไปก่อน ให้ท่านทั้งสองกลับมาก่อน ค่อยนำเรื่องที่เขาตั้งใจไว้ ไปแจ้งให้พวกท่านทราบวันนี้เซียวเฟิงรู้สึกเหมือนได้ยกภูเขาออกจากอก ความจริงที่เขาแอบชอบซูหนิงมาตั้งนานแล้วนั้นได้เปิดเผยออกไปเสียที เมื่อก่อนเขายังสับสนว่า รักนางเหมือนน้องสาวหรือว่ารักนางเหมือนคนรักกันแน่ มาวันนี้ก็ได้เข้าใจตัวเองแล้ว อีกทั้งยังเป็นที่น่ายินดีอย่างมากที่นางตกลงแต่งให้เขา ความสุขกายสบายใจเช่นนี้เพิ่งจะเกิดขึ้นในรอบปี ทำเอาเขายิ้มหน้าบานตลอดทั้งวัน“นายน้อยจะแช่น้ำหรือไม่ขอรับ”หวังเหมิงบ่าวรับใช้ประจำกายของเซียวเฟิงเอ่ยถามขึ้น เขาเห็นนายน้อยดูอารมณ์ดีเป็นพิเศษ ก็คิดว่านายน้อยคงอยู่ในช่วงเวลามีความสุขเป็นแน่ ช่วงเวลาที่มีความสุขเช่นนี้ เหมาะแก่การแช่น้ำเป็นท
ตอนพิเศษ 2 ซูหนิง - เซียวเฟิงข้าจะแต่งกับท่านคำตอบของซูหนิงทำให้เซียวเฟิงรู้สึกปลาบปลื้มเป็นอย่างยิ่ง จนเขาแทบอยากจะถามคำถามนางต่อ แต่ก็ข่มใจไว้ และห้ามตนเองว่า อย่าได้ตื่นเต้นจนเสียอาการ มิเช่นนางอาจจะรู้สึกกลัวหรือระมัดระวังตัวอย่างมากจนไม่เป็นตัวของตัวเองก็เป็นได้“แล้วลักษณะของบุรุษที่เจ้าชมชอบเป็นอย่างไรบ้างล่ะ ต้องแข็งแกร่งเก่งกาจถึงขั้นเป็นแม่ทัพเลยหรือไม่” เซียวเฟิงหยั่งเชิงถามออกมา และรอคอยคำตอบอย่างมีหวังการที่ได้รู้ว่าบุรุษในใจของซูหนิงเป็นอย่างไรนั้น ส่งผลต่อการสนทนาของทั้งสองเป็นอย่างมาก หากว่าคำตอบของซูหนิงเป็นเหมือนกับที่เขาคาดคิดไว้ การสนทนานี้จะดำเนินต่อไปอย่างมีความหวัง แต่ถ้าหากว่าคำตอบของนางไม่ได้เป็นดังที่คาด บทสนทนาก็อาจจะสะดุดลงได้ หรือถึงขั้นมีผู้ใดผู้หนึ่งต้องเสียใจ เซียวเฟิงจึงตั้งหน้าตั้งตารอคอยคำตอบนี้จากปากนางซูหนิงวางถ้วยน้ำชาในมือลง แล้วแหงนหน้าขึ้นมองท้องฟ้าที่ปลอดโปร่ง ราวกับว่าบนท้องฟ้าจะมีใบหน้าของบุรุษผู้นั้นขึ้นมาอย่างไรอย่างนั้น สุดท้ายแล้วนางก็หันมามองเซียวเฟิง ก่อนจะเอ่ยขึ้น“ข้าชมชอบบุรุษที่ใจดีและเข้าใจข้าเป็นที่สุด” นี่คือคำตอบที่มาจาก
ตอนพิเศษ 1 ซูหนิง - เซียวเฟิงข้าอยากอยู่เคียงข้างสามีเช่นกันขบวนรถม้าของตระกูลเสวี่ยเคลื่อนออกจากหน้าจวนไปแล้ว บริเวณด้านหน้าของจวนตระกูลเสวี่ยเวลานี้จึงเหลือเพียงคนตระกูลจ้าวที่มองขบวนรถม้าของจ้าวเยว่ด้วยสายตาที่อาลัยอาวรณ์ อีกทั้งยังมีเซียวเฟิงและซูหนิงที่ยังคงไม่ไปไหน ทั้งสองมองตามหลังรถม้าไปด้วยความเศร้าสร้อย ราวกับว่าทุกอย่างจะหยุดหมุน เมื่อพวกเขาทั้งสามคนไม่ได้อยู่ด้วยกันเมื่อรถม้าของตระกูลเสวี่ยพ้นสายตา คนตระกูลจ้าวจึงเดินทางกลับจวนตนเอง แม้จะมีสายตาอาลัยอาวรณ์ แต่ดูเหมือนว่าพวกเขาจะไม่ได้เสียใจที่บุตรสาวของตนเองต้องไปอยู่ที่เมืองอื่นเลย นี่อาจจะเป็นเพราะว่า เขยขวัญได้เลื่อนยศเป็นถึงแม่ทัพใหญ่ของกองกำลังปกป้องดินแดนเหนือ ดังนั้นแม้จะจากลา แต่ควรดีใจจึงจะเป็นสิ่งที่ถูกต้องแต่สำหรับเซียวเฟิงและซูหนิงนั้นไม่ใช่เลย พวกเขารู้สึกราวกับว่าขาดคนสำคัญไป เนื่องจากทั้งสามเป็นสหายกันมานาน ไม่ว่าเรื่องราวอันใดก็จะร่วมทำด้วยกันเสมอ แม้แต่ตอนที่จ้าวเยว่แต่งงาน พวกเขาก็ไม่ได้รู้สึกห่างเหินกันเลยสักครั้งเดียว ทั้งสองยังคงจำได้ถึงวันที่ชักชวนกันปีนหลังคาของจวนตระกูลจ้าว ในคืนหนึ่งก่อนที่จ้า