Share

บทที่ 7

“ท่านแม่เจ้าคะ ในเมื่อท่านแม่บอกข้าว่าคนพวกนี้จะมีอาหารให้กินมีที่นอนอุ่นแล้วใยท่านจึงไม่ส่งน้องสาวไปเล่าเจ้าคะ” ฉินเซียวกล่าวออกมาอย่างไร้เดียงสา

“เจ้าหุบปากเรื่องของผู้ใหญ่ใครให้เด็กอย่างเจ้ามาวุ่นวายจะไปตายที่ไหนก็ไปนางตัวซวย” นางจางตวาดใส่เด็กหญิงพลางสีหน้าแสดงความกังวลเนื่องจากกลัวคนพวกนี้ เปลี่ยนใจ

ด้านในบ้านฉินตอนนี้ฉินจวนนั่งกอดตัวเองแน่นโดยมีพี่ชายที่อายุสิบขวบมองนางอยู่ด้วยความสมเพช ฉินตาอีไม่ได้มีความรู้สึกรักน้องสาวคนนี้เลยเพราะนางเป็นเด็กเอาแต่ใจ

บ้านอื่นมีแต่จะเชิดชูลูกชายมีเพียงเขาที่แม้จะไม่โดนตีหรือถูกต่อว่าแต่ถ้าเมื่อไหร่มีเรื่องเกี่ยวกับนางเด็กคนนี้เขามักจะโดนผู้เป็นแม่ดุด่าอยู่เสมอ

และสิ่งที่เขามักจะกระทำก็คือการไปกลั่นแกล้งน้องสาวต่างสายเลือดผู้อ่อนแอไม่กล้าสู้คนผู้นั้น

“เจ้าจะหวาดกลัวอะไร แม่ไม่มีทางขายเจ้าหรอกเจ้าน่าจะรู้ดี” เด็กชายผู้พี่เปิดปากของตน

“ก็ข้ากลัวพี่จะมายุ่งทำไม” คนเป็นน้องเถียง

นางจางเมื่อได้ยินเสียงของสองพี่น้องในขณะที่กำลังมาหยิบเงินที่ตัวเองแอบซ่อนเอาไว้ก็เกิดบันดาลโทสะ

“พวกเจ้าเป็นอะไรกัน บ้านร้อนเป็นไฟถึงเพียงนี้ยังจะมาทะเลาะกันอีก ช่วยสงบปากคำของพวกเจ้าบ้างเถอะ” นางตวาดใส่ลูกในอกเสียงดัง

เมื่อเห็นว่าลูกทั้งสองเงียบเสียงลงแล้ว นางก็รีบนำเงินที่เก็บออมไว้นำไปให้หัวหน้าคนคุมบ่อนด้านนอก ฉินเซียวไม่ได้อยู่รอดูความหายนะของผู้อื่นเนื่องด้วยตั้งแต่นางถูกแม่ใจมารไล่เธอก็ได้ร้องไห้หนีออกมาอยู่ภายในห้องเก็บฟืนที่เป็นสถานที่หลับนอนของตนด้วยความอ่อนเพลียอันเกินกว่าร่างกายเล็ก ๆ ของตนจะรับได้

ทำให้เด็กหญิงผล็อยหลับไปด้วยความเหนื่อย โป๊ยข่วยที่ มองเห็นสภาพของเด็กผู้นี้ก็เกิดความสงสาร เจ้ากระจกใบน้อยจึงได้นำผ้าห่มผืนบางออกมาคลุมร่างเล็กจ้อยด้วยความเป็นห่วง

ก่อนที่เจ้าตัวจะปิดกั้นเสียงดังโดยรอบทั้งหมด อีกทั้งยังป้องกันประตูหน้าต่างของห้องเก็บฟืนชนิดที่ว่าแมลงตัวไหนก็อย่าหวังจะเล็ดรอดเข้ามารบกวนการนอนของทาสในความคุ้มครองของตนได้อย่างเด็ดขาด

ภายนอกหลังจากที่นางจางส่งมอบเงินให้กับชายฉกรรจ์พวกนั้นไปแล้วพวกมันก็จากไป แต่ก็ยังไม่วายทิ้งข้อความข่มขู่ฉินหย่งเอาไว้

“อย่าให้ข้าเห็นหน้าเจ้าที่บ่อนอีกไม่อย่างนั้นเจ้าตายแน่”

“ขอรับข้าไม่กล้าแล้ว” ฉินหย่งรับคำอย่างนอบน้อมแต่ในใจนะหรือข้าไปบ่อนอื่นก็ได้โว้ย

“หม่านซิงไปเอาเงินที่เหลือมาให้ข้าหาไม่อย่าหาว่าข้าใจร้าย” ฉินหย่งหันมาตวาดใส่คนเป็นเมีย

“ข้าไม่มีแล้วท่านพี่ เงินที่ข้าให้พวกนั้นไปเป็นเงินทั้งหมดที่ข้ามี” จางหม่านซิงกล่าวออกมาน้ำตาริน

“ข้าไม่เชื่อสมบัติพ่อแม่ข้าก่อนตายทิ้งไว้ให้ข้าตั้งเยอะ หากเจ้าไม่ให้ข้า ข้าจะเอาที่ดินไปขาย” ชายวัยกลางคนกล่าวฮึดฮัดออกมา

“ท่านจำไม่ได้หรือปีก่อนท่านเพิ่งจะขายไปห้าสิบหมู่แล้วตอนนี้เราก็เหลือแค่ที่นาห้าสิบหมู่ หากท่านขายไปอีกพวกเราคงจะได้อดตาย” นางจางโต้เถียง

เพี๊ยะ! “เจ้ากล้าดียังไงมาเถียงข้าคนเป็นภรรยาเป็นสมบัติของสามีเจ้ามีสิทธิ์อะไรกล้ามาตีฝีปากกับข้าห๊ะ” ฉินหย่งกล่าวออกมาอย่างเดือดดาล จางหม่านซิงเอามือกุมแก้มที่โดนตบน้ำตาไหลได้แต่กัดฟันข่มความเจ็บปวดเอาไว้ด้วยความแค้นใจ

ฉินหย่งที่รู้ตัวว่าลงมือหนักไปหน่อยแต่ด้วยทิฐิเขาจึงได้แต่สะบัดชายเสื้อเดินจากไปทิ้งให้นางจางมองตามด้วยความ แค้นเคือง

จนกระทั่งบุตรสาวอันเป็นที่รักของนางได้ก้าวเท้าเดินมาหาผู้เป็นแม่ก็เห็นน้ำตาของนางจางไหลอาบสองแก้มที่ใบหน้าอีกซีกเริ่มบวมแดง

“ท่านแม่เจ้าคะท่านเป็นอย่างไรบ้าง” เด็กหญิงวัยเจ็ดขวบถามมารดาอย่างขลาดกลัวเมื่อเห็นใบหน้าบวมแดงทำให้นางไม่กล้าเข้าไปใกล้ผู้เป็นแม่อีก

“แม่ไม่เป็นไรเจ้าไปนอนเถอะ” นางจางกล่าวกับลูกน้อยน้ำเสียงไม่ชัดเจนนักเนื่องจากความเจ็บปวดที่ได้รับ

“เจ้าค่ะ” ฉินจวนรีบรับคำก่อนจะสาวเท้าเดินจากไปอย่างรวดเร็ว

‘สักวันเถอะฉินหย่งสักวันข้าจะคืนรอยฝ่ามือนี้ให้เจ้า’ นางกัดฟันกล่าวอย่างไร้เสียง

เช้าวันต่อมาแสงสว่างของพระอาทิตย์เริ่มจะสาดส่องไป รอบด้าน ภายในห้องเก็บฟืนอันเล็กแคบเด็กตัวน้อยเริ่มรู้สึกตัว นางเหยียดแขนเพื่อคลายความเมื่อยขบให้แก่ตนเองแล้วผ้าห่มผืนใหม่ก็ร่นลง

“ผ้าห่มของใครกัน” ฉินเซียวเปรยออกมาด้วยความสงสัย

“ของข้านะสิเจ้าเด็กอัปลักษณ์คราวนี้เจ้าช่างดูน่าเกลียดไปแล้วจริง ๆ” กระจกวิเศษพูดพร้อมกับเก็บผ้าห่มเข้ามิติของตน ฉินเซียวที่ได้ยินถ้อยคำของกระจกน้อยจนชาชินก็ไม่ได้รู้สึกโกรธเพราะความอัปลักษณ์นี่แหละทำให้เธอยังอยู่รอดปลอดภัย

“ข้าขอบใจเจ้ามากนะโป๊ยข่วยที่ให้ข้ารอดจากเหตุการณ์เลว ร้ายมาได้ หากไม่มีเจ้าข้าคงตายทั้งเป็นไปแล้ว” เด็กหญิงยิ้มหวานส่งให้กระจกที่ตอนนี้เริ่มทำตัวไม่ถูก

“จะ...เจ้าช่างแปลกคนข้าว่าเจ้านะเจ้าต้องโกรธสิ ชิข้าไม่คุยกับเจ้าแล้วรีบออกไปเถอะก่อนที่นางผู้นั้นจะมาอาละวาด” กระจกน้อยผู้ทำอะไรไม่ถูกหายวับไปแต่ก็ยังไม่วายอดพูดเตือนเด็กหญิงออกมา

ฉินเซียวเมื่อได้ยินคำเตือนนางก็มองดูที่มือและตามแขนก็ยังเห็นว่าแผลผุพองยังอยู่จึงได้ลองเอามือลูบตามใบหน้าและลำคอนางก็ถอนหายใจออกมาอย่างโล่งใจ ในขณะที่นางกำลังเอามือน้อยของตนกำลังผลักประตูห้องเก็บฟืนออกนางจางได้กลายเป็นผู้เปิดประตูออกพอดีเช่นกัน

“นังตัวซวยแกออกมานี่เลย” หม่านซิงกระชากแขนอันผอมบางของเด็กหญิงลากมาทางหน้าบ้าน ก่อนที่นางจะนำเศษผ้ามาผูกแขนของเด็กตัวเล็กผู้น่าสงสาร

“จนถึงเช้าพรุ่งนี้ข้าจะผูกแกเอาไว้โทษฐานที่แกทำให้เงินของข้าต้องสูญเสียนางเด็กเลว” นางจางกล่าวผรุสวาทอย่างรุนแรงตามที่นางนึกออก

“ท่านแม่ข้าเจ็บ ได้โปรดปล่อยข้าได้โปรดฮือ ๆ” เด็กวัยแปดหนาววิงวอนน้ำตาคลออย่างน่าสงสารแต่ก็หาได้นำพาซึ่งความเห็นใจมาให้นางจางไม่

ชาวบ้านที่ได้ยินเสียงร้องไห้ก็พากันมามุงดูแต่ก็ไม่มีใครกล้ายื่นมือมาช่วยเหลือ เนื่องจากเป็นเรื่องภายในครอบครัวของใครของมันแม้กระทั่งผู้ใหญ่บ้านแห่งนี้ก็ทำเป็นปิดหูปิดตาตนเช่นกัน

“แกไม่ต้องร้องคร่ำครวญนางเด็กผีหากใบหน้าแกไม่เป็นเช่นนี้ข้าก็ไม่ต้องสูญเงินไปถึงหนึ่งตำลึงเงิน แกช่างเป็นตัวซวยโดยแท้” นางจางเมื่อได้ยินคำอ้อนวอนเธอก็ยิ่งรู้สึกเดือดดาลมากขึ้น

ท่ามกลางอากาศร้อนจัดของฤดูต้าสู่ ฉินเซียวผู้ถูกลงทัณฑ์ให้ยืนตากแดดโดยการถูกมัดติดกับเสาไม้กลางลานบ้านก็เกือบจะเป็นลมอยู่หลายครั้ง

‘ท่านเทพชะตาเจ้าคะ ใยการเกิดใหม่ครั้งนี้ของข้าช่างโหดร้ายกว่าเดิมนัก ท่านจะให้ข้าตายอีกหนหรืออย่างไร’ วิญญาณหญิงสาวคร่ำครวญหากเธอรู้ก่อนก็คงจะหนีไปแล้ว แต่ลืมตาปุ๊บถูกจับปั๊บจะหนีก็ไม่ทันการด้วยกำลังตัวเองนั้นหาสู้แรงผู้ใหญ่ได้ง่ายไม่

“เจ้าไม่ตายหรอก ครั้งนี้เป็นชะตาของเจ้าที่ต้องได้รับแทนการถูกขายเมื่อคืนนี้ หากเจ้าร้อนก็หลับตาเสียข้าจะนำจิตวิญญาณของเจ้าเข้ามาภายในมิติ” กระจกวิเศษอดสงสารเด็กหญิงไม่ได้พูด

ฉินเซียวจึงได้หลับตาลง ภาพภายนอกที่บุคคลอื่นเห็นคงจะคิดว่าเด็กน้อยคงอ่อนล้าจนหลับไปเพียงเท่านั้น ภายในมิติของโป๊ยข่วยฉินเซียวกำลังรู้สึกสำราญกับอาหารที่อยู่ตรงหน้า เธอกินด้วยความหิวเนื่องจากเมื่อวานก็มีเพียงปลาย่างครึ่งตัวที่ตกถึงท้อง ตื่นมาน้ำยังไม่ทันได้ดื่มก็ถูกนางจางจับมาผูกติดกับเสา ช่างเป็นการทรมานร่างกายอันแสนสาหัสเกินทานทน

“เจ้าค่อย ๆ กินก็ได้อาหารมันไม่หนีไปไหนหรอก ส่วนนี่เป็นน้ำทิพย์ข้าเจือจางให้แล้วเจ้าจะได้มีร่างกายแข็งแรงทนถึกไม่เจ็บป่วยง่าย” กระจกน้อยกล่าวพลางผลักจอกน้ำไปทางเด็กหญิง

ฉินเซียวรีบยกน้ำในจอกขึ้นดื่มอย่างไม่ลังเล เมื่อได้น้ำทิพย์เข้าสู่ร่างกายเธอก็มีความรู้สึกเบาสบายมากขึ้นความเมื่อยล้าจากการทำงานหนักได้หายไป

“นี่มันวิเศษมากเลยท่านโป๊ยข่วยผู้ยิ่งใหญ่น้ำทิพย์นี้สามารถช่วยรักษาอาการป่วยของมารดาผู้ให้กำเนิดข้าได้หรือไม่” เด็กหญิงวัยแปดหนาวถามด้วยสายตาเต็มไปด้วยความหวัง

“ได้แต่ต้องควบคู่กับการรักษาโรคทางใจ น้ำทิพย์ช่วยเยียว ยาได้ก็จริงแต่มารดาเจ้านางเป็นโรคใจดังนั้นเจ้าจึงเป็นตัวยาที่สำคัญ” กระจกใบน้อยตอบอย่างตรงไปตรงมา

ฉินเซียวเมื่อได้ยินคำตอบก็พยักหน้ารับอย่างเข้าใจ เรื่องพวกนี้เมื่อตอนที่เธอเริ่มเรียนเรื่องยากับครอบครัวของชาย ผู้นั้นก็มีกล่าวเอาไว้

“ข้าเข้าใจแล้ว” เด็กหญิงตอบ

ฉินเซียวผู้ซึ่งกำลังอยู่อย่างสงบแต่แล้วความสุขของเธอก็ได้ถูกทำลายลงด้วยน้ำมือของเด็กชายวัยสิบหนาว

“แค่ก...แค่ก พะ...พี่ชายท่านทำอะไร” ฉินเซียวรู้สึกโกรธที่เด็กคนนี้เอาน้ำมาสาดใส่เธอทำให้นางสำลักอย่างเอาเป็นเอาตาย

“ฮ่า ๆ หน้าของเจ้าช่างเหมือนปีศาจเสียจริง ข้าเป็นห่วงเจ้าเยี่ยงไรล่ะกลัวว่าเจ้าจะร้อนข้าก็เลยนำน้ำมาสาดเพื่อช่วยดับร้อนให้” ฉินตาอีหัวเราะอย่างบ้าคลั่งยามเห็นสภาพอันเปียกปอนของน้องสาวคนละสายเลือด

“เจ้าหิวหรือไม่เล่าข้าอุตส่าห์แอบเอาแป้งทอดมาให้เจ้าด้วยนะอยากกินไหม” เด็กชายผู้มีอายุมากกว่าสองหนาวกล่าวพร้อมกับกินสิ่งที่นำออกมาต่อหน้าเด็กหญิง

ฉินเซียวแม้จะไม่รู้สึกหิวแต่จำใจต้องแสดงงิ้วเพื่อหลอกเด็กคนนี้ เธอจึงได้กลืนน้ำลายลงคอเพื่อบ่งบอกถึงความอยากกิน

“ว้าแย่จัง ข้าเผลอกินจนหมดแล้ว เอาไว้มื้อเย็นก็แล้วกันนะข้าไปละ” ฉินตาอีกล่าวก่อนจะหัวเราะร่าเดินจากไป

ฉินเซียวได้แต่มองตามแผ่นหลังเล็กของเด็กชายไปด้วยความโมโหแล้วก็ก่นด่าตัวเองถึงเรื่องในอดีตที่เธอช่างโง่แสนโง่ช่วยเหลือผู้เป็นพี่ไว้ตั้งมากต่อไปอย่าได้หวังเธอคิด

ค่ำคืนของหน้าร้อนตกกลางคืนก็มีเสียงจั๊กจั่นร้องกันให้ระงมทำให้เด็กหญิงตัวน้อยไม่รู้สึกเงียบเหงาวังเวงจนเกินไปอีกทั้งยังมีคู่หูวิเศษที่ลอยไปมาเล่าเรื่องต่าง ๆ ให้ฟังอย่างเพลิดเพลิน

เช้าวันต่อมาภายในหมู่บ้านที่บัดนี้ผู้คนกำลังต่างจับเครื่อง มือการทำนาของตนเพื่อไปลงแปลงนาก็ได้เห็นนักพรตเครายาวสีเงินยวงเกล้าผมสีเดียวกันขึ้นอย่างเรียบร้อยเดินมาอย่างสุภาพ

“คารวะท่านนักพรต ไม่ทราบว่าท่านเป็นผู้ใดกำลังจะไปที่ไหนหรือขอรับ” ผู้ใหญ่บ้านของสถานที่ถามออกมาอย่างสุภาพใบหน้าเปื้อนยิ้ม

“ข้าเป็นผู้ผ่านทางมาและได้เห็นว่าหมู่บ้านแห่งนี้ถูกปกคลุมไปด้วยไอหมอกแห่งความโชคร้าย ข้าผู้ทรงศีลจึงได้แวะ เข้ามาดู” นักพรตเฒ่ากล่าวอย่างอ่อนโยนเต็มไปด้วยความเมตตา

“ที่ท่านกล่าวออกมาเป็นเรื่องจริงหรือขอรับ” ผู้ใหญ่บ้านรีบถามออกมาด้วยความตกใจ

“ข้าเป็นผู้ทรงศีลย่อมไม่มุสาอามิตาพุทธ” นั่งพรตเฒ่าเอามือจับประคำกล่าวออกมาด้วยท่าทางอันสงบ ยิ่งเป็นการตอกย้ำความเชื่อให้กับผู้ใหญ่บ้านรวมทั้งชาวบ้านที่มุงดูมากขึ้น ในฝูงชนก็ได้มีคนผู้หนึ่งได้ตะโกนออกมา

“ผู้ใหญ่บางทีสิ่งที่ท่านนักพรตกล่าวอาจจะเป็นเรื่องจริงก็ได้เพราะหมู่บ้านเราก็เพิ่งจะเกิดเรื่องกับบ้านของอาฉินยังไงล่ะ แล้วนางจางยังจับลูกสาวมัดกับเสาอีก” ชาวบ้านชายคนหนึ่งกล่าวออกมาเสียงดัง

“ท่านนักพรตพอจะแจ้งได้หรือไม่ว่าความโชคร้ายมาจากทางใด” ผู้ใหญ่บ้านรีบถามผู้ทรงศีลโดยยังไม่ปักใจเชื่อ

“อยู่เกือบติดชายป่าเป็นบ้านดินสามห้องนอนเลี้ยงหมูมีเด็กสามคนนั่นคือนิมิตที่ข้าเห็น” นักบวชผู้ทรงศีลหลับตาลงชั่วครู่เมื่อเปิดเปลือกตาของตนจึงได้กล่าวออกมา

“นั่นมันบ้านของฉินหย่งไม่ใช่หรือผู้ใหญ่ พวกเรารีบเชิญนักพรตไปที่นั่นกันเถอะ” ชายอายุมากรีบกล่าวออกมาอย่างหวาดกลัว

“ใช่ ๆ พวกเราเห็นด้วย” คราวนี้ก็เกิดเสียงสนับสนุนขึ้นอย่างมากมาย

“ข้าผู้นี้ยินดีจะไปดูให้พวกประสกนำทางเถอะ” นักพรตผู้ชรากล่าวใบหน้าเต็มไปด้วยความอบอุ่น

“เรื่องนี้ข้าต้องขอรบกวนท่านผู้ทรงศีลแล้วเชิญขอรับ” ผู้ใหญ่บ้านกล่าวก่อนที่จะเดินอยู่เบื้องหลังของนักพรตผู้นี้โดยมีชาวบ้านนับสิบเดินนำหน้า เมื่อถึงบ้านที่เป็นเป้าหมายของนักพรตผู้นี้สายตาของเขาก็กวาดมองไปยังรั้วไม้ที่ถูกนำมากั้นขึ้นอย่างลวก ๆ

เขาก็มองเห็นเด็กหญิงตัวเล็กผูกติดอยู่กับเสา ภายในใจก็คิดว่าคงจะเป็นเด็กคนนี้ที่ตนจะต้องเป็นคนมาช่วยอย่างแน่นอนช่างน่าสงสารเสียจริง ส่วนหนึ่งนั้นเป็นเพราะคงจะไม่มีแม่คนไหนจับลูกในอกมาผูกกับเสากลางบ้านเพื่อทรมานอย่างโหดร้ายเป็นแน่

คราแรกเขาก็ไม่อยากรับงานนี้แต่เมื่อได้ฟังสิ่งที่หนิงลี่เล่าเขาก็น้ำตาไหลด้วยความเห็นใจเด็กหญิงตัวน้อย และยิ่งมาเห็นกับตาความมุ่งมั่นที่จะช่วยยิ่งมีมากขึ้นไปอีก

“ประสกบ้านหลังนี้เป็นบ้านของใครหรือ สถานที่แห่งนี้เต็มไปด้วยเงาดำปกคลุมจนน่ากลัวทีเดียว” นักพรตชราเปล่งเสียงพูดอย่างชัดเจน

“แล้วควรจะทำอย่างไรหรือขอรับ” ผู้ใหญ่บ้านรีบถามออกมาด้วยความร้อนรน

“จำเป็นต้องขับไล่สิ่งอัปมงคลออกไปจากหมู่บ้านประสกรีบเรียกคนในบ้านออกมาเถอะ” นักพรตผู้ชรากล่าว

“ได้ขอรับ” ผู้ใหญ่บ้านรีบรับปากทันที ชาวบ้านที่มาด้วยกันไม่ต้องรอให้ผู้ใหญ่บ้านบอกซ้ำเขารีบร้องตะโกนเรียกคนในบ้านครอบครัวฉินเสียงดัง

“ฉินหย่ง นางจางเปิดประตู”

คนภายในบ้านฉินที่กำลังกินข้าวเช้ากันอยู่ ยกเว้นก็แต่ฉินเซียวที่ได้ยินเสียงของคนด้านนอก เธอจึงคิดว่าคงจะมีนักพรตมาแล้วเป็นแน่

“ใครมาส่งเสียงตาอีลูกออกไปดูที” นางจางใช้บุตรชายคนโต

ฉินตาอีจำใจต้องลุกออกจากเก้าอี้ของตนเพื่อทำตามคำสั่งและในระหว่างที่เขาเดินมาด้านนอกก็เห็นผู้คนมากมายนอกรั้วเด็กชายจึงได้กลับเข้าไปในบ้านอีกครั้ง

“แม่ผู้ใหญ่บ้านพาคนมาเต็มหน้าบ้านเลย” ตาอีกล่าวออก มาด้วยน้ำเสียงตื่นตระหนก

“เกิดอะไรขึ้นพวกเราลุกไปดูกันให้หมดนี่แหละหรือเป็นเพราะเด็กนั่น” ฉินหย่งตัดสินใจ

ดังนั้นคนในครอบครัวจึงพากันลุกเดินออกมานอกบ้านและเมื่อเปิดประตูพวกเขาก็มองเห็นนักพรตแปลกหน้าอยู่ในกลุ่ม

“มีเรื่องอะไรหรือผู้ใหญ่บ้านท่านพาคนมาทำไมเยอะแยะ” ฉินหย่งถามเข้าประเด็น

“นักพรตท่านนี้ได้บอกว่าที่บ้านเจ้ามีหมอกชั่วร้ายปกคลุมมันจะนำพาเรื่องเลวร้ายมาสู่บ้านของเจ้ารวมทั้งภายในหมู่บ้าน ข้าก็เลยต้องเรียกพวกเจ้าออกมา” ชายสูงวัยผู้นำหมู่บ้านกล่าวอย่างไม่อ้อมค้อม

“มันจะเป็นไปได้ยังไงแล้วต้นเหตุแห่งความชั่วร้ายคืออะไรท่านรู้หรือไม่” นางจางถามอย่างไม่เชื่อถือเท่าใดนัก

“คือเด็กคนนั้น” นักพรตผู้ชราชี้นิ้วไปยังฉินเซียวผู้ถูกมัดอยู่กับเสาอย่างไม่ลังเล
Continue to read this book for free
Scan code to download App

Latest chapter

  • ฉินเซียวเมื่อฉันเป็นสาวน้อยชาเขียวในนิยาย   บทที่ 360

    “พี่สี่ท้องนี้ท่านพอเถอะเจ้าค่ะ ท่านมีลูกมากที่สุดในบรรดาพวกเราแล้วข้าเป็นห่วง” ฉินเซียวผู้กำลังตั้งท้องบุตรคนที่สามกล่าวกับพี่สาวที่ตั้งครรภ์บุตรคนที่สี่อย่างเป็นห่วง“ข้าเองก็คิดเช่นเดียวกับเจ้า” เอ้อเหมยยกยิ้มกล่าวคล้อยตามผู้เป็นน้องทำให้ช่างหลิวพยักหน้ายืนยันคำพูดของภรรยาออกมาด้วย ทำให้ฉินเซียวว

  • ฉินเซียวเมื่อฉันเป็นสาวน้อยชาเขียวในนิยาย   บทที่ 359

    นับตั้งแต่วันนั้นหลังจากสนทนาในห้องตำราของว่าที่พ่อตา ระยะเวลาก็ผ่านมาจวบจนกระทั่งหนึ่งเดือนเต็ม ชายหนุ่มอดทนต่อการกระทำอันเย็นชาของหญิงสาวมาตลอด แม้จะมีบุตรชายเป็นกองหนุนแต่หญิงสาวก็ยังคงสาดน้ำเย็นจัดใส่เขาราวกับฤดูเหมันต์อยู่ทุกเมื่อเชื่อวัน“แม่นางกู่ เจ้ายังไม่หายโกรธข้าอีกอย่างนั้นหรือ ข้ารู้ว่

  • ฉินเซียวเมื่อฉันเป็นสาวน้อยชาเขียวในนิยาย   บทที่ 358

    ดวงตาของหญิงสาวเมื่อเห็นว่าผู้ใดเป็นคนขี่ม้าพาบุตรชายของตนเข้ามาใกล้ ก็ทำให้สีหน้าของนางเปลี่ยนเป็นซีดขาวสลับแดงหัวใจเต้นแรงราวจะทะลุออกจากอก หลังจากที่คิดว่าตนน่าจะไม่มีความรู้สึกต่อเขาจึงได้ออกมายืนรออยู่ตรงนี้หลังจากชายหนุ่มวาดเท้าลงจากหลังม้า ชายชราเจ้าของเรือนผู้มีตำแหน่งต่ำกว่าเตรียมประสานมือ

  • ฉินเซียวเมื่อฉันเป็นสาวน้อยชาเขียวในนิยาย   บทที่ 357

    “ไม่ขอรับ ข้าอยากขี่ม้ามากแต่ท่านแม่บอกว่าข้ายังเด็กเกินไป” เสี่ยวมู่ส่ายหน้าปฏิเสธพร้อมพูดออกมา“ถ้าอย่างนั้นข้าจะอุ้มเจ้าขึ้นไปบนหลังม้าให้เจ้านั่งด้านหน้า ข้าจะเป็นคนบังคับม้าให้เอง” ฉินอู๋พูดขึ้นซึ่งในขณะเดียวกันก็อุ้มเด็กตัวกลมขึ้นหลังม้าทำให้เด็กชายกรีดร้องด้วยความตื่นเต้น“สูงมากเลยขอรับ ข้าอ

  • ฉินเซียวเมื่อฉันเป็นสาวน้อยชาเขียวในนิยาย   บทที่ 356

    “เฮ้อ! พวกท่านช่างไม่เข้าใจจิตใจของหญิงสาว หากเป็นข้า ข้าก็จะทำแบบเดียวกับพี่สะใภ้รองเช่นกัน ดังนั้นเรื่องนี้ข้าเข้าข้างนาง” ฉินเซียวมองหน้าสามีกล่าวขึ้นอย่างเห็นใจหญิงสาวผู้ที่ตนตัดสินใจแล้วว่าหญิงผู้นั้นเป็นคนดีโจวเหวินหยุนผู้ไม่กลัวฟ้าไม่เกรงดินคล้ายเข้าใจแต่ไม่เข้าใจคำพูดของภรรยาแต่เขาไม่คิดถาม

  • ฉินเซียวเมื่อฉันเป็นสาวน้อยชาเขียวในนิยาย   บทที่ 355

    “ท่านพี่ ท่านบอกข้ามาตามตรงพี่รองของข้ามีเรื่องอะไรที่เขาต้องปรึกษากับท่านเป็นการส่วนตัว” ฉินเซียวเอ่ยถามชายหนุ่มผู้ที่กำลังวางคางเกยยังหัวไหล่ขาวเนียนของตน“น้องหญิงเหตุใดเจ้าถึงไม่ถามกับเขาโดยตรง” เหวินหยุนเริ่มมือไม้อยู่ไม่สุข ทำให้หญิงสาวผู้ที่ต้องการสนทนาได้แต่เอามือน้อยปัดป้องในสิ่งที่เขากำลัง

More Chapters
Explore and read good novels for free
Free access to a vast number of good novels on GoodNovel app. Download the books you like and read anywhere & anytime.
Read books for free on the app
SCAN CODE TO READ ON APP
DMCA.com Protection Status