ภายในบ้านดินผสมอิฐหลังน้อยที่ตอนนี้กำลังสว่างด้วยแสงตะเกียงจ้าวพายุ
“หิวหรือลูก” จ้าวเหยาถามลูกสาวตัวเล็กที่กำลังทำปากขมุบขมิบ
“แอ๊” (แม่จ๋า ให้พี่ชายกินนมผงด้วยนะ) จู่ ๆ จ้าวเหยาก็นิ่งงัน
เธอกำลังคิดว่าตัวเองหูแว่ว “ฉันต้องบ้าไปแล้วแน่ ๆ” เธอคิด ทว่าสำหรับอ้ายอ้าย (แม่จ๋า ได้ยินหนูไหม) คนตัวเล็กยังคงจ้องมารดาผ่านแสงสลัวถามออกมาอีก
“อ้ายอ้าย! นี่ใช่เสียงของลูกไหม” จ้าวเหยาเริ่มมั่นใจว่าเธอไม่ได้หูฝาดไปเอง ถามคนในอ้อมแขนเสียงเบา
(แม่จ๋า เสียงอ้ายอ้ายเอง) เมื่อได้รับการยืนยันแบบนี้จ้าวเหยากลับไม่ได้หวาดกลัวแต่เธอกลับคิดว่าลูกสาวที่บังเอิญเก็บได้คนนี้ต้องเป็นเด็กวิเศษอย่างที่คิดไม่ผิดแน่
“อ้ายอ้าย คนอื่นสามารถได้ยินเสียงของหนูไหม” ในขณะที่จ้าวเหยากำลังสื่อสารกับลูกสาวอยู่ หรูจื่อผู้ที่กำลังหลับพลันลืมตาตื่น
“ภรรยา คุณพูดกับใครครับ” น้ำเสียงของเขาฟังดูงัวเงีย
“ฉันทำคุณตื่นหรือคะ” จ้าวเหยากล่าวอย่างรู้สึกผิด
“ไม่ใช่หรอกครับ ผมรู้สึกหิวน้ำเมื่อตื่นขึ้นมาเห็นคุณยังไม่ดับตะเกียงและได้ยินเสียงของคุณก็เลยถามดู” ชายหนุ่มปฏิเสธพร้อมกันนั้นเจ้าตัวก็ยันกายลุกขึ้น
และเมื่อเห็นว่าดวงตาของบุตรชายก็ลืมอยู่ก่อนแล้ว เขาก็ต้องประหลาดใจ “เสี่ยวเฉินทำไม ไม่นอนล่ะครับ”
“ผมกำลังฟังแม่กับน้องสาวพูดกันอยู่ฮับ” เจ้าตัวน้อยตอบพาซื่อ
“ฮ่า ๆ คุณดูลูกของเราพูดสิครับ” หรูจื่อหัวเราะให้กับความคิดไร้เดียงสาของเขา
(พ่อจ๋า ขอบคุณที่รับหนูมาเลี้ยงนะคะ) แต่แล้วเสียงของเขาก็นิ่งค้างเมื่อได้ยินน้ำเสียงอันอ่อนหวานสายหนึ่ง
“ภรรยา เหมือนว่าผมจะหูแว่ว” ใบหน้าของเขาเหลอหลา
ทว่าเจ้าตัวก็ได้ยินเสียงหัวเราะอย่างชอบอกชอบใจดังขึ้นจากห่อผ้าของบุตรสาว
“คุณ! อ้ายเอ๋อร์หัวเราะอะไรหรือครับ” คำพูดของสามีทำให้จ้าวเหยาเข้าใจได้ดี หล่อนจึงไม่ได้หัวเราะเขาออกมา
“น้องสาวหัวเราะพ่อนั่นแหละ” เป็นเสี่ยวเฉินตัวน้อยเฉลยความ
“ลูกรู้ได้ยังไง” หรูจื่อยกมือลูบหัวของเขาถามอย่างเอ็นดู
“น้องบอก”
ครานี้ใบหน้าของหรูจื่อจึงคล้ายกับถูกผีหลอก “ภรรยา เสียงที่ผมได้ยินคืออ้ายอ้ายเหรอ”
(พ่อจ๋า เสียงอ้ายอ้ายเอง) จบประโยคนี้ชายหนุ่มก็ชะโงกมามองใบหน้าน้อย ๆ ของบุตรสาวที่ยังทำปากขมุบขมิบด้วยความเหลือเชื่อ
“อ้ายเอ๋อร์ ลูกพูดได้แล้ว”
(ยังค่ะ แต่หนูสามารถสื่อสารกับคนที่ต้องการได้) เจ้าตัวเล็กตอบตามจริง
“นี่มันวิเศษมากเลย” หรูจื่อรู้สึกว่าเสียงของตัวเองดังเกินไป ดังนั้นเจ้าตัวจึงได้รีบยกมือปิดปากทว่าดูเหมือนจะไม่ทันแล้วเมื่อมารดาที่นอนอยู่อีกฝั่งได้ยินเสียงของเขา
บ้านหลังน้อยหลังนี้มีเพียงห้องโถงไร้ซึ่งห้องกันดังนั้นชายหนุ่มจึงได้ใช้ตู้เสื้อผ้ากั้นแบ่งห้องเพียงเท่านั้น
ภายในมุ้ง นางเมิ่งที่กำลังหลับสนิทสะดุ้งตกใจตื่นเพราะเสียงของบุตรชาย
“เกิดอะไรขึ้น! ทำไมถึงจุดตะเกียง” นางเมิ่งยันกายลุกขึ้นพยายามปรับสายตาก่อนถามออกมา
“อ้ายอ้าย เรื่องนี้บอกย่าของหนูได้ไหม” หรูจื่อกระซิบถามบุตรสาวเสียงเบา
หรูฟู่ซิงนิ่งตรึกตรองอยู่ชั่วครู่จึงได้เอ่ยปาก (บอกได้ค่ะ) “แม่ครับ ผมมีเรื่องจะบอก แต่แม่อย่าเพิ่งเป็นลมไปก่อนนะ”
คำพูดของบุตรชายทำให้เมิ่งหลิงคิดว่าคงไม่มีเรื่องอะไรจะทำให้ตนเป็นลมได้หรอกนอกจากเรื่องหลานสาวผู้วิเศษของตน
“แกคิดว่าจะมีเรื่องอะไรยิ่งใหญ่ไปกว่าการที่อ้ายอ้ายเสกของได้อีกอย่างนั้นเหรอ” เมื่อผู้เป็นมารดาย้อนออกมาแบบนี้หรูจื่อก็คิดว่านั่นก็จริง
“แม่ครับ อ้ายอ้ายพูดได้”
“อืม ก็แค่พูดได้ เดี๋ยวนะ! เมื่อกี้แกว่าอะไรนะ” เมิ่งหลิงพยักหน้าในตอนแรกก่อนจะย้อนถามเสียงดัง
(ย่าจ๋า หนูพูดได้) เสียงน้ำนมเล็ก ๆ เรียกเธอเสียงหวานทำให้นางเมิ่งคิดว่าตัวเองฝันไป ดังนั้นเธอจึงได้ล้มตัวลงนอนโดยที่ไม่ว่าบุตรชายจะเรียกอย่างไรหล่อนก็ไม่ตอบโต้
(พ่อจ๋า ย่าหลับไปแล้ว) เมื่อได้ยินคำตอบนี้หรูจื่อจึงคลายความกังวลของตนลง
“ถ้าอย่างนั้นพวกเราก็นอนกันเถอะ ว่าแต่หนูตื่นกลางดึกเพราะหิวหรือเปล่าพ่อจะไปต้มน้ำร้อนให้” หรูจื่อตั้งท่าจะลงจากเตียง
(หิวค่ะ แต่หนูมีน้ำร้อน) จบคำพูดของเด็กหญิงก็มีกระติกน้ำร้านโผล่ออกมา
(หนูเสกของได้จริงด้วย ว่าแต่หนูจะเป็นอันตรายไหม) คำถามของหรูจื่อทำให้หรูฟู่ซิงรู้สึกอุ่นวาบในอกและยิ่งเมื่อเห็นความเอาใจใส่ของแม่กับพี่ชายเธอก็ยิ่งรู้สึกว่าตัวเองช่างเป็นคนโชคดีเหลือเกิน
“อ้ายอ้าย หากลูกต้องเป็นอันตรายก็อย่าทำอีกเลยนะ แม้ว่าบ้านเราจะยากจนแต่แม่จะไม่ให้หนูกับพี่ต้องอดอย่างเด็ดขาด” จ้าวเหยารู้สึกหวาดกลัวทั้งนี้ไม่รู้ว่าเป็นเพราะอะไรหล่อนถึงได้รักเด็กคนนี้จากใจจริง
“น้องสาว หากหิวบอกพี่นะ” เสี่ยวเฉินแม้จะยังเด็กทว่าเขาก็รู้จักคำว่าอันตราย
(ทุกคนไม่ต้องกลัวค่ะ หนูไม่เป็นอะไรเพียงแต่ของเหล่านี้เป็นเพราะหนูเอาเห็ดที่พ่อเก็บได้ไปแลกมา พ่อไม่โกรธใช่ไหมคะ) เด็กหญิงไม่อยากปิดบังครอบครัวนี้จึงได้บอกออกมาตามตรง
“จะโกรธทำไมล่ะครับ เห็ดก็เป็นเพราะลูกบอกพี่ชาย แต่ถ้าหากเป็นแบบนี้แสดงว่าหนูจะต้องหาสิ่งของไปแลกกับสวรรค์ใช่ไหม” ผู้เป็นบิดายังเข้าใจเช่นนี้ตามความคิดของตนและหรูฟู่ซิงก็คิดว่าให้พวกเขาเข้าใจกันแบบนี้นั่นแหละดีแล้ว
(ใช่ค่ะ แต่ว่าจะต้องเป็นสิ่งของล้ำค่าเท่านั้น ซึ่งทางเป๋าเอ๋อร์จะบอกหนูเองว่าอะไรใช้ได้อะไรใช้ไม่ได้)
“เป๋าเอ๋อร์ ลูกหมายถึงท่านเทพใช่หรือเปล่า” หรูจื่อยังคงคิดเองเออเองโดยที่ระบบรู้สึกมึนงงไม่น้อย
‘เจ้านายผมเป็นเทพตั้งแต่เมื่อไหร่ ผมเป็นระบบต่างหาก’
‘เป๋าเอ๋อร์ เรื่องของนายมันอธิบายค่อนข้างยาก ยังไงนายก็ยอม ๆ เป็นเทพไปก่อนนะ เอาไว้เมื่อไหร่ฉันโตขึ้นค่อยว่ากันใหม่’
‘ทราบแล้วครับ แต่ผมว่าครอบครัวของเจ้านายนี่ตลกดีนะ’
‘อืม แต่พวกเขาต่างก็ล้วนเป็นคนดี ขอบคุณนะเป๋าเอ๋อร์ที่หาครอบครัวแสนดีแบบนี้มาให้ฉัน’
ระบบเกิดอาการขัดเขินทั้งนี้เป็นเพราะเจ้าตัวไม่เคยได้รับคำชมที่แสนจะจริงใจแบบนี้มาก่อนดังนั้นเจ้าตัวจึงนิ่งงันไป
เช้าวันต่อมาเด็กทั้งสองยังคงนอนหลับแต่ไม่ใช่สำหรับผู้ใหญ่ภายในบ้านที่กำลังลุกขึ้นมาเพื่อทำกิจวัตรประจำวันแม้ว่าช่วงนี้จะเป็นฤดูหนาวก็ตาม
“แม่ครับ ลุกขึ้นมาทำไมแต่เช้า” หรูจื่อถามมารดาหลังจากเจ้าตัวกำลังผ่าฟืน
“แม่มีเรื่องจะเล่าให้แกฟัง” เมิ่งหลิงทำท่าทางมีลับลมคมใน “เรื่องอะไรหรือครับ” เขาถามพลางใช้ผ้าเช็ดตามกรอบหน้าที่เหงื่อกำลังหลั่งริน
“เมื่อคืนแม่ฝันว่าอ้ายอ้ายพูดได้”
ขวานสนิมในมือของหรูจื่อสับฟืนพลาดหลังได้ยินคำกล่าวนี้
“แม่!” เมิ่งหลิงตาเขียว “แก เบาเสียงหน่อยเดี๋ยวหลาน ๆ ตื่น”
หรูจื่อถอนหายใจ “แม่ครับ อ้ายเอ๋อร์พูดได้จริง ๆ นะครับแม่ไม่ได้ฝันเพียงแต่เธอจะพูดเฉพาะกับคนที่อยากสื่อสารด้วยเท่านั้น”
นางเมิ่งยืนนิ่งงันจากนั้นนางก็ย้อนคิดไปถึงเสียงเมื่อคืน
“เรื่องจริง!”
“ครับ”
และแล้วช่วงเช้าของวันนั้นเมิ่งหลิงก็สนทนาอยู่กับหลานสาวหลานชายอย่างสนุกสนาน
“แม่ครับ ไม่ไปบ้านผู้ใหญ่เหรอ”
หรูจื่อกล่าวเตือนในขณะที่เขาเองก็กำลังจะเตรียมตัวออกจากบ้านไปยังคอกสัตว์ที่ตัวเองรับผิดชอบ
“อืม แม่จะไปเดี๋ยวนี้แหละ อ้ายอ้ายกับเสี่ยวเฉินหนูสองคนไปกับย่านะเพราะพ่อแม่ต้องไปทำงานแล้ว” หญิงวัยกลางคนพูดกับหลานสาวหลานชายเสียงอ่อน
“ครับ/แอ๊”