“ท่านแม่เจ้าคะ ในเมื่อท่านแม่บอกข้าว่าคนพวกนี้จะมีอาหารให้กินมีที่นอนอุ่นแล้วใยท่านจึงไม่ส่งน้องสาวไปเล่าเจ้าคะ” ฉินเซียวกล่าวออกมาอย่างไร้เดียงสา
“เจ้าหุบปากเรื่องของผู้ใหญ่ใครให้เด็กอย่างเจ้ามาวุ่นวายจะไปตายที่ไหนก็ไปนางตัวซวย” นางจางตวาดใส่เด็กหญิงพลางสีหน้าแสดงความกังวลเนื่องจากกลัวคนพวกนี้ เปลี่ยนใจ
ด้านในบ้านฉินตอนนี้ฉินจวนนั่งกอดตัวเองแน่นโดยมีพี่ชายที่อายุสิบขวบมองนางอยู่ด้วยความสมเพช ฉินตาอีไม่ได้มีความรู้สึกรักน้องสาวคนนี้เลยเพราะนางเป็นเด็กเอาแต่ใจ
บ้านอื่นมีแต่จะเชิดชูลูกชายมีเพียงเขาที่แม้จะไม่โดนตีหรือถูกต่อว่าแต่ถ้าเมื่อไหร่มีเรื่องเกี่ยวกับนางเด็กคนนี้เขามักจะโดนผู้เป็นแม่ดุด่าอยู่เสมอ
และสิ่งที่เขามักจะกระทำก็คือการไปกลั่นแกล้งน้องสาวต่างสายเลือดผู้อ่อนแอไม่กล้าสู้คนผู้นั้น
“เจ้าจะหวาดกลัวอะไร แม่ไม่มีทางขายเจ้าหรอกเจ้าน่าจะรู้ดี” เด็กชายผู้พี่เปิดปากของตน
“ก็ข้ากลัวพี่จะมายุ่งทำไม” คนเป็นน้องเถียง
นางจางเมื่อได้ยินเสียงของสองพี่น้องในขณะที่กำลังมาหยิบเงินที่ตัวเองแอบซ่อนเอาไว้ก็เกิดบันดาลโทสะ
“พวกเจ้าเป็นอะไรกัน บ้านร้อนเป็นไฟถึงเพียงนี้ยังจะมาทะเลาะกันอีก ช่วยสงบปากคำของพวกเจ้าบ้างเถอะ” นางตวาดใส่ลูกในอกเสียงดัง
เมื่อเห็นว่าลูกทั้งสองเงียบเสียงลงแล้ว นางก็รีบนำเงินที่เก็บออมไว้นำไปให้หัวหน้าคนคุมบ่อนด้านนอก ฉินเซียวไม่ได้อยู่รอดูความหายนะของผู้อื่นเนื่องด้วยตั้งแต่นางถูกแม่ใจมารไล่เธอก็ได้ร้องไห้หนีออกมาอยู่ภายในห้องเก็บฟืนที่เป็นสถานที่หลับนอนของตนด้วยความอ่อนเพลียอันเกินกว่าร่างกายเล็ก ๆ ของตนจะรับได้
ทำให้เด็กหญิงผล็อยหลับไปด้วยความเหนื่อย โป๊ยข่วยที่ มองเห็นสภาพของเด็กผู้นี้ก็เกิดความสงสาร เจ้ากระจกใบน้อยจึงได้นำผ้าห่มผืนบางออกมาคลุมร่างเล็กจ้อยด้วยความเป็นห่วง
ก่อนที่เจ้าตัวจะปิดกั้นเสียงดังโดยรอบทั้งหมด อีกทั้งยังป้องกันประตูหน้าต่างของห้องเก็บฟืนชนิดที่ว่าแมลงตัวไหนก็อย่าหวังจะเล็ดรอดเข้ามารบกวนการนอนของทาสในความคุ้มครองของตนได้อย่างเด็ดขาด
ภายนอกหลังจากที่นางจางส่งมอบเงินให้กับชายฉกรรจ์พวกนั้นไปแล้วพวกมันก็จากไป แต่ก็ยังไม่วายทิ้งข้อความข่มขู่ฉินหย่งเอาไว้
“อย่าให้ข้าเห็นหน้าเจ้าที่บ่อนอีกไม่อย่างนั้นเจ้าตายแน่”
“ขอรับข้าไม่กล้าแล้ว” ฉินหย่งรับคำอย่างนอบน้อมแต่ในใจนะหรือข้าไปบ่อนอื่นก็ได้โว้ย
“หม่านซิงไปเอาเงินที่เหลือมาให้ข้าหาไม่อย่าหาว่าข้าใจร้าย” ฉินหย่งหันมาตวาดใส่คนเป็นเมีย
“ข้าไม่มีแล้วท่านพี่ เงินที่ข้าให้พวกนั้นไปเป็นเงินทั้งหมดที่ข้ามี” จางหม่านซิงกล่าวออกมาน้ำตาริน
“ข้าไม่เชื่อสมบัติพ่อแม่ข้าก่อนตายทิ้งไว้ให้ข้าตั้งเยอะ หากเจ้าไม่ให้ข้า ข้าจะเอาที่ดินไปขาย” ชายวัยกลางคนกล่าวฮึดฮัดออกมา
“ท่านจำไม่ได้หรือปีก่อนท่านเพิ่งจะขายไปห้าสิบหมู่แล้วตอนนี้เราก็เหลือแค่ที่นาห้าสิบหมู่ หากท่านขายไปอีกพวกเราคงจะได้อดตาย” นางจางโต้เถียง
เพี๊ยะ! “เจ้ากล้าดียังไงมาเถียงข้าคนเป็นภรรยาเป็นสมบัติของสามีเจ้ามีสิทธิ์อะไรกล้ามาตีฝีปากกับข้าห๊ะ” ฉินหย่งกล่าวออกมาอย่างเดือดดาล จางหม่านซิงเอามือกุมแก้มที่โดนตบน้ำตาไหลได้แต่กัดฟันข่มความเจ็บปวดเอาไว้ด้วยความแค้นใจ
ฉินหย่งที่รู้ตัวว่าลงมือหนักไปหน่อยแต่ด้วยทิฐิเขาจึงได้แต่สะบัดชายเสื้อเดินจากไปทิ้งให้นางจางมองตามด้วยความ แค้นเคือง
จนกระทั่งบุตรสาวอันเป็นที่รักของนางได้ก้าวเท้าเดินมาหาผู้เป็นแม่ก็เห็นน้ำตาของนางจางไหลอาบสองแก้มที่ใบหน้าอีกซีกเริ่มบวมแดง
“ท่านแม่เจ้าคะท่านเป็นอย่างไรบ้าง” เด็กหญิงวัยเจ็ดขวบถามมารดาอย่างขลาดกลัวเมื่อเห็นใบหน้าบวมแดงทำให้นางไม่กล้าเข้าไปใกล้ผู้เป็นแม่อีก
“แม่ไม่เป็นไรเจ้าไปนอนเถอะ” นางจางกล่าวกับลูกน้อยน้ำเสียงไม่ชัดเจนนักเนื่องจากความเจ็บปวดที่ได้รับ
“เจ้าค่ะ” ฉินจวนรีบรับคำก่อนจะสาวเท้าเดินจากไปอย่างรวดเร็ว
‘สักวันเถอะฉินหย่งสักวันข้าจะคืนรอยฝ่ามือนี้ให้เจ้า’ นางกัดฟันกล่าวอย่างไร้เสียง
เช้าวันต่อมาแสงสว่างของพระอาทิตย์เริ่มจะสาดส่องไป รอบด้าน ภายในห้องเก็บฟืนอันเล็กแคบเด็กตัวน้อยเริ่มรู้สึกตัว นางเหยียดแขนเพื่อคลายความเมื่อยขบให้แก่ตนเองแล้วผ้าห่มผืนใหม่ก็ร่นลง
“ผ้าห่มของใครกัน” ฉินเซียวเปรยออกมาด้วยความสงสัย
“ของข้านะสิเจ้าเด็กอัปลักษณ์คราวนี้เจ้าช่างดูน่าเกลียดไปแล้วจริง ๆ” กระจกวิเศษพูดพร้อมกับเก็บผ้าห่มเข้ามิติของตน ฉินเซียวที่ได้ยินถ้อยคำของกระจกน้อยจนชาชินก็ไม่ได้รู้สึกโกรธเพราะความอัปลักษณ์นี่แหละทำให้เธอยังอยู่รอดปลอดภัย
“ข้าขอบใจเจ้ามากนะโป๊ยข่วยที่ให้ข้ารอดจากเหตุการณ์เลว ร้ายมาได้ หากไม่มีเจ้าข้าคงตายทั้งเป็นไปแล้ว” เด็กหญิงยิ้มหวานส่งให้กระจกที่ตอนนี้เริ่มทำตัวไม่ถูก
“จะ...เจ้าช่างแปลกคนข้าว่าเจ้านะเจ้าต้องโกรธสิ ชิข้าไม่คุยกับเจ้าแล้วรีบออกไปเถอะก่อนที่นางผู้นั้นจะมาอาละวาด” กระจกน้อยผู้ทำอะไรไม่ถูกหายวับไปแต่ก็ยังไม่วายอดพูดเตือนเด็กหญิงออกมา
ฉินเซียวเมื่อได้ยินคำเตือนนางก็มองดูที่มือและตามแขนก็ยังเห็นว่าแผลผุพองยังอยู่จึงได้ลองเอามือลูบตามใบหน้าและลำคอนางก็ถอนหายใจออกมาอย่างโล่งใจ ในขณะที่นางกำลังเอามือน้อยของตนกำลังผลักประตูห้องเก็บฟืนออกนางจางได้กลายเป็นผู้เปิดประตูออกพอดีเช่นกัน
“นังตัวซวยแกออกมานี่เลย” หม่านซิงกระชากแขนอันผอมบางของเด็กหญิงลากมาทางหน้าบ้าน ก่อนที่นางจะนำเศษผ้ามาผูกแขนของเด็กตัวเล็กผู้น่าสงสาร
“จนถึงเช้าพรุ่งนี้ข้าจะผูกแกเอาไว้โทษฐานที่แกทำให้เงินของข้าต้องสูญเสียนางเด็กเลว” นางจางกล่าวผรุสวาทอย่างรุนแรงตามที่นางนึกออก
“ท่านแม่ข้าเจ็บ ได้โปรดปล่อยข้าได้โปรดฮือ ๆ” เด็กวัยแปดหนาววิงวอนน้ำตาคลออย่างน่าสงสารแต่ก็หาได้นำพาซึ่งความเห็นใจมาให้นางจางไม่
ชาวบ้านที่ได้ยินเสียงร้องไห้ก็พากันมามุงดูแต่ก็ไม่มีใครกล้ายื่นมือมาช่วยเหลือ เนื่องจากเป็นเรื่องภายในครอบครัวของใครของมันแม้กระทั่งผู้ใหญ่บ้านแห่งนี้ก็ทำเป็นปิดหูปิดตาตนเช่นกัน
“แกไม่ต้องร้องคร่ำครวญนางเด็กผีหากใบหน้าแกไม่เป็นเช่นนี้ข้าก็ไม่ต้องสูญเงินไปถึงหนึ่งตำลึงเงิน แกช่างเป็นตัวซวยโดยแท้” นางจางเมื่อได้ยินคำอ้อนวอนเธอก็ยิ่งรู้สึกเดือดดาลมากขึ้น
ท่ามกลางอากาศร้อนจัดของฤดูต้าสู่ ฉินเซียวผู้ถูกลงทัณฑ์ให้ยืนตากแดดโดยการถูกมัดติดกับเสาไม้กลางลานบ้านก็เกือบจะเป็นลมอยู่หลายครั้ง
‘ท่านเทพชะตาเจ้าคะ ใยการเกิดใหม่ครั้งนี้ของข้าช่างโหดร้ายกว่าเดิมนัก ท่านจะให้ข้าตายอีกหนหรืออย่างไร’ วิญญาณหญิงสาวคร่ำครวญหากเธอรู้ก่อนก็คงจะหนีไปแล้ว แต่ลืมตาปุ๊บถูกจับปั๊บจะหนีก็ไม่ทันการด้วยกำลังตัวเองนั้นหาสู้แรงผู้ใหญ่ได้ง่ายไม่
“เจ้าไม่ตายหรอก ครั้งนี้เป็นชะตาของเจ้าที่ต้องได้รับแทนการถูกขายเมื่อคืนนี้ หากเจ้าร้อนก็หลับตาเสียข้าจะนำจิตวิญญาณของเจ้าเข้ามาภายในมิติ” กระจกวิเศษอดสงสารเด็กหญิงไม่ได้พูด
ฉินเซียวจึงได้หลับตาลง ภาพภายนอกที่บุคคลอื่นเห็นคงจะคิดว่าเด็กน้อยคงอ่อนล้าจนหลับไปเพียงเท่านั้น ภายในมิติของโป๊ยข่วยฉินเซียวกำลังรู้สึกสำราญกับอาหารที่อยู่ตรงหน้า เธอกินด้วยความหิวเนื่องจากเมื่อวานก็มีเพียงปลาย่างครึ่งตัวที่ตกถึงท้อง ตื่นมาน้ำยังไม่ทันได้ดื่มก็ถูกนางจางจับมาผูกติดกับเสา ช่างเป็นการทรมานร่างกายอันแสนสาหัสเกินทานทน
“เจ้าค่อย ๆ กินก็ได้อาหารมันไม่หนีไปไหนหรอก ส่วนนี่เป็นน้ำทิพย์ข้าเจือจางให้แล้วเจ้าจะได้มีร่างกายแข็งแรงทนถึกไม่เจ็บป่วยง่าย” กระจกน้อยกล่าวพลางผลักจอกน้ำไปทางเด็กหญิง
ฉินเซียวรีบยกน้ำในจอกขึ้นดื่มอย่างไม่ลังเล เมื่อได้น้ำทิพย์เข้าสู่ร่างกายเธอก็มีความรู้สึกเบาสบายมากขึ้นความเมื่อยล้าจากการทำงานหนักได้หายไป
“นี่มันวิเศษมากเลยท่านโป๊ยข่วยผู้ยิ่งใหญ่น้ำทิพย์นี้สามารถช่วยรักษาอาการป่วยของมารดาผู้ให้กำเนิดข้าได้หรือไม่” เด็กหญิงวัยแปดหนาวถามด้วยสายตาเต็มไปด้วยความหวัง
“ได้แต่ต้องควบคู่กับการรักษาโรคทางใจ น้ำทิพย์ช่วยเยียว ยาได้ก็จริงแต่มารดาเจ้านางเป็นโรคใจดังนั้นเจ้าจึงเป็นตัวยาที่สำคัญ” กระจกใบน้อยตอบอย่างตรงไปตรงมา
ฉินเซียวเมื่อได้ยินคำตอบก็พยักหน้ารับอย่างเข้าใจ เรื่องพวกนี้เมื่อตอนที่เธอเริ่มเรียนเรื่องยากับครอบครัวของชาย ผู้นั้นก็มีกล่าวเอาไว้
“ข้าเข้าใจแล้ว” เด็กหญิงตอบ
ฉินเซียวผู้ซึ่งกำลังอยู่อย่างสงบแต่แล้วความสุขของเธอก็ได้ถูกทำลายลงด้วยน้ำมือของเด็กชายวัยสิบหนาว
“แค่ก...แค่ก พะ...พี่ชายท่านทำอะไร” ฉินเซียวรู้สึกโกรธที่เด็กคนนี้เอาน้ำมาสาดใส่เธอทำให้นางสำลักอย่างเอาเป็นเอาตาย
“ฮ่า ๆ หน้าของเจ้าช่างเหมือนปีศาจเสียจริง ข้าเป็นห่วงเจ้าเยี่ยงไรล่ะกลัวว่าเจ้าจะร้อนข้าก็เลยนำน้ำมาสาดเพื่อช่วยดับร้อนให้” ฉินตาอีหัวเราะอย่างบ้าคลั่งยามเห็นสภาพอันเปียกปอนของน้องสาวคนละสายเลือด
“เจ้าหิวหรือไม่เล่าข้าอุตส่าห์แอบเอาแป้งทอดมาให้เจ้าด้วยนะอยากกินไหม” เด็กชายผู้มีอายุมากกว่าสองหนาวกล่าวพร้อมกับกินสิ่งที่นำออกมาต่อหน้าเด็กหญิง
ฉินเซียวแม้จะไม่รู้สึกหิวแต่จำใจต้องแสดงงิ้วเพื่อหลอกเด็กคนนี้ เธอจึงได้กลืนน้ำลายลงคอเพื่อบ่งบอกถึงความอยากกิน
“ว้าแย่จัง ข้าเผลอกินจนหมดแล้ว เอาไว้มื้อเย็นก็แล้วกันนะข้าไปละ” ฉินตาอีกล่าวก่อนจะหัวเราะร่าเดินจากไป
ฉินเซียวได้แต่มองตามแผ่นหลังเล็กของเด็กชายไปด้วยความโมโหแล้วก็ก่นด่าตัวเองถึงเรื่องในอดีตที่เธอช่างโง่แสนโง่ช่วยเหลือผู้เป็นพี่ไว้ตั้งมากต่อไปอย่าได้หวังเธอคิด
ค่ำคืนของหน้าร้อนตกกลางคืนก็มีเสียงจั๊กจั่นร้องกันให้ระงมทำให้เด็กหญิงตัวน้อยไม่รู้สึกเงียบเหงาวังเวงจนเกินไปอีกทั้งยังมีคู่หูวิเศษที่ลอยไปมาเล่าเรื่องต่าง ๆ ให้ฟังอย่างเพลิดเพลิน
เช้าวันต่อมาภายในหมู่บ้านที่บัดนี้ผู้คนกำลังต่างจับเครื่อง มือการทำนาของตนเพื่อไปลงแปลงนาก็ได้เห็นนักพรตเครายาวสีเงินยวงเกล้าผมสีเดียวกันขึ้นอย่างเรียบร้อยเดินมาอย่างสุภาพ
“คารวะท่านนักพรต ไม่ทราบว่าท่านเป็นผู้ใดกำลังจะไปที่ไหนหรือขอรับ” ผู้ใหญ่บ้านของสถานที่ถามออกมาอย่างสุภาพใบหน้าเปื้อนยิ้ม
“ข้าเป็นผู้ผ่านทางมาและได้เห็นว่าหมู่บ้านแห่งนี้ถูกปกคลุมไปด้วยไอหมอกแห่งความโชคร้าย ข้าผู้ทรงศีลจึงได้แวะ เข้ามาดู” นักพรตเฒ่ากล่าวอย่างอ่อนโยนเต็มไปด้วยความเมตตา
“ที่ท่านกล่าวออกมาเป็นเรื่องจริงหรือขอรับ” ผู้ใหญ่บ้านรีบถามออกมาด้วยความตกใจ
“ข้าเป็นผู้ทรงศีลย่อมไม่มุสาอามิตาพุทธ” นั่งพรตเฒ่าเอามือจับประคำกล่าวออกมาด้วยท่าทางอันสงบ ยิ่งเป็นการตอกย้ำความเชื่อให้กับผู้ใหญ่บ้านรวมทั้งชาวบ้านที่มุงดูมากขึ้น ในฝูงชนก็ได้มีคนผู้หนึ่งได้ตะโกนออกมา
“ผู้ใหญ่บางทีสิ่งที่ท่านนักพรตกล่าวอาจจะเป็นเรื่องจริงก็ได้เพราะหมู่บ้านเราก็เพิ่งจะเกิดเรื่องกับบ้านของอาฉินยังไงล่ะ แล้วนางจางยังจับลูกสาวมัดกับเสาอีก” ชาวบ้านชายคนหนึ่งกล่าวออกมาเสียงดัง
“ท่านนักพรตพอจะแจ้งได้หรือไม่ว่าความโชคร้ายมาจากทางใด” ผู้ใหญ่บ้านรีบถามผู้ทรงศีลโดยยังไม่ปักใจเชื่อ
“อยู่เกือบติดชายป่าเป็นบ้านดินสามห้องนอนเลี้ยงหมูมีเด็กสามคนนั่นคือนิมิตที่ข้าเห็น” นักบวชผู้ทรงศีลหลับตาลงชั่วครู่เมื่อเปิดเปลือกตาของตนจึงได้กล่าวออกมา
“นั่นมันบ้านของฉินหย่งไม่ใช่หรือผู้ใหญ่ พวกเรารีบเชิญนักพรตไปที่นั่นกันเถอะ” ชายอายุมากรีบกล่าวออกมาอย่างหวาดกลัว
“ใช่ ๆ พวกเราเห็นด้วย” คราวนี้ก็เกิดเสียงสนับสนุนขึ้นอย่างมากมาย
“ข้าผู้นี้ยินดีจะไปดูให้พวกประสกนำทางเถอะ” นักพรตผู้ชรากล่าวใบหน้าเต็มไปด้วยความอบอุ่น
“เรื่องนี้ข้าต้องขอรบกวนท่านผู้ทรงศีลแล้วเชิญขอรับ” ผู้ใหญ่บ้านกล่าวก่อนที่จะเดินอยู่เบื้องหลังของนักพรตผู้นี้โดยมีชาวบ้านนับสิบเดินนำหน้า เมื่อถึงบ้านที่เป็นเป้าหมายของนักพรตผู้นี้สายตาของเขาก็กวาดมองไปยังรั้วไม้ที่ถูกนำมากั้นขึ้นอย่างลวก ๆ
เขาก็มองเห็นเด็กหญิงตัวเล็กผูกติดอยู่กับเสา ภายในใจก็คิดว่าคงจะเป็นเด็กคนนี้ที่ตนจะต้องเป็นคนมาช่วยอย่างแน่นอนช่างน่าสงสารเสียจริง ส่วนหนึ่งนั้นเป็นเพราะคงจะไม่มีแม่คนไหนจับลูกในอกมาผูกกับเสากลางบ้านเพื่อทรมานอย่างโหดร้ายเป็นแน่
คราแรกเขาก็ไม่อยากรับงานนี้แต่เมื่อได้ฟังสิ่งที่หนิงลี่เล่าเขาก็น้ำตาไหลด้วยความเห็นใจเด็กหญิงตัวน้อย และยิ่งมาเห็นกับตาความมุ่งมั่นที่จะช่วยยิ่งมีมากขึ้นไปอีก
“ประสกบ้านหลังนี้เป็นบ้านของใครหรือ สถานที่แห่งนี้เต็มไปด้วยเงาดำปกคลุมจนน่ากลัวทีเดียว” นักพรตชราเปล่งเสียงพูดอย่างชัดเจน
“แล้วควรจะทำอย่างไรหรือขอรับ” ผู้ใหญ่บ้านรีบถามออกมาด้วยความร้อนรน
“จำเป็นต้องขับไล่สิ่งอัปมงคลออกไปจากหมู่บ้านประสกรีบเรียกคนในบ้านออกมาเถอะ” นักพรตผู้ชรากล่าว
“ได้ขอรับ” ผู้ใหญ่บ้านรีบรับปากทันที ชาวบ้านที่มาด้วยกันไม่ต้องรอให้ผู้ใหญ่บ้านบอกซ้ำเขารีบร้องตะโกนเรียกคนในบ้านครอบครัวฉินเสียงดัง
“ฉินหย่ง นางจางเปิดประตู”
คนภายในบ้านฉินที่กำลังกินข้าวเช้ากันอยู่ ยกเว้นก็แต่ฉินเซียวที่ได้ยินเสียงของคนด้านนอก เธอจึงคิดว่าคงจะมีนักพรตมาแล้วเป็นแน่
“ใครมาส่งเสียงตาอีลูกออกไปดูที” นางจางใช้บุตรชายคนโต
ฉินตาอีจำใจต้องลุกออกจากเก้าอี้ของตนเพื่อทำตามคำสั่งและในระหว่างที่เขาเดินมาด้านนอกก็เห็นผู้คนมากมายนอกรั้วเด็กชายจึงได้กลับเข้าไปในบ้านอีกครั้ง
“แม่ผู้ใหญ่บ้านพาคนมาเต็มหน้าบ้านเลย” ตาอีกล่าวออก มาด้วยน้ำเสียงตื่นตระหนก
“เกิดอะไรขึ้นพวกเราลุกไปดูกันให้หมดนี่แหละหรือเป็นเพราะเด็กนั่น” ฉินหย่งตัดสินใจ
ดังนั้นคนในครอบครัวจึงพากันลุกเดินออกมานอกบ้านและเมื่อเปิดประตูพวกเขาก็มองเห็นนักพรตแปลกหน้าอยู่ในกลุ่ม
“มีเรื่องอะไรหรือผู้ใหญ่บ้านท่านพาคนมาทำไมเยอะแยะ” ฉินหย่งถามเข้าประเด็น
“นักพรตท่านนี้ได้บอกว่าที่บ้านเจ้ามีหมอกชั่วร้ายปกคลุมมันจะนำพาเรื่องเลวร้ายมาสู่บ้านของเจ้ารวมทั้งภายในหมู่บ้าน ข้าก็เลยต้องเรียกพวกเจ้าออกมา” ชายสูงวัยผู้นำหมู่บ้านกล่าวอย่างไม่อ้อมค้อม
“มันจะเป็นไปได้ยังไงแล้วต้นเหตุแห่งความชั่วร้ายคืออะไรท่านรู้หรือไม่” นางจางถามอย่างไม่เชื่อถือเท่าใดนัก
“คือเด็กคนนั้น” นักพรตผู้ชราชี้นิ้วไปยังฉินเซียวผู้ถูกมัดอยู่กับเสาอย่างไม่ลังเล