แปลกดีที่ข้อความแรกจากคุณเจ้านายนั้นทำให้รู้สึกดีกว่าปกติ แม้จะชวนให้นรีคาใจนิดๆ ว่า คุณเจ้านายรู้หรือไม่ว่า กะเพราหมูสับไข่ดาวจานนั้นเป็นฝีมือหล่อนไม่ใช่อาหารจากร้านตามสั่งที่ไหน แต่การที่เห็นว่าเธอทานจนหมดทั้งจานก็น่าภูมิใจอยู่ไม่น้อยเลยแหละ
นรีเก็บเอาจานและแก้วน้ำจากโต๊ะไม้สนไปวางรวมกับกาน้ำชาในอ่างล้างจานก่อนจะเดินเลยเข้าห้องนอนตัวเองเพื่อเอากระดาษโน้ตจากคุณเจ้านายไปหาที่เก็บ หล่อนยืนพิจารณาที่ใกล้ๆ เตียงอยู่ครู่หนึ่งก็ตัดสินใจจะนำกระดาษแผ่นนั้นไปเก็บไว้ในลิ้นชักโต๊ะข้างเตียง แต่เมื่อเลื่อนเปิดลิ้นชักออกมานรีก็พบหนังสือเล่มหนึ่งวางสงบนิ่งอยู่ในนั้น เหมือนจะถูกลืมไว้มากกว่าถูกซ่อน หน้าปกเป็นภาพเบาะที่นั่งของรถโดยสาร ขสมก. พร้อมตัวอักษรระบุชื่อเล่ม ‘เหตุเกิดบนรถเมล์’ และมีตัวอักษรขนาดเล็กกว่าเยื้องลงมาด้านขวาล่าง แจ้งเป็นนามปากกาผู้แต่งไว้ว่า ‘คุณนนท์’
นรีหยิบเอาหนังสือเล่มนั้นออกมาและวางแผ่นกระดาษโน้ตลงไปแทนที่แล้วปิดลิ้นชักอย่างช้าๆ เพราะสายตาหล่อนกำลังจับจ้องที่เล่มหนังสือเล่มบางในมือขวา เมื่อละมือซ้ายจากที่จับลิ้นชักมา มือทั้งสองข้างก็ช่วยกันจับหนังสือเล่มนั้นให้ก่อนกรีดหน้ากระดาษตลอดทั้งเล่มหนึ่งรอบ เพื่อให้สายตาได้มองเนื้อความ ตัวอักษร และหน้ากระดาษ อย่างผ่านๆ ขณะที่กลิ่นกระดาษที่มีเอกลักษณ์มักชวนให้นักอ่านหลงใหลหนังสือกำลังฟุ้งอยู่ไม่ไกลปลายจมูก
‘อยู่ๆ ก็ได้อะไรอ่านฟรีแฮะ’
คิดๆ ไป เลิกคิ้วไปอย่างนึกฉงนในความบังเอิญ หล่อนวางหนังสือไว้ที่โต๊ะข้างเตียงและกลับออกมาที่ครัวเพื่อจัดการจานอาหาร แก้วน้ำและชุดกาน้ำชาให้กลับมาสะอาดอีกครั้ง ระหว่างที่กำลังวางจานไว้กับที่คว่ำจานข้างอ่างล้างจานอย่างระมัดระวัง เสียงหยดน้ำที่ทิ้งโรยตัวลงกระทบใบไม้ก็ดังมาถึงหู พอเดินตามเสียงไปดู ก็พบคุณทิพย์กำลังรดน้ำต้นผักหลากพันธุ์ในสวนหลังเรือนอย่างมีความสุข เป็นภาพที่เห็นแล้วนรีต้องยิ้มออกมาได้อีก ตั้งแต่มาอยู่กรุงหล่อนไม่ค่อยมีโอกาสได้เห็นวิถีชีวิตแบบนี้สักเท่าไหร่ และยิ่งเป็นคนที่ทำไปโดยไม่เหนื่อยหน่ายใจนี่ยิ่งไม่ใช่สิ่งที่จะเห็นได้บ่อยนัก
นรีออกไปช่วยคุณทิพย์รดน้ำผักสวนครัวจนทั่วทุกต้นทุกแปลง และพากันย้ายมารดน้ำสวนดอกไม้หน้าเรือนอีกที คุณทิพย์ว่า นี่เป็นหนแรกในรอบสามปีที่รดน้ำเสร็จก่อนฟ้าจะเริ่มมืด เพราะมีนรีช่วยอีกแรง นรีฟังแล้วจึงได้เริ่มมองสังเกตรอบกายตนให้ทั่วทิศ และตระหนักว่าบ้านวงศ์ทิมทองเป็นเรือนไม้หลังใหญ่สุดสงบที่โอบล้อมด้วยสวนดอกไม้และยังมีสวนผักหลังเรือนอีก แต่ทั้งเรือนกลับมีคนอยู่เพียงสองคน คนหนึ่งต้องยุ่งๆ วุ่นกับงานแทบจะตลอดเวลา ส่วนอีกคนก็อายุมากและเริ่มมีโรคภัยตามวัย เพราะเหตุนี้ จึงต้องมีการจ้างงานนรีเข้ามาช่วยจัดแจงดูแลให้ทั้งบ้านและสวนรวมถึงคนในบ้าน ยังอยู่ในสภาพที่ดีที่สุดเท่าที่จะสามารถเป็นได้
หลังจากรดน้ำต้นไม้เสร็จ คุณทิพย์ก็กลับขึ้นไปชั้นบนเพื่ออาบน้ำผลัดผ้าเป็นอีกชุด ส่วนนรีก็กลับเข้าครัวอีกครั้ง เพราะต้องรับหน้าที่เตรียมอาหารเย็นจากของเท่าที่มีอยู่ในครัว ค่ำนี้หล่อนจัดแจงหุงข้าวสารจนได้ข้าวสวยร้อนๆ ไข่เจียวใส่ต้นหอมกับพริกแดงซอย และซุปหมูสับหอมกรุ่นกลิ่นพริกไทยดำ ตอนที่ยกสำรับเล็กๆ ไปไว้ตรงโต๊ะไม้สน มีเสียงดนตรีบรรเลงแว่วมาจากชั้นบน ชวนให้หล่อนเงยหน้ามองขึ้นไปตรงช่องบันไดวนซึ่งเชื่อมบริเวณห้องนั่งเล่นชั้นล่างกับห้องนอนที่เต็มไปด้วยชั้นวางหนังสือของคุณเจ้านายถึงกันโดยตรง เพลงนั้นที่ได้ยินยังคงเป็นเพลงเดิม จังหวะเปียโนและเสียงซอสอดคล้องประคองหวานอย่างที่หล่อนเคยได้ฟังในคืนแรก ช่างลื่นหู ยิ่งฟังยิ่งใจล่องลอยไปชั้นบน นึกอยากเดินผ่านทุกอย่างที่ขวางกั้นเข้าไปในห้องนั้นของคุณเจ้านายเพื่อเสพเสียงและกลิ่นกระดาษหนังสือ
ตึ้ง!
เสียงอะไรบางอย่างตกกระแทกพื้นไม้ชั้นบนอย่างแรง นรีสะดุ้งนิดๆ แต่ใจในอกเต้นรัวฉับพลัน หล่อนรีบขยับเท้าก้าวเดินออกมาจากฝั่งตะวันตกของเรือนทันที
“ซดแล้วชื่นใจดี” คุณทิพย์เอ่ยออกมาหลังจากซดน้ำซุปไปหลายช้อน ทำเอานรียิ้มแก้มแทบปริ ระหว่างใช้ช้อนกลางตัดไข่เจียวเป็นชิ้นพอดีคำและตักไปไว้ในจานข้าวของคุณทิพย์อย่างระมัดระวัง พลางถามท่าน
“คุณอยากทานอะไรเป็นพิเศษบ้างมั้ยคะ”
“ถามอย่างนี้คงทำเป็นหลายอย่างเลยสิเรา” คุณทิพย์ว่าอย่างนั้นตอนบรรจงตักข้าวสวยขึ้นทานพร้อมไข่เจียวในคำเดียว
“ก็พอจะทำได้อยู่บ้างค่ะ แต่ก่อนวิ่งเล่นในครัวช่วยน้าช่วยยายทำกับข้าวบ่อยๆ ” นรีเล่าไปยิ้มไป ในอาการที่เผลอตกภวังค์เหม่อเล็กน้อยเพราะเกิดคิดถึงยายขึ้นมาเดี๋ยวนั้น
ตั้งแต่จำความได้ ก็มักจะเห็นยายนั่งหั่นผักแล่เนื้ออยู่ในครัวเพื่อเตรียมของสำหรับไปขายที่ตลาดเป็นภาพที่หล่อนไม่เคยลืม และกับข้าวกับปลาฝีมือน้าก็เป็นสิ่งที่หล่อนไม่เพียงแค่จดจำรสชาติได้แต่กลับรู้สึกคิดถึงอย่างสุดหัวใจเมื่อต้องไกลบ้าน ตลอดเวลาที่ต้องอยู่คนเดียวในเมืองกรุง แม้แต่เจ้าแมวน้อยตัวลายๆ สีหม่นๆ หล่อนก็อยากกลับไปเจอไปกอดมันให้แน่นๆ นักเชียว
“จะทำอะไรก็ทำเถอะ ฉันนึกไม่ออกว่าอยากกินอะไร เดี๋ยวนี้หมอให้คุมไขมันกับน้ำตาลให้พอดี เน้นให้สะอาดแล้วก็ย่อยง่ายหน่อยเท่านั้นแหละ” เสียงคุณทิพย์แจงเรื่องความสมควรของอาหารสำหรับผู้เริ่มสูงวัย ดึงให้จิตใจของนรีกลับมาอยู่กับเนื้อกับตัวอีกครั้ง ก่อนที่คุณทิพย์จะรวบช้อนส้อมวางไว้กลางจานที่ยังเหลือข้าวสวยอยู่นิดหน่อย นรีรีบลุกขึ้นยืนรอประคองคุณทิพย์ที่กำลังลุกจากเก้าอี้ โดยที่ข้าวในจานของหล่อนยังเกือบเต็มจานอยู่
“กินต่อเถอะ เดี๋ยวฉันขึ้นไปเอง เสร็จข้างล่างก็รีบตามมานะ คืนนี้ราชาวดีจะเจอคุณชายใหญ่แล้ว” คุณทิพย์พูดถึงละครโทรทัศน์เรื่องหนึ่งที่นรีขึ้นไปนั่งดูเมื่อคืนก่อนจึงเกิดรอยยิ้มอารมณ์ดีระหว่างคอละครต่างวัยทั้งสองคนที่โต๊ะอาหารของบ้านวงศ์ทิมทอง
นรีจัดการกับข้าวในจานตัวเองไปได้แค่ครึ่งจานเท่านั้นก็รู้สึกอิ่ม หล่อนจึงเริ่มเก็บกวาดทุกอย่างให้เข้าที่เรียบร้อย เตรียมจะปิดเรือนอย่างคืนแรก คือ เอาจานชามไปไว้ในอ่างล้างที่ครัวและเดินปิดประตูหน้าต่างทุกบานไล่จากฝั่งตะวันออกไปฝั่งตะวันตกและเก็บสำรับของคุณเจ้านาย ซึ่งมื้อนี้ก็มีกระดาษโน้ตวางไว้ข้างๆ แก้วน้ำเปล่าๆ เหมือนกับมื้อก่อน
-เผ็ดร้อนพริกไทยดีจัง ชอบไข่เจียวด้วย ขอบใจนะ-
แปลกมากที่ข้อความแสนธรรมดาในกระดาษโน้ตสีน้ำตาลแผ่นนี้ทำให้นรีรู้สึกร้อนๆ ที่ใบหน้า ยิ่งกว่าซดซุปหมูสับพริกไทยดำเข้าไปทั้งถ้วย และหัวใจก็ยังเต้นตึกตักผิดจังหวะปกติเสียอย่างนั้น
‘ทำไมเขินล่ะเนี่ย’
คิดๆ แล้วก็แอบส่ายหน้าไปมาให้กับความรู้สึกเขินแปลกๆ ของตัวเองก่อนจะยกถาดสำรับมื้อเย็นของคุณเจ้านายกลับไปที่ครัว รีบล้างทำความสะอาดทุกอย่างและเข้าห้องนอนทันที ตรงไปเปิดลิ้นชักโต๊ะข้างเตียงหย่อนกระดาษโน้ตแผ่นใหม่ลงไปแล้วถอดชุดที่ใส่โยนลงตะกร้าพลางคว้าผ้าเช็ดตัวเดินเข้าห้องน้ำ ระหว่างที่น้ำจากฝักบัวทองเหลืองชะโลมลงทั่วร่างนั้นหล่อนหนาวสะท้านแต่ก็ยังหันไปมองจ้องขวดครีมอาบน้ำ
“สบู่ปีบ หายากนะ รู้มั้ย”
เสียงใครบางคนดังแทรกเข้ามาในความคิด และยิ่งชวนให้เขินไปกันใหญ่เมื่อนึกได้ว่า ตอนที่ได้ยินประโยคนี้หล่อนปิดประตูห้องไม่สนิทด้วยซ้ำ คนที่พูดประโยคนี้นั้นบังเอิญเห็นเรือนร่างของหล่อนไปแล้วหรือยังนรีก็ไม่อาจรู้ได้ คิดอย่างนั้นแล้วความรู้สึกวูบวาบเรือนกายก็เข้าจู่โจมให้รู้สึกวุ่นวายใจ ชักจะเริ่มสงสัยด้วยว่า หากคุณเจ้านายรู้ตัวว่า แผ่นหลังขาวนวลที่เปลือยเปล่าของเธอเคยตกอยู่ในสายตาของนรีมาแล้วครั้งหนึ่ง เธอจะวุ่นวายใจเช่นเดียวกันกับที่หล่อนกำลังเป็นอยู่ตอนนี้หรือไม่
นรีส่ายหน้าไปมาสะบัดความคิดต่างๆ ทิ้งไปอีกรอบ แล้วรีบอาบน้ำให้เสร็จก่อนโรคหวัดจะถามหา และออกจากห้องน้ำมาสวมชุดนอนซึ่งเป็นเพียงเสื้อยืดสีชมพูอ่อนกับกางเกงกีฬาขาสั้นสีดำแถบขาว หลังจากนำผ้าเช็ดตัวไปพาดไว้ที่ราวข้างตู้เสื้อผ้าเล็กๆ หล่อนก็ออกจากห้องแล้วขึ้นไปหาคุณทิพย์ที่ชั้นบนเพื่อนั่งดูละครโทรทัศน์กับท่าน แต่ระหว่างที่ขึ้นบันไดไปถึงชั้นบนนั้นหล่อนแอบมองไปฝั่งตะวันตกอย่างอดไม่ได้ ประตูห้องนอนของคุณเจ้านายยังไม่เปิด ทุกอย่างที่โถงข้างนอกนี่จึงดูเงียบเหงาชอบกล เพราะมีเพียงลมที่พัดผ่านบานหน้าต่างเข้ามาเท่านั้น ไม่มีเสียงดนตรีดังออกมาจากห้องคุณเจ้านายเหมือนตอนที่หล่อนต้องนั่งเฝ้าอยู่หน้าประตูนั่น หล่อนเบี่ยงตัวเดินเลี้ยวไปฝั่งตะวันออก เคาะประตูห้องนอนคุณทิพย์สองทีก่อนเปิดประตูเข้าไปและลงนั่งพับเพียบข้างเตียงนอน ใกล้ๆ กับคุณทิพย์ที่ปูผ้านั่งบนพื้นหน้าโทรทัศน์
พระนางในช่องแก้วตรงหน้าช่วยดึงความสนใจนรีได้มากพอให้หล่อนหลุดจากความวุ่นวายใจเรื่องคุณเจ้านายมาได้เพราะเนื้อเรื่องที่เข้มข้นข้ามภพข้ามชาติชวนให้ติดตามนั้นค่อนข้างถูกใจหล่อนอยู่ไม่น้อย ช่างโชคดีจริงๆ ที่ได้งานดูแลคนที่เป็นคอละครแนวเดียวกันเช่นนี้ เมื่อละครจบตอนและพาคุณทิพย์เข้านอนตามเวลาแล้ว นรีก็ไม่ได้รู้สึกวุ่นวายใจอะไรอีกแล้ว ราวกับหลงลืมความรู้สึกขัดเขินไปจนหมดในเวลาเพียงไม่กี่ชั่วโมง หล่อนออกจากห้องคุณทิพย์มาอย่างเงียบเชียบ เดินผ่านบันไดกลางไปที่หน้าห้องคุณเจ้านายซึ่งบัดนี้ บานประตูได้ถูกเปิดเอาไว้แล้ว มีเสียงเพลงดังคลอแว่วออกมาเช่นเดิม แต่คืนนี้ มีกลิ่นหอมฟุ้งอยู่บริเวณนั้นด้วย นรีมองไปทั่วๆ รอบกายจนพบต้นตอของกลิ่นนั้น ซึ่งก็คือแก้วใสใบย่อมที่มีดอกไม้สีขาวดอกเล็กๆ ก้านดอกยาวๆ หลายดอกรวมกันเป็นช่อใหญ่ใส่ไว้ แก้วใบนั้นวางอยู่บนโต๊ะเล็กๆ ใกล้เก้าอี้ไม้สักที่หล่อนต้องนั่ง แก้วนั่นวางทับแผ่นกระดาษโน้ตสีน้ำตาลคุ้นตา เขียนข้อความด้วยลายมือที่ชักจะคุ้นใจ
-ได้กลิ่นสบู่แล้วนึกถึงเลยปั่นจักรยานไปเก็บมา เราแบ่งให้นะ มันหอมดี-
“บ้าจริง” นรีพึมพำออกมาเบาๆ ขณะที่รู้สึกถึงความสั่นในอกจนต้องยกฝ่ามือขึ้นทาบและรับรู้ถึงจังหวะการเต้นของหัวใจตัวเองที่เร็วกว่านาทีที่แล้วอย่างเห็นได้ชัด ใครก็ได้ช่วยบอกทีเถอะว่า ทำไมหล่อนถึงรู้สึกเช่นนี้ได้ ทั้งที่คนในห้องนั้นที่เป็นเจ้าของข้อความนี้ก็เป็นผู้หญิงด้วยกันและยังเป็นคนที่หล่อนไม่เคยพบหน้าเลยสักครั้ง
นรีทรุดลงนั่งที่เก้าอี้ไม้สักตัวเดิม สายตาที่ทอดมองไปเบื้องหน้าแฝงด้วยความรู้สึกสับสนหลายประการ ขณะที่จ้องมองแผ่นหลังของคุณเจ้านายที่ดูเหมือนจะกำลังใช้ความคิดอย่างหนักจนไม่รู้สึกตัวว่าได้ตกอยู่ในสายตาของใครอีกคนเข้าแล้วในเวลานี้
ลึกในใจของผู้ลักลอบทอดสายตาสัมผัสความเย้ายวนในระยะราวๆ แปดก้าวเดินแอบคิดครวญหนักจิต ว่า เป็นเรื่องเกินจริงหรือไม่ หากใครสักคนจะตกหลุมรักใครสักคนจนหมดใจ ผ่านตัวอักษรและน้ำเสียง
‘ถ้าเจอหน้าสักครั้ง จะเป็นไงนะ’
นรีหลุดคิดคำนึงท่ามกลางความเงียบสงัดแห่งรัตติกาล ก่อนไฟในห้องคุณเจ้านายหรีสลัวลงหลังเที่ยงคืนเล็กน้อย
“แปลว่ารักได้ ไม่ติดเหรอคะ” คุณเจ้านายเอ่ยถาม แน่นอนว่าเธอได้รับเพียงแววตาเกือบจะงุนงงของนรีตอบกลับไป เธอจึงได้ขยายความถามนั้น“หมายถึง นรีเอง ก็รักผู้หญิงได้ ใช่มั้ยคะ”“...”นรีกระพริบตาปริบๆ ทั้งเงียบไปครู่หนึ่ง ทำเอาคนรอฟังคำ นิ่งเงียบตามกันไปด้วย แต่เธอยังคงวางสายตาจับไว้ที่หล่อน ไม่ละไปโดยง่าย กระทั่งได้คำตอบ“คิด ว่ารักได้นะคะ” นรีตอบเสียงแผ่ว“ท่าทางไม่แน่ใจ” คุณเจ้านายกล่าวเช่นนั้น แล้วผินมองไปทางอื่น ในท่าทีใช้ความคิด เป็นจังหวะให้นรีได้รับอิสระเล็กน้อยจากการรอดพ้นสายตาเธอ แต่ยังไม่พ้นไปจากสนทนา“ที่ผ่านมา ยังไม่เคยตกหลุมรักผู้หญิงเลยสักคน… เหรอคะ” คุณเจ้านายปรายตากลับมามองนรีในท้ายประโยค พร้อมรอยยิ้มเล็กๆ ที่นรีมองทันเพียงชั่วครู่ก็รู้สึกใจเต้น พาลให้หล่อนนิ่งจนลืมตอบความ พยายามเลี่ยงหลบสายตาเธอสุดฤทธิ์ ขณะที่คุณเจ้านายวางมือลงค้ำยันกับโต๊ะเขียนงาน และโน้มตัวเข้าใกล้นรีมากขึ้น พลางกระซิบสรุป“เงียบแบบนี้ เราจะเหมาว่าเธอเคยตกหลุมรักใครสักคน ที่เป็นผู้หญิงนะคะ”นรีหันกลับไปมองคุณเจ้านายในระยะประชิดมากกว่าที่เคย หล่อนนึกเรียบเรียงคำโต้ตอบที่ยังไม่มั่นใจด้วยซ้ำว่า จะเอ่ยปฏิเสธห
คืนนั้น คุณเจ้านายไม่ได้นั่งอยู่ที่โต๊ะเขียนงานเมื่อหล่อนไปถึงหน้าห้อง พอตัดสินใจไปชะเง้อมองที่ใกล้ๆ บานประตู สอดส่องสายตาจนทั่วก็ยังไม่เห็นว่าเธออยู่ตรงไหนในห้อง นรีถอยจากประตูลายโบตั๋นมาเกาะขอบหน้าต่างโถงทางเดินที่มักเปิดไว้เสมอเพียงบานเดียวเพื่อรับลมในทุกคืน หล่อนคาดว่า คุณเจ้านายอาจลงไปเก็บดอกไม้กลางคืนเช่นเดียวกับตอนที่ลงไปเก็บดอกสเลเตก็เป็นได้ ทว่า เพ่งมองสวนดอกไม้สักเท่าไหร่ก็ไร้วี่แววร่างเงาเธอ“ดูอะไรอยู่เหรอ” เสียงคุณเจ้านายดังมาจากด้านหลัง พาหล่อนสะดุ้งใจหาย แต่ก็รีบเก็บอาการนั้นให้สงบลงโดยเร็วก่อนตอบกลับเธอไปว่า“เปล่าค่ะ” พลางเดินกลับไปที่เก้าอี้ไม้สน คุณเจ้านายพยักหน้าน้อยๆ แล้วเดินไปที่โต๊ะเขียนงาน เธอหยุดยืนอยู่ข้างเก้าอี้ รวบรวมเอกสารสองสามชุดให้เป็นกองเดียวกัน จัดเก็บเข้าแฟ้ม นำแฟ้มไปสอดไว้บนชั้นวางข้างโต๊ะฝั่งมุมห้อง ครั้นพอเดินย้อนกลับมาที่เก้าอี้อีกหน และเห็นว่านรียืนละล้าละลังอยู่หน้าห้อง
กลิ่นตะไคร้บุบ และใบมะกรูดฉีก ในน้ำซุป โชยฟุ้งทั่วครัวในช่วงเย็นของวันถัดมา ในหม้อต้มขนาดกลาง มีเนื้อวัวส่วนที่นรีพอหาได้จากตลาดเช้า ถูกเคี่ยวตุ๋นมาได้พักใหญ่แล้ว แม้แรกทีเดียว หล่อนเคยคิดว่าจะไม่ลองภูมิใดใดกับการทำเมนูโบราณที่ไม่คุ้นเคย ทว่าเหลียวมองไปถ้วนทั่วสวนผักหลังเรือน ก็พบว่า เครื่องผักสมุนไพรครบครันตามสูตรที่จดมาจากหนังสือ กลิ่นรัญจวนในครัวใจ แค่เพียงหาเนื้อวัวให้ได้ก็พร้อมปรุง หล่อนจึงทำใจดีสู้เสือเลือกเอาเมนูนี้มาตั้งสำรับเย็น“กลิ่นชวนหิวดีจังวันนี้” คุณทิพย์เอ่ย เมื่อนรียกชามแกงรัญจวนวางเสิร์ฟที่โต๊ะอาหาร จิตใจหล่อนดูจะล่องลอยสักนิด จึงไม่ได้ตอบกลับอะไรนอกจากยิ้มนอบน้อมเช่นเคยเหตุที่ทำให้หล่อนใจไม่อยู่กับเนื้อกับตัว คือสิ่งที่เกิดกับตัวหล่อนเมื่อไม่กี่นาทีก่อนหน้านี้ โดยเนื่องมาจากว่า หล่อนไม่แน่ใจในคำสั่งของคุณเจ้านายที่บอกไว้เมื่อคืนที่ให้หล่อนยืมเล่ม หอมลมกลิ่นรัก มา เธอว่า‘คืนที่โต๊ะนะคะ’หล่อนซึ่งปกติไม่เคยก้าวเข้าห้องส่วนตัวคุณเจ้านายโดยไม่ได้รับอนุญาต จึงตีความเอาเองว่า โต๊ะที่เธอพูดถึง คงหมายถึงโต๊ะไม้สนชั้นล่าง เพราะเป็นโต๊ะที่เกี่ยวข้องกับหน้าที่หล่อนโดยตรง วั
‘สองฝั่งคลอง’… ‘มาลัยสามชาย’ … ‘ทวิภพ’‘กรงกรรม’ … ‘ฤกษ์สังหาร’ … ‘บ้านทรายทอง’รายนามบนสันหนังสือที่นรีเลื่อนสายตาผ่านนั้น มีแต่ชื่อโด่งดังคุ้นหู ที่บางเรื่องก็เคยดูเป็นละครโทรทัศน์รีรันซ้ำซากจนคุ้นตาแทบทั้งหมด หล่อนเถียงในประเด็นที่ว่า นี่คือหนังสือหายากทรงคุณค่า และหล่อนก็ไม่เกี่ยงนักหรอกที่ต้องอ่านนิยายละครโทรทัศน์ แต่ก็ต้องยอมรับว่า เรื่องเล่าในเล่มเหล่านั้นไม่ใช่เรื่องราวแปลกใหม่ น่าสนใจเพียงพอจะดึงความสนใจของหล่อนได้‘สาปภูษา’ … ‘กำไลมาศ’ … ‘กาหลมหรทึก’ ‘เกิดแต่ตม’ … ‘หลงเงาจันทร์’ … ‘รากนครา’หากต้องเลือกเล่มใดไปอ่านเฉพาะชั้นวางนี้ นรีก็ไม่ติดขัดใจ เพราะอย่างน้อยการได้มีอะไรให้อ่า
‘สูตรแกงรัญจวนของวังเจ้านั้นพิถีพิถันนัก เริ่มจากปลายครกที่ต้องตำพริกขี้หนูสวนด้วยเกลือป่นให้ฟู ต้มปลาเค็มที่รมด้วยฟืนเปลือกมะกรูด น้ำแกงต้องขลุกขลิก ใส่ตะไคร้หั่นบาง ใบมะกรูดฉีก และใบโหระพาจากสวนด้านเหนือเท่านั้น กลิ่นขึ้นจากไอร้อน เหมือนจิตใจคนกำลังเร่าร้อนแต่ไม่กล้ากล่าวรัก แกงนี้ต้องกลั้นใจขณะตัก กลิ่นจะยิ่งลอยชัด… คล้ายรักที่ยิ่งปิด ยิ่งฉุน ยิ่งยากลืม’นรีปิดหนังสือลงวางกับตัก เมื่อได้ยินเสียงคุณทิพย์ขยับตัว พยายามปรับสติเรียกอารมณ์ให้ตนเองกลับสู่โลกแห่งความจริงเพียงชั่วพริบตา ก่อนหันไปหาคุณทิพย์ที่กำลังกลับจากภวังค์นิทรายามบ่าย“ลมดีจริงเชียว” คุณทิพย์พึมพำเสียงแผ่ว ตาปรือเล็กน้อย ออกอาการเพลียคล้ายติดงัวเงียอยู่สักนิด“สักพักฝนอาจจะตก… เข้าบ้านกันดีมั้ยคะ” นรีเอ่ยชวนพลางรวบรวมเอาชุดถ้วยชาลายครามใส่ถาดเดียวกับกาน้ำชาไว้รอท่า เมื่อเห็นคุณพยักหน้าเชิงว่ารับคำ
มื้อเย็นวันนั้น ไม่มีอะไรเด่นแซ่บไปกว่าลาบหมูฝีมือดารัณที่ทำแยกมาสองรส สำหรับคุณทิพย์และสำหรับทุกคน รสเค็มเผ็ดนัวตัดเปรี้ยวด้วยน้ำมะนาวแป้นสดจากสวนหลังเรือน คละเคล้าผักหอมแล้วยังฟุ้งไปด้วยข้าวคั่วสมุนไพรที่ทำพิเศษเฉพาะวันนี้ ทำให้ทุกคำที่บดเคี้ยว สติของนรีหวนคืนมวลอารมณ์คิดถึงบ้าน คิดถึงยาย บาดลึกไปทุกทีการเก็บกลืนรส แม้จะทำตัวนิ่ง ดูสงบ แต่น้ำตากลับคลอรื้นออกมาอยู่ดี“นรี… นรีคะ” เสียงคุณเจ้านายทักขึ้นเบาๆ พร้อมสายตาอุ่นๆ ที่ส่งมาจากอีกฝั่งโต๊ะอาหาร ก่อนเอ่ยถาม“เป็นอะไรรึเปล่า”“แค่… คิดถึงบ้านค่ะ” นรีตอบสั้นๆ ตามตรง พร้อมรอยยิ้มบางๆ พลางเอื้อมหยิบกระดาษทิชชู่มาซับน้ำตา“ เพราะลาบหมูเนี่ยเหรอ” คุณทิพย์ถามขึ้น นรีพยักหน้ารับและตอบว่า