ผ่านค่ำคืนที่ได้รับดอกปีบมาเกือบสัปดาห์ สิ่งหนึ่งที่นรีค้นพบแน่ชัด คือ การจะได้ยลโฉมคุณเจ้านายนั้นเป็นเรื่องยากเย็น แม้ว่ายามดึกนรีจะสามารถนั่งมองคุณเจ้านายอยู่ที่หน้าห้องของเธอทุกคืน แต่ก็หาโอกาสที่เธอจะหันมาทั้งที่ห้องยังมีแสงสว่างอยู่นั้นแทบไม่มี และต่อให้นรีได้นำสำรับอาหารไปวางบนโต๊ะไม้สนถึงวันละสองมื้อ ก็ยังไม่เคยเลยสักคราที่เทพแห่งความบังเอิญจะบันดาลการเผชิญหน้าให้กับหล่อนและเธอ ซึ่งแน่นอนว่า ตลอดระยะเวลาเกือบสิบวันที่นรีก้าวเท้าเข้าชายคาอาศัยบ้านวงศ์ทิมทอง หล่อนยังไม่เคยได้เห็นคุณดารัณลงมาร่วมโต๊ะอาหารกับคุณทิพย์เลยสักครั้ง โดยทราบเพียงว่า เธอกำลังเร่งแก้ต้นฉบับนวนิยายเรื่องล่าสุดส่งให้กับทางสำนักพิมพ์
ในแต่ละคืนที่ผ่านพ้น นรีรู้ตัวดีว่า หล่อนมีความพยายามมากกว่าปกติ หล่อนเฝ้ามองคุณเจ้านายอย่างจดจ่อมากกว่าคืนแรกๆ กระนั้น หล่อนก็ยังได้เห็นมากสุด แค่เพียงเสี้ยวหน้าฝั่งขวาในบางทีที่เธอเงยหน้ามองอะไรสักอย่างระหว่างใช้ความคิด หรือได้เห็นเสี้ยวหน้าฝั่งซ้ายในจังหวะที่เธอบิดเหยียดร่างกายเพื่อคลายความเมื่อยล้า
“ นรี .. นรี ” เสียงเรียกของคุณทิพย์กระชากหล่อนกลับจากห้วงคำนึง
“ คะ ” นรีขานรับเสียงแหบเล็กน้อย
“ เหม่อไปถึงไหนแล้ว ” คุณทิพย์เอ่ยเย้า ก่อนบอกกับหล่อนว่า
“ เราเข้าบ้านกันดีกว่า ฟ้าครึ้มใหญ่แล้ว ”
นรีหันมองท้องฟ้ายามบ่ายแก่ๆ ของวันนี้และเห็นว่า สมควรหลบเข้าชายคาเรือนจริงๆ อย่างที่คุณทิพย์บอก เพราะกลุ่มเมฆที่มองเห็นได้จากศาลาในสวนนั้นค่อนข้างมืดมัว
หลังจากพาคุณทิพย์เข้าเรือน พาท่านนั่งพักที่อาร์มแชร์ตรงส่วนรับแขกเรียบร้อยแล้ว นรีก็รีบรุดไปฝั่งตะวันตกเพื่อเก็บสำรับเที่ยงของคุณเจ้านายตามปกติ หล่อนพบเข้ากับกระดาษโน้ตสีน้ำตาลหนึ่งแผ่นวางไว้ข้างจานเปล่าบนโต๊ะไม้สนเช่นเคย แต่ข้อความยาวกว่าเคย
- อร่อยอีกแล้ว ชอบข้าวผัดทรงนี้จัง ขอบคุณนะ -
- ปล. มื้อเย็นไม่รบกวนนะคะ มีธุระนอกบ้าน -
นรีอ่านข้อความสองบรรทัดนั้น ทวนไปวนมาถึงสามรอบ หล่อนเผลอรู้สึกใจหายขึ้นมาได้ ทั้งที่ใจความบนกระดาษก็มีทั้งคำชมและคำขอบคุณอย่างเคย รวมๆ แล้วความรู้สึกแปลกๆ ดูท่าจะเกิดจากบรรทัดปัจฉิมลิขิต ซึ่งแจ้งทราบว่า เย็นนี้เธอไม่อยู่ นั่นแลนะ หล่อนถอนหายใจแผ่ว ก่อนยกจานเปล่าและแก้วน้ำวางลงถาดอย่างเบามือและประคองเดินออกมาจากฝั่งตะวันตกอย่างเงียบๆ
การเข้าครัวเย็นนั้น นรีเก็บเอาบวบเหลี่ยมขนาดพอดีกินจากสวนหลังเรือน ระหว่างที่เม็ดฝนเริ่มโรยตัวลงมาในอาณาเขตสวนและบ้านวงศ์ทิมทอง หล่อนคิดไว้ว่าจะผัดบวบใส่ไข่ และตั้งใจจะทอดปลาสลิดแดดเดียวที่ซื้อมาจากตลาดเช้าสักสองตัว ขณะตระเตรียมของในครัว ทั้งหุงข้าวสวย ปอกผิวบวบ และลอกเปลือกกระเทียมจีน หล่อนตกภวังค์เหม่อเล็กน้อย แต่ก็หลุดกลับมาได้โดยเร็ว หล่อนยิ้มนิดๆ ให้กับความฟุ้งซ่านของตนเอง ที่เกิดเหงาขึ้นมาเพียงเพราะคุณเจ้านายไม่อยู่รับประทานมื้อเย็นเป็นครั้งแรก
บวบผัดไข่ และปลาสลิดทอด ปลอดภัยดี ไม่มีสิ่งใดไหม้เกรียมจนเสียของ นรีจัดแจงแกะเนื้อปลาสลิดให้คุณทิพย์รับประทานสะดวก เน้นตักชิ้นไข่ไก่พอดีคำและบวบนิ่มๆ กรุ่นกลิ่นกระเทียมให้คุณทิพย์ก่อนจะเริ่มจัดการตักเอาเศษไข่กับบวบชิ้นเล็กที่เป้นส่วนใกล้ขั้วมาไว้ในจานข้างของตน
“ บริการดีจนคนกินติดสบายแล้วนะ ” คุณทิพย์ว่า
“ แม่หนูก็เคยพูดเหมือนคุณ แต่หนูทำจนชินแล้วค่ะ ทั้งแม่ทั้งยายหนูทำให้แบบนี้ตลอด ” นรีตอบเช่นนั้น พาให้คุณทิพย์มองหล่อนแล้วยิ้มเอ็นดู ก่อนยกช้อนตักข้าวสวยกับเนื้อปลาสลิดเข้าปากอย่างระมัดระวัง
อาหารเย็นวันนั้นผ่านไปอย่างอบอุ่น เรียบง่าย สงบสุข เช่นเคย แน่นอนว่ากิจกรรมยามค่ำก็จบไปตามประสา ทั้งการเก็บกวาดล้างครัว และการพาคุณทิพย์เข้านอน นรีไม่แน่ใจก็เพียงว่า คุณเจ้านายของหล่อนกลับจากข้างนอกแล้วหรือยัง ก่อนจะอาบน้ำจึงกระโจมอกไปชำเลืองมองผ่านหน้าต่างห้องนอนของตน มองผ่านม่านฝนโปรยปรายไปที่ชั้นบนของตึกฟากโน้น เมื่อพบว่า มีแสงไฟลอดช่องลม ช่องหน้าต่าง ห้องคุณเจ้านายออกมาอย่างทุกคืน รอยยิ้มกระตุกขึ้นที่มุมปากหล่อนแทบจะทันที ระหว่างก้าวเท้าหมุนตัวพุ่งเข้าห้องน้ำ
แต่ละก้าวที่เยี่ยงย่างไปบนพื้นไม้ มีสียงลั่นเบาๆ ให้ได้ยินแทบทุกครั้ง มีความชื้นให้รู้สึกที่ฝ่าเท้าเสมอ นรีไล่ปิดหน้าต่างโถงทางเดินชั้นบนไปทีละบาน สายตาทอดมองผ่านช่องหน้าต่างไปแบบไวไวก็ทันสังเกตได้ว่า ฝนหยุดตกแล้ว แต่ท้องฟ้ายามราตรียังแต้มแต่งด้วยฝูงเมฆดำทะมึนโขยงใหญ่ ถึงเป็นหล่อนก็อนุมานได้ทันทีว่า คืนนี้พายุฝนอย่างน้อยหนึ่งลูกคงจะพัดเยือนปะทะเรือนแห่งนี้เป็นแน่
หน้าต่างแต่ละบานที่ปิดลง เท่ากับระยะก้าวเดินที่นรีสืบเท้าเข้าใกล้เขตรโหฐานของคุณเจ้านายมากขึ้นเรื่อยๆ สิ่งที่ปรากฏต่อสายตา พาให้นรีขมวดคิ้วงง บานประตูไม้แกะสลักลายโบตั๋นคู่นั้นปิดสนิท ทั้งที่ปกติจะเปิดกว้างไว้สุดบานพับทุกค่ำคืน
‘ ยังไม่กลับเหรอ ’
‘ แต่ไฟในห้องก็เปิดนี่ ’
ใจนรีครุ่นคิด ขณะก้าวเดินเข้าใกล้แทบประชิดบานประตู เอื้อมมือซ้ายแตะเนื้อไม้แผ่วเบา ไล้ปลายนิ้วไปตามลวดลายดอกโบตั๋นแสนวิจิตร ชักฉงนว่า อาการใกล้เพ้อทั้งที่ร่างกายแข็งแรงปกติและสติครบดีเช่นนี้ คือ ความป่วยไข้ประเภทใด
แกร๊ก!
เสียงกรอกแกรกจากอีกฝั่งของบานประตูทำเอานรีตัวชานิดๆ ใจวูบไหวหน่อยๆ สมองคาดการณ์ได้ว่า ประตูบานกว้างตรงหน้ากำลังจะเปิดออก แต่ร่างกายกลับคล้ายว่าจะไม่ได้รับคำสั่งการใดให้ขยับหลบห่างประตู เมื่อประตูทั้งสองบานถูกดึงเข้าด้านในห้อง ตัวนรีจึงโอนเอนตามบานประตูไปเล็กน้อย คนหลังบานประตูนั้นค่อนข้างสนิทสนมกับร่างกายตนเองดีพอจะเอื้อมมือมาแตะไหล่ขวาของนรีได้รวดเร็วก่อนกระชับมือจับประคองหล่อนไว้ทันท่วงที
“ เป็นไรมั้ย ”
สามพยางค์สั้นๆ ถูกเอ่ยด้วยน้ำเสียงแสนอ่อนโยน ระยะห่างเพียงคืบมือระหว่างกาย พากลิ่นหอมเย้ายวนจากเนื้อตัวเธอโชยถึงความรู้สึกของนรี และยิ่งเงยหน้าขึ้นมอง สบตา กับคนที่สูงกว่าทั้งรูปร่างและฐานะ เครื่องหน้าและแววตาทรงเสน่ห์ราวพิฆาตคนได้นั้น จิตใจหล่อนคล้ายเตลิด ไม่รู้แล้วว่า จังหวะหัวใจที่เต้นเป็นปกตินั้นเป็นเช่นไร หากตอบไปว่า ไม่เป็นไร จะถือว่า หล่อนพูดปดหรือไม่
“ นรี ”
น้ำเสียงไพเราะจากคนตรงหน้าดึงสติในคนฟังรู้ตัวว่า หล่อนยืนนิ่งงันเนิ่นนานผิดปกติเสียแล้ว
“ ไม่… ไม่เป็นไรค่ะ แค่ ตกใจ ” หล่อนอึกอักตอบไปเช่นนั้น พาให้อีกฝ่ายหลุดยิ้มเอ็นดูพลางปล่อยมือจากหล่อน วินาทีนั้น สัมผัสอุ่นยังกรุ่นหัวไหล่ขวาจนนรีประหลาดใจ หล่อนขยับก้าวถอยหลังแล้วก้มหน้าเล็กน้อย แม้ใจจริงจะอยากมองใบหน้าคุณเจ้านายตรงๆ ให้นานกว่านี้สักหน่อย เพื่อเก็บรายละเอียดความงามธรรมชาติที่หล่อนเฝ้าฝันมาหลายราตรีกาล ว่าจะได้มีโอกาสพบเห็นสักครั้งให้เป็นบุญตา แต่ความเขินอายที่บวกรวมเข้ากับมารยาทนบน้อมกลับวางตัวเป็นอุปสรรค ชวนให้หล่อนต้องหลบตาคุณเจ้านายในที่สุด
กระนั้น การตกอยู่ในสายตาของเธอก็ทำให้หล่อนหวิวในใจเต้นอยู่ทุกวินาที
“ คืนนี้เธอมาเร็ว ” คุณเจ้านายบอกขณะเหลือบมองนาฬิกาข้อมือสายหนังเรือนสวย ก่อนจะเอ่ยอีกว่า
“ ไหนๆ ก็มาแล้ว ไปด้วยกันหน่อยสิ ”
สิ้นประโยคนั้น คุณเจ้านายก้าวกลับเข้าห้อง ก่อนเบี่ยงกายเดินนำไปฝั่งขวาของประตู นรีรีบก้าวตามเธอเข้าไปในห้อง สายตาของหล่อนกวาดมองทุกสิ่ง แต่เวลาไม่กี่วินาทีนั้น ไม่เพียงพอให้หล่อนมองเห็นทุกอย่าง คุณเจ้านายก้าวลงบันไดวนไปแล้ว
“แปลว่ารักได้ ไม่ติดเหรอคะ” คุณเจ้านายเอ่ยถาม แน่นอนว่าเธอได้รับเพียงแววตาเกือบจะงุนงงของนรีตอบกลับไป เธอจึงได้ขยายความถามนั้น“หมายถึง นรีเอง ก็รักผู้หญิงได้ ใช่มั้ยคะ”“...”นรีกระพริบตาปริบๆ ทั้งเงียบไปครู่หนึ่ง ทำเอาคนรอฟังคำ นิ่งเงียบตามกันไปด้วย แต่เธอยังคงวางสายตาจับไว้ที่หล่อน ไม่ละไปโดยง่าย กระทั่งได้คำตอบ“คิด ว่ารักได้นะคะ” นรีตอบเสียงแผ่ว“ท่าทางไม่แน่ใจ” คุณเจ้านายกล่าวเช่นนั้น แล้วผินมองไปทางอื่น ในท่าทีใช้ความคิด เป็นจังหวะให้นรีได้รับอิสระเล็กน้อยจากการรอดพ้นสายตาเธอ แต่ยังไม่พ้นไปจากสนทนา“ที่ผ่านมา ยังไม่เคยตกหลุมรักผู้หญิงเลยสักคน… เหรอคะ” คุณเจ้านายปรายตากลับมามองนรีในท้ายประโยค พร้อมรอยยิ้มเล็กๆ ที่นรีมองทันเพียงชั่วครู่ก็รู้สึกใจเต้น พาลให้หล่อนนิ่งจนลืมตอบความ พยายามเลี่ยงหลบสายตาเธอสุดฤทธิ์ ขณะที่คุณเจ้านายวางมือลงค้ำยันกับโต๊ะเขียนงาน และโน้มตัวเข้าใกล้นรีมากขึ้น พลางกระซิบสรุป“เงียบแบบนี้ เราจะเหมาว่าเธอเคยตกหลุมรักใครสักคน ที่เป็นผู้หญิงนะคะ”นรีหันกลับไปมองคุณเจ้านายในระยะประชิดมากกว่าที่เคย หล่อนนึกเรียบเรียงคำโต้ตอบที่ยังไม่มั่นใจด้วยซ้ำว่า จะเอ่ยปฏิเสธห
คืนนั้น คุณเจ้านายไม่ได้นั่งอยู่ที่โต๊ะเขียนงานเมื่อหล่อนไปถึงหน้าห้อง พอตัดสินใจไปชะเง้อมองที่ใกล้ๆ บานประตู สอดส่องสายตาจนทั่วก็ยังไม่เห็นว่าเธออยู่ตรงไหนในห้อง นรีถอยจากประตูลายโบตั๋นมาเกาะขอบหน้าต่างโถงทางเดินที่มักเปิดไว้เสมอเพียงบานเดียวเพื่อรับลมในทุกคืน หล่อนคาดว่า คุณเจ้านายอาจลงไปเก็บดอกไม้กลางคืนเช่นเดียวกับตอนที่ลงไปเก็บดอกสเลเตก็เป็นได้ ทว่า เพ่งมองสวนดอกไม้สักเท่าไหร่ก็ไร้วี่แววร่างเงาเธอ“ดูอะไรอยู่เหรอ” เสียงคุณเจ้านายดังมาจากด้านหลัง พาหล่อนสะดุ้งใจหาย แต่ก็รีบเก็บอาการนั้นให้สงบลงโดยเร็วก่อนตอบกลับเธอไปว่า“เปล่าค่ะ” พลางเดินกลับไปที่เก้าอี้ไม้สน คุณเจ้านายพยักหน้าน้อยๆ แล้วเดินไปที่โต๊ะเขียนงาน เธอหยุดยืนอยู่ข้างเก้าอี้ รวบรวมเอกสารสองสามชุดให้เป็นกองเดียวกัน จัดเก็บเข้าแฟ้ม นำแฟ้มไปสอดไว้บนชั้นวางข้างโต๊ะฝั่งมุมห้อง ครั้นพอเดินย้อนกลับมาที่เก้าอี้อีกหน และเห็นว่านรียืนละล้าละลังอยู่หน้าห้อง
กลิ่นตะไคร้บุบ และใบมะกรูดฉีก ในน้ำซุป โชยฟุ้งทั่วครัวในช่วงเย็นของวันถัดมา ในหม้อต้มขนาดกลาง มีเนื้อวัวส่วนที่นรีพอหาได้จากตลาดเช้า ถูกเคี่ยวตุ๋นมาได้พักใหญ่แล้ว แม้แรกทีเดียว หล่อนเคยคิดว่าจะไม่ลองภูมิใดใดกับการทำเมนูโบราณที่ไม่คุ้นเคย ทว่าเหลียวมองไปถ้วนทั่วสวนผักหลังเรือน ก็พบว่า เครื่องผักสมุนไพรครบครันตามสูตรที่จดมาจากหนังสือ กลิ่นรัญจวนในครัวใจ แค่เพียงหาเนื้อวัวให้ได้ก็พร้อมปรุง หล่อนจึงทำใจดีสู้เสือเลือกเอาเมนูนี้มาตั้งสำรับเย็น“กลิ่นชวนหิวดีจังวันนี้” คุณทิพย์เอ่ย เมื่อนรียกชามแกงรัญจวนวางเสิร์ฟที่โต๊ะอาหาร จิตใจหล่อนดูจะล่องลอยสักนิด จึงไม่ได้ตอบกลับอะไรนอกจากยิ้มนอบน้อมเช่นเคยเหตุที่ทำให้หล่อนใจไม่อยู่กับเนื้อกับตัว คือสิ่งที่เกิดกับตัวหล่อนเมื่อไม่กี่นาทีก่อนหน้านี้ โดยเนื่องมาจากว่า หล่อนไม่แน่ใจในคำสั่งของคุณเจ้านายที่บอกไว้เมื่อคืนที่ให้หล่อนยืมเล่ม หอมลมกลิ่นรัก มา เธอว่า‘คืนที่โต๊ะนะคะ’หล่อนซึ่งปกติไม่เคยก้าวเข้าห้องส่วนตัวคุณเจ้านายโดยไม่ได้รับอนุญาต จึงตีความเอาเองว่า โต๊ะที่เธอพูดถึง คงหมายถึงโต๊ะไม้สนชั้นล่าง เพราะเป็นโต๊ะที่เกี่ยวข้องกับหน้าที่หล่อนโดยตรง วั
‘สองฝั่งคลอง’… ‘มาลัยสามชาย’ … ‘ทวิภพ’‘กรงกรรม’ … ‘ฤกษ์สังหาร’ … ‘บ้านทรายทอง’รายนามบนสันหนังสือที่นรีเลื่อนสายตาผ่านนั้น มีแต่ชื่อโด่งดังคุ้นหู ที่บางเรื่องก็เคยดูเป็นละครโทรทัศน์รีรันซ้ำซากจนคุ้นตาแทบทั้งหมด หล่อนเถียงในประเด็นที่ว่า นี่คือหนังสือหายากทรงคุณค่า และหล่อนก็ไม่เกี่ยงนักหรอกที่ต้องอ่านนิยายละครโทรทัศน์ แต่ก็ต้องยอมรับว่า เรื่องเล่าในเล่มเหล่านั้นไม่ใช่เรื่องราวแปลกใหม่ น่าสนใจเพียงพอจะดึงความสนใจของหล่อนได้‘สาปภูษา’ … ‘กำไลมาศ’ … ‘กาหลมหรทึก’ ‘เกิดแต่ตม’ … ‘หลงเงาจันทร์’ … ‘รากนครา’หากต้องเลือกเล่มใดไปอ่านเฉพาะชั้นวางนี้ นรีก็ไม่ติดขัดใจ เพราะอย่างน้อยการได้มีอะไรให้อ่า
‘สูตรแกงรัญจวนของวังเจ้านั้นพิถีพิถันนัก เริ่มจากปลายครกที่ต้องตำพริกขี้หนูสวนด้วยเกลือป่นให้ฟู ต้มปลาเค็มที่รมด้วยฟืนเปลือกมะกรูด น้ำแกงต้องขลุกขลิก ใส่ตะไคร้หั่นบาง ใบมะกรูดฉีก และใบโหระพาจากสวนด้านเหนือเท่านั้น กลิ่นขึ้นจากไอร้อน เหมือนจิตใจคนกำลังเร่าร้อนแต่ไม่กล้ากล่าวรัก แกงนี้ต้องกลั้นใจขณะตัก กลิ่นจะยิ่งลอยชัด… คล้ายรักที่ยิ่งปิด ยิ่งฉุน ยิ่งยากลืม’นรีปิดหนังสือลงวางกับตัก เมื่อได้ยินเสียงคุณทิพย์ขยับตัว พยายามปรับสติเรียกอารมณ์ให้ตนเองกลับสู่โลกแห่งความจริงเพียงชั่วพริบตา ก่อนหันไปหาคุณทิพย์ที่กำลังกลับจากภวังค์นิทรายามบ่าย“ลมดีจริงเชียว” คุณทิพย์พึมพำเสียงแผ่ว ตาปรือเล็กน้อย ออกอาการเพลียคล้ายติดงัวเงียอยู่สักนิด“สักพักฝนอาจจะตก… เข้าบ้านกันดีมั้ยคะ” นรีเอ่ยชวนพลางรวบรวมเอาชุดถ้วยชาลายครามใส่ถาดเดียวกับกาน้ำชาไว้รอท่า เมื่อเห็นคุณพยักหน้าเชิงว่ารับคำ
มื้อเย็นวันนั้น ไม่มีอะไรเด่นแซ่บไปกว่าลาบหมูฝีมือดารัณที่ทำแยกมาสองรส สำหรับคุณทิพย์และสำหรับทุกคน รสเค็มเผ็ดนัวตัดเปรี้ยวด้วยน้ำมะนาวแป้นสดจากสวนหลังเรือน คละเคล้าผักหอมแล้วยังฟุ้งไปด้วยข้าวคั่วสมุนไพรที่ทำพิเศษเฉพาะวันนี้ ทำให้ทุกคำที่บดเคี้ยว สติของนรีหวนคืนมวลอารมณ์คิดถึงบ้าน คิดถึงยาย บาดลึกไปทุกทีการเก็บกลืนรส แม้จะทำตัวนิ่ง ดูสงบ แต่น้ำตากลับคลอรื้นออกมาอยู่ดี“นรี… นรีคะ” เสียงคุณเจ้านายทักขึ้นเบาๆ พร้อมสายตาอุ่นๆ ที่ส่งมาจากอีกฝั่งโต๊ะอาหาร ก่อนเอ่ยถาม“เป็นอะไรรึเปล่า”“แค่… คิดถึงบ้านค่ะ” นรีตอบสั้นๆ ตามตรง พร้อมรอยยิ้มบางๆ พลางเอื้อมหยิบกระดาษทิชชู่มาซับน้ำตา“ เพราะลาบหมูเนี่ยเหรอ” คุณทิพย์ถามขึ้น นรีพยักหน้ารับและตอบว่า