LOGINผ่านค่ำคืนที่ได้รับดอกปีบมาเกือบสัปดาห์ สิ่งหนึ่งที่นรีค้นพบแน่ชัด คือ การจะได้ยลโฉมคุณเจ้านายนั้นเป็นเรื่องยากเย็น แม้ว่ายามดึกนรีจะสามารถนั่งมองคุณเจ้านายอยู่ที่หน้าห้องของเธอทุกคืน แต่ก็หาโอกาสที่เธอจะหันมาทั้งที่ห้องยังมีแสงสว่างอยู่นั้นแทบไม่มี และต่อให้นรีได้นำสำรับอาหารไปวางบนโต๊ะไม้สนถึงวันละสองมื้อ ก็ยังไม่เคยเลยสักคราที่เทพแห่งความบังเอิญจะบันดาลการเผชิญหน้าให้กับหล่อนและเธอ ซึ่งแน่นอนว่า ตลอดระยะเวลาเกือบสิบวันที่นรีก้าวเท้าเข้าชายคาอาศัยบ้านวงศ์ทิมทอง หล่อนยังไม่เคยได้เห็นคุณดารัณลงมาร่วมโต๊ะอาหารกับคุณทิพย์เลยสักครั้ง โดยทราบเพียงว่า เธอกำลังเร่งแก้ต้นฉบับนวนิยายเรื่องล่าสุดส่งให้กับทางสำนักพิมพ์
ในแต่ละคืนที่ผ่านพ้น นรีรู้ตัวดีว่า หล่อนมีความพยายามมากกว่าปกติ หล่อนเฝ้ามองคุณเจ้านายอย่างจดจ่อมากกว่าคืนแรกๆ กระนั้น หล่อนก็ยังได้เห็นมากสุด แค่เพียงเสี้ยวหน้าฝั่งขวาในบางทีที่เธอเงยหน้ามองอะไรสักอย่างระหว่างใช้ความคิด หรือได้เห็นเสี้ยวหน้าฝั่งซ้ายในจังหวะที่เธอบิดเหยียดร่างกายเพื่อคลายความเมื่อยล้า
“ นรี .. นรี ” เสียงเรียกของคุณทิพย์กระชากหล่อนกลับจากห้วงคำนึง
“ คะ ” นรีขานรับเสียงแหบเล็กน้อย
“ เหม่อไปถึงไหนแล้ว ” คุณทิพย์เอ่ยเย้า ก่อนบอกกับหล่อนว่า
“ เราเข้าบ้านกันดีกว่า ฟ้าครึ้มใหญ่แล้ว ”
นรีหันมองท้องฟ้ายามบ่ายแก่ๆ ของวันนี้และเห็นว่า สมควรหลบเข้าชายคาเรือนจริงๆ อย่างที่คุณทิพย์บอก เพราะกลุ่มเมฆที่มองเห็นได้จากศาลาในสวนนั้นค่อนข้างมืดมัว
หลังจากพาคุณทิพย์เข้าเรือน พาท่านนั่งพักที่อาร์มแชร์ตรงส่วนรับแขกเรียบร้อยแล้ว นรีก็รีบรุดไปฝั่งตะวันตกเพื่อเก็บสำรับเที่ยงของคุณเจ้านายตามปกติ หล่อนพบเข้ากับกระดาษโน้ตสีน้ำตาลหนึ่งแผ่นวางไว้ข้างจานเปล่าบนโต๊ะไม้สนเช่นเคย แต่ข้อความยาวกว่าเคย
- อร่อยอีกแล้ว ชอบข้าวผัดทรงนี้จัง ขอบคุณนะ -
- ปล. มื้อเย็นไม่รบกวนนะคะ มีธุระนอกบ้าน -
นรีอ่านข้อความสองบรรทัดนั้น ทวนไปวนมาถึงสามรอบ หล่อนเผลอรู้สึกใจหายขึ้นมาได้ ทั้งที่ใจความบนกระดาษก็มีทั้งคำชมและคำขอบคุณอย่างเคย รวมๆ แล้วความรู้สึกแปลกๆ ดูท่าจะเกิดจากบรรทัดปัจฉิมลิขิต ซึ่งแจ้งทราบว่า เย็นนี้เธอไม่อยู่ นั่นแลนะ หล่อนถอนหายใจแผ่ว ก่อนยกจานเปล่าและแก้วน้ำวางลงถาดอย่างเบามือและประคองเดินออกมาจากฝั่งตะวันตกอย่างเงียบๆ
การเข้าครัวเย็นนั้น นรีเก็บเอาบวบเหลี่ยมขนาดพอดีกินจากสวนหลังเรือน ระหว่างที่เม็ดฝนเริ่มโรยตัวลงมาในอาณาเขตสวนและบ้านวงศ์ทิมทอง หล่อนคิดไว้ว่าจะผัดบวบใส่ไข่ และตั้งใจจะทอดปลาสลิดแดดเดียวที่ซื้อมาจากตลาดเช้าสักสองตัว ขณะตระเตรียมของในครัว ทั้งหุงข้าวสวย ปอกผิวบวบ และลอกเปลือกกระเทียมจีน หล่อนตกภวังค์เหม่อเล็กน้อย แต่ก็หลุดกลับมาได้โดยเร็ว หล่อนยิ้มนิดๆ ให้กับความฟุ้งซ่านของตนเอง ที่เกิดเหงาขึ้นมาเพียงเพราะคุณเจ้านายไม่อยู่รับประทานมื้อเย็นเป็นครั้งแรก
บวบผัดไข่ และปลาสลิดทอด ปลอดภัยดี ไม่มีสิ่งใดไหม้เกรียมจนเสียของ นรีจัดแจงแกะเนื้อปลาสลิดให้คุณทิพย์รับประทานสะดวก เน้นตักชิ้นไข่ไก่พอดีคำและบวบนิ่มๆ กรุ่นกลิ่นกระเทียมให้คุณทิพย์ก่อนจะเริ่มจัดการตักเอาเศษไข่กับบวบชิ้นเล็กที่เป้นส่วนใกล้ขั้วมาไว้ในจานข้างของตน
“ บริการดีจนคนกินติดสบายแล้วนะ ” คุณทิพย์ว่า
“ แม่หนูก็เคยพูดเหมือนคุณ แต่หนูทำจนชินแล้วค่ะ ทั้งแม่ทั้งยายหนูทำให้แบบนี้ตลอด ” นรีตอบเช่นนั้น พาให้คุณทิพย์มองหล่อนแล้วยิ้มเอ็นดู ก่อนยกช้อนตักข้าวสวยกับเนื้อปลาสลิดเข้าปากอย่างระมัดระวัง
อาหารเย็นวันนั้นผ่านไปอย่างอบอุ่น เรียบง่าย สงบสุข เช่นเคย แน่นอนว่ากิจกรรมยามค่ำก็จบไปตามประสา ทั้งการเก็บกวาดล้างครัว และการพาคุณทิพย์เข้านอน นรีไม่แน่ใจก็เพียงว่า คุณเจ้านายของหล่อนกลับจากข้างนอกแล้วหรือยัง ก่อนจะอาบน้ำจึงกระโจมอกไปชำเลืองมองผ่านหน้าต่างห้องนอนของตน มองผ่านม่านฝนโปรยปรายไปที่ชั้นบนของตึกฟากโน้น เมื่อพบว่า มีแสงไฟลอดช่องลม ช่องหน้าต่าง ห้องคุณเจ้านายออกมาอย่างทุกคืน รอยยิ้มกระตุกขึ้นที่มุมปากหล่อนแทบจะทันที ระหว่างก้าวเท้าหมุนตัวพุ่งเข้าห้องน้ำ
แต่ละก้าวที่เยี่ยงย่างไปบนพื้นไม้ มีสียงลั่นเบาๆ ให้ได้ยินแทบทุกครั้ง มีความชื้นให้รู้สึกที่ฝ่าเท้าเสมอ นรีไล่ปิดหน้าต่างโถงทางเดินชั้นบนไปทีละบาน สายตาทอดมองผ่านช่องหน้าต่างไปแบบไวไวก็ทันสังเกตได้ว่า ฝนหยุดตกแล้ว แต่ท้องฟ้ายามราตรียังแต้มแต่งด้วยฝูงเมฆดำทะมึนโขยงใหญ่ ถึงเป็นหล่อนก็อนุมานได้ทันทีว่า คืนนี้พายุฝนอย่างน้อยหนึ่งลูกคงจะพัดเยือนปะทะเรือนแห่งนี้เป็นแน่
หน้าต่างแต่ละบานที่ปิดลง เท่ากับระยะก้าวเดินที่นรีสืบเท้าเข้าใกล้เขตรโหฐานของคุณเจ้านายมากขึ้นเรื่อยๆ สิ่งที่ปรากฏต่อสายตา พาให้นรีขมวดคิ้วงง บานประตูไม้แกะสลักลายโบตั๋นคู่นั้นปิดสนิท ทั้งที่ปกติจะเปิดกว้างไว้สุดบานพับทุกค่ำคืน
‘ ยังไม่กลับเหรอ ’
‘ แต่ไฟในห้องก็เปิดนี่ ’
ใจนรีครุ่นคิด ขณะก้าวเดินเข้าใกล้แทบประชิดบานประตู เอื้อมมือซ้ายแตะเนื้อไม้แผ่วเบา ไล้ปลายนิ้วไปตามลวดลายดอกโบตั๋นแสนวิจิตร ชักฉงนว่า อาการใกล้เพ้อทั้งที่ร่างกายแข็งแรงปกติและสติครบดีเช่นนี้ คือ ความป่วยไข้ประเภทใด
แกร๊ก!
เสียงกรอกแกรกจากอีกฝั่งของบานประตูทำเอานรีตัวชานิดๆ ใจวูบไหวหน่อยๆ สมองคาดการณ์ได้ว่า ประตูบานกว้างตรงหน้ากำลังจะเปิดออก แต่ร่างกายกลับคล้ายว่าจะไม่ได้รับคำสั่งการใดให้ขยับหลบห่างประตู เมื่อประตูทั้งสองบานถูกดึงเข้าด้านในห้อง ตัวนรีจึงโอนเอนตามบานประตูไปเล็กน้อย คนหลังบานประตูนั้นค่อนข้างสนิทสนมกับร่างกายตนเองดีพอจะเอื้อมมือมาแตะไหล่ขวาของนรีได้รวดเร็วก่อนกระชับมือจับประคองหล่อนไว้ทันท่วงที
“ เป็นไรมั้ย ”
สามพยางค์สั้นๆ ถูกเอ่ยด้วยน้ำเสียงแสนอ่อนโยน ระยะห่างเพียงคืบมือระหว่างกาย พากลิ่นหอมเย้ายวนจากเนื้อตัวเธอโชยถึงความรู้สึกของนรี และยิ่งเงยหน้าขึ้นมอง สบตา กับคนที่สูงกว่าทั้งรูปร่างและฐานะ เครื่องหน้าและแววตาทรงเสน่ห์ราวพิฆาตคนได้นั้น จิตใจหล่อนคล้ายเตลิด ไม่รู้แล้วว่า จังหวะหัวใจที่เต้นเป็นปกตินั้นเป็นเช่นไร หากตอบไปว่า ไม่เป็นไร จะถือว่า หล่อนพูดปดหรือไม่
“ นรี ”
น้ำเสียงไพเราะจากคนตรงหน้าดึงสติในคนฟังรู้ตัวว่า หล่อนยืนนิ่งงันเนิ่นนานผิดปกติเสียแล้ว
“ ไม่… ไม่เป็นไรค่ะ แค่ ตกใจ ” หล่อนอึกอักตอบไปเช่นนั้น พาให้อีกฝ่ายหลุดยิ้มเอ็นดูพลางปล่อยมือจากหล่อน วินาทีนั้น สัมผัสอุ่นยังกรุ่นหัวไหล่ขวาจนนรีประหลาดใจ หล่อนขยับก้าวถอยหลังแล้วก้มหน้าเล็กน้อย แม้ใจจริงจะอยากมองใบหน้าคุณเจ้านายตรงๆ ให้นานกว่านี้สักหน่อย เพื่อเก็บรายละเอียดความงามธรรมชาติที่หล่อนเฝ้าฝันมาหลายราตรีกาล ว่าจะได้มีโอกาสพบเห็นสักครั้งให้เป็นบุญตา แต่ความเขินอายที่บวกรวมเข้ากับมารยาทนบน้อมกลับวางตัวเป็นอุปสรรค ชวนให้หล่อนต้องหลบตาคุณเจ้านายในที่สุด
กระนั้น การตกอยู่ในสายตาของเธอก็ทำให้หล่อนหวิวในใจเต้นอยู่ทุกวินาที
“ คืนนี้เธอมาเร็ว ” คุณเจ้านายบอกขณะเหลือบมองนาฬิกาข้อมือสายหนังเรือนสวย ก่อนจะเอ่ยอีกว่า
“ ไหนๆ ก็มาแล้ว ไปด้วยกันหน่อยสิ ”
สิ้นประโยคนั้น คุณเจ้านายก้าวกลับเข้าห้อง ก่อนเบี่ยงกายเดินนำไปฝั่งขวาของประตู นรีรีบก้าวตามเธอเข้าไปในห้อง สายตาของหล่อนกวาดมองทุกสิ่ง แต่เวลาไม่กี่วินาทีนั้น ไม่เพียงพอให้หล่อนมองเห็นทุกอย่าง คุณเจ้านายก้าวลงบันไดวนไปแล้ว
การถูกจู่โจมด้วยสถานการณ์ที่ นรีโดนจับได้ว่า ตกหลุมรักคุณเจ้านาย พาให้หล่อนหลงลืมแทบทุกสิ่งรอบกาย ลืมแม้กระทั่งความสงสัยมากมายซึ่งบังเกิดมาตลอดระยะเวลาที่อยู่ใต้ชายคาเรือนนี้ จิตใจวนเวียนอยู่แต่กับการเรียบเรียงคำพูด ว่าควรเจรจาอย่างไรกับคุณเจ้านายในโอกาสต่อไป หล่อนควรถามว่าอะไรบ้างเพื่อความชัดเจนในความสัมพันธ์ และเพื่อให้ทราบแนวทางในการอยู่ร่วมกันหลังจากนี้ หล่อนลืมสังเกตไปเลยด้วยซ้ำว่า ณ ขณะนี้ คุณเจ้านายของหล่อนลับกายหายไปจากห้องโดยไม่ได้ผ่านออกทางประตูไม้ลายโบตั๋น หล่อนไม่ทันรู้สึกตัวเลยว่า เธอหายเงียบไปพักหนึ่งแล้วนรียืนนิ่งเอนตัวพิงขอบโต๊ะเขียนงานอยู่อย่างนั้นพักใหญ่ทีเดียว กว่าจะได้ยินเสียงฝีเท้า ตามด้วยเสียงบานพับประตูขยับไหว หล่อนหันมองตามทิศต้นเสียงทันที ครานี้ค่อนข้างชัดเจน ว่า เสียงเหล่านั้นดังมาจากมุมหนึ่งของห้อง ตรงข้างหน้าต่างฝั่งหลังเรือน นรีเพ่งมองไปในทิศนั้นอย่างจดจ่อ ทว่ายังไม่กล้าสืบเท้าก้าวไปสำรวจสิ่งใด แต่การปรากฎตัวในสายตาหล่อนอีกหนของคุณเจ้านาย แน่นอนแล้วว่า เธอเดินมาจากมุมห้องฝั่งนั้นจริงๆ“ว่าไงคะ ตั้งสติได้ถึงไหนแล้ว” คุณเจ้านายเอ่ยถามเมื่อเดินกลับเข้ามาใกล
วันถัดมา นรีได้ติดตามคุณทิพย์ไปโรงพยาบาลเพื่อพบหมอธนา โดยมีกานต์สิรีขับรถมารับถึงหน้าเรือนตั้งแต่ก่อนแปดโมงเช้า หล่อนได้เข้าไปยืนรอคุณทิพย์ในห้องหมอธนา จึงรับรู้อาการโรคที่รุมเร้าคุณทิพย์อยู่ แม้หมอธนาไม่ได้เอ่ยอะไรออกมาตรงๆ ไม่ได้แจกแจงความเป็นไปให้หล่อนฟัง แต่การซักถามระหว่างหมอกับคนไข้ก็ปรากฎเค้าลางข้อมูลหลายประการที่นรีพอจะคาดเดาได้ ว่าคุณทิพย์อาจเป็นทั้งเบาหวานและความดันสูง ตลอดจนโรคหัวใจบางประเภทและมีอาการทางจิตใจบางชนิด ขณะที่ภายนอกคุณทิพย์ดูปกติดี ในระดับที่ดูจะแข็งแรงกว่าคนวัยเดียวกันด้วยซ้ำเมื่อตรวจเสร็จหมอธนาเดินออกมาส่งทุกคนที่โถงทางเดิน พลางอธิบายเรื่องอาหารและการพักผ่อนที่เหมาะสมสำหรับคุณทิพย์ให้กานต์สิรีกับนรีรับทราบไว้ เพื่อให้ช่วยกันปรับพฤติกรรมของคุณทิพย์ให้รับกับอาการภายในร่างกายที่เริ่มเสื่อมถอยลง ก่อนจะขอตัวกลับไปตรวจคนไข้ ตอนนั้นเองที่กานต์สิรี หันมาบอกกับนรีว่า คุณทิพย์ต้องเข้ารับการบำบัดกับแพทย์อีกท่านเป็นการส่วนตัว ซึ่งอาจใช้เวลานานหลายชั่วโมง ให้นรีกลับบ้านไปก่อน เพื่อจัดการเตรียมอาหารเที่ยงและมื้อค่ำให้กับคุณเจ้านายที่กำลังปั่นต้นฉบับอย่างแข็งขันแทบจะทั้งว
หลายวันผันผ่านเรื่อยไป ต่อจากเล่ม ‘ควันรักปักใจ’ หนังสือทุกเล่มที่คุณเจ้านายเลือกให้นรี ก็ดูเหมือนจะยิ่งความยาวสั้นลง ราวกับว่าเธอต้องการให้หล่อนกลับเข้าไปคืนหนังสือถึงโต๊ะในเร็ววันยิ่งขึ้น เพราะนรีมักจะอ่านทุกเล่มนั้น จบภายในสองวัน และได้อ่านงานประพันธ์ของคุณข้าหลวงนิรนามจนครบทุกปกอย่างรวดเร็วหนำซ้ำ จากกลางดึกคืนนั้นที่นรีได้สัมผัสผิวเนื้อคุณเจ้านาย การนวดคลึงกายเพื่อผ่อนคลายก็กลายมาเป็นอีกหนึ่งหน้าที่ประจำของหล่อน ซึ่งเธอมักร้องขอต่อหล่อนแทบทุกค่ำคืน บ้างก็ด้วยท่าทีเมื่อยขบ บ้างก็ด้วยสายตาเว้าวอน หลังการทุ่มเขียนบางสิ่งลงหน้ากระดาษอยางยาวนาน ไม่ก็หลังจากนั่งกดแป้นพิมพ์อักษรนับชั่วโมง การณ์จึงกลับกลายเป็นว่า แทบไม่มีคืนใดเลยที่นรีจะไม่ได้ก้าวผ่านบานประตูลายโบตั๋นคู่นั้นคืนนี้ก็เช่นกัน หล่อนก้าวล่วงเข้าอาณาเขตห้องส่วนตัวของคุณเจ้านายเมื่อตอนเที่ยงคืนเศษ และลงมือบีบนวดกดคลึงทั้งบ่าไหล่ของเธอมาได้เกือบสิบนาที หล่อนอดไม่ได้ที่จะไม่ทิ้งสายตาไปจับความตัวอักษรมากมายบนโต๊ะเขียนงานตรงหน้า หล่อนลอบมองมาหลายหน แต่ไม่มีครั้งไหนที่เธอจะพลาด เปิดเนื้อความบนแผ่นกระดาษให้เผยต่อสายตาหล่อน ดังตอนนี้
นรีปลีกตัวออกจากห้องคุณเจ้านายมาได้ราวๆ เที่ยงคืน หล่อนกลับออกมานั่งประจำที่หน้าห้องนั้น บนเก้าอี้ไม้สักตัวเดิม และเริ่มพลิกหน้าบทประพันธ์ รินคำเข้าสมาธิ‘ฤดูแล้วฤดูเล่าผ่านไป ความเงียบระหว่างพวกนางกลับอัดแน่นด้วยพันธะที่มิอาจเรียบเรียงเป็นถ้อยคำ ลมหายใจแผ่วเบาและนิ้วที่เผลอแตะปลายกันบนขวดน้ำอบแค่ชั่วครู่ ก็มากพอจะทำให้หัวใจเต้นเกินควบคุม’หล่อนลอบมองคุณเจ้านายสลับกับมองเนื้อความบนหน้ากระดาษหนังสือในมือจนถึงตีสองเศษๆ คุณเจ้านายก็หรี่แสงในห้อง เป็นสัญญาณว่าเธอกำลังจะเข้านอน นรีจึงปิดคั่นหนังสือด้วยเส้นริบบิ้นผ้า แล้วลุกไปปิดบานประตูลายโบตั๋นเช่นทุกคืน ก่อนจะกอดเล่มหนังสือ เดินฝ่าความมืดกลับไปที่ฝั่งตะวันออก และเมื่อกลับถึงห้องนอนของตน หล่อนก็ได้มองเล่มนิยาย ‘ควันรักปักใจ’ อย่างเหม่อลอย ด้วยจิตใจที่ยังวุ่นวนอยู่กับคำสองคำนั้นกำลังดังก้องในความคิดหล่อนจนตกภวังค์เหม่อ‘...เราชอบ…’‘งั้นเหรอ’สมาธิในการอ่านหนังสือของหล่อนถูกสั่นคลอนพอสมควรทีเดียว ทั้งที่คราวนี้เป็นเพียงนวนิยายความยาวร้อยกว่าหน้า ก็ดูเหมือนว่าหล่อนจะอ่านวนไปมา ดูท่าจะต้องใช้เวลานานกว่าปกติเพื่อที่จะอ่านให้จบ ‘ร้อยกว่าหน้
“แปลว่ารักได้ ไม่ติดเหรอคะ” คุณเจ้านายเอ่ยถาม แน่นอนว่าเธอได้รับเพียงแววตาเกือบจะงุนงงของนรีตอบกลับไป เธอจึงได้ขยายความถามนั้น“หมายถึง นรีเอง ก็รักผู้หญิงได้ ใช่มั้ยคะ”“...”นรีกระพริบตาปริบๆ ทั้งเงียบไปครู่หนึ่ง ทำเอาคนรอฟังคำ นิ่งเงียบตามกันไปด้วย แต่เธอยังคงวางสายตาจับไว้ที่หล่อน ไม่ละไปโดยง่าย กระทั่งได้คำตอบ“คิด ว่ารักได้นะคะ” นรีตอบเสียงแผ่ว“ท่าทางไม่แน่ใจ” คุณเจ้านายกล่าวเช่นนั้น แล้วผินมองไปทางอื่น ในท่าทีใช้ความคิด เป็นจังหวะให้นรีได้รับอิสระเล็กน้อยจากการรอดพ้นสายตาเธอ แต่ยังไม่พ้นไปจากสนทนา“ที่ผ่านมา ยังไม่เคยตกหลุมรักผู้หญิงเลยสักคน… เหรอคะ” คุณเจ้านายปรายตากลับมามองนรีในท้ายประโยค พร้อมรอยยิ้มเล็กๆ ที่นรีมองทันเพียงชั่วครู่ก็รู้สึกใจเต้น พาลให้หล่อนนิ่งจนลืมตอบความ พยายามเลี่ยงหลบสายตาเธอสุดฤทธิ์ ขณะที่คุณเจ้านายวางมือลงค้ำยันกับโต๊ะเขียนงาน และโน้มตัวเข้าใกล้นรีมากขึ้น พลางกระซิบสรุป“เงียบแบบนี้ เราจะเหมาว่าเธอเคยตกหลุมรักใครสักคน ที่เป็นผู้หญิงนะคะ”นรีหันกลับไปมองคุณเจ้านายในระยะประชิดมากกว่าที่เคย หล่อนนึกเรียบเรียงคำโต้ตอบที่ยังไม่มั่นใจด้วยซ้ำว่า จะเอ่ยปฏิเสธห
คืนนั้น คุณเจ้านายไม่ได้นั่งอยู่ที่โต๊ะเขียนงานเมื่อหล่อนไปถึงหน้าห้อง พอตัดสินใจไปชะเง้อมองที่ใกล้ๆ บานประตู สอดส่องสายตาจนทั่วก็ยังไม่เห็นว่าเธออยู่ตรงไหนในห้อง นรีถอยจากประตูลายโบตั๋นมาเกาะขอบหน้าต่างโถงทางเดินที่มักเปิดไว้เสมอเพียงบานเดียวเพื่อรับลมในทุกคืน หล่อนคาดว่า คุณเจ้านายอาจลงไปเก็บดอกไม้กลางคืนเช่นเดียวกับตอนที่ลงไปเก็บดอกสเลเตก็เป็นได้ ทว่า เพ่งมองสวนดอกไม้สักเท่าไหร่ก็ไร้วี่แววร่างเงาเธอ“ดูอะไรอยู่เหรอ” เสียงคุณเจ้านายดังมาจากด้านหลัง พาหล่อนสะดุ้งใจหาย แต่ก็รีบเก็บอาการนั้นให้สงบลงโดยเร็วก่อนตอบกลับเธอไปว่า“เปล่าค่ะ” พลางเดินกลับไปที่เก้าอี้ไม้สน คุณเจ้านายพยักหน้าน้อยๆ แล้วเดินไปที่โต๊ะเขียนงาน เธอหยุดยืนอยู่ข้างเก้าอี้ รวบรวมเอกสารสองสามชุดให้เป็นกองเดียวกัน จัดเก็บเข้าแฟ้ม นำแฟ้มไปสอดไว้บนชั้นวางข้างโต๊ะฝั่งมุมห้อง ครั้นพอเดินย้อนกลับมาที่เก้าอี้อีกหน และเห็นว่านรียืนละล้าละลังอยู่หน้าห้อง







