Share

บทที่ 3

“อร่อยไหมเจ้าเด็กอัปลักษณ์” เสียงเล็กเหมือนเด็กอายุประมาณสี่ห้าขวบถามกับผู้ที่ผูกจิตวิญญาณกับตัวเองออกมา

“อืม อร่อยมากเลย” ฉินเซียวที่กำลังเคี้ยวเนื้อปลาในปากตุ้ย ๆ ตอบอย่างลืมตัว แต่หลังจากนั้นเด็กหญิงก็ชะงักค้างพร้อมเงยหน้าขึ้นจากปลาในมือ

“อร่อยแล้วทำไมไม่กินต่อล่ะ หากไม่อิ่มข้าจะเรียกปลาขึ้นมาให้เจ้าอีก ตอนนี้เจ้าเป็นทาสของข้าแล้วรับรองว่าเจ้านายผู้นี้ไม่ยอมให้เจ้าอดตายหรอก จงสำนึกในบุญคุณของข้าซะ” กระจกน้อยแปดเหลี่ยมบานเล็กโอ้อวดตน

“ผะ...ผี!” ฉินเซียวผู้ซึ่งได้ลืมไปแล้วว่าครั้งหนึ่งตนก็เคยเป็นวิญญาณมาก่อนตกใจจึงได้เผลอทิ้งปลาในมือลงพื้นทันทีพร้อมทิ้งตัวลงนั่งคุดคู้เอามือปิดหน้าตัวสั่นเทา

“ไหนผีวิญญาณตนใดมันกล้ามาทำให้เจ้ากลัว เจ้าวิญญาณชั่วปรากฎกายออกมาบัดเดี๋ยวนี้” กระจกใบน้อยที่ยังไม่รู้ว่าสิ่งที่ทำให้เด็กน้อยกลัวคือตัวเองตวาดเสียงกร้าว

ทันทีที่สิ้นเสียงของสิ่งลึกลับเด็กหญิงผู้หวาดกลัวเธอก็เริ่มมีสติขึ้นมาเล็กน้อยพลางคิดว่าผีอะไรดุตัวเองก็ได้ หรือว่าเขาจะไม่รู้ตัวว่าตัวเองได้ตายไปแล้ว

ดังนั้นเด็กน้อยจึงคลายมือของตนออกพร้อมเงยหน้ามองไปยังต้นเสียง แม้ดวงตาทั้งสองข้างกำลังมีน้ำตาเอ่อคลอขึ้นมองไปยังต้นเสียงที่ได้ยินและก็พบกับสิ่งเล็ก ๆ อันแสนคุ้นเคยลอยไปลอยมาอย่างสำรวจตรวจตราบริเวณโดยรอบ

“ไหนเจ้าเด็กตัวเหม็นข้าไม่เห็นวิญญาณสักตน เจ้าไม่ต้องกลัวข้าอยู่ที่นี่จะมีสิ่งชั่วร้ายใดทำร้ายเจ้าได้กัน” กระจก เล็ก ๆ แปดเหลี่ยมส่งเสียงกึ่งดุกึ่งปลอบโยน

“ทะ...ท่านกระจกแปดเหลี่ยมของเทพชะตาใช่หรือไม่” จิตวิญญาณของหญิงสาวที่จำได้คลับคล้ายคลับคล้าถามอย่างไม่มั่นใจ

“ข้าชื่อโป๊ยข่วยจำไว้ให้ดี เจ้าโชคดีแค่ไหนที่ได้ผูกจิตกับข้าจงระลึกถึงความเมตตานี้ให้ดีที่ข้าลดตัวลงมาเลือกอยู่กับเจ้า” เสียงของเด็กสี่ขวบพูดอย่างเย่อหยิ่งทั้งที่ความจริงแล้วเป็นเจ้าตัวนั่นแหละที่แอบผูกจิตกับวิญญาณสาวตนนี้ตอนที่หล่อนกำลังเข้าร่างเดิมของตน

เนื่องจากความเบื่อหน่ายที่อยู่แต่ด้านบนหามีเรื่องสนุกให้ทำไม่ ฉินเซียวรู้สึกงุนงงเป็นอย่างมากนางจำได้ว่าในเรื่อง ราวที่ท่านเทพชะตาให้ตนดูนั้นไม่ได้กล่าวถึงเรื่องกระจก โป๊ยข่วยนี่นา

“ข้าขอถามได้หรือไม่ที่ว่าโชคดีที่ท่านมาอยู่ด้วยหมายความว่าอย่างไร ท่านก็เห็นแล้วนี่ตัวข้านั้นลำบากขนาดไหนจะกินแต่ละมื้อยังยากลำบากเลย” เด็กหญิงถามออกมาด้วยความสงสัยโดยไม่หลงเหลือความกลัวอีกแล้ว

“เจ้ามนุษย์โง่ ข้าเป็นเหมือนขุมทรัพย์แห่งความรู้และเป็นผู้ที่บันดาลสิ่งที่เจ้าร้องขอมานั่นยังไงล่ะ แต่โดยพื้นฐานแห่งการขอจะต้องเป็นเรื่องที่ไม่เกินจริงนะ อย่างเช่น หากเจ้าอยากรวยเจ้าต้องลงมือทำงานเองโดยที่ข้าสามารถคิดช่วยหาหนทางให้

แต่ไม่ใช่ว่าเจ้าคิดแต่จะขอพรให้ตัวเองรวยโดยที่ไม่ทำอะไรเลยไม่ได้ อย่างเช่น อาหารข้าก็แค่ช่วยหาวัตถุดิบให้เจ้าเพียงเท่านั้น” โป๊ยข่วยกล่าวออกมาพร้อมยืดตัวของตนเชิดขึ้น

“หมายความว่าวัตถุดิบบนโลกใบนี้หากว่ามีท่านก็หามาได้ด้วยอย่างนั้นเหรอ” ฉินเซียวกล่าวออกมาตาโตคราวนี้เธอไม่อดตายแล้วและเธอยังคิดหาเงินได้อีกด้วย

“ใช่เจ้าเข้าใจถูกแล้วและข้ายังมีความสามารถอีกอย่างก็คือข้าสามารถเห็นอดีตและอนาคตของผู้อื่นได้เป็นระยะเวลาก่อนและหลังสามวัน เป็นอย่างไรเจ้าทึ่งกับความพิเศษของข้าแล้วหรือไม่” กระจกน้อยใบเล็กมีภู่แดงห้อยด้านล่างกล่าวอย่างภาคภูมิใจ

“ความสามารถแบบนี้มันดีตรงไหนกินไม่ได้สักหน่อย” เด็กน้อยอมลมจนแก้มพองหลังจากพูดจบ

“เจ้านี่นะอัปลักษณ์แล้วยังโง่อีก ก็หมายความว่าเจ้าได้สูตรโกงยังไงล่ะไม่ว่าเจ้าจะทำอะไรกับใครหากรู้เขารู้เรารบร้อยครั้งชนะร้อยครั้งยังไงล่ะเคยได้ยินไหม” กระจกน้อยลอยมาตรงหน้าของเด็กตัวเล็กพร้อมมองคนตรงหน้าอย่างเหยียดหยาม

“ถ้าอย่างนั้นท่านโป๊ยข่วยผู้ยิ่งใหญ่ได้โปรดช่วยให้ข้ากลับไปหาครอบครัวที่แท้จริงเลยไม่ได้เหรอ” คนตัวเล็กถามออกมาอย่างมีความหวัง

“เจ้าจำไม่ได้หรือว่าชะตาของตัวเองเจ้าต้องลิขิตเอง ข้าทำได้เพียงช่วยเหลือเล็กน้อยได้เท่านั้นหากเจ้ามีความพยายามยังไงเจ้าก็ย่อมได้เจอครอบครัวของเจ้าแน่ อีกไม่นานนักหรอกแค่ต้องใช้ความอดทน” กระจกน้อยกล่าวตามตรงเนื่องจากเรื่องเหล่านี้หากฝืนชะตาฟ้าเกินไปเด็กคนนี้อาจจะลำบากเอาได้ในภายหลัง

“ข้าจะเชื่อท่านว่าแต่การที่ท่านลอยไปลอยมาไม่กลัวคนอื่นเห็นหรือยังไง” เด็กหญิงแปดหนาวกล่าวออกมาด้วยความกังวลใจ

“เรื่องนี้เจ้าไม่ต้องเป็นห่วงหรอกเพราะไม่มีใครสามารถเห็นข้าได้นอกจากเจ้า แล้วต่อไปนี้หากเจ้าอยากจะสื่อสารกับข้าให้ทำเพียงแค่คิดก็พอ ไม่อย่างนั้นคนจะหาว่าเจ้าเป็นบ้าเอาได้” กระจกบานน้อยกล่าวก่อนที่มันจะลอยขึ้น ๆ ลง ๆ

“ตกลง” เด็กหญิงลองโต้ตอบทางความคิด

“ว่าแต่เจ้าอิ่มหรือยังดูปลาที่เจ้าทิ้งสิยังเหลืออีกตั้งครึ่งตัวน่าเสียดาย” กระจกใบน้อยลอยมายังปลาใหญ่ผู้เคราะห์ร้ายที่ตนเรียกขึ้นมาจากน้ำ

“ตอนนี้อิ่มแล้วเพราะความตกใจแต่ข้าสามารถเอาปลาเก็บไว้ในนี้ได้ ตอนนี้พวกเราไปตัดหญ้าให้หมูกันเถอะบ่ายคล้อยทุกทีแล้ว” เด็กหญิงตอบพร้อมกับเดินไปหยิบปลาขึ้นมาใส่ลงไปในตะกร้าสานของตัวเองและไม่ลืมตรวจดูกองไฟที่ตนได้จุดย่างปลาเอาไว้

“อืมไปกันเถอะ เผื่อว่าเจ้าจะเจอของดี” กระจกใบน้อยพูดขึ้นก่อนที่เจ้าตัวจะลอยนำหน้าเด็กหญิงตัวเล็ก

ในระหว่างการเดินทางของหนึ่งมนุษย์กับหนึ่งของวิเศษ หูของฉินเซียวก็ได้ยินเสียงเหมือนคนกำลังร้องขอความช่วยเหลือแว่วมาจากพงหญ้า

“โป๊ยข่วยเจ้าได้ยินเสียงอะไรหรือไม่” เด็กหญิงถามกับกระจกใบเล็กที่ลอยอยู่ด้านหน้าพร้อมเงี่ยหูฟังเพื่อให้แน่ใจว่าหูไม่ได้แว่วไปเอง

“ได้ยินดังมาจากพงหญ้าทางนั้น” กระจกใบน้อยใช้หางภู่ห้อยสีแดงของตนชี้ไปทางด้านขวาของฉินเซียว

“พวกเราไปดูกันเถอะ” เด็กหญิงกล่าวอย่างร้อนใจ

“ชะตานี้เป็นของเจ้า” กระจกน้อยกล่าวออกมาเพียงเท่านั้นแล้วก็หายวับไปต่อหน้าต่อตาของเด็กหญิงวัยแปดหนาว

ฉินเซียวแม้จะไม่ค่อยเข้าใจคำพูดของกระจกน้อย อยากจะถามแต่ด้วยความที่เสียงนั้นเริ่มส่งเสียงแผ่วเบาลงทุกที ส่วนโป๊ยข่วยก็หายไปแล้ว ดังนั้นเด็กหญิงตัวเล็กผู้นี้จึงได้ตัดสินใจเดินเข้าไปดูให้กระจ่างว่าเสียงที่ได้ยินนั้นเป็นของผู้ใดกันแล้วเกิดเหตุอันใดกับเจ้าของเสียง

“ท่านป้าท่านบาดเจ็บที่ใดอย่างนั้นเหรอ” ฉินเซียวถามหญิงวัยกลางคนผู้หนึ่งที่ตนจำไม่ได้ว่าเคยเจอที่ไหนมาก่อน

ด้วยความเป็นห่วงหลังจากที่เธอแหวกพงหญ้าที่สูงเลยศีรษะตนเข้ามาแล้วเห็นหญิงผู้นี้กุมข้อเท้าของตนด้วยความเจ็บปวด เด็กหญิงมองลงไปที่ข้อเท้าของหญิงวัยกลางคนร่างผอมก่อนที่จะพบว่ามีเลือดไหลซึมออกมาจากบาดแผลที่เป็นรูเล็ก ๆ สองรูอยู่นอกถุงเท้าของหญิงผู้นี้

ฉินเซียวจึงได้รับรู้ว่าหญิงผู้นี้คงถูกงูที่อยู่บนภูเขาลูกนี้กัดเข้าเสียแล้ว เด็กหญิงพยายามนึกถึงเมื่อครั้งอดีตในการที่ตนได้ใช้ชีวิตหลังแต่งงานกับครอบครัวของคนผู้นั้นที่เป็นหมอสมุนไพร และนางก็ได้ถูกใช้งานยิ่งกว่าทาสในเรือนเสียอีก

ทุกวันตั้งแต่ฟ้ายังไม่สว่างจวบจนกระทั่งดวงจันทร์อยู่กลางศีรษะยามนั้นถึงเป็นเวลานอน ฉินเซียวค่อย ๆ คิดถึงสมุนไพรที่มีฤทธิ์รักษาพิษงูบนภูเขาแห่งนี้ก่อนที่จะหลุดออกจากภวังค์

“ท่านป้าอย่าเพิ่งหลับนะเจ้าคะ ข้ากำลังจะช่วยท่านได้โปรดจงอดทน” ฉินเซียวกล่าวกับหญิงผู้นี้อย่างร้อนใจ

‘โป๊ยข่วยข้ากลัวว่าสมุนไพรเพียงอย่างเดียวจะรักษาไม่ทันการเจ้าพอมีตัวช่วยบ้างไหม’ เด็กหญิงคิดถึงสหายตัวเล็กก่อนจะถามออกมา

‘ในตะกร้าเป็นครกตำกับน้ำทิพย์เจ้าเอาผสมกันกับสมุนไพรตัวนั้น จากนั้นคงไม่ต้องให้ข้าบอกแล้วกระมั้ง’

ในระหว่างที่สนทนากับสหายผู้วิเศษฉินเซียวก็ลงมือหาสมุนไพรชนิดที่เธอต้องการไปด้วย

“เจอแล้วเจ้านี่แหละที่ข้าต้องการ” เด็กหญิงตัวน้อยกล่าวออกมาอย่างดีใจ

จากนั้นเธอก็เริ่มลงมือทำยาทันทีโดยอุปกรณ์ที่ผู้ช่วยพิเศษนำออกมาให้
Continue to read this book for free
Scan code to download App

Latest chapter

  • ฉินเซียวเมื่อฉันเป็นสาวน้อยชาเขียวในนิยาย   บทที่ 360

    “พี่สี่ท้องนี้ท่านพอเถอะเจ้าค่ะ ท่านมีลูกมากที่สุดในบรรดาพวกเราแล้วข้าเป็นห่วง” ฉินเซียวผู้กำลังตั้งท้องบุตรคนที่สามกล่าวกับพี่สาวที่ตั้งครรภ์บุตรคนที่สี่อย่างเป็นห่วง“ข้าเองก็คิดเช่นเดียวกับเจ้า” เอ้อเหมยยกยิ้มกล่าวคล้อยตามผู้เป็นน้องทำให้ช่างหลิวพยักหน้ายืนยันคำพูดของภรรยาออกมาด้วย ทำให้ฉินเซียวว

  • ฉินเซียวเมื่อฉันเป็นสาวน้อยชาเขียวในนิยาย   บทที่ 359

    นับตั้งแต่วันนั้นหลังจากสนทนาในห้องตำราของว่าที่พ่อตา ระยะเวลาก็ผ่านมาจวบจนกระทั่งหนึ่งเดือนเต็ม ชายหนุ่มอดทนต่อการกระทำอันเย็นชาของหญิงสาวมาตลอด แม้จะมีบุตรชายเป็นกองหนุนแต่หญิงสาวก็ยังคงสาดน้ำเย็นจัดใส่เขาราวกับฤดูเหมันต์อยู่ทุกเมื่อเชื่อวัน“แม่นางกู่ เจ้ายังไม่หายโกรธข้าอีกอย่างนั้นหรือ ข้ารู้ว่

  • ฉินเซียวเมื่อฉันเป็นสาวน้อยชาเขียวในนิยาย   บทที่ 358

    ดวงตาของหญิงสาวเมื่อเห็นว่าผู้ใดเป็นคนขี่ม้าพาบุตรชายของตนเข้ามาใกล้ ก็ทำให้สีหน้าของนางเปลี่ยนเป็นซีดขาวสลับแดงหัวใจเต้นแรงราวจะทะลุออกจากอก หลังจากที่คิดว่าตนน่าจะไม่มีความรู้สึกต่อเขาจึงได้ออกมายืนรออยู่ตรงนี้หลังจากชายหนุ่มวาดเท้าลงจากหลังม้า ชายชราเจ้าของเรือนผู้มีตำแหน่งต่ำกว่าเตรียมประสานมือ

  • ฉินเซียวเมื่อฉันเป็นสาวน้อยชาเขียวในนิยาย   บทที่ 357

    “ไม่ขอรับ ข้าอยากขี่ม้ามากแต่ท่านแม่บอกว่าข้ายังเด็กเกินไป” เสี่ยวมู่ส่ายหน้าปฏิเสธพร้อมพูดออกมา“ถ้าอย่างนั้นข้าจะอุ้มเจ้าขึ้นไปบนหลังม้าให้เจ้านั่งด้านหน้า ข้าจะเป็นคนบังคับม้าให้เอง” ฉินอู๋พูดขึ้นซึ่งในขณะเดียวกันก็อุ้มเด็กตัวกลมขึ้นหลังม้าทำให้เด็กชายกรีดร้องด้วยความตื่นเต้น“สูงมากเลยขอรับ ข้าอ

  • ฉินเซียวเมื่อฉันเป็นสาวน้อยชาเขียวในนิยาย   บทที่ 356

    “เฮ้อ! พวกท่านช่างไม่เข้าใจจิตใจของหญิงสาว หากเป็นข้า ข้าก็จะทำแบบเดียวกับพี่สะใภ้รองเช่นกัน ดังนั้นเรื่องนี้ข้าเข้าข้างนาง” ฉินเซียวมองหน้าสามีกล่าวขึ้นอย่างเห็นใจหญิงสาวผู้ที่ตนตัดสินใจแล้วว่าหญิงผู้นั้นเป็นคนดีโจวเหวินหยุนผู้ไม่กลัวฟ้าไม่เกรงดินคล้ายเข้าใจแต่ไม่เข้าใจคำพูดของภรรยาแต่เขาไม่คิดถาม

  • ฉินเซียวเมื่อฉันเป็นสาวน้อยชาเขียวในนิยาย   บทที่ 355

    “ท่านพี่ ท่านบอกข้ามาตามตรงพี่รองของข้ามีเรื่องอะไรที่เขาต้องปรึกษากับท่านเป็นการส่วนตัว” ฉินเซียวเอ่ยถามชายหนุ่มผู้ที่กำลังวางคางเกยยังหัวไหล่ขาวเนียนของตน“น้องหญิงเหตุใดเจ้าถึงไม่ถามกับเขาโดยตรง” เหวินหยุนเริ่มมือไม้อยู่ไม่สุข ทำให้หญิงสาวผู้ที่ต้องการสนทนาได้แต่เอามือน้อยปัดป้องในสิ่งที่เขากำลัง

More Chapters
Explore and read good novels for free
Free access to a vast number of good novels on GoodNovel app. Download the books you like and read anywhere & anytime.
Read books for free on the app
SCAN CODE TO READ ON APP
DMCA.com Protection Status