Share

บทที่ 11

ในขณะที่นางฟางนั่งอย่างเหนื่อยหอบชาวบ้านกลุ่มใหญ่ที่นำโดยชายวัยกลางคนผิวสีทองแดงใบหน้าซูบเซียวผอมสูงก็ได้ปรากฎตัวออกมา

“ภรรยา นั่นเจ้ากำลังทำอะไร ปล่อยเด็กคนนั้นเถอะ” ฉินเต๋อที่คิดว่าหนิงเซียนกำลังทำร้ายเด็กน้อยเขาจึงเอ่ยเกลี้ยกล่อมคนเคียงหมอนออกมา

“ไม่ นางเป็นลูกสาวข้า ใช่ไหมอาเซียวลูกแม่” นางหนิงส่งเสียงตอบกับสามีก่อนหันมาถามเด็กน้อยในอ้อมแขนเสียงหวาน

“ใช่เจ้าค่ะ ข้าเป็นลูกสาวของท่าน” ฉินเซียวกระชับอ้อมกอดของมารดาแน่นน้ำตาริน

“ลูกสาวแม่ไม่ต้องร้องไห้นะ ต่อไปนี้แม่จะไม่ให้ใครมาพรากเจ้าไปไหนอีกแล้วแม่จะปกป้องเจ้า อีกทั้งที่บ้านยังมีพ่อและพี่ชายของเจ้าอีกสองคนพวกเขาจะต้องดูแลเจ้าได้แน่” นางหนิงเป็นดั่งแม่ไก่หวงไข่นางโอบกอดเด็กน้อยแน่น ผู้คนที่ได้เห็นภาพนี้ต่างรู้สึกสะเทือนใจเนื่องจากพวกเขาต่างทราบดีว่าเมื่อแปดปีก่อนเกิดเรื่องอันใดขึ้น

“พวกเจ้าหลีกทางให้ข้าที” เสียงหญิงสาวตะโกนเพื่อให้ผู้คนหลบทาง

“หนิงลี่เองหรอกหรือ น้องสาวของเจ้าอยู่ตรงนั้นนางกำลังกอดลูกสาวของใครอยู่ก็ไม่รู้เจ้าช่วยไปแยกพวกนางออกจากกันเถอะ” ผู้ใหญ่บ้านแซ่จงกล่าว

“เจ้าค่ะ” หนิงลี่รับคำและเมื่อเธอเห็นร่างอันคุ้นตาที่อยู่ในอ้อมกอดของน้องสาวตัวเองเธอจึงได้อุทานออกมา

“ท่านหมอตัวน้อย” หนิงลี่รีบเดินเข้าไปยังสองคนที่ตอนนี้ได้หันหน้ามาทางเธอด้วยสีหน้าแตกต่างกัน

“ท่านป้าเจ้าคะ” ฉินเซียวกล่าวทักทายหญิงวัยกลางคนเสียงสะอื้น

“เกิดอะไรขึ้นทำไมใบหน้าของเจ้า” หนิงลี่ส่งเสียงดังถามออกมาด้วยความตกใจอึกอักในลำคอด้วยนางกลัวว่าคำพูดของนางจะทำให้เด็กหญิงเสียใจ

“แม่นางหนิง” ฟางหรูที่ดูเหมือนว่าจะถูกลืมส่งเสียงเรียกผู้ว่าจ้างเพื่อช่วยเปลี่ยนสถานการณ์

“แม่นางฟาง เจ้าเป็นอะไร” หนิงลี่ที่ได้ยินเสียงอันคุ้นหูนางจึงได้หันไปแล้วก็เห็นท่าทางอันเหนื่อยอ่อนของคนรู้จัก

“ก็ข้าช่วยแม่นางผู้นี้ขึ้นมาจากเหวเมื่อสักครู่นี้นะสิก็เลยหมดแรง โชคดีนะที่ข้ากับเด็กน้อยมาเห็นทันเวลาไม่อย่างนั้นป่านนี้นางอาจตกลงไปด้านล่างแล้ว” ฟางหรูกล่าวตามจริง

ทุกคนที่ได้ฟังโดยเฉพาะครอบครัวของหนิงเซียนต่างพากันชาวาบที่สันหลังนี่พวกเขาเกือบจะสูญเสียบุคคลที่รักไปแล้วอย่างนั้นเหรอ

ในระหว่างที่ทุกคนกำลังตกใจกับสิ่งที่ได้รู้ก็ได้มีเสียงดังของหญิงชราวัยห้าสิบตะโกนออกมาด้วยความไม่พอใจ

“นางจะตายทำไมไม่ให้นางตายไปเสีย ขยะแบบนี้อยู่ไปก็เปลืองข้าวเปลืองน้ำทำงานใดก็ทำไม่ได้ช่างไร้ค่า”

“ท่านแม่ นางเป็นภรรยาของข้าเป็นแม่ของลูกข้าทำไมท่านจึงพูดแบบนี้” ฉินเต๋อกล่าวออกมาอย่างเหลืออด

“เจ้ารองข้าเป็นแม่ของเจ้านะ เจ้าเห็นเมียดีกว่าแม่เจ้ามันอกตัญญูเป็นพวกหมาป่าตาขาว” นางเจียงแผดเสียงเท้าเอวเอานิ้วชี้หน้าลูกชาย

ฉินเซียวที่มองหญิงชราผู้นี้ นางก็แอบเบ้ปากพร้อมคิดว่า ข้าพ้นมาจากนรกขุมนั้นได้ก็มาเจอกับขุมใหม่ทันที แต่ไม่เป็นไรเพื่อครอบครัวของข้าหากเขาดีต่อข้า ข้าก็จะดีต่อเขาเช่นเดียวกัน

เด็กหญิงนิ่งคิดในระหว่างจ้องไปยังหญิงชราใบหน้าเหลืองผมขาวเกือบทั้งศีรษะจมูกงองุ้มซึ่งบ่งบอกได้ว่าคนผู้นี้เป็นคนเช่นไร

“เจ้าอัปลักษณ์คราวนี้เจ้าก็ยังคงเจอศึกหนักสินะ” โป๊ยข่วยลอยวนรอบตัวเด็กหญิงกล่าวออกมาอย่างอดเห็นใจโชคชะตาครั้งใหม่ของมนุษย์ผู้นี้ไม่ได้

“ข้าไม่กลัวหรอกในเมื่อข้าต้องการอยู่กับครอบครัวที่แท้จริง แล้วอีกอย่างข้ายังมีเจ้าท่านกระจกเทพผู้ยิ่งใหญ่” ฉินเซียวกล่าวออกมาอย่างมั่นใจ

“เจ้าเข้าใจถูกต้องแล้วมีข้าอยู่รับรองเจ้าไม่ตายอนาถเหมือน เดิมแน่” กระจกผู้บ้ายอยกตัวเองเชิดขึ้น เด็กหญิงที่เห็นท่าทางของคู่หูตัวน้อยก็ได้แต่บื้อใบ้ไป

ผู้ใหญ่บ้านจงเมื่อเห็นว่าคนก็เจอแล้วและช่วงนี้ก็เป็นหน้าเก็บเกี่ยวจึงได้ให้ทุกคนแยกย้ายกันไปทำงานของแต่ละคน

“พวกเราแยกย้ายกันเถอะ ไปทำงานกันดีกว่าเรื่องนี้เป็นเรื่องบ้านฉินก็ให้เขาจัดการกันเอาเอง” หลังจากที่ชาวบ้านได้ยินคำพูดของผู้ใหญ่บ้านพวกเขาต่างก็แยกย้ายกันจากไป

หมู่บ้านซุยซวงค่อนข้างจะแตกต่างจากหมู่บ้านอื่นตรงที่พวกเขามักจะสามัคคีกันและต่างช่วยเหลือกัน เนื่องจากผู้คนในหมู่บ้านมีเพียงสามสิบครัวเรือนเพียงเท่านั้น

“เจ้าเองก็ไปทำงานได้แล้วข้าวยังต้องรอการเก็บเกี่ยวอยู่นะพาลูกชายทั้งสองของเจ้าไปด้วยจะมายืนนิ่งกันทำไมหรือไม่อยากจะกินข้าว” นางเจียงพูดใส่หน้าลูกชายคนรอง

“ท่านแม่ให้ข้าไปทำงานคนเดียวเถอะให้อาอู๋กับอาฟู่อยู่กับแม่ของเขาก่อน” ฉินเต๋อผู้ไม่ค่อยมีปากเสียงมากนักขอร้อง

“อยู่ทำไมนางก็มีพี่สาวของนางอยู่นั่น หากเด็กทั้งสองคนอยู่พวกเจ้าก็ไม่ต้องกินข้าวเย็นบ้านข้าไม่นิยมตัวขี้เกียจ” นางเจียงแผดเสียงขึ้นอีกรอบ

“แต่ท่านย่า พี่ชายใหญ่เล่อ พี่ชายรองหลิง พี่สาวหยวน พวกนางก็ไม่ทำงานอย่างนั้นเรียกว่าไม่ขี้เกียจหรือขอรับ” ฉินฟู่แย้ง

“เจ้าหมาป่าน้อยเจ้ากล้าเถียงข้าหรือ วันนี้หากข้าไม่ตีเจ้าให้ตายเจ้าคงไม่สำนึกสินะไอ้เด็กชั่ว” หญิงวัยห้าสิบหยิบไม้แถวนั้นเพื่อหวังจะตีหลานชายปากกล้า

“หยุดนะ ท่านจะตีลูกข้าไม่ได้” หนิงเซียนรีบลุกขึ้นยืนเดินไปบังลูกชายคนรองสายตาจ้องไปทางแม่เฒ่าอย่างโหดร้าย

“นางบ้า เพราะลูกของเจ้ามีแม่บ้าแบบนี้ยังไงล่ะพวกมันเลยปีกกล้าขาแข็งมาโต้เถียงกับผู้ใหญ่” แม่เฒ่าผู้ชราไม่กล้าขยับด้วยเกรงสายตาของลูกสะใภ้คนรอง

“ท่านป้าเจียงที่หลานชายข้าถามท่านมันก็ถูกแล้วนี่ เด็กพวกนั้นอายุมากกว่าหลานของข้าเสียอีกแต่เหตุใดพวกเขาไม่ต้องทำงานเล่า” หนิงลี่อดสอดปากว่าแม่ของน้องเขยไม่ได้พูดออกมาบ้าง

“มันเป็นเรื่องของครอบครัวข้าแซ่ฉินหาใช่แซ่หนิงไม่เจ้าอย่า ได้สอดปาก” แม่เฒ่าผู้ไม่ใช่ตะเกียงไร้น้ำมันเหน็บ

“เผอิญว่าลูกสะใภ้รองของท่านแซ่หนิงเหมือนข้าดังนั้นข้าจะยุ่งท่านจะทำไม” หนิงลี่ผู้ไม่ยอมคนถกแขนเสื้อขึ้นย่างสามขุมตรงมาทางแม่เฒ่าผู้นี้

“ฆ่าคนแล้ว พวกเจ้าจะฆ่าข้าหรือ กลับไปข้าจะตัดพวกเจ้าออกจากครอบครัวคอยดูเจ้าพวกอกตัญญู” แม่เฒ่าเจียงขู่ก่อนที่นางจะรีบสาวเท้าเดินจากไป

ฉินเซียวที่เห็นท่าทางอันแข็งแกร่งของท่านป้าผู้นี้นางถึงกับยกนิ้วโป้งน้อย ๆ ให้หญิงวัยกลางคนทันที

“ท่านป้าท่านแน่มาก” เด็กหญิงแม้จะมีใบหน้าไม่น่ามองแต่ดวงตาของนางกลับเปล่งประกายใสกระจ่างยกยิ้มกว้างจนตาหยี

“เจ้านี่นะ ความจริงข้าเองก็กลัวแทบตาย” หนิงลี่พูดความจริงทำให้คนที่เหลือต่างพากันหัวเราะ หลังจากสงบเสียงของตนกันหมดฉินเต๋อจึงได้หันมาสนทนากับฉินเซียว

“ว่าแต่เด็กน้อยเจ้าเป็นลูกเต้าเหล่าใครหรือ” ฉินเต๋อที่รู้สึกถูกชะตากับเด็กหญิงผู้นี้ไต่ถามออกมาด้วยความเอ็นดู

“นางเป็นลูกสาวของเราท่านพี่ นางคือฉินเซียวท่านจำลูกไม่ได้หรือ พวกเจ้าทั้งสองมารู้จักน้องสาวเร็วเข้า” หนิงเซียนที่ดูเหมือนจะมีสติมากกว่าทุกวันกล่าวอย่างกระตือรือร้นแทนคนตัวเล็ก

ฉินเต๋อกำลังจะอ้าปากกล่าวปฏิเสธแต่หนิงลี่ได้ส่ายหัวห้ามไว้ ดังนั้นชายหนุ่มจึงได้เม้มปากของตนกลั้นความเจ็บปวดในใจเอาไว้

“เสี่ยวอู๋ เสี่ยวฟู่ อาเต๋อมาทางนี้ ข้ามีเรื่องจะเล่าให้พวกเจ้าฟัง อาเซียนเจ้าดูแลลูกสาวก่อนนะ” หนิงลี่ที่เห็นท่าทางของน้องเขยจึงได้เรียกคนทั้งสามแยกออกมาโดยไม่ลืมกำชับน้องสาวผู้มีใบหน้ายิ้มแย้มมากกว่าทุกวัน

“ท่านพี่ภรรยา มีเรื่องอะไรหรือขอรับ” ฉินเต๋อถามออกมาด้วยความสงสัย

“เรื่องของเด็กคนนั้นข้าจะเล่าให้เจ้าฟัง หากเจ้ามีความเห็นใดก็จงบอกออกมาเรื่องมันเป็นแบบนี้...” หนิงลี่เล่าเรื่องตั้งแต่ที่นางโดนงูกัดและได้พบกับฉินเซียวออกมาอย่างละเอียด

คนทั้งสามต่างพากันเห็นใจในโชคชะตาของเด็กหญิง อีกทั้งยังมีความเอ็นดูมากขึ้นถ้าหากว่าในตอนนั้นไม่เห็นศพลูกสาวฉินเต๋อก็คงจะคิดว่าเด็กคนนี้ที่อยู่กับฉินหย่งเป็นลูก ของตน

“เอาล่ะ พวกเจ้าจะทำอย่างไรหากว่าเจ้าคิดรับเลี้ยงเด็กคนนี้ข้าเกรงว่าแม่ของเจ้านางคงไม่ยินยอมเป็นแน่” หนิงลี่ถามความคิดเห็นของบุคคลทั้งสามก่อนกล่าวออกมาอย่างหนักใจ

ฉินเต๋อกับบุตรชายทั้งสองมองไปยังหนิงเซียนที่มีใบหน้าแย้มยิ้มลูบหัวเด็กหญิงด้วยความรักแล้วต่างก็พากันถอนใจ

“หากภรรยาของข้าคิดว่าเด็กผู้นั้นเป็นลูกของนางข้าก็ยินดีรับนางเป็นลูก ส่วนเรื่องของแม่ข้าบางทีการแยกออกจากบ้านใหญ่ก็เป็นเรื่องดีเหมือนกันขอรับ ข้าเองก็คิดเรื่องนี้มานานแล้ว” ฉินเต๋อกล่าวออกมาตามตรง

ฟางหรูที่เป็นคนนอกมองเด็กหญิงกับหนิงเซียนด้วยความรู้สึกแปลกใจเล็กน้อย เพราะทั้งสองคนดูเข้ากันได้ดีเหมือนมีสายสัมพันธ์บางอย่างที่นางเองก็บอกไม่ถูก และเด็กหญิงเองก็ดูมีความคล้ายคลึงกับหญิงที่นางช่วย ชีวิตไว้จนน่าฉงน

“ถ้าเจ้าตัดสินใจดีแล้วก็พานางกลับไปบอกพ่อแม่ของเจ้าก่อน หากต้องตัดขาดกันจริงจะได้ไปแจ้งผู้ใหญ่บ้านจงคราวเดียว ตอนนี้พวกเจ้าจงไปขอบคุณแม่นางฟางก่อนเถอะนางเป็นผู้ที่ช่วยชีวิตหนิงเซียนเอาไว้นะ” หนิงลี่ออกความเห็น

“ขอรับ” ชายทั้งสามกล่าวรับคำพร้อมกัน

เมื่อคนทั้งสามเดินมายังนางฟางที่กำลังยืนมองรอบด้านอยู่ นางก็ตกใจที่พ่อลูกพากันมาคุกเข่าต่อหน้านาง

“พวกเจ้ากำลังทำอะไรเข่าของบุรุษมีค่ามากเจ้าไม่รู้หรือ มาคุกเข่าให้ข้าทำไมกัน” นางผู้ซึ่งเป็นหญิงขายเรือนร่างไม่เคยมีผู้กระทำการคารวะอย่างจริงใจแบบนี้กล่าวเสียงหลง

“พวกข้าขอขอบคุณแม่นางที่ช่วยชีวิตภรรยา/ท่านแม่ขอรับ” คนทั้งสามโขกหัวลงกับพื้นโดยไม่สนใจคำห้ามปรามของนางฟาง

“เอาเถอะข้ารับรู้แล้ว พวกเจ้ารีบลุกขึ้นเร็วเข้า” ฟางหรูตอบอย่างเก้อเขิน

หลังจากที่บุรุษต่างวัยทั้งสามลุกขึ้นยืนพวกเขาต่างพากันมองไปยังเด็กหญิงร่างผอมใบหน้าตอบจนเห็นโหนกแก้มที่เต็มไปด้วยรอยแผลพุพอง เสื้อผ้าสีซีดเต็มไปด้วยรอยปะชุนอย่างพินิจ

ฉินเซียวที่มองเห็นการกระทำของพ่อกับพี่ชายในสายเลือดจ้องมองตนเองแบบนี้แม้ว่าเธอจะมีจิตวิญญาณของคนอายุยี่สิบก็อดรู้สึกประหม่าไม่ได้ เด็กหญิงจึงบิดมือของตนไปมาด้วยความหวาดหวั่น

“เด็กน้อยต่อไปนี้ข้าจะเป็นพ่อของเจ้า ข้าชื่อฉินเต๋อข้าจะปกป้องและรักเจ้าประหนึ่งบุตรในอุทร” ชายร่างผอมผู้มีผิวทองแดงจนเกือบดำจากการทำงานหนักกล่าวอย่างหนักแน่น

“น้องสาวข้าเป็นพี่ใหญ่ชื่อฉินอู๋อายุสิบหนาว ข้ายินดีที่มีน้องสาวต่อไปนี้พี่ชายจะปกป้องเจ้าเอง” เด็กชายตัวเล็กไม่เหมือนเด็กสิบหนาวกล่าวยกยิ้ม

“น้องสาวข้าชื่อฉินฟู่อายุเก้าหนาวเป็นพี่รอง ข้าจะปกป้องเจ้าสุดชีวิต” เด็กชายยิ้มตาเป็นรูปพระจันทร์เสี้ยว

นี่ชะตาของนางเปลี่ยนไปอีกแล้วเหรอตอนนี้นางมีพี่ชายถึงสองคนเลยนะ และดูเหมือนว่าพวกเขายินดีที่มีนางเป็นน้องทำให้ฉินเซียวอดน้ำตาไหลออกมาไม่ได้ด้วยความตื้นตันใจที่พวกเขาไม่มีใครรังเกียจนาง

“ขะ...ข้าชื่อฉินเซียวข้าสัญญาจะเป็นบุตรที่กตัญญูต่อท่านพ่อท่านแม่ เป็นน้องสาวที่ดีของพี่ชายทั้งสองโฮ...” เด็กหญิงพูดไปสะอื้นไปจนท้ายที่สุดก็ปล่อยโฮออกมา
Continue to read this book for free
Scan code to download App

Latest chapter

  • ฉินเซียวเมื่อฉันเป็นสาวน้อยชาเขียวในนิยาย   บทที่ 273

    ‘พวกเจ้าช่วยอดทนรอสักหน่อยนะ อีกไม่นานฝ่าบาทคงจะมีคำตอบกลับมา’ แม่ทัพใหญ่วัยกลางคนคิดอย่างคาดหวังคล้อยหลังรถม้าและเสือขาวจากไปคนทั้งสี่ก็ได้ถูกแกะเชือกรวมทั้งผ้าที่ปิดตาอุดหูของตนออก“พวกเจ้าเป็นอย่างไรบ้าง” รองแม่ทัพเอ่ยถามบุคคลทั้งสี่หลังจากที่ชายหญิงเหล่านี้ได้เป็นอิสระแล้ว“พวกข้าไม่เป็นอันใดขอ

  • ฉินเซียวเมื่อฉันเป็นสาวน้อยชาเขียวในนิยาย   บทที่ 272

    “เสี่ยวเซียว ไป๋หู่เล่า” ซินฉีเอ่ยถามศิษย์หลังจากที่เขาทั้งสองนั่งรถม้าออกมาไกลจากค่ายพอสมควรแล้ว“ข้าบอกให้มันไปรออยู่บริเวณป่าข้างทางที่พวกเราต้องเดินทางผ่านเจ้าค่ะ ข้าคะ...คิด” ฉินเซียวเอ่ยยังไม่ทันจบประโยคดีก็ได้ยินน้ำเสียงอันคุ้นเคยของเสือขาวตัวโต“ข้ามาแล้วนายน้อย” ไป๋หู่ส่งเสียงร้องพร้อมกระโจ

  • ฉินเซียวเมื่อฉันเป็นสาวน้อยชาเขียวในนิยาย   บทที่ 271

    “แต่ เจ้าเป็นหญิงการที่เจ้าจะไปอยู่ยังดินแดนของศัตรูข้าไม่วางใจ” เทียนอี้แย้งออกมาอีก“พี่ชายฟังนะเจ้าคะ ข้ายังมีท่านอาจารย์ไปด้วยอีกอย่างท่านอาจารย์ก็เป็นห่วงท่านดังนั้นเขาจึงได้ฝากให้ท่านปู่หลวนเป็นผู้สอนท่านต่อ อีกอย่างข้าเองก็อยากให้พี่ชายอยู่ทางนี้เพื่อช่วยดูแลพ่อแม่ให้ข้าด้วย” เด็กหญิงเกลี้ยกล

  • ฉินเซียวเมื่อฉันเป็นสาวน้อยชาเขียวในนิยาย   บทที่ 270

    “เจ้าจะเสียงดังทำไม หากให้ข้าอยู่อย่างกังวลไม่เป็นสุขอยู่ทางนี้สู้ให้ข้าไปกับนางด้วยย่อมดีกว่า อย่างน้อยอาศัยชื่อเสียงของข้าพวกเขาย่อมไม่ทำอะไรแน่” ซินฉีกล่าวขึ้นอย่างไม่สะทกสะท้าน“ท่านอาจารย์” ฉินเซียวเอ่ยเสียงแผ่วน้ำตาคลอด้วยความซาบซึ้งใจ“ซานไห่ เจ้ารีบกำหนดวันเดินทางซะได้เมื่อไหร่ก็บอกข้าด้วย อ

  • ฉินเซียวเมื่อฉันเป็นสาวน้อยชาเขียวในนิยาย   บทที่ 269

    “เสี่ยวเซียวเจ้ามีความเห็นในเรื่องที่ทางนั้นเสนอมาอย่างไร” ซินฉีเอ่ยถามศิษย์ตัวน้อยผู้เป็นอัจฉริยะในรอบหลายปีที่เขาได้พบเจอน้ำเสียงเต็มไปด้วยความเมตตา“ข้าจะไปเจ้าค่ะ แต่มีข้อแม้ว่าให้ทางนั้นส่งศิษย์ทั้งสี่กลับ มา” เด็กหญิงกล่าวออกไปอย่างหนักแน่นแม้ในใจจะเต็มไปด้วยความหวาดหวั่น“เจ้าคิดดีแล้วอย่างนั

  • ฉินเซียวเมื่อฉันเป็นสาวน้อยชาเขียวในนิยาย   บทที่ 268

    โป๊ยข่วยหลังจากที่ได้ความทรงจำของบรรดาศิษย์ต่าง ๆ มากระจกเทพบานน้อยก็ได้มาถึงบริเวณจุดสุดท้ายที่คนทั้งสี่หายไป ซึ่งบริเวณรอบ ๆ มีรอยเท้าของคนอยู่เป็นจำนวนมากทำให้เจ้าตัวคิดว่าคนทั้งสี่คงจะถูกจับตัวไปแล้วอย่างแน่นอน‘ข้าต้องไปสำรวจฝั่งนั้นใช่ไหม’ กระจกเทพบานน้อยคิดก่อนที่เจ้าตัวจะลอยไปตามลมเพื่อไปยัง

More Chapters
Explore and read good novels for free
Free access to a vast number of good novels on GoodNovel app. Download the books you like and read anywhere & anytime.
Read books for free on the app
SCAN CODE TO READ ON APP
DMCA.com Protection Status