แชร์

บทที่ 8

last update ปรับปรุงล่าสุด: 2025-09-24 19:20:55

“ท่านหมายความว่านางตัวซ...ลูกรองของข้าเป็นผู้นำความเคราะห์ร้ายมาสู่ครอบครัวอย่างนั้นเหรอ แล้วอาจจะหมายรวมถึงหมู่บ้านแห่งนี้ด้วยใช่หรือไม่” นางจางถามนักพรตออกมาสีหน้าเต็มไปด้วยความกังวล

“ใช่แล้วประสก” นักพรตผู้ชราหลับตาลงเอามือจับลูกประคำก่อนพยักหน้ารับ

ทำให้คนบ้านฉินที่ได้ยินต่างพากันมีใบหน้าถอดสีพร้อมคิดเหมือนกัน ถึงว่าช่วงนี้มีแต่เรื่องมันต้องเป็นเพราะนางตัวซวยนี้เป็นแน่ พวกเขาสี่คนพ่อแม่ลูกจึงมองไปยังเด็กหญิงผู้ที่ถูกมัดติดอยู่กับเสาเป็นทางเดียว

“แล้วมีวิธีแก้หรือไม่เจ้าคะ” นางจางละจากใบหน้าลูกนอกไส้หันมาถามนักพรตผู้ชราอีกครั้ง

“มี ประสกจะต้องให้เด็กคนนั้นออกจากบ้านอย่างต่ำ ๆ เป็นเวลาเจ็ดปีและห้ามเกี่ยวข้องกันอย่างเด็ดขาด” นักพรตเฒ่ายังคงแสดงบทบาทของตนตามที่ได้รับ

“หมายความให้พวกเราตัดขาดจากนางอย่างนั้นหรือขอรับ” ฉินหย่งถามออกมาเสียงดัง

“ประสกเข้าใจถูกต้องแล้ว หากว่าประสกยังคิดจะยุ่งเกี่ยว กับนางไม่ว่าจะทางตรงหรืออ้อมความโชคร้ายก็จะมาเยือนครอบครัวของประสกอย่างไม่จบสิ้น” ผู้สวมบทบาทนักพรตกล่าวดักทาง เขาผู้ซึ่งผ่านร้อนหนาวมาย่อมเข้าใจในสายตาความโลภของคนบ้านนี้โดยเฉพาะนางจางที่น่าจะกำลังมีแผนร้ายอยู่ในใจ

“เอาไว้ข้าขอลองคิดดูก่อนยังไงนางก็ยังเป็นบุตรสาวของข้า” นางจางแสร้งยกผ้าเช็ดหน้าขึ้นมาซับน้ำตา

เมื่อผู้ใหญ่บ้านรวมถึงชาวบ้านที่เห็นการกระทำอันเสแสร้งของนางจางพวกเขาก็ไม่เอ่ยปากพูดอะไรจึงได้พากันเดินตามหลังนักพรตเฒ่าที่เอาแต่ท่องอามิตาพุทธออกมา

หลังจากคนผู้มาเยือนทั้งหมดจากไปแล้วนางจางจึงคิดจะขายฉินเซียวให้เป็นเจ้าสาวเด็ก ในความคิดของนางนั้นหากจะให้ตัดขาดกับเด็กโง่นั่นโดยไม่ได้เงินย่อมไม่มีทางเป็นไปได้สู้ขายแล้วเอาเงินมาใช้จะดีกว่า

“ข้าจะไปบ้านต้าหวาง” นางจางบอกกับสมาชิกทั้งสามที่ยังยืนอยู่หน้าบ้าน

“เจ้าคิดจะทำอะไรไม่ได้ยินคำทำนายหรือว่า หากว่ายังยุ่งกับนางความซวยจะมาเยือนอีก” ฉินหย่งกล่าวทัดทานแม้เขาจะรักเงินแต่เรื่องแบบนี้เขาค่อนข้างเชื่อเป็นพิเศษ

“เชอะข้าไม่กลัวหรอกใครจะรู้ว่าจริงหรือไม่ หากขายได้เงินย่อมดีกว่าอยู่แล้วหรือท่านไม่อยากได้” จางหม่านซิงพูดเยาะ

“ก็ได้เจ้าอยากทำอะไรก็ตามใจแต่หากความซวยมาเยือนข้าจะโทษเจ้า” ฉินหย่งกล่าวอย่างคนเห็นแก่ตัว เงินเขาก็อยากได้ดังนั้นหากเกิดความผิดพลาดอย่ามาโยงเขาเข้าไปเกี่ยว

นางจางหาได้สนใจคำขู่ของสามีผู้เสเพลไม่ ดังนั้นนางจึงรีบเดินลัดเลาะไปทางหมู่บ้านของคนขายเนื้อที่อยู่ติดกัน

ต้าหวางที่ว่านี้เขาเคยแต่งงานแล้วภรรยาตกตายทันทีหลังจากเข้าหออาจเป็นเพราะตกใจในการกระทำอันป่าเถื่อนของคนผู้นี้หรือสาเหตุอื่นก็ไม่มีผู้ใดรู้อย่างแน่ชัด

ทางด้านนักพรตเฒ่าเมื่อเดินมาถึงบ้านของผู้ใหญ่บ้านเขารู้สึกไม่สบายใจอย่างยิ่งยวด จึงคิดอยากจะรู้ผลของวันพรุ่งนี้เพราะหากนางจางยังไม่ปล่อยตัวเด็กหญิงตัวเล็กวันนี้ นางคนนั้นจะต้องมีแผนการร้ายบางอย่างอย่างแน่นอน

“ประสกผู้ใหญ่บ้าน คืนนี้อาตมาจะขอพักที่นี่ได้หรือไม่ เนื่องจากข้าผู้ทรงศีลจะสวดไล่สิ่งอัปมงคลให้ จนกว่านางผู้นั้นจะทำตามที่ข้าบอกเพื่อให้ชาวบ้านไม่เดือดร้อนไปด้วย

เจ้าไม่ต้องกลัวว่าข้าจะอยู่นานพอพรุ่งนี้เช้าหากบ้านนางเกิดเรื่องนางจะรู้เองว่าที่ข้าพูดเป็นความจริง ส่วนข้าก็จะจากไปพร้อมเด็กหญิงผู้นั้นเพื่อให้นางได้ออกห่างจากหมู่บ้านแห่งนี้” นักพรตเฒ่ากล่าวเสียงอ่อนโยนพลางสบตาชาวบ้านทุกคนที่ยังอยู่ด้วยความเป็นห่วง

“พรุ่งนี้จะเกิดเรื่องกับครอบครัวฉินหรือขอรับ” ผู้ใหญ่บ้านเมื่อได้ฟังเรื่องปั้นแต่งของนักพรตก็รู้สึกตกใจจนต้องถามออกมา

“ใช่แล้วล่ะหากคนบ้านนั้นยังคงดื้อดึงพวกเจ้าก็รอดู หายนะของครอบครัวนั้นเถอะว่าจะเป็นดั่งคำของข้าหรือไม่” นักพรตผู้ชรากล่าวออกมาอย่างมั่นใจทั้งที่ในใจก็ค่อนข้างวิตกกังวลแต่ในเมื่อเดินหน้าแล้วก็มีแต่ต้องไปให้สุดทาง

“ถ้าอย่างนั้นข้าก็ขอเชิญท่านพำนักที่นี่เถอะขอรับ” ผู้ใหญ่ บ้านที่อยากพิสูจน์ความจริงเชื้อเชิญ

ทางด้านนางจางที่ตอนนี้ก็ได้เดินมาถึงบ้านคนขายเนื้อที่ว่าแล้ว นางได้ยืนอยู่หน้าบ้านเอามือปิดจมูกเนื่องจากได้กลิ่นคาวของสถานที่แห่งนี้ด้วยความรังเกียจ

“มีใครอยู่ไหมข้าจางหม่านซิงเอง” นางเอามือข้างที่ว่างเคาะประตูส่งเสียงอู้อี้ออกไป

นางรออยู่สักพักประตูบานไม้ก็เปิดออกก่อนที่จะตามมาด้วยร่างชายอ้วนหนวดเครารกรุงรังกลิ่นตัวเหม็นเปรี้ยวชวน พะอืดพะอม

“เจ้ามีธุระอะไรวันนี้เนื้อขายหมดแล้ว” ต้าหวางเปิดปากที่เต็มไปด้วยกลิ่นเหม็นเหล้าถามสีหน้าไม่ยินดียินร้าย

“เจ้าอยากได้ภรรยาไม่ใช่หรือ ที่บ้านข้าตอนนี้ต้องการเงิน หากเจ้าสนใจเราก็มาคุยเรื่องราคากัน” นางจางกล่าวออกมาอย่างรวดเร็วด้วยรอยยิ้มแม้ในใจจะรู้สึกสะอิดสะเอียนกับคนผู้นี้ก็ตาม

“บุตรสาวเจ้ายังเล็กไม่ใช่หรือเจ้าจะให้ข้าซื้อนางมาเลี้ยงหรืออย่างไร ข้าไม่ต้องการหรอกเสียเวลา” ชายผู้นี้บอกปัด

“นางอายุแปดหนาวแล้วทำงานบ้านได้ทุกอย่าง อีกแค่เจ็ดแปดปีนางก็สามารถเป็นภรรยาให้เจ้าได้เจ้าลองคิดดูให้ดี” หม่านซิงพยายามเกลี้ยกล่อม

ชายร่างอ้วนผู้นี้ครุ่นคิดแต่เขาก็ยังจัดได้ว่าเป็นคนมีมันสมองอยู่บ้างจึงคิดอยากดูตัวว่าที่เจ้าสาวเด็กของตนก่อน

“ข้าขอไปดูใบหน้าของนางก่อนหากว่าถูกใจข้ายินดีจะจ่ายให้เจ้ายี่สิบตำลึงเงิน แต่หากไม่การค้าของเราก็ล้มเหลว” ต้าหวางกล่าวรวบรัดตัดบท

นางจางที่คิดว่าตัวเองจะได้เงินจากแกะอ้วนอย่างง่ายดายก็ทำสีหน้าไม่ค่อยดีนัก หากคนผู้นี้ไปเห็นใบหน้าเหมือนผีของเด็กนั่นนางก็ชวดเงินนะสิ

“คะ...คือว่านาง” จางหม่านซิงรู้สึกอึดอัดจะพูดอะไรก็พูดไม่ออก

“เจ้ามีปัญหาอะไรอีกหากว่าไม่สะดวกการค้าของเราก็ยกเลิกไป” ต้าหวางที่เห็นท่าทีของนางจางก็กล่าวตัดบทอีกครั้งด้วยความรำคาญ

“ได้ ๆ พรุ่งนี้ท่านก็ลองไปดูที่บ้านข้าก็แล้วกันวันนี้ข้าขอตัว” จางหม่านซิงที่เห็นท่าทีของชายผู้นี้จึงได้ตอบรับออกมาอย่างรวดเร็ว

“ก็แค่นั้น” ต้าหวางกล่าวจบก็เข้าบ้านปิดประตูใส่หน้านางจางทันที

ระหว่างทางเดินกลับบ้านของตนนางแม่ผู้ชั่วร้ายก็คิดหาวิธีจะทำอย่างไรถึงจะปกปิดรอยแผลของฉินเซียวไปตลอดทางจนกระทั่งถึงบ้านนางก็ยังหาวิธีไม่ออกและใบหน้าที่เละเหมือนผีของลูกนอกสายเลือดนางก็ไม่อยากมอง

“นางจางเมื่อกลับมาแล้วก็ไปทำงานในทุ่งเสียสิข้าจะเข้าไปในเมือง ก่อนเจ้าไปทุ่งนาก็เอาเงินมาให้ข้าด้วยล่ะ” ฉินหย่งกล่าวอย่างไร้ยางอาย

“ท่านพี่ข้าบอกท่านไปแล้วว่าไม่มีเงิน” นางจางกล่าวออกมาอย่างหมดความอดทนเช่นกัน งานในทุ่งนาก็จะให้นางทำคนเดียวตัวเองเป็นสามีก็ไม่คิดช่วยจ้องแต่จะเอาเงินไปเล่นพนัน

“เจ้ากล้าเสียงดังใส่ข้าเหรอหากไม่มีเงินข้าก็จะไปบอกผู้ใหญ่บ้านเรื่องขายที่ดิน” ผู้ที่เสพติดการพนันตวาดเสียงดัง

“หากไม่มีที่ดินพวกเราก็ไม่มีที่ทำนาแล้วต่อไปจะเอาอะไรกิน ต้าอีก็ยังต้องไปสำนักศึกษานะหรือว่าท่านไม่อยากให้ลูกเป็นขุนนางแล้ว” นางจางเอาจุดอ่อนเรื่องลูกชายยกมาขู่

“ก็ได้ข้าไม่ขายก็ได้แต่เจ้าต้องเอาเงินมาให้ข้า ไหนว่าเจ้าไปบ้านต้าหวางมาไม่ได้เงินมาหรือ” ฉินหย่งยอมอ่อนข้อ

“ยังไม่ได้ เขาจะมาดูหน้ามันก่อนพรุ่งนี้” นางจางกล่าวออก มาอย่างหงุดหงิดเมื่อนึกถึงเรื่องนี้

“ดูหน้า หน้าเด็กนั่นตอนนี้เหมือนผีขนาดนั้นต้าหวางเห็นไม่กระเจิงไปก่อนหรอกหรือ เจ้าโง่หรือไงถึงจะให้เขามา” ฉินหย่งกล่าวออกมาอย่างเดือดดาล ในระหว่างที่คนทั้งสองโต้เถียงกันภายในบ้านหมูด้านนอกก็ส่งเสียงกรีดร้องอย่างหิวโหยเพราะถึงเวลากินของมันนานแล้ว

“นั่นหมูร้องแล้วเจ้ารีบไปทำงานเลย” ฉินหย่งเอ่ยปากไล่ภรรยาก่อนที่มันจะเดินหายเข้าไปในห้องนอน

ฉินเซียวที่ยังคงถูกมัดอยู่กับเสาได้ยินเสียงโต้เถียงของคน ทั้งสองภายใจของนางก็ยิ้มเยาะชายชั่วหญิงโฉดคู่นี้ช่างเป็นคู่ที่นรกบันดาลเสียจริงเธอคิด

วันนี้ทั้งวันฉินเซียวก็ยังคงเป็นผู้ถูกลืมเหมือนเคยหากว่าเธอไม่มีโป๊ยข่วยและมิติเด็กหญิงคิดว่าเธอคงตายไปหลายรอบแล้ว เนื่องจากไม่ได้กินดื่มมาตลอดหนึ่งคืนกับอีกสองวัน

จนกระทั่งเช้าวันต่อมานางจางที่กังวลถึงเรื่องของต้าหวางจึงไม่ได้ทันสังเกตสิ่งใดทั้งสิ้นว่าวันนี้เหตุใดหมูตัวใหญ่จึงไม่ส่งเสียงร้องขออาหารเฉกเช่นดั่งทุกวัน

ซึ่งผิดกับฉินเซียวผู้รู้แล้วว่าหมูตัวนั้นบัดนี้อาจจะกำลังป่วยหนักและอาจจะตกตายลงในไม่ช้า

เหล่าชาวบ้านหลังจากที่พวกเขากินข้าวเช้ากันเสร็จก็ได้พากันเดินทางมารวมตัวที่บ้านของผู้ใหญ่บ้านเพื่อหวังจะไปยังบ้านครอบครัวฉินด้วยหวังจะชมเรื่องเคราะห์ร้ายของผู้อื่น ว่าคำทำนายของนักพรตจะเป็นจริงหรือไม่

ทางต้าหวางผู้มีหนวดเครารกรุงรังก็กำลังเดินไปทางบ้านนางจางเช่นเดียวกันและบังเอิญก็ได้พบกับชาวบ้านมาก มาย นักพรตผู้เฒ่าพิจารณามองชายร่างอ้วนผู้มีกลิ่นกายเหม็นเปรี้ยวโชยออกมาจากร่างเขาก็หรี่ตาลงพลางครุ่นคิดในสิ่งที่ตนได้คาดไว้เมื่อวานในเรื่องท่าทางของนางจางที่
อ่านหนังสือเล่มนี้ต่อได้ฟรี
สแกนรหัสเพื่อดาวน์โหลดแอป

บทล่าสุด

  • ฉินเซียวเมื่อฉันเป็นสาวน้อยชาเขียวในนิยาย   บทที่ 273

    ‘พวกเจ้าช่วยอดทนรอสักหน่อยนะ อีกไม่นานฝ่าบาทคงจะมีคำตอบกลับมา’ แม่ทัพใหญ่วัยกลางคนคิดอย่างคาดหวังคล้อยหลังรถม้าและเสือขาวจากไปคนทั้งสี่ก็ได้ถูกแกะเชือกรวมทั้งผ้าที่ปิดตาอุดหูของตนออก“พวกเจ้าเป็นอย่างไรบ้าง” รองแม่ทัพเอ่ยถามบุคคลทั้งสี่หลังจากที่ชายหญิงเหล่านี้ได้เป็นอิสระแล้ว“พวกข้าไม่เป็นอันใดขอ

  • ฉินเซียวเมื่อฉันเป็นสาวน้อยชาเขียวในนิยาย   บทที่ 272

    “เสี่ยวเซียว ไป๋หู่เล่า” ซินฉีเอ่ยถามศิษย์หลังจากที่เขาทั้งสองนั่งรถม้าออกมาไกลจากค่ายพอสมควรแล้ว“ข้าบอกให้มันไปรออยู่บริเวณป่าข้างทางที่พวกเราต้องเดินทางผ่านเจ้าค่ะ ข้าคะ...คิด” ฉินเซียวเอ่ยยังไม่ทันจบประโยคดีก็ได้ยินน้ำเสียงอันคุ้นเคยของเสือขาวตัวโต“ข้ามาแล้วนายน้อย” ไป๋หู่ส่งเสียงร้องพร้อมกระโจ

  • ฉินเซียวเมื่อฉันเป็นสาวน้อยชาเขียวในนิยาย   บทที่ 271

    “แต่ เจ้าเป็นหญิงการที่เจ้าจะไปอยู่ยังดินแดนของศัตรูข้าไม่วางใจ” เทียนอี้แย้งออกมาอีก“พี่ชายฟังนะเจ้าคะ ข้ายังมีท่านอาจารย์ไปด้วยอีกอย่างท่านอาจารย์ก็เป็นห่วงท่านดังนั้นเขาจึงได้ฝากให้ท่านปู่หลวนเป็นผู้สอนท่านต่อ อีกอย่างข้าเองก็อยากให้พี่ชายอยู่ทางนี้เพื่อช่วยดูแลพ่อแม่ให้ข้าด้วย” เด็กหญิงเกลี้ยกล

  • ฉินเซียวเมื่อฉันเป็นสาวน้อยชาเขียวในนิยาย   บทที่ 270

    “เจ้าจะเสียงดังทำไม หากให้ข้าอยู่อย่างกังวลไม่เป็นสุขอยู่ทางนี้สู้ให้ข้าไปกับนางด้วยย่อมดีกว่า อย่างน้อยอาศัยชื่อเสียงของข้าพวกเขาย่อมไม่ทำอะไรแน่” ซินฉีกล่าวขึ้นอย่างไม่สะทกสะท้าน“ท่านอาจารย์” ฉินเซียวเอ่ยเสียงแผ่วน้ำตาคลอด้วยความซาบซึ้งใจ“ซานไห่ เจ้ารีบกำหนดวันเดินทางซะได้เมื่อไหร่ก็บอกข้าด้วย อ

  • ฉินเซียวเมื่อฉันเป็นสาวน้อยชาเขียวในนิยาย   บทที่ 269

    “เสี่ยวเซียวเจ้ามีความเห็นในเรื่องที่ทางนั้นเสนอมาอย่างไร” ซินฉีเอ่ยถามศิษย์ตัวน้อยผู้เป็นอัจฉริยะในรอบหลายปีที่เขาได้พบเจอน้ำเสียงเต็มไปด้วยความเมตตา“ข้าจะไปเจ้าค่ะ แต่มีข้อแม้ว่าให้ทางนั้นส่งศิษย์ทั้งสี่กลับ มา” เด็กหญิงกล่าวออกไปอย่างหนักแน่นแม้ในใจจะเต็มไปด้วยความหวาดหวั่น“เจ้าคิดดีแล้วอย่างนั

  • ฉินเซียวเมื่อฉันเป็นสาวน้อยชาเขียวในนิยาย   บทที่ 268

    โป๊ยข่วยหลังจากที่ได้ความทรงจำของบรรดาศิษย์ต่าง ๆ มากระจกเทพบานน้อยก็ได้มาถึงบริเวณจุดสุดท้ายที่คนทั้งสี่หายไป ซึ่งบริเวณรอบ ๆ มีรอยเท้าของคนอยู่เป็นจำนวนมากทำให้เจ้าตัวคิดว่าคนทั้งสี่คงจะถูกจับตัวไปแล้วอย่างแน่นอน‘ข้าต้องไปสำรวจฝั่งนั้นใช่ไหม’ กระจกเทพบานน้อยคิดก่อนที่เจ้าตัวจะลอยไปตามลมเพื่อไปยัง

บทอื่นๆ
สำรวจและอ่านนวนิยายดีๆ ได้ฟรี
เข้าถึงนวนิยายดีๆ จำนวนมากได้ฟรีบนแอป GoodNovel ดาวน์โหลดหนังสือที่คุณชอบและอ่านได้ทุกที่ทุกเวลา
อ่านหนังสือฟรีบนแอป
สแกนรหัสเพื่ออ่านบนแอป
DMCA.com Protection Status