เช้าวันรุ่งขึ้น หลังจากการประชุมครอบครัวฉบับจิ๋วเมื่อวานเรียบร้อย เชฟใหญ่ปลากริมก็เริ่มต้นปฏิบัติการทันที แผนการของเธอคือการใช้ กล้วยที่เป็นทรัพยากรหลักที่ได้มาฟรี ๆ ให้เกิดประโยชน์สูงสุดอีกวันหนึ่ง และในวันนี้เธอตั้งใจจะสร้างสรรค์เมนูใหม่เพื่อดึงดูดลูกค้าให้เข้าถึงได้ทุกกลุ่ม
"เอาละ...แผนขนมหวานของเราวันนี้นะจ๊ะ" ปลากริมประกาศเสียงใส ขณะที่ทุกคนในครอบครัวล้อมวงกันอยู่หน้าเครือกล้วยน้ำว้าขนาดใหญ่ซึ่งปั้นขลิบก็ได้แต่ทำตาปริบ ๆ พลางกินกล้วยสุกในมือเคี้ยวจนแก้มตุ่ย
"อย่างแรกเลย...เราจะทำกล้วยบวชชี เนื่องจากเมื่อวานนี้ลูกค้าบ่นว่ามีน้อยเกินไป แต่วันนี้หนูจะทำให้มันแตกต่างจากเมื่อวานเล็กน้อยจ้ะ" การเริ่มต้นของเธอทำให้พ่อกับแม่รู้สึกสนใจเป็นอย่างมาก
"นอกจากที่เราจะใช้พิมพ์วิเศษของคุณยายกดเป็นรูปดอกไม้สวย ๆ แล้ว เคล็ดลับที่จะทำให้หอมอร่อยกว่าเจ้าอื่น คือตอนที่เราเคี่ยวกะทิให้เราเอาใบเตยสด ๆ มัดเป็นปมใส่ลงไปด้วย พอน้ำกะทิหอมได้ที่ ก่อนจะยกลงให้เราหยอดหัวกะทิข้น ๆ ที่ผสมเกลือเล็กน้อยตามลงไปอีกนิดหน่อย ซึ่งจะทำให้รสชาติของน้ำกะทิจะกลมกล่อม ไม่หวานเลี่ยน"
บัวฟังอย่างตั้งใจระคนทึ่งในเคล็ดลับเล็ก ๆ น้อย ๆ ที่เธอไม่เคยรู้มาก่อน
โดยที่เสียงใส ๆ ของปลากริมยังคงดังอย่างต่อเนื่อง "ต่อไป...กล้วยที่สุกงอมมาก ๆ แบบนี้ เราจะเอามาทำ" ทุกคนในบ้านเงียบเสียงลงตั้งใจฟังว่าแม่ครัวใหญ่ที่เรียกตัวเองว่าเชฟ ประจำบ้านจะเสนอรายการอะไรต่อ
พ่อกับแม่ต่างคาดว่าคงจะเป็นขนมกล้วยแบบที่เคยทำ แต่ปลากริมกลับยกยิ้มมุมปากขึ้นสูง
"เราจะทำคัพเค้กกล้วยหอมนึ่งหน้าคาราเมลมะพร้าวอ่อนกันจ้ะ"
"คัพ...เค้ก...?" สองสามีภรรยามองหน้ากันอย่างงุนงง คำที่ไม่คุ้นหูนี้ทำให้พวกเขาตามไม่ทัน
คล้ายเด็กหญิงตัวน้อยจะเข้าใจ เจ้าตัวจึงได้อธิบายลักษณะขนมออกมาอย่างคร่าว ๆ "มันก็คล้าย ๆ ขนมกล้วยของเรานี่แหละจ้ะแม่ แต่เป็นสูตรที่คุณยายกระถินท่านดัดแปลงมา อีกที ท่านบอกว่ามันเป็นขนมของพวกฝรั่งมักกินกัน แต่ว่าเราจะทำให้เนื้อขนมเบาฟูเหมือนปุยเมฆเลย แล้วก็ทำเป็นถ้วยเล็ก ๆ น่ารัก ๆ กินง่าย ไม่ต้องห่อใบตองจ้ะ" ว่าแล้วเด็กหญิงก็ใช้ไม้ตายเดิม "ซึ่งคุณยายก็ให้ของวิเศษมาช่วยเราทำด้วยนะจ๊ะ"
หลังกล่าวจบเจ้าตัวน้อยก็หลับตาลงคล้ายอธิษฐานท่ามกลางความว่างเปล่า ก่อนที่จะมีของสามอย่างออกมาจากมิติส่วนตัวของเธอวางลงบนแคร่ไม้ไผ่
ซึ่งของเหล่านี้ประกอบไปด้วย ผมฟูหรือเบคกิ้งโซดา ถ้วยกระดาษสำหรับอบขนมลวดลายน่ารัก และอย่างที่สามคือ ถาดหลุมโลหะหรือถาดมัฟฟินนั่นเอง
สิงห์กับบัวมองอุปกรณ์แปลกตาเหล่านั้นด้วยความทึ่งอีกเป็นครั้งที่สองระคนตกใจเล็กน้อย เพราะไม่คิดว่าแม่หรือแม่ยายตามความเข้าใจของคนทั้งคู่จะมีของวิเศษมอบให้ลูกสาวมากถึงเพียงนี้
ไม่ต้องรอให้พ่อกับแม่ถาม ปลากริมก็เริ่มอธิบายสิ่งของเหล่านี้ทันที "สิ่งที่เป็นผง ๆ นี้ จะทำให้ขนมเราฟูขึ้นสิบเท่าเลยนะจ๊ะแม่ ส่วนกระดาษกับถาดนี่จะทำให้ขนมของเราออกมาเป็นถ้วยกลม ๆ สวยงามเท่ากันทุกชิ้นจ้ะ"
หลังจากพ่อกับแม่เข้าใจในสิ่งที่ลูกสาวสื่อเรียบร้อย พวกเขาทั้งสามก็เริ่มปฏิบัติการทำคัพเค้กฉบับพระนครยุค 2500 อย่างไม่รอช้า ซึ่งส่วนผสมหลักยังคงเป็นกล้วยสุกงอม แป้งข้าวเจ้า กะทิ และน้ำตาลปี๊บ แต่ครั้งนี้ปลากริมได้ร่อนผงฟูวิเศษของเธอผสมลงไปในตัวแป้งด้วย จึงทำให้เนื้อแป้งที่ผสมเสร็จแล้วดูเบาและเนียนกว่าที่เคย
เธอสอนแม่ให้นำถ้วยกระดาษวางลงในหลุมของถาดมัฟฟิน แล้วตักส่วนผสมหยอดลงไปจนเกือบเต็ม ก่อนจะยกทั้งถาดไปวางในซึ้งนึ่งขนาดใหญ่บนเตาถ่านที่พ่อติดไฟรอ
และระหว่างที่รอเค้กสุกปลากริมก็ไม่ปล่อยให้ครัวว่าง เธอตั้งกระทะอีกใบเคี่ยวน้ำตาลปี๊บกับหัวกะทิข้น ๆ จนกลายเป็นซอสคาราเมลสีน้ำตาลทองหอมกรุ่น แล้วจึงใส่เนื้อมะพร้าวอ่อนที่ขูดเป็นเส้นลงไปเคี่ยวต่อ จนได้เป็นซอสคาราเมลมะพร้าวอ่อนที่ดูน่ากินเป็นที่สุด
"พี่จ๋า หอม" เสียงเล็กใสของปั้นขลิบดังขึ้นพร้อมกับการสูดจมูกเอากลิ่นเหล่านี้เข้าไป
"อดทนอีกนิดนะ เสร็จเมื่อไหร่พี่จะให้น้องกิน" ปลากริมบอกพลางส่งยิ้มกว้างให้น้องชายที่กำลังพยักหน้ารับอย่างเชื่อฟัง
เวลาผ่านไปไม่นานนัก ในที่สุดคัพเค้กก็สุกได้ที่และถูกนำออกจากซึ้ง ผลลัพธ์ที่ได้นั้นก็ทำให้ผู้ให้กำเนิดทั้งสองคนถึงกับตะลึง เนื้อขนมขึ้นฟูมาเต็มถ้วยกระดาษอย่างสวยงาม เมื่อลองชิมดู ตัวเนื้อขนมก็เบา นุ่มฟู และหอมกลิ่นกล้วยอย่างน่าอัศจรรย์ แตกต่างจากเนื้อขนมกล้วยแบบเดิม ๆ อย่างสิ้นเชิง
แค่นั้นยังไม่พอ ปลากริมยังได้บรรจงตักซอสคาราเมล มะพร้าวอ่อนที่ยังอุ่น ๆ ราดลงบนหน้าคัพเค้กแต่ละชิ้นอย่างตั้งใจ ซึ่งทันทีที่ซอสคาราเมลมะพร้าวอ่อนราดลงบนตัวคัพเค้ก กลิ่นหอมหวานก็ยิ่งทวีความรุนแรงขึ้นไปอีก มันไม่ใช่แค่กลิ่นใดกลิ่นหนึ่ง แต่เป็นความหอมที่ซับซ้อนและชวนให้ลิ้มลอง
ที่มีทั้งกลิ่นหอมนวลของเนื้อกล้วยที่นึ่งจนสุกได้ที่ กลิ่นหวานไหม้นิดหน่อยอันเป็นเอกลักษณ์ของน้ำตาลปี๊บที่เคี่ยวจนเป็นคาราเมล ตัดด้วยกลิ่นหอมมันของหัวกะทิและเนื้อมะพร้าวอ่อน ทั้งหมดผสมผสานกันจนกลายเป็นกลิ่นหอมอันทรงพลังสามารถเรียกน้ำย่อยของใครก็ตามที่ได้กลิ่นเลยทีเดียว
"พี่จ๋า...หอมจังเลย" ปั้นขลิบตัวน้อยที่ยืนเกาะขาพี่สาวอยู่อดไม่ได้ที่จะกล่าวออกมาอีกครั้ง ดวงตากลมโตของเขาจ้องมองขนมตรงหน้าไม่วางตา
"หนูอยากกิน...ได้ไหมจ๊ะ" เด็กชายถามขึ้นอย่างคาดหวัง
"ได้สิจ๊ะ" ปลากริมบอกน้องชายพลางส่งขนมให้อย่างระมัดระวังเพราะกลัวว่ามันจะยังร้อน
และในเวลาเดียวกันนั้น ยังไม่ทันที่เด็กหญิงจะได้แบ่งขนมเพื่อนำไปไหว้สหายต่างภพตามที่ตั้งใจไว้ กลิ่นหอมเย็นอันเป็นเอกลักษณ์ของดอกกล้วยก็พลันลอยแทรกเข้ามาตามลมอย่างรวดเร็ว
แม่นางตานีส่งกลิ่นมาก่อนตัวตามที่เคยรับปากกับเด็กน้อยเอาไว้ ก่อนร่างโปร่งแสงในชุดสีเขียวตองจะมาปรากฏกายให้เด็กหญิงเห็นข้างแคร่ไม้ไผ่ที่วางขนมแปลกตา
หนูน้อย...นี่คือขนมอันใดกัน? ข้ามิเคยเห็นมาก่อน แต่กลิ่นของมันช่างหอมหวานยั่วยวนใจข้ายิ่ง น้ำเสียงของนางตานีเต็มไปด้วยความตื่นเต้นอย่างไม่อำพราง
ใจร้อนเสียจริงนะพี่สาว...แค่ได้กลิ่นก็ถึงกับต้องมาดูให้เห็นกับตาเลยเหรอ สิ่งนี้เรียกว่าคัพเค้กกล้วยหอมนึ่งจ้ะ เป็นขนมสูตรใหม่ของหนูเอง ปลากริมตอบพลางฉีกยิ้มกว้างที่ดูเหมือนว่าขนมของเธอจะตกผีสาวได้อีกครั้ง
เช่นนั้นรึ นี่มันช่างยอดเยี่ยมมากเลย นางตานีกล่าวชมก่อนจะพูดต่อคล้ายกับตื่นเต้น
เจ้ารู้หรือไม่เด็กน้อย กลิ่นหอมของขนมชนิดนี้ได้ลอยไปไกลถึงตลาดทีเดียว จนพี่สาวนางกวักของข้ายังฝากความมาบอกเลยว่า...นางได้กลิ่นขนมชนิดนี้แล้ว และนางก็อยากจะชิมด้วย ก่อนจะบอกข้ามาเพิ่มเติมอีกนะว่าถ้าอร่อยถูกใจจริงดังกลิ่นแล้วล่ะก็...เที่ยวนี้จะช่วยกวักเรียกลูกค้าให้มากกว่าเดิมถึงสิบเท่าเลยนะ!
ข้อเสนอที่มาพร้อมการการันตียอดขายแบบพุ่งทะยานทำให้ปลากริมตาโต (สิบเท่าเลยอย่างนั้นเหรอ แม้จะดูกดดันไปสักหน่อย แต่ก็ดี...จะได้รู้กันไปเลยว่าขนมของปลากริมไม่มีทางผิดหวังในรสชาติ) เด็กหญิงครุ่นคิดก่อนจะหันไปพูดกับแม่ที่กำลังมองเธออย่างสงสัย
"แม่จ๋า เดี๋ยวหนูขอจัดชุดขนมไปไหว้คุณยายกับเพื่อนท่านก่อนนะจ๊ะ...ดูเหมือนว่าท่านจะได้กลิ่นขนมใหม่ของเราแล้ว ท่านจึงส่งกลิ่นดอกกล้วยมาทวงจ้ะ"
บัวยิ้มให้คำพูดของลูกสาวตัวน้อยที่หล่อนคิดว่าเด็กหญิงน่าจะอุปโลกน์ไปเอง ก่อนจะหันไปดูลูกชายที่กำลัง ค่อย ๆ กัด คัพเค้กหอมกรุ่นเข้าปากอย่างเอร็ดอร่อย
หลังจากปลากริมจัดการไหว้แม่นางตานีเรียบร้อย เธอกับแม่ก็ออกเดินทางออกจากบ้านโดยมีสิงห์กล่าวอวยพรร่วมกับรอยยิ้มน่ารักน่าเอ็นดูจากปั้นขลิบตัวน้อย
เมื่อพวกเธอไปถึงตลาดที่ตอนนี้เริ่มมีผู้คนเดินจับจ่ายซื้อของกันบ้างพอสมควร บัวก็เริ่มจัดเตรียมหาบและปูเสื่อที่มุมเดิมของตน
ขณะเดียวกันนั้นปลากริมก็ได้นำกระทงขนมชุดรวมมิตรกล้วยและคัพเค้กที่เตรียมไว้แยกต่างหากเดินตรงไปยังศาลไม้สีแดงสดของแม่นางกวักทันที
เด็กหญิงบรรจงวางกระทงขนมลงบนแท่นบูชาอย่างนอบน้อม พนมมือไหว้ท่วมหัวแล้วอธิษฐานในใจ
แม่นางกวักจ๋า...หนูปลากริมเอาขนมสูตรใหม่มาให้ชิมตามที่พี่สาวได้บอกไปกับพี่สาวตานีแล้วนะจ๊ะ ขอพี่สาวนางกวัก โปรดพิจารณาและชี้แนะด้วยนะจ๊ะ ว่าถูกปากไหม
หลังกล่าวจบปลากริมก็รออย่างใจจดใจจ่อ...เพราะในครั้งนี้เสียงที่ตอบกลับมาในความคิดของเธอนั้นไม่ได้ให้คำตอบในทันที แต่กลับมาในลักษณะของนักชิมผู้พิถีพิถัน
หืม...กลิ่นคาราเมลที่เจ้าเรียกนี้ที่เป็นน้ำตาลปี๊บผสมกับความหอมนวลของกล้วยและกะทิ...เป็นสิ่งที่น่าสนใจมาก เสียงที่เฉียบคมและทรงพลังของแม่นางกวักดังขึ้นเป็นการวิจารณ์กลิ่นของขนมเป็นอย่างแรก
ปลากริมนิ่งรอฟังคำวิจารณ์ต่อไปอย่างตั้งใจ
เนื้อขนมเองก็...เบาฟูอย่างที่ข้าไม่เคยสัมผัสมาก่อนในขนมกล้วยทั่วไป ไม่กระด้างและก็ไม่แน่นจนเกินไป ถือว่าเจ้าทำได้ดีมากเด็กน้อย ส่วนสิ่งที่เจ้าเอาไปผสมกับมะพร้าวอ่อน...ก็ให้ทั้งความหวานมันและสัมผัสที่หลากหลาย...แต่ว่า... จู่ ๆ เสียงของแม่นางกวักก็หยุดลงทำให้ปลากริมใจหายวาบ
ข้าว่าครั้งต่อไปเจ้าลองลดความหวานของตัวน้ำราดนี้ลงอีกเล็กน้อยน่าจะดีนะ เพราะว่ามันจะช่วยขับรสชาติของเนื้อขนมกล้วยให้เด่นชัดขึ้นไปอีก
คำแนะนำที่ดังอยู่ในหัวของเชฟสาว ทำให้ปลากริมรู้สึกทึ่งเป็นอย่างมากเพราะเธอคิดว่านี่คือคำวิจารณ์จากเชฟมืออาชีพชัด ๆ
ขอบคุณสำหรับคำแนะนำจ้ะพี่สาวนางกวัก เธอตอบกลับในใจอย่างนอบน้อมพลางรู้สึกสงสัยในบางเรื่อง ทว่ายังไม่ทันที่เด็กหญิงจะถามออกไปเสียงของแม่นางกวักพลันดังขึ้นเสียก่อน
แต่โดยรวมแล้ว...ถือว่าเป็นขนมที่มีทั้งความคิดริเริ่มแปลกใหม่ และรสชาติที่ยอดเยี่ยม...ผ่าน! ข้าพอใจมาก...เตรียมตัวรับมือกับลูกค้าได้เลยแม่หนู วันนี้แผงของเจ้าจะแตกอย่างแน่นอน
คำประกาศิตสุดท้ายจากเทพแห่งการค้านั้นทำให้ปลากริมยิ้มกว้างออกมาด้วยความดีใจ เธอไหว้ลาแม่นางกวักอีกครั้ง ก่อนจะรีบวิ่งกลับไปหาแม่ที่จัดร้านเสร็จพอดี
ปลากริมกับแม่รออยู่ไม่นาน และสิ่งที่เกิดขึ้นก็เป็นจริงดังคำกล่าวของแม่นางกวัก แผงขนมเล็ก ๆ ของสองแม่ลูกแทบจะไม่มีเวลาได้หยุดพักหายใจ
ผู้คนหลั่งไหลเข้ามาอุดหนุนขนมหวานกันอย่างไม่ขาดสาย โดยเฉพาะอย่างยิ่งคัพเค้กกล้วยหอมนึ่งที่เป็นของใหม่ที่ดูน่าตื่นตาตื่นใจ ถูกขายหมดเกลี้ยงก่อนขนมหวานชนิดอื่น
ซึ่งปลากริมรู้สึกว่าการที่เธอได้เข้ามาอยู่ในนิยายเรื่องนี้ก็ไม่ได้แย่จนเกินไป ทั้งหมดทั้งมวลเป็นเพราะเธอมีเพื่อนต่างภพที่เป็นเป็นทั้งนักชิมและฝ่ายการตลาด รวมถึงฝ่ายจัดหาวัตถุดิบให้อีกด้วยนั่นเอง
หลายปีต่อมา...ในคืนวันศุกร์ที่แสนคึกคักใจกลางย่านพระอาทิตย์...แสงไฟนีออนสีน้ำเงินนวลสาดส่องลงบนป้ายชื่อร้านที่ออกแบบอย่างมีรสนิยม... "พระอาทิตย์ บลูส์" (Phra Athit Blues) นี่คือไพรเวทแจ๊สคลับที่หรูหราและเป็นที่กล่าวขวัญถึงมากที่สุดในพระนคร และเจ้าของคลับแห่งนี้ก็คือสองหนุ่มโสดที่เนื้อหอมมากที่สุด...ข้าวเหนียวและปั้นขลิบ บรรยากาศภายในคลับอบอวลไปด้วยเสียงดนตรีแจ๊สสด ๆ ที่บรรเลงอย่างนุ่มนวลกลิ่นหอมของซิการ์ชั้นดีและเสียงพูดคุยของเหล่าแขกผู้มีระดับ...ทั้งนักธุรกิจ ทูตานุทูตและศิลปินชื่อดัง ข้าวเหนียวในชุดสูทสั่งตัดอย่างดีกำลังยืนพูดคุยกับกลุ่มนักธุรกิจชาวต่างชาติด้วยภาษาอังกฤษที่คล่องแคล่ว...ส่วนปั้นขลิบก็กำลังโปรยเสน่ห์ให้กับกลุ่มคุณหนูไฮโซที่โต๊ะข้างเวที...ซึ่งทั้งสองคนได้ทำหน้าที่เจ้าบ้านอย่างสมบูรณ์แบบ ที่โต๊ะVIP ที่ดี
หลังจากที่สองสหายคู่ซี้อย่างข้าวเหนียวและปั้นขลิบ...ที่ใคร ๆ ต่างก็บอกว่าตัวติดกันเป็นปาท่องโก๋...ได้เดินทางกลับมาถึงพระนครหลังจากไปทำหน้าที่อาสา พวกเขาก็ได้รับวันหยุดพักผ่อนอย่างเต็มที่ และเมื่อสองหนุ่มโสด...โปรไฟล์ดี...ผู้มีพลังงานล้นเหลือได้กลับคืนสู่เมืองหลวง...ค่ำคืนแห่งความสนุกสนานก็ได้เริ่มต้นขึ้นอีกครั้ง... และเบื้องหลังรอยยิ้มที่มีเสน่ห์นั้น...พวกเขาก็บังเกิดความคิดที่จะสร้างอาณาจักรของตนเองขึ้นมาบ้างนอกจากจะช่วยดูแลกิจการของครอบครัว ดังนั้นในเย็นวันหนึ่งขณะที่ทั้งสองกำลังนั่งจิบเครื่องดื่มอยู่ที่เลานจ์หรูของร้านเลอ บัว เบลอ หลังจากที่ช่วยปลากริมดูแลความเรียบร้อยของร้านแล้ว ปั้นขลิบก็ได้เอ่ยขึ้นทำลายความเงียบ "พี่ข้าวเหนียว...พอผมเห็นพี่ปลากริ
หลังจากเรื่องราวภายในครอบครัวผ่านพ้นมาได้ด้วยดีครอบครัวใหญ่แห่งบ้านสิงหราชก็ได้เติบโตและงอกงามขึ้นอย่างมีความสุข มะตูมและนีรนาถมีทายาทชายคนแรกเป็นโซ่ทองคล้องใจ ส่วนปลากริมและเทวากรก็มีลูกสาวตัวน้อยที่น่ารักน่าชัง... ค่ำคืนหนึ่งบนโต๊ะอาหารที่แสนอบอุ่นและคึกคักของบ้านสิงหราช เพชรในยศร้อยตรีกลับมาเยี่ยมบ้านในช่วงวันหยุด เขาได้เห็นภาพความสุขของทุกคนในครอบครัว...และมันก็ทำให้เขาตัดสินใจในเรื่องสำคัญในชีวิตออกมาได้ คืนเดียวกันนั้นหลังจากที่สมาชิกภายในครอบครัวได้แยกย้ายกันไปหมดแล้ว ชายหนุ่มจึงได้ตัดสินใจเข้าไปคุยกับสิงห์และบัวผู้ที่เปรียบเหมือนพ่อแม่เป็นการส่วนตัว... "พ่อครูครับ...แม่บัวครับ..." เขาเริ่มต้นด้วยน้ำเสียงที่แสดงความหนักแน่น "ผมได้อาสาสมัครไปประจ
ท่ามกลางการเติบโตของทุกคน กาลเวลาเองก็ได้เปลี่ยนเด็กชายขี้อายที่ชื่อดิน...ให้กลายเป็นชายหนุ่มผู้สุขุมและน่าเกรงขามในวงการมวยไทย บัดนี้เขาคือโปรโมเตอร์ดิน สิงหราช ผู้ก่อตั้งสิงหราชโปรโมชั่นและเป็นหนึ่งในโปรโมเตอร์หนุ่มที่ได้รับการยอมรับมากที่สุดของเวทีราชดำเนิน สำนักงานของเขาที่เช่าไว้มุมหนึ่งของสนามมวยไม่ได้ใหญ่โตหรูหรา แต่มันคือศูนย์กลางของความเคลื่อนไหว ผนังห้องเต็มไปด้วยโปสเตอร์รายการมวยที่เขาเคยจัด รูปถ่ายขาวดำของนักมวยในค่ายที่คว้าชัยชนะและกระดานดำขนาดใหญ่ที่ขีดเขียนตารางการซ้อมและรายชื่อคู่มวยไว้จนเต็ม เสียงโทรศัพท์ในห้องทำงานของเขาดังขึ้นแทบจะตลอดทั้งวัน..."ครับพี่...เรื่องน้ำหนักของเจ้าสมิงขาวไม่น่ามีปัญหาครับ...เดี๋ยวผมจะคุมด้วยตัวเอง" เขาพูดสายหนึ่ง ก่อนจะวางหูแล้วรับอีกสาย&nbs
หนึ่งปีผ่านไป...หลังจากที่ทุกคนได้กลับมาอยู่พร้อมหน้าพร้อมตากันที่บ้านสิงหราช... บ่ายวันหยุดสุดสัปดาห์วันหนึ่ง บรรยากาศในบ้านดูจะคึกคักและมีพิรุธมากเป็นพิเศษ...โดยที่ทุกคนในครอบครัวสิงหราชต่างก็รู้ดีว่าวันนี้จะเกิดอะไรขึ้น...ยกเว้นเพียงคนเดียว...คือปลากริมที่หารู้เรื่องรู้ราวใด ๆ เทวากรที่ตอนนี้กลายเป็นนักธุรกิจหนุ่มเต็มตัว กำลังยืนอยู่หน้ากระจกด้วยท่าทีที่ประหม่ามากที่สุดในชีวิต ในมือของเขาคือกล่องกำมะหยี่ขนาดเล็กที่บรรจุแหวนหมั้นวงงาม...ซึ่งเขาได้ซักซ้อมแผนการของตนเองกับเหล่าพี่ชายของหญิงสาวในดวงใจเป็นครั้งสุดท้าย แม้ว่าคนทั้งคู่จะเป็นคู่หมายกัน...ทว่าสำหรับเทวากรแล้วเขาอยากจะทำให้ทุกช่วงเวลาของเขากับปลากริมเต็มไปด้วยความหมาย "ผมจะรอจังหวะที่น้องซ้อ
สามปีผ่านไป... กาลเวลาได้นำพาเหล่าเด็กหนุ่มเด็กสาวแห่งบ้านสิงหราชและบ้านเมธาวินเติบโตขึ้นสู่เส้นทางแห่งเกียรติยศและความสำเร็จ มะตูมกับเพชรหลังจากเรียนจบจากโรงเรียนนายร้อย...พวกเขาก็ได้บรรจุเข้ารับราชการเป็นนายตำรวจและนายทหารหนุ่มอนาคตไกล ด้วยผลงานการชกมวยที่สร้างชื่อให้กับประเทศชาติในนามทีมชาติสมัครเล่น จึงทำให้พวกเขาได้รับราชการอยู่ในเขตพระนครทำให้คนทั้งคู่สามารถกลับมาดูแลค่ายมวยและครอบครัวได้เสมอ ส่วนปลากริม...หลังจากที่เรียนจบจากมหาวิทยาลัย เธอก็ได้เข้ามาดูแลและพัฒนาสูตรอาหารและขนมให้กับกิจการทั้งหมดของครอบครัว ทั้งร้านเลอ บัว เบลอและโรงแรมเมธาวินแกรนด์...ในฐานะคู่หมายอย่างเป็นทางการของเทวากร...