ณ เมืองอวี้โจว แคว้นสือเจ้า ทางตอนเหนือของแคว้นฉางอันตะวันออก เฉินฉิงตะลีตะลานหลบหนี เมื่อเห็นประตูเมืองถูกตีแตก เขามีสภาพกระเซอะกระเซิง แต่ก็ไม่อาจละวางหน้าที่ในมือลงได้ ชายหนุ่มยังคงกวาดสายตาอย่างกระวนกระวายแล้ววิ่งไปอย่างไร้ทิศทาง
เวลานี้จวนเจ้าเมืองกำลังเกิดเพลิงไหม้ ในใจเขาคิดว่าอย่างไรต้องหามันให้เจอ ก่อนที่กองกำลังของศัตรูจะมาถึงแล้วชิงมันกลับไป สุดท้ายจึงกัดฟันวิ่งเข้าไปในจวนที่กำลังเกิดเพลิงไหม้ ทว่าด้านในเปลวไฟลุกท่วมโชติช่วงรุนแรง เรือนทั้งหลังกำลังจมอยู่ในกองเพลิง ขื่อ คานพังถล่มอย่างต่อเนื่อง จนเขาต้องผงะถอยไปหลายก้าว
‘เมื่อเป็นเช่นนี้แล้ว ตราประทับจะต้องถูกแย่งชิงคืนไปเป็นแน่ แต่ข้าไม่ยอมแค่นี้แน่ ข้าเป็นถึงแม่ทัพแดนใต้ของแคว้นสือเจ้า จะต้องนำมันไปให้ท่านอ๋องให้ได้’
อารมณ์ความฮึกเหิมพุ่งขึ้น เขาหมุนตัวกลับหมายจะกลับไปแลกชีวิตกับแม่ทัพเสวี่ย ทว่าเพิ่งออกจากจวนนั้นได้ไม่กี่ก้าว ก็ได้ยินเสียงฝีเท้าม้าฝูงหนึ่งกำลังวิ่งตรงมาทางเขา ซึ่งนั่นก็คือเสวี่ยช่างเจิ้น แม่ทัพแห่งแคว้นฉางอันนั่นเอง
เฉิงฉิงอาศัยแสงจากเปลวเพลิงที่เบื้องหลัง แล้วพยายามเพ่งเล็งไปที่แม่ทัพเสวี่ย จากนั้นก็ถือดาบวิ่งตรงเข้าไปหาทันที ทหารที่ติดตามแม่ทัพเสวี่ยของตนมาต่างเร่งฝีเท้า เพื่อจะเข้าไปจัดการกับแม่ทัพของแคว้นศัตรูที่ยืนอยู่ตรงหน้า แต่ก็ถูกแม่ทัพของตนห้ามไว้
“ปล่อยให้เป็นหน้าที่ข้าเอง”
“ขอรับ”
แม่ทัพเสวี่ยลงจากหลังม้า มือขวากำด้ามดาบไว้อย่างมั่นคง แล้วเดินตรงเข้าไปหาเฉินฉิง เมื่อระยะห่างระหว่างกันเหลือเพียงแค่สามจั้งเขาก็ตะโกนขึ้นมาว่า
“ตราประทับของแม่ทัพใหญ่แคว้นฉางอันอยู่ที่ใด”
ตราประทับนี้ถูกสายลับของแคว้นสือเจ้าขโมยไปเมื่อเดือนที่แล้ว พวกมันปลอมตัวเข้ามาเป็นบ่าวไพร่ในจวนของท่านแม่ทัพใหญ่เหยียนโหว แล้วแอบเข้าห้องทำงานและขโมยไป แต่ยังนำกลับไปไม่ถึงเมืองหลวงของพวกมัน ก็ถูกแม่ทัพเสวี่ยแกะรอยตามมาได้เสียก่อน จึงได้ส่งกองทัพลงมาเผชิญศึกกับกองทัพของแม่ทัพเสวี่ย
“จะอย่างไรข้าก็ไม่มีทางบอกเจ้า” เฉินฉิงตะโกนกลับมา
เมื่อศัตรูเอ่ยอย่างแน่ชัดแล้ว ว่าจะไม่ยอมบอกที่ซ่อนของตราประทับ แม่ทัพเสวี่ยก็ไม่พูดพร่ำทำเพลง ชักดาบออกจากฝักแล้ววิ่งเข้าใส่เฉินฉิงทันที
เวลาเพียงไม่ถึงครึ่งก้านธูป ศีรษะของเฉินฉิงก็หลุดจากบ่ากลิ้งตกลงไปตามพื้น จนมาหยุดอยู่ตรงหน้าทหารม้าของตน ท่ามกลางเสียงโห่ร้องยินดีของทหารแคว้นฉางอัน
“เอาหัวของมันไปเสียบประจานไว้ที่ประตูเมือง”
แม่ทัพเสวี่ยสั่งเสียงดังก้อง จากนั้นจึงหันไปหาทหารอีกสองสามนายแล้วเอ่ยว่า “พวกเจ้ามากับข้า ข้าจะเข้าไปหาตราประทับในจวน”
ตอนนี้เพลิงเริ่มสงบลงบ้างแล้ว แม่ทัพเสวี่ยกับเหล่าทหาร ใช้เวลากว่าครึ่งค่อนคืน จึงได้หาตราประทับพบ
ในที่สุดการศึกอันดุเดือดก็ยุติลง ยามนี้เป็นเวลาดึกดื่นมากแล้ว แม่ทัพคนสำคัญของศัตรูถูกแม่ทัพเสวี่ยสังหาร เจ้าเมืองถูกบังคับให้ยอมสละเมืองเพื่อเอาชีวิตรอด ทหารเมืองอวี้โจวก็บาดเจ็บล้มตายเกินกว่าครึ่ง ที่เหลือล้วนยอมจำนนหมดสิ้นแล้ว
เหล่าทหารภายใต้การปกครองของแม่ทัพเสวี่ยแม้เหนื่อยล้าเพียงใดก็ไม่ท้อถอย หลังจากที่บุกยึดเมืองอวี้โจวได้สำเร็จ ก็ทำให้ขวัญทหารกล้าฮึกเหิม ทุกหนทุกแห่งมีแต่เสียงโห่ร้องยินดี
รุ่งเช้าแม่ทัพเสวี่ยทิ้งทหารไว้จำนวนหนึ่ง ภายใต้การดูแลของรองแม่ทัพจาง ส่วนตนกับทหารที่เหลือ รีบเดินทางกลับเมือง หมิงเวยเพื่อนำตราประทับของแม่ทัพใหญ่กลับไป
เสวี่ยช่างเจิ้น แม่ทัพหนุ่มอายุน้อย เขามีอายุเพียงยี่สิบสี่ปี แต่ผลงานของเขากลับไม่น้อยดังเช่นอายุเลย ตั้งแต่ชายหนุ่มนำทัพออกศึกกว่ายี่สิบครั้ง ก็ยังไม่เคยแพ้พ่ายแม้แต่ครั้งเดียว และครั้งนี้ก็เช่นกัน เสวี่ยช่างเจิ้นสามารถยึดเมืองอวี้โจว และนำตราประทับของแม่ทัพใหญ่กลับมาได้สำเร็จ
ด้วยความที่ยังหนุ่มแน่น และหน้าตาหล่อเหลาราวเทพเซียน อีกทั้งความสามารถที่เก่งกาจ ทำให้บรรดาสตรีทั้งนอกและทั้งในเมืองหมิงเวยต่างก็หมายปอง บุตรีของขุนนางทั้งชั้นผู้ใหญ่และผู้น้อย ล้วนก็อยากจะเป็นภรรยาของเขา แม้ว่าจะเป็นภรรยาเอกไม่ได้ ขอให้ได้เป็นอนุภรรยาก็ยังดี ส่วนสตรีสามัญชนทั้งหลายถึงแม้ว่าจะอยู่ห่างไกลจากความเป็นจริงนัก แต่ก็ขอให้ได้อยู่ในสายตาของเขาบ้าง พวกนางก็พอใจแล้ว
ดังนั้นที่เขากลับมาในวันนี้ เหล่าสาวน้อยที่ยังไม่ออกเรือน ต่างก็ไปรวมตัวกันที่ถนนหน้าประตูเมือง เพื่อยลโฉมของท่านแม่ทัพเสวี่ยในตอนที่เขากลับเข้าเมืองมา
“เจ้าฟังข่าวมาไม่ผิดแน่นะ ว่าท่านแม่ทัพจะกลับมาวันนี้”
ลู่เฉินจยาบุตรีสกุลลู่ คหบดีใหญ่เมืองหมิงเวยเอ่ยถามสหายที่ยืนอยู่ข้างๆ และสหายที่ยืนอยู่ข้างนางก็คือหวังเว่ยเถียนนั่นเอง
“ไม่ผิดแน่ ข้าถามท่านพ่อมาแล้ว ข่าวจากพ่อข้าไม่มีทางผิดแน่”
“แล้วเหตุใดขบวนของท่านแม่ทัพถึงยังไม่มาอีกล่ะ นี่เราก็ยืนรอมาสองชั่วยาม[1] แล้ว” ลู่เฉินจยาใจร้อนอยากพบแม่ทัพเสวี่ยเร็ว ๆ จึงถามไม่เลิกรา
หวังเว่ยเถียนเห็นกิริยาของนางแล้วก็เริ่มรำคาญไม่น้อย ก่อนจะสูดลมหายใจข่มโทสะเอาไว้
“ฮื่ม...ลู่เฉินจยา การเดินทางนั้น ย่อมมีช้าบ้าง เร็วบ้างเป็นเรื่องธรรมดา ใจคอเจ้าจะให้ท่านแม่ทัพเดินทางทั้งวันทั้งคืนโดยไม่หยุดพัก เพื่อมาให้เจ้าพบหน้าอย่างนั้นหรือ เจ้ามิใช่ภรรยาของเขาสักหน่อย”
“แล้วถ้าข้าได้เป็นขึ้นมา เจ้าก็อย่ามาขอข้าเป็นอนุก็แล้วกัน” ลู่เฉินจยากล่าวขึ้น น้ำเสียงเต็มไปด้วยการประชดประชัน
“ขอให้มีวันนั้นเสียก่อนเถอะ” หวังเว่ยเถียนประชดกลับเช่นกัน
ลู่เฉินจยาเหลียวหน้ามองหลัง ราวกับว่ากำลังหาใครสักคนอยู่ แล้วจู่ ๆ นางก็ถามขึ้นมาว่า “แล้วหลิงเจียวเล่า ไม่มากับเจ้าด้วยหรือ”
“ซูหลิงเจียวน่ะหรือ นางไม่ยอมออกมาทำสิ่งที่พวกเรากำลังทำอยู่หรอก นางกล่าวว่าการมารอชื่นชมบุรุษนั้น ไม่เป็นกิริยาที่ชนชั้นสูงพึงกระทำ” หวังเว่ยเถียนตอบกลับ
“อย่างนั้นสินะ ถึงอย่างไรคนในตระกูลผู้ดีอย่างนางก็มีโอกาสมากกว่าสตรีสามัญอย่างเรา ไม่แน่นางอาจจะมีโอกาสได้ร่วมงานเลี้ยงกับท่านแม่ทัพก็เป็นได้” ลู่เฉินจยากล่าวเชิงตัดพ้อในโชคชะตาตนเอง
หวังเว่ยเถียนได้ยินอย่างนั้นก็แค่นเสียง ‘หึ’ ออกมาหนึ่งครั้ง
“หึ...เป็นชนชั้นสูงแล้วอย่างไรเล่า ถ้าหากท่านแม่ทัพไม่ชอบอย่างไรก็คงจะไม่มีทางอยู่ดี ดูอย่างน้องสาวนางสิ เป็นชนชั้นสูงก็ยังปฏิบัติตัวเยี่ยงพวกเราเลย”
ณ ถนนฝั่งตรงกันข้าม
ซูหนิงกำลังวิ่งชะเง้อคอไปมาเพื่อหามุมดี ๆ ในการเฝ้ารอยลโฉมของแม่ทัพเสวี่ย นางกระตือรือร้นราวกับเด็ก ๆ ที่รอชมพวกกระต่ายน้อยที่กำลังจะวิ่งออกจากกรง
จากนั้นก็มีเสียงฮือฮาดังขึ้นมาว่าท่านแม่ทัพเสวี่ยมาแล้วดังอื้ออึงไปทั่วบริเวณ ทำให้เหล่าสตรีต่างก็วิ่งเข้าไปใกล้ประตูเมืองมากขึ้น พอเห็นแม่ทัพเสวี่ยควบอาชาสีดำคู่ใจผ่านเข้าประตูเมืองมา ก็พากันควักผ้าเช็ดหน้าออกมาแล้วโปรยไปให้ แม้แต่ลู่เฉินจยากับหวังเว่ยเถียนก็ทำเช่นกัน
เสวี่ยช่างเจิ้นควบม้าผ่านไปอย่างไม่ได้สนใจแม้แต่น้อย
ยามมีผ้าเช็ดหน้าตกลงมาที่ตัว เขาก็จะปัดทิ้งอย่างไม่ไยดี หญิงสาวเหล่านั้นต่างก็ได้แต่ทำหน้าละห้อยมองตาม มิหนำซ้ำทหารในขบวนของเขา กลับเดินเหยียบย่ำผ้าเช็ดหน้าเหล่านั้น โดยที่ไม่คิดแม้แต่จะเก็บมันขึ้นมาส่งคืนให้เจ้าของ
ช่างเป็นกองทหารที่เย็นชาเสียจริง!!
ชาวเมืองต่างพากันเล่าลือกันปากต่อปากเรื่องที่แม่ทัพเสวี่ยได้ชัยชนะกลับมา กระทั่งบ่าวไพร่ในจวนเจ้ากรมจ้าวก็เอ่ยถึงเรื่องนี้เช่นกัน ผิงผิงที่กำลังขัดหลังให้จ้าวเยว่อยู่นั้นก็ยังเอ่ยขึ้นมา
“วันนี้เป็นวันที่ท่านแม่ทัพเสวี่ยกลับเข้าเมืองมา คุณหนูจะลองออกไปดูไหมเจ้าคะ”
“ไปทำไมหรือ เขามีอะไรให้น่าดูกันเล่า” จ้าวเยว่ตอบอย่างไม่สนใจ
“คุณหนูเคยพบท่านแม่ทัพแล้วหรือเจ้าคะ” ผิงผิงถามกลับ
“ยังไม่เคย” จ้าวเยว่ตอบกลับอย่างไม่สนใจเช่นเดิม
“แล้วเหตุใดถึงได้ตอบราวกับว่ารู้จักท่านแม่ทัพอย่างนั้นเล่าเจ้าคะ ผิงผิงก็นึกว่าตอนที่คุณหนูแอบไปฝึกยุทธ์ที่ลานฝึกของกองทัพ จะเคยเจอเขาแล้วเสียอีก”
“ไม่เคยเจอ แล้วก็ไม่ได้อยากเจอด้วย” จ้าวเยว่เอ่ยขึ้นอย่างไม่สนใจอยู่ดี
ผิงผิงที่พยายามยุยงให้นายของตนออกไปยลโฉมท่านแม่ทัพที่ประตูเมือง ได้แต่ถอนหายใจอย่างสิ้นหวัง ไม่ว่าจะทำอย่างไรก็ไม่สามารถปลุกความกระตือรือร้นของคุณหนูได้เลย
“ผิงผิง เจ้าอยากไปใช่หรือไม่ แล้วที่พยายามหว่านล้อมข้าอยู่ตอนนี้ ก็เพราะเจ้าต้องการจะใช้ข้าเป็นข้ออ้างในการที่จะออกไปที่ประตูเมือง ใช่หรือไม่” จ้าวเยว่เอ่ยออกมาพลางใช้สายตามองผิงผิงอย่างกดดัน
ผิงผิงหน้าแดงซ่านขึ้นเมื่อถูกจับพิรุธได้ แต่ยังคงไม่ตอบคำถามของเจ้านาย
“เจ้าอยากไปก็ไปสิ แต่ข้าไม่ไปหรอกเพราะข้าขี้เกียจเดิน อีกอย่าง ประตูเมืองก็อยู่ไกลจากจวนเราตั้งหลายลี้[2]”
จ้าวเยว่เอ่ยจบก็ลุกพรวดขึ้นจากน้ำเพื่อเป็นการตัดบท ทว่านางก็ยังคงไม่สามารถหยุดยั้งความอยากไปของผิงผิงได้อยู่ดี
“แต่ถ้าคุณหนูไม่ไป ผิงผิงจะไปได้อย่างไรเล่าเจ้าคะ” ผิงผิงกล่าวเสียงอ่อย ๆ พร้อมกับทำหน้าเศร้า
จ้าวเยว่ถอนหายใจออกมาอย่างเหนื่อยหน่ายก่อนจะเอ่ยขึ้น “ถ้าอย่างนั้นเจ้าก็เอาเงินไป และบอกพ่อบ้านว่าข้าให้เจ้าไปซื้อขนมมาก็แล้วกัน”
“เจ้าค่ะ คุณหนู” ผิงผิงรับเงินมาด้วยความดีใจยิ่งนัก
หลังจากนั้นผิงผิงก็ออกจากจวนไป นางไปแวะซื้อขนมที่ร้านเหลาเสี่ยวซื่อให้คุณหนูของนางก่อน แล้วค่อยเดินต่อไปที่ประตูเมืองเพื่อรอขบวนของท่านแม่ทัพเสวี่ย เมื่อได้ยลโฉมของท่านแม่ทัพแล้ว นางก็รีบวิ่งกลับมาที่จวนด้วยความตื่นเต้น
“คุณหนูเจ้าคะ ลองทายสิเจ้าคะ ว่าท่านแม่ทัพเสวี่ยหน้าตาเป็นเช่นไร” ผิงผิงเอ่ยพร้อมส่งสายตามีเลศนัยให้จ้าวเยว่
จ้าวเยว่ที่ไม่ค่อยจะสนใจเรื่องนี้เท่าใดนัก ก็ได้แต่ถามแบบเออออห่อหมกไปว่า “เป็นอย่างไรหรือ หล่อเหลาหรือไม่”
“หล่อเหลาราวกับเทพเซียนเลยเจ้าค่ะ รูปหน้าของท่านแม่ทัพคมคายยิ่งนัก ดวงตาดุดันราวกับเหยี่ยว จมูก ปาก คาง ล้วนรับรูปกัน อีกทั้งร่างกายที่กำยำสูงใหญ่ ผิงผิงเห็นเขาโดดเด่นออกมาจากหมู่ทหารเลยนะเจ้าคะ ตั้งแต่เกิดมา ผิงผิงยังมิเคยเห็นผู้ใดรูปงามถึงเพียงนี้มาก่อน” ผิงผิงตอบด้วยใบหน้าเคลิ้มฝัน
“นี่เจ้าถูกเขาโปรยยาเสน่ห์ใส่มา ใช่หรือไม่ ถึงได้ละเมอเพ้อหาเขาถึงเพียงนี้” จ้าวเยว่เอ่ยพร้อมมองดูสาวใช้คนสนิทของตนอย่างค้นหา
ผิงผิงทำหน้าบึ้งตึงขึ้นมาแล้วตอบว่า
“ยาเสน่ห์อะไรเล่าเจ้าคะ ท่านแม่ทัพรูปงามจริง ๆ ถ้าคุณหนูได้พบ รับรองว่าจะต้องคิดเหมือนกันกับผิงผิงเป็นแน่”
จ้าวเยว่ได้แต่ส่ายหน้าแล้วคิดในใจว่า
‘ความหลงใหลของสตรีนี่ช่างไม่มีเหตุผลจริงๆ’
พูดพร่ำทำเพลง
[1] ชั่วยาม เป็นการนับเวลาแบบจีน 1 ชั่วยาม เท่ากับ 2 ชั่วโมง
[2] ลี้ เป็นหน่วยวัดของจีนมีความยาวเท่ากับ 500 เมตร
ตอนพิเศษ 6จ้าวเยว่ – เสวี่ยช่างเจิ้นครอบครัวคุณชายเสวี่ยชางเยว่อายุได้สิบหกหนาวแล้ว เขาเพิ่งเรียนจบชั้นปีสุดท้ายจากสำนักศึกษา อีกทั้งยังได้รับตำแหน่งในกองทัพ เป็นถึงหัวหน้าหน่วยพลทหารราบถือทวนอีกด้วย ผลจากการฝึกฝนตั้งแต่ยังเด็ก จึงทำให้ฝีมือทวนของเขาเป็นรองเพียงแค่บิดาเท่านั้น นอกจากนั้นต่างก็ประลองแพ้เขาราบคาบ พลทหารทุกคน จึงยอมรับในฝีมือที่เก่งกาจเกินอายุของเขาเสวี่ยชางเยว่มีน้องสาวคนหนึ่ง ปีนี่ก็อายุย่างเข้าเก้าหนาวแล้ว มีนามว่าเสวี่ยหรูหราน เป็นเด็กสาวหน้าตาน่ารัก ชอบเล่นซุกซนเหมือนบุรุษ ดูไปแล้วทั้งหน้าตาและนิสัยเหมือนกับจ้าวเยว่ไม่มีผิด นางชอบฝึกยุทธ์กับพี่ชาย และที่แตกต่างจากจ้าวเยว่อย่างหนึ่ง ก็คือนางมีฝีมือในเรื่องของศาสตร์ของสตรี ทั้งการเย็บปักถักร้อย เขียนอักษร วาดภาพ ทำอาหาร นางล้วนทำได้ดีเป็นอย่างยิ่งด้วยความที่เป็นชายหนุ่มหน้าตาหล่อเหลา รูปหน้างามประดุจสตรีเหมือนบิดาไม่มีผิด อีกทั้งยังอัธยาศัยดี วาจาไพเราะ บุตรสาวตระกูลต่างๆ จึงพากันหมายปอง ไม่ว่าจะเดินไปที่ใดในเมืองผานหยาง ย่อมมีหญิงสาวมองตามเขาอยู่เป็นประจำ บางคนถึงกับโยนผ้าเช็ดหน้าให้กลางถนนเลยก็มีและเสวี่ยชางเยว
ตอนพิเศษ 5จ้าวเยว่ – เสวี่ยช่างเจิ้นปกป้องเมืองเซียวเฟิงกับซูหนิงได้รับการต้อนรับอย่างดี วันแรกที่พวกเขามาถึงเสวี่ยช่างเจิ้นก็จัดงานเลี้ยงเล็ก ๆ ให้อย่างอบอุ่น อีกทั้งยังให้รองแม่ทัพเว่ยเป็นผู้พาทั้งสองทั้งสองเที่ยวที่เมืองผานหยางซึ่งเป็นที่แน่นอนอยู่แล้วว่า ฟ่านตวนคงจะให้ฟ่านหลินหลินเป็นคนตามไปด้วย ในเมื่อบุตรชายของท่านมหาเสนาบดีมาเมืองผานหยางทั้งที เจ้าเมืองอย่างเขา จะไม่เอาอกเอาใจได้อย่างไร“รองแม่ทัพเว่ย ท่านเห็นว่าข้าควรจะซื้อสิ่งใดไปฝากท่านพ่อกับท่านแม่ดี ที่เมืองผานหยางมีสิ่งใดน่าสนใจหรือไม่”เซียวเฟิงเอ่ยถามขึ้น พลางสายตาก็กวาดมองไปบนถนนกลางเมือง ที่มีของขายมากมายอยู่เต็มไปหมด มากมายเสียจนไม่รู้ว่าจะซื้อสิ่งใดกลับไปฝากทุกคนที่จวนดีฟ่านหลินหลินที่มีนิสัยขี้ประจบเอาใจไม่ต่างจากบิดา มีดีก็ตรงที่นางฉลาดกว่า และรู้จักวิเคราะห์สถานการณ์ จึงได้แนะนำไปว่า“ถ้าหากสำหรับบุรุษแล้วล่ะก็ จำพวกแผ่นป้าย หรือว่าตราสัญลักษณ์ที่ทำจากหยกของช่างที่นี่ฝีมือดีอย่างยิ่ง หากว่าท่านราชบัณฑิตอยากจะสั่งทำ ก็ใช้เวลาเพียงแค่สี่ห้าวันเท่านั้นเจ้าค่ะ แต่หากสำหรับสตรีแล้ว แป้งผัดหน้าที่นี่มีคุณภาพสูงไม่
ตอนพิเศษ 4จ้าวเยว่ - เสวี่ยช่างเจิ้น เสวี่ยชางเยว่จวนแม่ทัพใหญ่เสวี่ยที่เมืองผานหยางในคืนหิมะตกหนัก จวนแม่ทัพก็วุ่นวายเป็นการใหญ่ สาวใช้วิ่งวุ่นไปทั่วจวน เพื่อเตรียมของไว้รอหมอตำแยที่กำลังเดินทางมา ภายในห้องมีทั้งเสวี่ยฮูหยิน ฮูหยินผู้เฒ่า แล้วก็เสวี่ยช่างเจิ้น ที่กำลังกุมมือของจ้าวเยว่ไว้แน่น และคอยบอกนางว่า ให้อดทนอีกสักหน่อย“ประเดี๋ยวหมอตำแยก็มาแล้ว เจ้าอดทนอีกหน่อยเถิดนะ”เสวี่ยช่างเจิ้นบอกกล่าวกับภรรยา พร้อมกับกระชับมือบางไว้แน่นจ้าวเยว่ที่เพิ่งจะเคยคลอดลูกเป็นครั้งแรกก็หวั่นใจเล็กน้อย นางหันไปถามเสวี่ยฮูหยินว่า “ท่านแม่ ตอนที่ท่านคลอดท่านพี่นั้น เจ็บปวดเพียงใดเจ้าคะ”“เจ็บปวดเพียงชั่วครู่ เมื่อเจ้าได้ยินเสียงลูกก็จะหายเจ็บปวดเอง”เสวี่ยฮูหยินตอบพร้อมกับให้กำลังใจลูกสะใภ้ที่กำลังมอบทายาทให้ตระกูลเสวี่ยคนแรกน้ำร้อนสองอ่างถูกนำมาวางไว้ที่โต๊ะด้านข้างเตียง ฤดูเหมันต์อากาศหนาว จึงจำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องทำให้ทารกที่คลอดออกมาได้รับความอบอุ่น และยังต้องให้ความอบอุ่นแก่ผู้เป็นแม่เช่นกัน ผิงผิงจึงน้ำผ้าชุบน้ำอุ่นมาเช็ดตามใบหน้าและแขนขา ให้คุณหนูของตนรถม้าของจวนแม่ทัพที่ส่งให้ไปร
ตอนพิเศษ 3ซูหนิง - เซียวเฟิงแต่งงานเมื่อเซียวเฟิงกลับมาถึงจวน ก็เดินตรงไปที่ห้องโถงใหญ่ทันที แต่ทว่าบิดาและมารดากลับไม่มีใครอยู่ที่จวน ท่านเซียวโหวมีงานที่ต้องหารือกับฮ่องเต้เรื่องการสร้างเขื่อนเก็บน้ำที่เมืองต้าข่าย เพื่อช่วยเหลือราษฎรที่ต้องเผชิญกับภาวะน้ำท่วมอยู่ทุกปี ส่วนเซียวฮูหยินนั้นไปงานเลี้ยงน้ำชาที่จวนชินอ๋อง เขาจึงตัดสินใจกลับเข้าเรือนของตนเองไปก่อน ให้ท่านทั้งสองกลับมาก่อน ค่อยนำเรื่องที่เขาตั้งใจไว้ ไปแจ้งให้พวกท่านทราบวันนี้เซียวเฟิงรู้สึกเหมือนได้ยกภูเขาออกจากอก ความจริงที่เขาแอบชอบซูหนิงมาตั้งนานแล้วนั้นได้เปิดเผยออกไปเสียที เมื่อก่อนเขายังสับสนว่า รักนางเหมือนน้องสาวหรือว่ารักนางเหมือนคนรักกันแน่ มาวันนี้ก็ได้เข้าใจตัวเองแล้ว อีกทั้งยังเป็นที่น่ายินดีอย่างมากที่นางตกลงแต่งให้เขา ความสุขกายสบายใจเช่นนี้เพิ่งจะเกิดขึ้นในรอบปี ทำเอาเขายิ้มหน้าบานตลอดทั้งวัน“นายน้อยจะแช่น้ำหรือไม่ขอรับ”หวังเหมิงบ่าวรับใช้ประจำกายของเซียวเฟิงเอ่ยถามขึ้น เขาเห็นนายน้อยดูอารมณ์ดีเป็นพิเศษ ก็คิดว่านายน้อยคงอยู่ในช่วงเวลามีความสุขเป็นแน่ ช่วงเวลาที่มีความสุขเช่นนี้ เหมาะแก่การแช่น้ำเป็นท
ตอนพิเศษ 2 ซูหนิง - เซียวเฟิงข้าจะแต่งกับท่านคำตอบของซูหนิงทำให้เซียวเฟิงรู้สึกปลาบปลื้มเป็นอย่างยิ่ง จนเขาแทบอยากจะถามคำถามนางต่อ แต่ก็ข่มใจไว้ และห้ามตนเองว่า อย่าได้ตื่นเต้นจนเสียอาการ มิเช่นนางอาจจะรู้สึกกลัวหรือระมัดระวังตัวอย่างมากจนไม่เป็นตัวของตัวเองก็เป็นได้“แล้วลักษณะของบุรุษที่เจ้าชมชอบเป็นอย่างไรบ้างล่ะ ต้องแข็งแกร่งเก่งกาจถึงขั้นเป็นแม่ทัพเลยหรือไม่” เซียวเฟิงหยั่งเชิงถามออกมา และรอคอยคำตอบอย่างมีหวังการที่ได้รู้ว่าบุรุษในใจของซูหนิงเป็นอย่างไรนั้น ส่งผลต่อการสนทนาของทั้งสองเป็นอย่างมาก หากว่าคำตอบของซูหนิงเป็นเหมือนกับที่เขาคาดคิดไว้ การสนทนานี้จะดำเนินต่อไปอย่างมีความหวัง แต่ถ้าหากว่าคำตอบของนางไม่ได้เป็นดังที่คาด บทสนทนาก็อาจจะสะดุดลงได้ หรือถึงขั้นมีผู้ใดผู้หนึ่งต้องเสียใจ เซียวเฟิงจึงตั้งหน้าตั้งตารอคอยคำตอบนี้จากปากนางซูหนิงวางถ้วยน้ำชาในมือลง แล้วแหงนหน้าขึ้นมองท้องฟ้าที่ปลอดโปร่ง ราวกับว่าบนท้องฟ้าจะมีใบหน้าของบุรุษผู้นั้นขึ้นมาอย่างไรอย่างนั้น สุดท้ายแล้วนางก็หันมามองเซียวเฟิง ก่อนจะเอ่ยขึ้น“ข้าชมชอบบุรุษที่ใจดีและเข้าใจข้าเป็นที่สุด” นี่คือคำตอบที่มาจาก
ตอนพิเศษ 1 ซูหนิง - เซียวเฟิงข้าอยากอยู่เคียงข้างสามีเช่นกันขบวนรถม้าของตระกูลเสวี่ยเคลื่อนออกจากหน้าจวนไปแล้ว บริเวณด้านหน้าของจวนตระกูลเสวี่ยเวลานี้จึงเหลือเพียงคนตระกูลจ้าวที่มองขบวนรถม้าของจ้าวเยว่ด้วยสายตาที่อาลัยอาวรณ์ อีกทั้งยังมีเซียวเฟิงและซูหนิงที่ยังคงไม่ไปไหน ทั้งสองมองตามหลังรถม้าไปด้วยความเศร้าสร้อย ราวกับว่าทุกอย่างจะหยุดหมุน เมื่อพวกเขาทั้งสามคนไม่ได้อยู่ด้วยกันเมื่อรถม้าของตระกูลเสวี่ยพ้นสายตา คนตระกูลจ้าวจึงเดินทางกลับจวนตนเอง แม้จะมีสายตาอาลัยอาวรณ์ แต่ดูเหมือนว่าพวกเขาจะไม่ได้เสียใจที่บุตรสาวของตนเองต้องไปอยู่ที่เมืองอื่นเลย นี่อาจจะเป็นเพราะว่า เขยขวัญได้เลื่อนยศเป็นถึงแม่ทัพใหญ่ของกองกำลังปกป้องดินแดนเหนือ ดังนั้นแม้จะจากลา แต่ควรดีใจจึงจะเป็นสิ่งที่ถูกต้องแต่สำหรับเซียวเฟิงและซูหนิงนั้นไม่ใช่เลย พวกเขารู้สึกราวกับว่าขาดคนสำคัญไป เนื่องจากทั้งสามเป็นสหายกันมานาน ไม่ว่าเรื่องราวอันใดก็จะร่วมทำด้วยกันเสมอ แม้แต่ตอนที่จ้าวเยว่แต่งงาน พวกเขาก็ไม่ได้รู้สึกห่างเหินกันเลยสักครั้งเดียว ทั้งสองยังคงจำได้ถึงวันที่ชักชวนกันปีนหลังคาของจวนตระกูลจ้าว ในคืนหนึ่งก่อนที่จ้า