ทั้งสองฝ่ายต่างจ้องตากันนิ่งงันมองกันไปกันมาอยู่พักใหญ่ ปลากริมพยายามขยี้ตาตัวเองซ้ำ ๆ แต่ภาพหญิงงามในชุดไทยสีเขียวตองก็ยังคงชัดเจนอยู่ตรงหน้า...ชัดเจนเกินไปและโปร่งแสงเกินไป!
วินาทีที่เธอยอมรับกับตัวเองว่าสิ่งที่เห็นอยู่นั้นหาใช่คนธรรมดา ขนแขนของปลากริมรวมถึงแผ่นหลังต่างพากันชูชันขึ้นมาพร้อมกันโดยไม่ได้นัดหมาย สัญชาตญาณความกลัวในร่างเด็กวัยหกขวบพุ่งขึ้นถึงขีดสุด!
ด้วยความที่ตกใจกลัวจึงทำให้อะดรีนาลีนสูบฉีด พละกำลังทั้งหมดที่มีถูกเค้นออกมา เด็กหญิงร่างผอมจึงได้อุ้มน้องชายตัวเล็กกว่าไม่เท่าไหร่ขึ้นมาไว้ในอ้อมแขนอย่างทุลักทุเล ปั้นขลิบที่กำลังยืนดูดนิ้วอยู่ดี ๆ ก็ตกใจที่ตัวลอยหวือ
ยังไม่ทันที่เด็กชายจะทันได้ตั้งตัว คนเป็นพี่ก็กึ่งเดินกึ่งวิ่งแทบจะสะดุดขาตัวเองไปหลายครั้งมุ่งหน้ากลับไปยังตัวบ้านที่แม่กำลังจัดเตรียมขนมลงในกระจาดสานเพื่อจะนำขนมไปขายพอดี
"แม่จ๋า! แม่!"
บัวที่กำลังบรรจงเรียงขนมต้มอยู่หันมามองลูกสาวด้วยความแปลกใจ ก่อนจะต้องตกใจเมื่อเห็นปลากริมหน้าตาตื่นวิ่งเข้ามาทางเธอ
"แม่จ๋า! บ้านเรามีผี!" ปลากริมตะโกนเสียงดังลั่นบ้าน พลางชี้นิ้วมือสั่น ๆ กลับไปยังทิศทางของดงกล้วย
ทางด้านแม่นางตานีที่ยังยืนสงบนิ่งอยู่ตรงที่เดิมถึงกับ หน้าเหวอไปชั่วขณะเมื่อได้ยินคำประกาศของเด็กน้อย
ผีหรือ? ข้าไม่ใช่ผีธรรมดานะ! ข้าเป็นนางตานีผู้สูงศักดิ์ อย่าเอาข้าไปเปรียบกับสัมภเวสีเร่ร่อนแถวนี้สิหนูน้อย !เสียงหวานใสแต่แฝงความไม่พอใจเล็ก ๆ ดังขึ้นในหัวของปลากริม
"อะไรนะลูก...ผีเผอที่ไหนกัน" บัวย้อนด้วยความตกใจ พลางวางกระจาดลงแล้วเดินมาลูบหัวลูกสาว
"กลางวันแสก ๆ ตาฝาดไปหรือเปล่า" ทว่ายังไม่ทันที่ปลากริมจะตอบความกับแม่ของตน เสียงหวานใสเย็นก็ดังขึ้นมาให้เธอได้ยินอีก
แล้วเจ้าก็ไม่ต้องกลัวข้าด้วย ข้าอยู่ที่นี่มานานแสนนานแล้ว ไม่เคยคิดร้ายกับใคร เสียงในหัวยังคงดังอย่างต่อเนื่อง
ปลากริมที่กำลังจะอธิบายให้แม่ฟังถึงกับชะงัก...เดี๋ยวนะ เสียงนี้มัน...มาจากไหน? เธอหันขวับกลับไปมองทางดงกล้วย แต่ก็ไม่เห็นปากของหญิงงามคนนั้นขยับเลยสักนิด
ว่าแต่...ทำไมหนูเพิ่งจะมาเห็นข้าได้ล่ะวันนี้? ปกติมองทีไรก็ทะลุร่างข้าไปทุกที
ปลากริมกะพริบตาปริบ ๆ หันไปมองแม่ที หันไปมองในทิศทางของผีสาวที นี่มันเรื่องอะไรกัน! ไม่ใช่แค่ทะลุมิติมาพร้อมมิติส่วนตัว แต่เธอยังเจอผีที่พูดคุยกับเธอได้อีกเหรอเนี่ย! และดูเหมือนว่า...เธอจะเจอผีช่างจ้อเข้าแล้ว!
เพราะบัดนี้วิญญาณของนางตานียังตามมาไม่ห่าง นางลอยตัวมายืนอยู่ด้านข้างของแม่ซึ่งมองไม่เห็นแล้วพูดกับ ปลากริมต่อในความคิดหรือทางจิตใต้สำนึกของเด็กหญิงก็สุดจะรู้
นี่ ๆ ไม่ต้องทำหน้าเหมือนเห็นของแปลกขนาดนั้นก็ได้ ข้าเหงานะ อยู่คนเดียวมาตั้งนานคุยกับต้นไม้ใบหญ้าจนเบื่อแล้ว
"ปลากริม...เป็นอะไรไปลูก ทำไมเงียบไป" บัวเขย่าตัวลูกสาวเบา ๆ
คุยกับข้าหน่อยสิ แล้วข้าจะให้รางวัล...ข้ามีประโยชน์มากเลยนะจะบอกให้ นางตานีเริ่มเสนอข้อแลกเปลี่ยน
ข้ารู้ว่าเจ้ากับน้องหิว ข้าหากล้วยน้ำว้าสุก ๆ หอม ๆ ให้กินได้นะ หรือถ้าอยากได้เงิน จะเอาใบตองงาม ๆ ของข้าไปขายแลกเงิน ข้าก็ทำให้ได้เหมือนกัน ขอแค่เจ้าคุยกับข้าบ้างก็พอ
ปลากริมนิ่งอึ้งไปอย่างสมบูรณ์ เธอกำลังถูกแม่จับตัว ถามด้วยความเป็นห่วง ขณะเดียวกันก็มีเสียงผีสาวใบหน้าสวยมายื่นข้อเสนอต่อรองเรื่องกล้วยกับใบตองใส่หัวไม่หยุด...
ชีวิตใหม่ในพระนครยุค 2500 ของเธอ...ดูท่าจะวุ่นวายกว่าที่จินตนาการไว้เยอะเลย!
"แม่จ๋า! นะ....หนูไม่เป็นไรแล้ว" วิญญาณผู้ใหญ่ในร่างเด็กรีบแก้ตัวเพราะทนความรบเร้าของผีสาวไม่ไหว ทั้ง ๆ ที่กลัวก็กลัว แต่หากยังไม่พูดคุยกับหล่อนเห็นทีว่าผีสาวน่าจะไม่ไปไหน
"หนูไม่เป็นไรแน่นะลูก" บัวยังคงถามอย่างกังวล อีกทั้งยังยกหลังมืออังหน้าผากของเธอด้วย
"แน่จ้ะ แม่จ๋าไม่แน่ว่าหนูอาจจะหิวจนตาลาย" พอลูกบอกว่าหิวบัวก็ยกมือทาบอก เพราะตัวเองมัวแต่ยุ่งอยู่กับการจัดขนมเลยละเลยลูกทั้งสองคนไป
"แม่ขอโทษนะลูก เอาอย่างนี้แม่ไปต้มไข่ให้ก็แล้วกัน หนูกับน้องแบ่งกันกินคนละครึ่งนะ เอาไว้แม่ขายขนมกลับมาแม่จะซื้อหมูมาทำกับข้าวเพิ่มให้"
ปลากริมกลืนน้ำลายเหนียวลงคอ หัวใจดวงน้อยยังคงเต้นแรงไม่หายเรื่องของผีสาว แต่ว่าภาพของไข่ต้มเพียงลูกเดียวที่ต้องแบ่งครึ่งกับน้องชาย...มันช่างขมขื่นในความรู้สึกแทนที่เรื่องของผีไปเลย
แม้ในชาติที่แล้วเธอจะเคยกินดีอยู่ดี แต่ตอนนี้เธอคือเด็กหญิงตัวเล็กในครอบครัวหาเช้ากินค่ำกลางพระนครปี 2500...จะเรียกร้องอะไรได้อีก
แค่ไข่ใบเดียว...ยังต้องเฉือนครึ่ง ยังไม่ทันที่ปลากริมจะได้เอ่ยคำใดออกไป เสียงฝีเท้าหนัก ๆ อันคุ้นเคยก็ดังมาจากทางประตูรั้วหน้าบ้าน
"กลับมาแล้ว!"
เสียงทุ้มต่ำแหบพร่าจากความเหนื่อยล้าดังขึ้น ก่อนที่ร่างสูงใหญ่ของพ่อจะปรากฏตัวในชุดเสื้อเชิ้ตตัวค่อนข้างเก่าสีน้ำเงินซีดแขนยาวที่ม้วนขึ้นถึงข้อศอกและกางเกงขาก๊วยเปื้อนโคลน
มือซ้ายของเขาหิ้วตาข่ายเส้นหวายที่ภายในเต็มไปด้วยปลาช่อนตัวเขื่อง ปลาหมอไทย และปลาตะเพียนสองสามตัวที่ยังคงดิ้นกระแด่ว ๆ อยู่
"พ่อ!" ปลากริมอุทานออกมาแผ่วเบา ดวงตากลมโตเบิกกว้างอย่างมีความหวัง บัวเองก็หันไปยิ้มโล่งอกเมื่อเห็นอาการของลูกที่ดูจะเป็นปกติ เธอรีบเข้าไปช่วยรับตาข่ายปลามาจากสามี
"หายไปนานเลยพี่สิงห์ กลับมาก็ได้ปลามาเต็มเชียว ไปลงอวนที่ไหนมาจ๊ะ?"
"ตรงท้ายสวนอาตี๋น่ะ น้ำมันขังอยู่นาน ปลาเข้าไปเยอะ ไม่ต้องดำน้ำให้เมื่อยเลย แค่ล้อมอวนไว้ก็ได้มาเต็มมือ" สิงห์ตอบเสียงเรียบแต่ในน้ำเสียงนั้นแฝงไว้ด้วยความภาคภูมิใจอยู่ลึก ๆ ที่วันนี้เขายังพอหาอาหารมาเลี้ยงลูกเมียได้
ปลากริมมองพ่อที่กลับมาพร้อมอาหารมื้อใหญ่ตาเป็นประกาย แต่ในขณะเดียวกันก้อนความขมขื่นก้อนใหม่ก็แล่นมาจุกอยู่ที่ลำคอยามเมื่อนึกถึงเรื่องที่แม่เพิ่งจะพูดออกมา แต่ตอนนี้เห็นทีว่าเธอคงจะได้มีเนื้อกินแล้ว และยังไม่ต้องให้แม่ซื้อหมูกลับมาทำกับข้าวอีกด้วย
"เดี๋ยวพ่อทอดปลาให้กินนะลูก" เสียงของพ่อยังคงดังอยู่ แต่สำหรับปลากริมแล้วกลับรู้สึกเหมือนเสียงนั้นถูกกลบด้วยเสียงหวานใสที่แทรกเข้ามาในความคิดของเธอโดยตรง
เห็นไหมล่ะ...ข้าบอกแล้วว่าข้าพอจะช่วยอะไรเจ้าได้บ้าง แต่ถ้าอยากได้มากกว่านี้ เจ้าต้องคุยกับข้าก่อนนะ หนูน้อย
นางตานี...ผีสาวจอมต่อรองยังคงไม่ไปไหนอีกทั้งยังพูดเหมือนกับว่าที่พ่อหาปลามาได้เป็นความดีความชอบของเธออีกด้วย
ปลากริมกลืนน้ำลายฝืดลงคออีกครั้งและแสร้งทำเป็นไม่ได้ยินเสียงในหัว แล้วหลบสายตาของผู้ใหญ่ทั้งสองที่กำลังพูดคุยกันอย่างมีความสุขเรื่องเมนูปลาสำหรับมื้อเย็น
"หนู...หนูจะไปล้างมือก่อนนะจ๊ะ..."
เธอพูดเสียงเบาแล้วรีบเดินเลี่ยงไปยังตุ่มน้ำดินเผาข้างบ้าน ดวงตาเหลือบมองไปยังดงกล้วยอีกครั้งอย่างระแวดระวัง ก่อนจะตัดสินใจบางอย่าง
พี่สาว เรามาคุยกันหน่อยดีไหม จบคำในความคิดไม่ถึงอึดใจ ร่างโปร่งแสงของแม่ตานีสาวที่ลอยตามมาก็พลันโผล่ออกมาตรงหน้าของเด็กหญิงในระยะประชิด!
กลิ่นหอมเย็น ๆ ของดอกกล้วยลอยมาปะทะจมูก พร้อมกับใบหน้างดงามที่ยิ้มให้อย่างเป็นมิตร
"ว้าย!"
ปลากริมเกือบจะส่งเสียงกรี๊ดออกมาดังลั่น แต่เดชะบุญหล่อนยกมือเล็กทั้งสองข้างปิดปากเอาไว้เสียก่อนทันควัน! หัวใจดวงน้อยเต้นระรัวราวกับจะหลุดออกมานอกอก ดวงตากลมโตเบิกกว้างด้วยความตกใจสุดชีวิต
หลังจากผ่านไปอึดใจใหญ่ เมื่อแน่ใจแล้วว่าตัวเองไม่ได้หัวใจวายตายไปจริง ๆ ความตกใจก็เริ่มแปรเปลี่ยนเป็นความหงุดหงิดระคนโมโห เด็กหญิงตัวน้อยลดมือลงจากปาก ก่อนจะเงยหน้าขึ้นจ้องมองผีสาวตรงหน้า
ปลากริมส่งค้อนให้นางตานีตาเขียวปั้ด หน้าผากเล็กย่นเข้าหากัน พลางบ่นเสียงกระซิบลอดไรฟัน
"จะมาก็มาดี ๆ สิ! รู้ไหมว่าคนเขาตกใจ! เล่นโผล่มาแบบนี้เกิดหัวใจวายตายขึ้นมาทำไง"
แม่นางตานีที่กำลังยิ้มอย่างอ่อนโยนถึงกับชะงักค้างไป เมื่อได้ยินคำพูดของคนตัวเล็ก หล่อนกะพริบตาปริบ ๆ มองเด็กหญิงตรงหน้าที่แทนที่จะกลัวจนตัวสั่นกลับกำลังยืนเท้าสะเอว ต่อว่านางฉอด ๆ
เอ่อ...ขะ...ข้าขอโทษที ก็เจ้าเรียกข้านี่นา ข้าก็นึกว่าเจ้าอยากเจอเร็ว ๆ นางตานีตอบกลับผ่านทางจิต เสียงหวานของเธอนั้นฟังดูงุนงงและรู้สึกผิดไม่น้อย
"อยากเจอเร็ว ๆ ไม่ได้หมายความว่าให้โผล่มาแบบนี้!" ปลากริมยังคงต่อว่าเสียงเข้ม นี่ถ้าเธอเป็นโรคหัวใจคงได้ตายซ้ำสองไปแล้ว
เอาละ ๆ ข้าผิดไปแล้ว ต่อไปข้าจะค่อย ๆ ปรากฏตัวก็แล้วกันนะหนูน้อย นางตานีรีบยอมแพ้ ก่อนจะเปลี่ยนเรื่อง แล้ว...ที่เจ้าเรียกข้าเมื่อกี้ ว่าจะคุยกัน...
ปลากริมสูดหายใจเข้าลึกเพื่อสงบสติอารมณ์ เอาเถอะ อย่างน้อยผีตนนี้ก็ดูจะคุยกันรู้เรื่อง ไม่ได้น่ากลัวอย่างที่คิด
"ก็เรื่องข้อเสนอของพี่สาวนั่นแหละ ไหนว่ามาสิว่าจะช่วยอะไรฉันได้บ้าง แล้วต้องการอะไรเป็นการตอบแทน" ปลากริมเริ่มเข้าเรื่องทันทีอย่างไม่อ้อมค้อม
ดวงตาของแม่นางตานีเป็นประกายขึ้นมาทันทีเมื่อเห็นเด็กน้อยเปิดการเจรจา
ง่ายมากเลย! ข้าเหงา...เจ้าแค่คุยกับข้าบ้าง เล่นกับข้าบ้างก็พอ ส่วนเรื่องช่วยเหลือน่ะ...นางยิ้มกว้าง กล้วยเครือนั้นน่ะ เดี๋ยวข้าจะเสกให้มันสุกหอมหวานได้ในพริบตา หรือถ้าอยากได้เงิน ข้าจะช่วยให้ใบตองของข้าเขียวสดทนทานกว่าใคร เอาไปขายที่ตลาดได้ราคางามก็ยังได้
ปลากริมนิ่งอึ้งไปกับข้อเสนอที่ดูจะง่ายเกินไป เธอมองผีสาวช่างจ้อที่กำลังเสนอโปรโมชั่นอย่างแข็งขัน แล้วก็ได้แต่ถอนหายใจ...ชีวิตใหม่ของเธอช่างมีเรื่องให้ต้องรับมือเยอะเกินไปแล้ว
หลายปีต่อมา...ในคืนวันศุกร์ที่แสนคึกคักใจกลางย่านพระอาทิตย์...แสงไฟนีออนสีน้ำเงินนวลสาดส่องลงบนป้ายชื่อร้านที่ออกแบบอย่างมีรสนิยม... "พระอาทิตย์ บลูส์" (Phra Athit Blues) นี่คือไพรเวทแจ๊สคลับที่หรูหราและเป็นที่กล่าวขวัญถึงมากที่สุดในพระนคร และเจ้าของคลับแห่งนี้ก็คือสองหนุ่มโสดที่เนื้อหอมมากที่สุด...ข้าวเหนียวและปั้นขลิบ บรรยากาศภายในคลับอบอวลไปด้วยเสียงดนตรีแจ๊สสด ๆ ที่บรรเลงอย่างนุ่มนวลกลิ่นหอมของซิการ์ชั้นดีและเสียงพูดคุยของเหล่าแขกผู้มีระดับ...ทั้งนักธุรกิจ ทูตานุทูตและศิลปินชื่อดัง ข้าวเหนียวในชุดสูทสั่งตัดอย่างดีกำลังยืนพูดคุยกับกลุ่มนักธุรกิจชาวต่างชาติด้วยภาษาอังกฤษที่คล่องแคล่ว...ส่วนปั้นขลิบก็กำลังโปรยเสน่ห์ให้กับกลุ่มคุณหนูไฮโซที่โต๊ะข้างเวที...ซึ่งทั้งสองคนได้ทำหน้าที่เจ้าบ้านอย่างสมบูรณ์แบบ ที่โต๊ะVIP ที่ดี
หลังจากที่สองสหายคู่ซี้อย่างข้าวเหนียวและปั้นขลิบ...ที่ใคร ๆ ต่างก็บอกว่าตัวติดกันเป็นปาท่องโก๋...ได้เดินทางกลับมาถึงพระนครหลังจากไปทำหน้าที่อาสา พวกเขาก็ได้รับวันหยุดพักผ่อนอย่างเต็มที่ และเมื่อสองหนุ่มโสด...โปรไฟล์ดี...ผู้มีพลังงานล้นเหลือได้กลับคืนสู่เมืองหลวง...ค่ำคืนแห่งความสนุกสนานก็ได้เริ่มต้นขึ้นอีกครั้ง... และเบื้องหลังรอยยิ้มที่มีเสน่ห์นั้น...พวกเขาก็บังเกิดความคิดที่จะสร้างอาณาจักรของตนเองขึ้นมาบ้างนอกจากจะช่วยดูแลกิจการของครอบครัว ดังนั้นในเย็นวันหนึ่งขณะที่ทั้งสองกำลังนั่งจิบเครื่องดื่มอยู่ที่เลานจ์หรูของร้านเลอ บัว เบลอ หลังจากที่ช่วยปลากริมดูแลความเรียบร้อยของร้านแล้ว ปั้นขลิบก็ได้เอ่ยขึ้นทำลายความเงียบ "พี่ข้าวเหนียว...พอผมเห็นพี่ปลากริ
หลังจากเรื่องราวภายในครอบครัวผ่านพ้นมาได้ด้วยดีครอบครัวใหญ่แห่งบ้านสิงหราชก็ได้เติบโตและงอกงามขึ้นอย่างมีความสุข มะตูมและนีรนาถมีทายาทชายคนแรกเป็นโซ่ทองคล้องใจ ส่วนปลากริมและเทวากรก็มีลูกสาวตัวน้อยที่น่ารักน่าชัง... ค่ำคืนหนึ่งบนโต๊ะอาหารที่แสนอบอุ่นและคึกคักของบ้านสิงหราช เพชรในยศร้อยตรีกลับมาเยี่ยมบ้านในช่วงวันหยุด เขาได้เห็นภาพความสุขของทุกคนในครอบครัว...และมันก็ทำให้เขาตัดสินใจในเรื่องสำคัญในชีวิตออกมาได้ คืนเดียวกันนั้นหลังจากที่สมาชิกภายในครอบครัวได้แยกย้ายกันไปหมดแล้ว ชายหนุ่มจึงได้ตัดสินใจเข้าไปคุยกับสิงห์และบัวผู้ที่เปรียบเหมือนพ่อแม่เป็นการส่วนตัว... "พ่อครูครับ...แม่บัวครับ..." เขาเริ่มต้นด้วยน้ำเสียงที่แสดงความหนักแน่น "ผมได้อาสาสมัครไปประจ
ท่ามกลางการเติบโตของทุกคน กาลเวลาเองก็ได้เปลี่ยนเด็กชายขี้อายที่ชื่อดิน...ให้กลายเป็นชายหนุ่มผู้สุขุมและน่าเกรงขามในวงการมวยไทย บัดนี้เขาคือโปรโมเตอร์ดิน สิงหราช ผู้ก่อตั้งสิงหราชโปรโมชั่นและเป็นหนึ่งในโปรโมเตอร์หนุ่มที่ได้รับการยอมรับมากที่สุดของเวทีราชดำเนิน สำนักงานของเขาที่เช่าไว้มุมหนึ่งของสนามมวยไม่ได้ใหญ่โตหรูหรา แต่มันคือศูนย์กลางของความเคลื่อนไหว ผนังห้องเต็มไปด้วยโปสเตอร์รายการมวยที่เขาเคยจัด รูปถ่ายขาวดำของนักมวยในค่ายที่คว้าชัยชนะและกระดานดำขนาดใหญ่ที่ขีดเขียนตารางการซ้อมและรายชื่อคู่มวยไว้จนเต็ม เสียงโทรศัพท์ในห้องทำงานของเขาดังขึ้นแทบจะตลอดทั้งวัน..."ครับพี่...เรื่องน้ำหนักของเจ้าสมิงขาวไม่น่ามีปัญหาครับ...เดี๋ยวผมจะคุมด้วยตัวเอง" เขาพูดสายหนึ่ง ก่อนจะวางหูแล้วรับอีกสาย&nbs
หนึ่งปีผ่านไป...หลังจากที่ทุกคนได้กลับมาอยู่พร้อมหน้าพร้อมตากันที่บ้านสิงหราช... บ่ายวันหยุดสุดสัปดาห์วันหนึ่ง บรรยากาศในบ้านดูจะคึกคักและมีพิรุธมากเป็นพิเศษ...โดยที่ทุกคนในครอบครัวสิงหราชต่างก็รู้ดีว่าวันนี้จะเกิดอะไรขึ้น...ยกเว้นเพียงคนเดียว...คือปลากริมที่หารู้เรื่องรู้ราวใด ๆ เทวากรที่ตอนนี้กลายเป็นนักธุรกิจหนุ่มเต็มตัว กำลังยืนอยู่หน้ากระจกด้วยท่าทีที่ประหม่ามากที่สุดในชีวิต ในมือของเขาคือกล่องกำมะหยี่ขนาดเล็กที่บรรจุแหวนหมั้นวงงาม...ซึ่งเขาได้ซักซ้อมแผนการของตนเองกับเหล่าพี่ชายของหญิงสาวในดวงใจเป็นครั้งสุดท้าย แม้ว่าคนทั้งคู่จะเป็นคู่หมายกัน...ทว่าสำหรับเทวากรแล้วเขาอยากจะทำให้ทุกช่วงเวลาของเขากับปลากริมเต็มไปด้วยความหมาย "ผมจะรอจังหวะที่น้องซ้อ
สามปีผ่านไป... กาลเวลาได้นำพาเหล่าเด็กหนุ่มเด็กสาวแห่งบ้านสิงหราชและบ้านเมธาวินเติบโตขึ้นสู่เส้นทางแห่งเกียรติยศและความสำเร็จ มะตูมกับเพชรหลังจากเรียนจบจากโรงเรียนนายร้อย...พวกเขาก็ได้บรรจุเข้ารับราชการเป็นนายตำรวจและนายทหารหนุ่มอนาคตไกล ด้วยผลงานการชกมวยที่สร้างชื่อให้กับประเทศชาติในนามทีมชาติสมัครเล่น จึงทำให้พวกเขาได้รับราชการอยู่ในเขตพระนครทำให้คนทั้งคู่สามารถกลับมาดูแลค่ายมวยและครอบครัวได้เสมอ ส่วนปลากริม...หลังจากที่เรียนจบจากมหาวิทยาลัย เธอก็ได้เข้ามาดูแลและพัฒนาสูตรอาหารและขนมให้กับกิจการทั้งหมดของครอบครัว ทั้งร้านเลอ บัว เบลอและโรงแรมเมธาวินแกรนด์...ในฐานะคู่หมายอย่างเป็นทางการของเทวากร...