“เสี่ยวเฉิน หลานรักน้องสาวไหม” เมิ่งหลิงยกมือลูบหัวเล็ก ๆ ของหลานชายถามขึ้น หลังจากที่ได้กินยาอาการของหล่อนก็ดีขึ้นมาก
“รักฮับ” เจ้าตัวพูดขึ้นก่อนจะนอนหลับตามน้องสาวไปอีกคน
ในระหว่างนี้พ่อแม่ของพวกเขาก็กำลังแยกสิ่งของที่ลูกสาวคนใหม่ของพวกเขาเสกออกมา (ตามความเข้าใจของคนทั้งคู่) “แม่ครับ! คุณเป็นยังไงบ้าง”
นางหลิงหันไปส่งตาเขียวให้บุตรชาย “ดีขึ้นแล้ว แกเบาเสียงลงหน่อยไม่ได้เหรอ”
เมื่อถูกมารดาตำหนิเช่นนี้หรูจื่อจึงรีบยกมือปิดปากของตัวเองอีกครั้งโดยมีภรรยามองเขามองด้วยรอยยิ้มขำ
“คุณคะ สิ่งของพวกนี้เราควรซ่อนเอาไว้ให้ดี” จ้าวเหยาพูดขึ้นอย่างกังวล
ทั้งนี้เป็นเพราะบ้านหลังนี้มักมีคนนอกเข้ามาโดยที่ไม่เคยบอกกล่าว “เรื่องนี้เป็นความผิดของแม่เอง” นางหลิงโทษตัวเอง
“ไม่ใช่หรอกครับ พวกเราไม่ได้ทำผิด” หรูจื่อปฏิเสธความคิดของมารดา
“แต่การที่ลูกต้องถูกปลดออกจากตำแหน่งและพวกเราต้องถูกส่งมาลงโทษก็เพราะว่าครอบครัวของเราเป็นนักวิชาการ” น้ำเสียงของเมิ่งหลิงหม่นลง
“แม่ครับ การที่พ่อเป็นครูไม่นับว่าเป็นเรื่องผิดอะไรเลยเพียงแต่แม่ก็รู้ว่าสาเหตุมันเกิดจากอะไร แม่เชื่อผมเถอะนะครับอีกไม่นานพวกเราจะต้องกลับไปที่นั่นได้อย่างสง่าผ่าเผย” หรูจื่อ โอบไหล่ของมารดาเอาไว้แน่นพลางเอ่ยปลอบ
“แต่พ่อของลูก” น้ำตาของเมิ่งหลิงไหลอาบร่องแก้มตอบยามเมื่อนึกถึงสามีผู้ล่วงลับ
“แม่ครับ เมื่อถึงวันแห่งความสุขผมจะทำให้ความฝันของพ่อเป็นจริง ผมจะกลับไปเรียน หากผมทำไม่ได้ก็ยังมีเสี่ยวเฉินกับอ้ายอ้ายนี่ครับ ผมสัญญาว่าจะทำให้ครอบครัวของเรามีความสุขให้ได้” หรูจื่อพูดออกมาแม้ว่าเขาจะไม่มั่นใจถึงข่าวที่พรรคพวกบอกมาก็ตาม กระนั้นเกิดเป็นคนควรมีความหวังไม่ใช่หรือ
บทสนทนาของสองแม่ลูกได้ถูกเป๋าเอ๋อร์บันทึกเอาไว้อย่างไม่ตกหล่นเพื่อเอาไว้ให้เจ้านายตัวเล็กฟัง
เวลาผ่านไปสามชั่วโมงในที่สุดเจ้าตัวเล็กอ้ายอ้ายก็ลืมตาตื่น “แอ้!” (น่าอายชะมัด) เจ้าตัวคิด
“อ้ายอ้ายเด็กดี แม่จะเช็ดทำความสะอาดและเปลี่ยนผ้าให้นะลูก” จ้าวเหยาวางงานในมือมาคลำก้นของบุตรสาวและเมื่อพบว่าผ้าอ้อมสำเร็จรูปตุงหล่อนก็จัดการแกะออกอย่างไม่รังเกียจอีกทั้งยังนำน้ำอุ่นมาเช็ดทำความสะอาดร่างกายให้ลูกสาวคนใหม่ด้วย
“แม่ครับ ผมคิดว่าควรบอกเรื่องอ้ายอ้ายให้ผู้ใหญ่บ้านรู้” หรูจื่อนำเรื่องนี้พูดขึ้นหลังมื้ออาหารเย็น
“แม่เองก็เห็นด้วย ถ้าอย่างนั้นวันพรุ่งแม่จะนำเรื่องนี้ไปบอกเขาก็แล้วกัน”
“เขาจะไม่พูดมากใช่ไหมครับ” หรูจื่อค่อนข้างกังวล
“แม่จะบอกเขาว่าเด็กคนนี้เป็นลูกของสหายในกองทัพของลูก เขาต้องการให้ลูกตอบแทนโดยการรับเธอเป็นบุตรดีไหม” คำพูดของเมิ่งหลิงทำให้หรูจื่อพยักหน้า
ทั้งนี้เป็นเพราะเรื่องของทหารผู้ใหญ่บ้านหรือว่าบุคคลอื่นไม่ค่อยอยากก้าวก่าย อีกทั้งหมู่บ้านแห่งนี้ก็ห่างจากเมืองมณฑลค่อนข้างไกลยิ่งกับเมืองหลวงด้วยแล้วคงไม่กล้าฝันดังนั้นจึงไม่ต้องกลัวว่าจะมีใครมาสืบเรื่องของอ้ายอ้าย
“ถ้าอย่างนั้นก็เอาตามนี้ครับ โชคดีนะครับที่เมื่อไม่กี่เดือนมีทหารมาป้วนเปี้ยนในหมู่บ้าน ดังนั้นพวกเขาอาจจะเพียงแค่คิดว่าเด็กคนนี้เป็นเด็กที่เกิดมาจากความพลั้งเผลอ” หรูจื่อ เสนอความเห็น
“อืม แม่ก็คิดอย่างลูกนั่นแหละ แต่ใครกันนะกล้าทิ้งเด็กน่ารักและวิเศษอย่างอ้ายอ้ายได้ลงคอ” เมิ่งหลิงถอนหายใจ
ส่วนเจ้าของชื่อนั้นก็กำลังจ้องมารดาของตนตาแป๋วทั้งที่ภายในหัวสมองกำลังคิดทบทวนเรื่องที่ได้ยิน
‘เป๋าเอ๋อร์ นายว่าพ่อแม่ฉันเป็นใคร’
‘ไม่ทราบครับ เพราะหลังจากผมใช้ไทม์แมชชีนก็เจอเข้ากับร่างนี้แล้ว และก็อีกอย่างผมคิดว่าเจ้าของร่างเดิมคงหมดลมหายใจไปได้สักพักแล้วด้วย’ คำตอบของเป๋าเอ๋อร์ทำให้หรูฟู่ซิงตัวชาวาบ
“แง ๆ” จู่ ๆ เจ้าตัวเล็กในอ้อมแขนของแม่ก็ร้องไห้ออกมา คราวนี้คนทั้งบ้านต่างก็วุ่นวายเลยทีเดียว
“น้อง โอ๋ ๆ” เสี่ยวเฉินตัวน้อยพยายามปลอบน้องด้วยใบหน้าแดงก่ำ
“ลูกสาว เงียบนะคะ/นะครับ” ทั้งพ่อและแม่ต่างสลับกันอุ้มเอ่ยเอาใจ
“พวกเธอส่งหลานมาให้แม่” เมิ่งหลิงยื่นมือทั้งสองข้างเพื่อไปรับห่อผ้าของหลานตัวเล็ก
“ฮึก ๆ” หยาดน้ำยังคงคลอหน่วย จมูกของเจ้าตัวแดงก่ำ
“หลานรัก ร้องทำไมหรือลูก” นางเมิ่งส่งเสียงเล็กเสียงน้อยถามพลางโยกห่อผ้าในมือเบา ๆ
“ย่าฮับ ให้ผมดูบ้าง” เสี่ยวเฉินเอามือน้อยดึงชายเสื้อของย่าพูดขึ้น
“ได้สิลูก” เมื่อคนเป็นพี่ได้เห็นน้ำตาของน้องสาวเขาก็เบะปากตาม
“น้องเจ็บตรงไหน” น้ำเสียงไม่ชัดดังขึ้นอย่างสงสารน้องน้อย
“แอ้ ๆ (ฮึก ๆ หนะ..หนูไม่เป็นไร แต่พี่ชายถ้าหนูเป็นวิญญาณพี่ยังจะรักหนูไหม)”
“วิญญาณคืออะไร” น้ำเสียงไม่ชัดดังขึ้นด้วยความฉงนแต่สำหรับผู้ใหญ่หลังจากได้ยินพวกเขากลับพากันหวาดกลัวและตื่นตระหนก
“เสี่ยวเฉิน ลูก/หลานพูดกับใคร” คนทั้งสามต่างถามคนตัวน้อยออกมาพร้อมกัน
“กับน้องสาวฮับ น้องถามว่าถ้าเธอเป็นวิญญาณผมจะรักน้องอยู่ไหม”
ผู้ใหญ่สามคนต่างแลกเปลี่ยนสายตากันไปมา “อ้ายอ้าย ลูกไม่ใช่วิญญาณแต่เป็นเทพต่างหาก” หรูจื่อรีบพูดออกมาจากความรู้สึกของตน
“ใช่ ๆ พ่อของหลานพูดถูกต่อให้หลานเป็นวิญญาณก็เป็นวิญญาณของเทพ” เมิ่งหลิงจึงพูดออกมาบ้าง
“วิญญาณคือไรฮับ” เจ้าตัวน้อยยังคงกังขา
“คือสิ่งที่น้องของลูกเป็น ดังนั้นเรื่องนี้ลูกห้ามบอกคนอื่นนะครับ” หรูจื่อไม่รู้จะอธิบายอย่างไรจึงได้บอกเขาออกไปแบบนั้น
“อืม ผมไม่บอกหรอก น้องสาวไม่ว่ายังไงพี่ก็รักน้องที่สุด” คำตอบแสนซื่อของเด็กชายได้เรียกน้ำตาของหรูฟู่ซิงออกมาอีกครั้ง
“ลูกสาวแม่ อย่าร้องเลยนะเจ้า แม่เห็นแล้วใจจะขาด ลูกตัวอุ่นนุ่มนิ่มถึงเพียงนี้จะเป็นวิญญาณได้อย่างไร”
“แม่ของลูกพูดถูก ลูกน่ารักถึงเพียงนี้จะเป็นสิ่งนั้นได้อย่างไร” หรูจื่อยกนิ้วปาดน้ำตาให้คนตัวเล็กอย่างทะนุถนอม
“หลานของย่าไม่ว่าเจ้าจะเป็นอะไร ย่าก็จะปกป้องเจ้าเอง” เมิ่งหลิงเองก็หาได้น้อยหน้าทั้งลูกชายลูกสะใภ้
หรูฟู่ซิงคิดว่าครอบครัวนี้ดีที่สุดดังนั้นหล่อนจึงได้ยิ้มออกมาทั้งน้ำตาซึ่งแต่ละคนก็มองเธออย่างโง่งม
นี่จึงนับว่าเป็นน้ำตาแห่งความสุขของเธอก็ว่าได้ (ในโลกนั้นกำพร้า มาโลกนี้ก็ยังเป็นกำพร้าแต่ทว่ากลับโชคดีที่ได้มาเป็นลูกหลานของคนบ้านนี้) เจ้าตัวคิดพลางมองใบหน้าของคนในครอบครัวก่อนจะหลับคาอ้อมแขนของย่าไปอีกครั้ง