Share

บทที่ 4

เด็กหญิงได้ลงมือถอดถุงเท้าของหญิงวัยกลางคนผู้นี้ออกจากนั้นเธอก็บีบเลือดพิษออกจากบาดแผลและล้างด้วยน้ำเปล่าที่ได้สหายผู้วิเศษเสกกระบอกไม้ไผ่บรรจุน้ำใส่เอาไว้ให้ ก่อนที่จะนำยาสมุนไพรของตนโปะลงไปยังบาดแผลที่เริ่มเปลี่ยนสีนั้น

เมื่อหนิงลี่ได้สัมผัสถึงความเย็นของตัวยาที่ซึมเข้าบาดแผลของตนก็ทำให้นางได้มีสติมากขึ้นจากนั้นเปลือกตาของเธอก็ค่อย ๆ เปิดขึ้นทีละน้อย

ฉินเซียวที่กำลังง่วนอยู่กับการทำยาใหม่เพื่อจะเปลี่ยนให้กับหญิงผู้นี้อีกรอบไม่ได้รับรู้ว่าตอนนี้เธอได้ตกอยู่ภายใต้สาย ตาเรียวสวยของผู้เป็นป้าตามสายเลือด

หญิงวัยกลางคนที่เห็นเพียงใบหน้ามอมด้านข้างของเด็ก หญิงก็มีความรู้สึกถูกชะตากับเด็กคนนี้อย่างน่าประหลาด เธอมีความรู้สึกว่าเด็กคนนี้มีบางอย่างคล้ายน้องสาวของตนเมื่อยังเล็ก หลังจากเด็กหญิงทำยาเสร็จเธอก็กำลังจะนำมาเปลี่ยนให้กับผู้บาดเจ็บ เธอก็ได้รับรู้ถึงสายตาที่มองตัวเองอยู่เด็กสาวจึงหันไปทางหญิงวัยกลางคนทันที

“ท่านป้า ท่านไม่ต้องกลัวนะเจ้าคะ แม้ตัวข้าจะเป็นเด็ก แต่ในเรื่องของยาข้าพอมีความรู้อยู่บ้าง รับรองว่าท่านย่อมปลอดภัยอย่างแน่นอน” เด็กหญิงกล่าวกับผู้ป่วยด้วยถ้อยคำรื่นหู

“ป้าเชื่อเจ้า นั่นเป็นเพราะตอนนี้ป้าไม่รู้สึกถึงความเจ็บปวดอีกแล้ว” หนิงลี่ส่งยิ้มให้คนตัวเล็ก

‘จะไม่หายได้ยังไงนั่นน้ำทิพย์วิเศษเลยนะ แม้หยดเดียวก็มีค่าควรเมืองไม่รู้ตั้งกี่เมือง’ โป๊ยข่วยที่ลอยอยู่รอบตัวคนทั้งสองคิดพลางเงยหน้ามองฟ้า

แต่สิ่งที่กระจกน้อยคิดหาได้มีใครรับรู้ด้วยไม่ ทางฉินเซียวเองยังต้องแปลกใจกับผลการรักษาของตนด้วยซ้ำ ว่าเหตุใดบาดแผลของท่านป้าผู้นี้จึงได้หายเร็วนัก แต่เธอก็ยังคงโปะยาใหม่ลงไปอยู่ดีเพื่อให้เกิดความมั่นใจมากขึ้น หญิงวัยกลางคนมองการกระทำอันคล่องแคล่วเกินเด็กของผู้มีพระคุณ เธอจึงได้เกิดความสงสัยดังนั้นจึงได้ลองถามถึงที่มาที่ไปของเจ้าตัวเล็กด้านหน้าออกมา

“เด็กน้อยเจ้าเป็นใครอย่างนั้นหรือแล้วมาทำอะไรบนภูเขาแห่งนี้” หนิงลี่มองใบหน้าเล็กด้วยความเอ็นดูในขณะถามคำถามไปด้วย

“ข้าชื่อฉินเซียวเจ้าค่ะ อยู่หมู่บ้านด้านล่าง ที่ต้องขึ้นมาบนนี้ก็เพื่อมาตัดหญ้าลงไปให้หมูที่บ้านกิน” เด็กน้อยตอบตามตรงพลางมองใบหน้าของหญิงผู้นี้อย่างตั้งใจ

หนิงลี่รู้สึกตกใจที่ได้รู้ว่าเด็กคนนี้น่าจะเป็นลูกสาวของหญิงใจคดผู้นั้นจางหม่านซิง

“เจ้าเป็นบุตรสาวของหม่านซิงอย่างนั้นเหรอ แต่ทำไมป้าถึงไม่เคยเห็นเจ้ามาก่อนล่ะเจ้าเป็นบุตรคนที่เท่าไหร่ของนางกัน” หญิงวัยสามสิบถามด้วยความแคลงใจ

“ข้าเป็นบุตรสาวคนที่สองเจ้าค่ะ ท่านป้ารู้จักท่านแม่ข้าด้วยอย่างนั้นหรือเจ้าคะ” เด็กหญิงตัวน้อยหลังจากที่ทำแผลจนเสร็จเรียบร้อยถามออกมาด้วยความสงสัยเนื่องจากเธอจำได้ว่าตนไม่เคยเห็นหญิงคนนี้มาก่อน

“คนที่สองอย่างนั้นเหรอแต่เด็กคนนั้นไม่ได้ชื่อนี้นี่ ใคร ๆ ก็ต่างรู้ดีว่าหม่านซิงมีบุตรชายคนโตหนึ่งกับบุตรสาวคนเล็กหนึ่งมีชื่อว่าฉินจวน” หนิงลี่รู้สึกมึนงงหรือว่าตัวเองจะจำผิด

“ฉินจวนนางเป็นน้องคนสุดท้องเจ้าค่ะ แต่หากจะไม่ค่อยมีคนรู้เรื่องของข้าก็ไม่แปลกเพราะท่านแม่มักจะขังข้าให้อยู่แต่ในเรือนไม่ยอมให้ออกไปที่ใดนักนอกจากขึ้นเขาอย่างเช่นวันนี้” เด็กหญิงตอบด้วยใบหน้าหม่น

“โธ่ช่างน่าสงสารเสียจริง” หนิงลี่รู้สึกสงสารเด็กน้อยหน้ามอมร่างผอมจากใจ

“ว่าแต่ท่านป้าเป็นใครแล้วเหตุใดถึงมาอยู่ที่นี่หรือเจ้าคะ” เด็กหญิงเปลี่ยนเรื่องสนทนาเพราะเธอรู้สึกสงสัยในความคล้ายคลึงของบุคคลตรงหน้ามาก

“ป้าชื่อหนิงลี่มาจากหมู่บ้านซุยซวงอยู่ห่างจากหมู่บ้านของเจ้าไปหลายลี้ ที่ป้ามาอยู่บนภูเขาวันนี้เป็นเพราะต้องการหาดอกไม้ชนิดหนึ่งไปทำเครื่องหอมจนมาถูกงูกัดแล้วเจ้าก็มาพบนี่แหละ หากว่าเจ้ามาเจอป้าช้าอีกนิดข้าคงตายไปแล้ว” หนิงลี่ตอบตามจริง

แต่สำหรับฉินเซียวตอนนี้ตัวชาไปแล้วเพราะเธอไม่คาดคิดว่าตนจะมีโอกาสได้ช่วยผู้เป็นป้าในสายเลือดด้วยความบังเอิญ เพราะชาติก่อนเหมือนจะเคยมีข่าวลือว่ามีคนขึ้นเขามาหาสัตว์ป่าแต่สิ่งที่พบกลับเป็นศพของหญิงคนหนึ่งที่มีสภาพไม่น่าดูจนจำแทบไม่ได้ว่าหญิงคนนี้เป็นใคร จนกระทั่งญาติจากหมู่บ้านใกล้เคียงมาถามหาตามข่าวที่ได้ยินจึงได้รู้ว่าคนที่ตายเป็นใคร

“ท่านป้า ทะ...ท่านรู้จักผู้หญิงที่ชื่อว่าหนิงเซียนหรือไม่” ฉินเซียวถามคนด้านหน้าออกมาอย่างลืมตัวด้วยความตื่นเต้น เมื่อหนิงลี่ได้ยินคำถามก็รู้สึกแปลกใจ แต่เธอก็ตอบตามตรงเพราะเด็กคนนี้คงอาจจะเคยได้ยินเรื่องของน้องสาวที่กลายเป็นบ้าของตนมากระมั้ง

“นางเป็นน้องสาวของข้าเอง ว่าแต่เจ้าถามถึงนางทำไมกัน” ผู้อาวุโสถามเด็กน้อยกลับ แต่แล้วเมื่อเห็นใบหน้าซีดเผือดของเด็กหญิงพร้อมกับน้ำตาเม็ดโตที่ร่วงหล่นจากใบหน้ามอมนั้นหนิงลี่ก็หุบปากของตนลง

ก่อนที่เธอจะเอามืออันหยาบกระด้างลูบไปยังศีรษะเล็กของเด็กหญิงตัวน้อยอย่างปลอบใจ ฉินเซียวที่กำลังร้องไห้อยู่นั้นเธอรู้สึกสงสารผู้เป็นแม่ของตนยิ่งนักเนื่องจากตอนที่ตนได้มองเห็นเรื่องราวของตัวเองเธอก็รู้สึกสะเทือนใจอยู่แล้ว

แต่พอมาได้ยินเรื่องนี้ออกจากปากผู้เป็นป้าก็ยิ่งเป็นการตอกย้ำให้เธอรู้สึกเสียใจและโกรธแค้นหม่านซิงผู้ที่ขโมยเธอมาจากอกของมารดาแท้ ๆ มากขึ้น โดยการสับเปลี่ยนลูกสาวที่ตายแล้วของตนกับตัวเธอด้วยหวังจะแก้แค้นมารดาผู้ให้กำเนิดของเธอให้เป็นทุกข์จากการที่ฉินเต๋อผู้เป็นพ่อผู้ให้กำเนิดไม่รับรักนางทำให้นางต้องแต่งกับชายอันธพาลลูกพี่ลูกน้องอย่างฉินหย่งแทน

“เด็กน้อยเจ้าเป็นอะไรไปหยุดร้องไห้ก่อนเถอะ ป้าเห็นแล้วรู้สึกใจคอไม่ดี” หนิงลี่กล่าวอย่างอ่อนโยนเพื่อปลอบใจเด็กหญิง

ฉินเซียวเอามือที่เต็มไปด้วยร่องรอยพุพองจากการทำงานหนักปาดน้ำตาอย่างลวก ๆ ก่อนจะมองหน้าป้าตามสาย เลือดอีกครั้ง

“ท่านป้า ข้าจะไปบ้านของท่านได้หรือไม่ข้าอยากจะไปดูอาการของมะ...แม่หญิงนางนั้นเผื่อว่าความรู้ที่ข้ามีจะช่วยนางได้” เด็กหญิงวัยแปดหนาวเกือบหลุดคำเรียกแม่ออกมากล่าวอย่างมุ่งมั่น

“ป้าก็อยากจะให้เจ้าไปนะ แต่ว่าแม่ของเจ้าจะไม่ว่าเอาหรือหากนางรู้เข้าว่าเจ้าไปกับข้า” หนิงลี่กล่าวออกมาด้วยความลำบากใจเพราะเรื่องเมื่อครั้งอดีตทำให้ครอบครัวของทั้งสองตัดขาดกัน

“ข้าขอเล่าให้ท่านฟังตามตรงท่านจะเชื่อหรือไม่ข้าก็ไม่ว่า แต่ข้าหาใช่ลูกที่แท้จริงของนางไม่ครอบครัวนั้นเลี้ยงข้าเอาไว้ ตั้งแต่ข้าจำความได้ก็ถูกใช้งานเยี่ยงทาสมาโดยตลอด” ฉินเซียวกล่าวออกมาด้วยความเจ็บใจทำให้น้ำตาไหลออกมาอีกครั้ง

“นี่เป็นเรื่องจริงอย่างนั้นเหรอแล้วเหตุใดเจ้าถึงได้รู้เรื่องนี้กัน” หญิงวัยกลางคนบัดนี้ได้ตกใจจนลืมความเจ็บปวดไปหมด แล้วถามอย่างรู้สึกตื่นตระหนก

“ข้าเคยแอบได้ยินท่านแม่บอกกับทุกคนในวันที่ข้านอนไม่สบาย แล้ววันนั้นท่านพ่อแม้จะเป็นคนไม่ดีนักในสายตาคนอื่นคิดจะพาข้าไปหาหมอแต่ท่านแม่ผู้นั้นได้ห้ามเอาไว้เจ้าค่ะ พร้อมบอกว่าที่เลี้ยงเอาไว้ก็แค่คนทำงานและจะตามหมอมารักษานางเด็กที่ไม่ใช่สายเลือดของตัวไปทำไม คราแรกท่านพ่อก็รู้สึกตกใจแต่แล้วเมื่อเขาได้ยินว่าท่านแม่เก็บข้ามาท่านก็ไม่ได้แสดงท่าทีอันใดอีก

นับตั้งแต่นั้นเป็นต้นมาทุกคนก็ใช้ข้าเยี่ยงทาสมาโดยตลอดข้าวให้กินก็มีเพียงแค่น้ำต้มใส ๆ ปราศจากเมล็ดข้าว ทั้งที่ความจริงแล้วข้ามีอายุแปดหนาวแต่ตัวกลับเล็กนิดเดียว” ฉินเซียวเล่าเรื่องราวของตนโดยที่ปิดบังในเรื่องการเกิดใหม่เอาไว้

ซึ่งในเรื่องที่เธอเล่านี้เป็นสิ่งที่เธอได้เห็นผ่านกระจกวิเศษทั้งสิ้น ทำให้เธอได้รู้ถึงความใจดำของตระกูลฉินบ้านรองได้อย่างชัดเจน

เมื่อหนิงลี่ได้รู้ความจริงของผู้มีพระคุณตัวเล็กนางก็ยิ่งรู้สึกสงสารเด็กน้อยผู้นี้จับใจ แต่หากจู่ ๆ จะเอาตัวเด็กไปเลยก็เกรงว่าจะโดนหญิงชั่วผู้นั้นแจ้งความจับตนข้อหาขโมยเด็กได้ แต่จะให้นิ่งเฉยเธอก็ไม่อยากทำ

“เด็กน้อยเอาอย่างนี้ดีหรือไม่ เจ้าพอหาสิ่งใดมายืนยันว่าเจ้าไม่ใช่ลูกสาวที่แท้จริงของคนผู้นั้นหรือเปล่า หากว่ามีข้ายินดีจะช่วยเจ้าเต็มที่แต่หากไม่มีเจ้าช่วยอดทนรออีกสักหน่อยเพื่อให้ข้าได้คิดหาหนทางช่วยเจ้า

ยังไงซะข้าก็จะต้องหาทางช่วยผู้มีคุณอย่างเจ้าให้จงได้อย่างแน่นอนแม้ว่าชีวิตความเป็นอยู่ของข้าจะไม่ดีนัก แต่ป้ารับรองได้หากว่าเจ้าไปอยู่ด้วยกันอย่างน้อยก็มีข้าวให้เจ้ากิน” หนิงลี่กล่าวออกมาจากใจ

“ขอบคุณท่านป้า แต่เรื่องข้านั้นยังไม่ด่วนเท่ากับเรื่องของแม่นางผู้นั้นหากปล่อยไว้นานอาการของนางจะหนักขึ้นและการรักษาจะยิ่งทวีความยากลำบากอีกหลายเท่าตัว” ฉินเซียวรู้ดีว่ามารดาป่วยเป็นโรคอันใดกล่าวออกมาอย่างยึดมั่นในเจตจำนงของตน

“แต่หมู่บ้านนั้นอยู่ไกลจากที่นี่หากเจ้าจะไปก็ต้องไปอยู่ที่นั่นข้าว่าไม่มีทางที่หม่านซิงจะปล่อยให้เจ้าไปไกลหูไกลตาแน่” คนที่ผ่านร้อนหนาวมานานกล่าวอย่างหนักใจเพราะรู้นิสัยหญิงคนนั้นดี

ฉินเซียวเองก็รู้ถึงความเห็นแก่ตัวของหญิงผู้นั้นเช่นกัน แต่ในเมื่อมีโอกาสมาถึงแล้วเธอก็ไม่อยากจะปล่อยให้มันผ่านไปโดยที่ไม่ได้ทำอะไร

ในระหว่างที่เธอกำลังคิดหาทางออกก็ได้ยินเสียงของกระจกวิเศษใบน้อยที่เป็นเหมือนพระมาโปรดในยามยาก
Continue to read this book for free
Scan code to download App

Latest chapter

  • ฉินเซียวเมื่อฉันเป็นสาวน้อยชาเขียวในนิยาย   บทที่ 360

    “พี่สี่ท้องนี้ท่านพอเถอะเจ้าค่ะ ท่านมีลูกมากที่สุดในบรรดาพวกเราแล้วข้าเป็นห่วง” ฉินเซียวผู้กำลังตั้งท้องบุตรคนที่สามกล่าวกับพี่สาวที่ตั้งครรภ์บุตรคนที่สี่อย่างเป็นห่วง“ข้าเองก็คิดเช่นเดียวกับเจ้า” เอ้อเหมยยกยิ้มกล่าวคล้อยตามผู้เป็นน้องทำให้ช่างหลิวพยักหน้ายืนยันคำพูดของภรรยาออกมาด้วย ทำให้ฉินเซียวว

  • ฉินเซียวเมื่อฉันเป็นสาวน้อยชาเขียวในนิยาย   บทที่ 359

    นับตั้งแต่วันนั้นหลังจากสนทนาในห้องตำราของว่าที่พ่อตา ระยะเวลาก็ผ่านมาจวบจนกระทั่งหนึ่งเดือนเต็ม ชายหนุ่มอดทนต่อการกระทำอันเย็นชาของหญิงสาวมาตลอด แม้จะมีบุตรชายเป็นกองหนุนแต่หญิงสาวก็ยังคงสาดน้ำเย็นจัดใส่เขาราวกับฤดูเหมันต์อยู่ทุกเมื่อเชื่อวัน“แม่นางกู่ เจ้ายังไม่หายโกรธข้าอีกอย่างนั้นหรือ ข้ารู้ว่

  • ฉินเซียวเมื่อฉันเป็นสาวน้อยชาเขียวในนิยาย   บทที่ 358

    ดวงตาของหญิงสาวเมื่อเห็นว่าผู้ใดเป็นคนขี่ม้าพาบุตรชายของตนเข้ามาใกล้ ก็ทำให้สีหน้าของนางเปลี่ยนเป็นซีดขาวสลับแดงหัวใจเต้นแรงราวจะทะลุออกจากอก หลังจากที่คิดว่าตนน่าจะไม่มีความรู้สึกต่อเขาจึงได้ออกมายืนรออยู่ตรงนี้หลังจากชายหนุ่มวาดเท้าลงจากหลังม้า ชายชราเจ้าของเรือนผู้มีตำแหน่งต่ำกว่าเตรียมประสานมือ

  • ฉินเซียวเมื่อฉันเป็นสาวน้อยชาเขียวในนิยาย   บทที่ 357

    “ไม่ขอรับ ข้าอยากขี่ม้ามากแต่ท่านแม่บอกว่าข้ายังเด็กเกินไป” เสี่ยวมู่ส่ายหน้าปฏิเสธพร้อมพูดออกมา“ถ้าอย่างนั้นข้าจะอุ้มเจ้าขึ้นไปบนหลังม้าให้เจ้านั่งด้านหน้า ข้าจะเป็นคนบังคับม้าให้เอง” ฉินอู๋พูดขึ้นซึ่งในขณะเดียวกันก็อุ้มเด็กตัวกลมขึ้นหลังม้าทำให้เด็กชายกรีดร้องด้วยความตื่นเต้น“สูงมากเลยขอรับ ข้าอ

  • ฉินเซียวเมื่อฉันเป็นสาวน้อยชาเขียวในนิยาย   บทที่ 356

    “เฮ้อ! พวกท่านช่างไม่เข้าใจจิตใจของหญิงสาว หากเป็นข้า ข้าก็จะทำแบบเดียวกับพี่สะใภ้รองเช่นกัน ดังนั้นเรื่องนี้ข้าเข้าข้างนาง” ฉินเซียวมองหน้าสามีกล่าวขึ้นอย่างเห็นใจหญิงสาวผู้ที่ตนตัดสินใจแล้วว่าหญิงผู้นั้นเป็นคนดีโจวเหวินหยุนผู้ไม่กลัวฟ้าไม่เกรงดินคล้ายเข้าใจแต่ไม่เข้าใจคำพูดของภรรยาแต่เขาไม่คิดถาม

  • ฉินเซียวเมื่อฉันเป็นสาวน้อยชาเขียวในนิยาย   บทที่ 355

    “ท่านพี่ ท่านบอกข้ามาตามตรงพี่รองของข้ามีเรื่องอะไรที่เขาต้องปรึกษากับท่านเป็นการส่วนตัว” ฉินเซียวเอ่ยถามชายหนุ่มผู้ที่กำลังวางคางเกยยังหัวไหล่ขาวเนียนของตน“น้องหญิงเหตุใดเจ้าถึงไม่ถามกับเขาโดยตรง” เหวินหยุนเริ่มมือไม้อยู่ไม่สุข ทำให้หญิงสาวผู้ที่ต้องการสนทนาได้แต่เอามือน้อยปัดป้องในสิ่งที่เขากำลัง

More Chapters
Explore and read good novels for free
Free access to a vast number of good novels on GoodNovel app. Download the books you like and read anywhere & anytime.
Read books for free on the app
SCAN CODE TO READ ON APP
DMCA.com Protection Status