ไม่ถึงสามนาทีหลังจากก้าวพ้นขั้นล่างสุดของบันไดวน นรีที่สวมรองเท้าลำลองคู่สำรองของคุณเจ้านายก็ออกมาเดินย่ำสนามหญ้าตามหลังคุณเจ้านายเสียแล้ว ทางที่บุกฝ่ากันไปนั้น บางช่วงที่ไร้แสงไฟสวนก็เกือบมืดสนิท เธอก้าวเดินรวดเร็ว ไม่เร่งรีบแต่คล่องตัวกว่าหล่อนหลายขุม เพียงครู่เดียวเธอก็ได้หยุดยืนมองกลุ่มต้นสเลเตที่ปลูกเป็นแนวยาวเคียงรั้วบ้านวงศ์ทิมทองฝั่งตะวันตก ดอกสีขาว ก้านยาว หอมเย็น บานสะพรั่งชุ่มฝน ละลานตา เธอลงมือเก็บดอกสเลเตทีละดอกจนได้เป็นกำเป็นช่อแล้วหันมาฝากนรีถือไว้ ก่อนหันกลับไปเก็บดอกไม้ตรงหน้าต่ออีกหลายดอก ท่าทางแสนสุขของเธอนั้น บ่งบอกชัดเจนว่าเธอหลงใหลเหล่าไม้หอมมากมายเอาการ แต่ที่ชัดกว่าสิ่งใดสำหรับนรี คือหล่อนนั้น ไม่พ้นจะหลงเสน่ห์คุณเจ้านายเข้าเต็มขั้นเช่นกัน หล่อนปล่อยใจ ให้เผลอไผลเพ่งพิศคนตรงหน้า ทั้งเสื้อเชิ้ตสีแดงเข้มตัดกับกางเกงขาวตัวยาว ที่ให้ความรู้สึกติดหรูนิดๆ ทั้งกลิ่นหอมจางๆ คล้ายน้ำหอมน้ำปรุงมีราคาที่ยังคลุ้งอยู่บนตัวเธอแม้จะฉีดพรมตั้งแต่เมื่อเย็นก่อนออกจากบ้านไป และอีกทั้งรอยยิ้มของเธอ ที่นรีเพิ่งจะเคยได้เห็นเป็นครั้งที่สอง
ระหว่างที่คุณเจ้านายรื่นรมย์ชมสวน ทั้งเก็บเกี่ยวไม้ดอกเพลิดเพลินอยู่นั้น นรีเงยหน้ามองฟ้าก็ชักหวั่นใจ เนื่องด้วยกลุ่มเมฆดำใหญ่ได้กลืนเดือนเพ็ญไปแล้วทั้งดวง แต่ก่อนที่หล่อนจะทันได้กล่าวสิ่งใด หยาดฝนโครมใหญ่ก็ซัดลงมาโดยไร้ปราณีต่อสตรีผู้ซุกซนทั้งสอง
“ โอ๊ะ… แย่แล้ว นรีไปเร็ว ”
น้ำเสียงของคุณเจ้านายช่างน่ารัก แต่การกระทำของเธอหลังจากนั้นช่างร้ายกาจต่อใจนรี
คุณเจ้านายส่งดอกสเลเตทั้งหมดในมือมาให้นรีถือไว้ ส่วนตัวเธอวาดแขนโอบประคองตัวนรีให้เดินฝ่าพายุฝนไปพร้อมกัน ช่างน่าเหลือเชื่อที่ในเหตุการณ์ฉับพลันทันด่วนเช่นนั้น นรียังใจเต้นกับการประชิดแนบกายระหว่างหล่อนกับเธอ มากกว่าจะตื่นตระหนกตกใจเสียงฟ้าร้องฟ้าผ่าเสียอีก
นรีเคลื่อนที่ว่องไวราวกับลอยตัวผ่านม่านฝนเพราะแรงผลักดันจากคุณเจ้านายที่ประคองกอดตัวหล่อนไว้อย่างแน่นหนาจนมาถึงชานเรือนฝั่งตะวันตก คุณเจ้านายให้นรียืนรอ ขณะที่เธอหยิบเอาพรมเช็ดเท้าผืนใหญ่พิเศษมาวางปูจากหน้าประตูไปถึงห้องน้ำส่วนตัวของเธอ
“ เดินบนพรม แล้วเข้าห้องน้ำไปเลย ” คุณเจ้านายว่าอย่างนั้น ก่อนหันไปปิดประตูเรือนหลังจากนรีก้าวเดินไปบนพรมตามที่เธอสั่ง นรีก้าวเข้าไปยืนเก้ๆ กังๆ ในห้องน้ำกว้างขวางห้องนั้น สายตาหล่อนยังคงสะดุดกับคำสโลแกนบนขวดครีมอาบน้ำขวดเดิม
– เสน่ห์ หอม ต้องห้าม –
ก่อนที่หล่อนจะเริ่มคิดครวญกับคำว่า ต้องห้าม ผ้าขนหนูผืนหนึ่งจากมือของคุณเจ้านายก็คลี่กางลงคลุมเรือนผมเปียกปอนของหล่อน ตามด้วยสัมผัสคลึงเคล้าเบามือครู่หนึ่งก่อนเจ้าของมือนั้นจะเอ่ยกับหล่อนว่า
“ เราว่าเธอต้องอาบน้ำอีกรอบ ”
“ คะ เอ่อ… ” นรีรีบรวบเอาผ้าขนหนูส่งคืนคุณเจ้านายก่อนขอตัวกลับห้อง
“ ถ้าอย่างนั้นฉันกลับ.. ”
“ ไม่ได้ค่ะ ไม่เดินไปมาบนเรือนตอนตัวเปียกนะคะ พื้นจะมีรอยน้ำ ” คุณเจ้านายว่าพลางยื่นแขนมากั้นตัวหล่อนไว้ได้ทันก่อนจะก้าวออกจากห้องน้ำ
“ อาบน้ำที่นี่ได้เลย ” คุณเจ้านายบอกแล้วเดินไปหยิบเอาผ้าเช็ดตัวจากตู้เก็บของในห้องน้ำมาให้นรี หล่อนรับผ้าผืนนั้นไปห่มกายที่เสื้อผ้าเปียกแนบเนื้อจนดูไม่สุภาพไว้ก่อนบอกกับคุณเจ้านายว่า
“ คุณก็เปียกฝนเหมือนกัน คุณอาบก่อนเลยค่ะ ฉันจะไปรอข้างนอกตรงพรม ”
“ เธออาบก่อนเถอะ เธอแค่ล้างตัว เธอเพิ่งอาบน้ำก่อนมาห้องเรา แต่เราไปข้างนอก กลับมาก็ยังไม่ได้อาบเลย เราอาบนาน เธอรอนาน เธอป่วยพอดี ” คุณเจ้านายแย้ง แกมออกคำสั่งพลางต้อนให้นรีต้องเดินเข้าไปใต้ฝักบัวทองเหลือง เธอยิ้มให้นรีก่อนผละไปที่ตู้เก็บของ หยิบเอาชุดคลุมอาบน้ำออกมา จากนั้น เสื้อเชิ้ตสีแดงเข้มกับกางเกงสีขาวขายาวที่เปียกชุ่มฝนของเธอก็ถูกเจ้าตัวปลดเปลื้องจากเรือนกายโดยหันหลังให้นรี แผ่นหลังนวลเนียนตรงหน้า ชวนให้หล่อนนึกถึงวันแรกของการทำงานที่นี่ หล่อนนิ่งอึ้งยืนมองเธออย่างลืมตัว จนกระทั่ง…
“ อาบน้ำได้แล้วค่ะ นรี ”
คุณเจ้านายซึ่งกำลังผูกปมที่เอวชุดคลุมอาบน้ำกล่าวดึงสติหล่อน ก่อนเดินออกไปจากห้องน้ำ ทิ้งหล่อนไว้กับอาการร้อนรนจนใจ
ดอกสเลเตมากกว่ายี่สิบดอกวางกองที่ขอบอ่างล้างหน้าส่งกลิ่นหอมแรง ขณะนรีซึ่งล้างตัวเสร็จสรรพกำลังส่องกระจกเงาเหนืออ่างนั้น จ้องมองเงาของตนที่สะท้อนมาด้วยอาการใจลอยเต็มขั้น ไม่แน่ใจว่า คุณเจ้านายไม่ถือตัวหรือแค่ลืมตัว ถึงได้ปลดเสื้อถอดผ้าต่อหน้าหล่อนได้เช่นนั้น ระหว่างครุ่นคิด เสียงเคาะประตูก็ดังขึ้นสองหน ก่อนบานประตูจะแง้มเปิดกว้างเพียงคืบ มือสวยสะอาดของคุณเจ้านายสอดยื่นเข้ามาพร้อมเสื้อผ้าสีเทาอ่อนหนึ่งชุด
“ ใส่นี่ ” เธอว่า พลางขยับข้อมือเล็กน้อย เป็นเชิงให้รีบรับชุดไปสวมใส่ตามสั่ง นรีเอื้อมมือไปรับชุดนอนมาแทบจะทันที ตัวหล่อนเองก็ลืมไปเสียสนิทว่า ไม่มีเสื้อผ้าสำหรับผลัดเปลี่ยน
คุณเจ้านายถอนมือกลับออกไปนอกประตูแล้ว ทว่า เธอไม่ได้ปิดบานประตูให้สนิทดังเดิม สายตานรีจับจ้องที่ช่องประตู แต่ใจหล่อนคิดวนเวียนไปถึงวันแรกที่มาเหยียบเรือนนี้อีกหน ครั้นเลื่อนสายตากลับมามองกระจกเงาเหนืออ่างล้างหน้า ความทรงจำยิ่งขับชัดขึ้นในความคิด หล่อนนึกสงสัย
‘ วันนั้น เธอรู้ตัวรึเปล่านะ ’
นรีรีบสลัดความฉงนให้ปลิดปลิวไป พลางสวมใส่ชุดนอนแสนสบายที่คุณเจ้านายกรุณาให้ยืมอย่างรวดเร็ว ก่อนพาตนเองออกจากห้องน้ำ และเห็นว่า คุณเจ้านายกำลังดึงลากเก้าอี้จากโต๊ะไม้สนมาวางที่โถงทางเดิน เธอผายมือไปที่เก้าอี้ตัวนั้นทันทีที่หันมาพบนรีในชุดเสื้อยืดสีเทาอ่อนและกางเกงขายาวสีเดียวกัน
“ รอตรงนี้นะคะ แล้วเดี๋ยวขึ้นข้างบนพร้อมกัน ”
แน่นอนว่านรีทำตามสั่งอย่างว่าง่าย หล่อนทรุดนั่งบนเก้าอี้ที่ทราบดีว่า เป็นเก้าอี้ประโต๊ะอาหารของคุณเจ้านาย ประจันหน้ากับผนังไม้ซึ่งกั้นระหว่างโถงทางเดินกับห้องน้ำส่วนตัวของเธอ หากหล่อนชำเลืองมองเยื้องไปทางซ้ายอีกนิด จะพบกับบานประตูห้องน้ำซึ่งแง้มเปิดไว้ไม่ต่างจากวันนั้น
แม้ไอร้อนจะแผ้วพานบานกระจกวงรีนั่น แต่เงาร่างของดารัณที่สะท้อนต่อสายตานรีกลับชัดเจนเกินควร กลิ่นครีมอาบน้ำแสนวิเศษนั้นหอมฟุ้งโชยลมผสมกลิ่นฝนยามดึกให้ความรู้สึกชวนฝันล่องลอย
นรีพยายามเก็บสายตาของตนให้มองลงพื้นเรือน จิตใจหล่อนชักซุกซนเกินพอดีเสียแล้วในคืนนี้ หล่อนสั่งร่างกายตนให้หลับตา
“ นอกจากมาที่ห้องเร็วกว่าปกติ คืนนี้เธอก็ง่วงเร็วกว่าปกติด้วยเหรอ ” เสียงคุณเจ้านายเอ่ยขึ้นในระยะใกล้ตัวเกินคาด ทำเอานรีสะดุ้งไม่เบา ด้วยหล่อนมัวแต่ก้มหน้าหลับตาข่มตน จนไม่รู้สึกตัวเลยสักนิด ว่า เสียงฝักบัวในห้องน้ำหยุดไหลได้สักพักแล้ว
“ ฝากถือขึ้นไปข้างบนด้วยค่ะ ” คุณเจ้านายกล่าวพร้อมนำดอกสเลเตทั้งหมดที่เธอรวบเรียงเป็นกำมาไว้ที่มือนรี ตัวเธอโน้มลงมาใกล้ในชุดคุ้นตาที่นรีเคยลอบมองเพียงข้างหลัง แต่ ณ เวลานี้ ร่างกายงดงามได้ปรากฏต่อสายตาหล่อนแล้วในที่สุด
ชุดนอนของดารัณเป็นเพียงเสื้อกล้ามสีเข้มกับกางเกงขายาวสีอ่อนผ้าบางสบาย เมื่อมองจากด้านหน้า ในกิริยาก้มโน้มตัวเช่นยามนี้ ส่วนที่ดึงสายตาที่สุด หากนรีจำเป็นต้องก้มหน้าหลีกหนีจากแววตาทรงเสน่ห์ก็ไม่พ้นเนินอกผ่องซึ่งหลุดรอดจากการปกปิดของเสื้อกล้ามพอดีตัวออกมาอวดโฉมอย่างไม่เขินอายผู้พบเห็น
นรีชักแปลกใจตนเอง ว่า ขีดจำกัดในการชื่นชมหลงใหลคุณเจ้านายของหล่อนนั้นจะมีวันสิ้นสุดหรือไม่
เมื่อนรีรวบรับดอกสเลเตมาถือไว้ มือข้างเดียวกับที่ส่งดอกสเลเตให้นรีก็เลื่อนมาแตะคางหล่อนแล้วเชยขึ้น เจ้าของมือ สบตาหล่อนนิ่ง ราวๆ สองวินาทีกว่า นรีคาดเดาเอาเองว่า หล่อนถูกจับได้คาหนังคาเขา เพราะสายตาซุกซนจนเหมือนคุกคาม ทว่า ดารัณยิ้มออกมาอีกครั้ง ด้วยมวลอารมณ์ที่ต่างจากรอยยิ้มก่อนหน้าทั้งหมด และครานี้ ไร้คำสนทนาใดระหว่างหล่อนและเธอ มีเพียงความรู้สึกเย้ายวนยากอธิบายที่ก่อตัวขึ้นช้าๆ ในความเงียบ
คุณเจ้านายถอนหายใจแผ่ว และละมือไปจากหล่อน ราวจงใจให้ผู้ร้ายลอยนวล เธอผละไปที่โต๊ะไม้สน หอบเอาหนังสือสามสี่เล่มที่วางกองอยู่บนโต๊ะขึ้นแนบอก ก่อนเดินขึ้นบันไดวนไป
“แปลว่ารักได้ ไม่ติดเหรอคะ” คุณเจ้านายเอ่ยถาม แน่นอนว่าเธอได้รับเพียงแววตาเกือบจะงุนงงของนรีตอบกลับไป เธอจึงได้ขยายความถามนั้น“หมายถึง นรีเอง ก็รักผู้หญิงได้ ใช่มั้ยคะ”“...”นรีกระพริบตาปริบๆ ทั้งเงียบไปครู่หนึ่ง ทำเอาคนรอฟังคำ นิ่งเงียบตามกันไปด้วย แต่เธอยังคงวางสายตาจับไว้ที่หล่อน ไม่ละไปโดยง่าย กระทั่งได้คำตอบ“คิด ว่ารักได้นะคะ” นรีตอบเสียงแผ่ว“ท่าทางไม่แน่ใจ” คุณเจ้านายกล่าวเช่นนั้น แล้วผินมองไปทางอื่น ในท่าทีใช้ความคิด เป็นจังหวะให้นรีได้รับอิสระเล็กน้อยจากการรอดพ้นสายตาเธอ แต่ยังไม่พ้นไปจากสนทนา“ที่ผ่านมา ยังไม่เคยตกหลุมรักผู้หญิงเลยสักคน… เหรอคะ” คุณเจ้านายปรายตากลับมามองนรีในท้ายประโยค พร้อมรอยยิ้มเล็กๆ ที่นรีมองทันเพียงชั่วครู่ก็รู้สึกใจเต้น พาลให้หล่อนนิ่งจนลืมตอบความ พยายามเลี่ยงหลบสายตาเธอสุดฤทธิ์ ขณะที่คุณเจ้านายวางมือลงค้ำยันกับโต๊ะเขียนงาน และโน้มตัวเข้าใกล้นรีมากขึ้น พลางกระซิบสรุป“เงียบแบบนี้ เราจะเหมาว่าเธอเคยตกหลุมรักใครสักคน ที่เป็นผู้หญิงนะคะ”นรีหันกลับไปมองคุณเจ้านายในระยะประชิดมากกว่าที่เคย หล่อนนึกเรียบเรียงคำโต้ตอบที่ยังไม่มั่นใจด้วยซ้ำว่า จะเอ่ยปฏิเสธห
คืนนั้น คุณเจ้านายไม่ได้นั่งอยู่ที่โต๊ะเขียนงานเมื่อหล่อนไปถึงหน้าห้อง พอตัดสินใจไปชะเง้อมองที่ใกล้ๆ บานประตู สอดส่องสายตาจนทั่วก็ยังไม่เห็นว่าเธออยู่ตรงไหนในห้อง นรีถอยจากประตูลายโบตั๋นมาเกาะขอบหน้าต่างโถงทางเดินที่มักเปิดไว้เสมอเพียงบานเดียวเพื่อรับลมในทุกคืน หล่อนคาดว่า คุณเจ้านายอาจลงไปเก็บดอกไม้กลางคืนเช่นเดียวกับตอนที่ลงไปเก็บดอกสเลเตก็เป็นได้ ทว่า เพ่งมองสวนดอกไม้สักเท่าไหร่ก็ไร้วี่แววร่างเงาเธอ“ดูอะไรอยู่เหรอ” เสียงคุณเจ้านายดังมาจากด้านหลัง พาหล่อนสะดุ้งใจหาย แต่ก็รีบเก็บอาการนั้นให้สงบลงโดยเร็วก่อนตอบกลับเธอไปว่า“เปล่าค่ะ” พลางเดินกลับไปที่เก้าอี้ไม้สน คุณเจ้านายพยักหน้าน้อยๆ แล้วเดินไปที่โต๊ะเขียนงาน เธอหยุดยืนอยู่ข้างเก้าอี้ รวบรวมเอกสารสองสามชุดให้เป็นกองเดียวกัน จัดเก็บเข้าแฟ้ม นำแฟ้มไปสอดไว้บนชั้นวางข้างโต๊ะฝั่งมุมห้อง ครั้นพอเดินย้อนกลับมาที่เก้าอี้อีกหน และเห็นว่านรียืนละล้าละลังอยู่หน้าห้อง
กลิ่นตะไคร้บุบ และใบมะกรูดฉีก ในน้ำซุป โชยฟุ้งทั่วครัวในช่วงเย็นของวันถัดมา ในหม้อต้มขนาดกลาง มีเนื้อวัวส่วนที่นรีพอหาได้จากตลาดเช้า ถูกเคี่ยวตุ๋นมาได้พักใหญ่แล้ว แม้แรกทีเดียว หล่อนเคยคิดว่าจะไม่ลองภูมิใดใดกับการทำเมนูโบราณที่ไม่คุ้นเคย ทว่าเหลียวมองไปถ้วนทั่วสวนผักหลังเรือน ก็พบว่า เครื่องผักสมุนไพรครบครันตามสูตรที่จดมาจากหนังสือ กลิ่นรัญจวนในครัวใจ แค่เพียงหาเนื้อวัวให้ได้ก็พร้อมปรุง หล่อนจึงทำใจดีสู้เสือเลือกเอาเมนูนี้มาตั้งสำรับเย็น“กลิ่นชวนหิวดีจังวันนี้” คุณทิพย์เอ่ย เมื่อนรียกชามแกงรัญจวนวางเสิร์ฟที่โต๊ะอาหาร จิตใจหล่อนดูจะล่องลอยสักนิด จึงไม่ได้ตอบกลับอะไรนอกจากยิ้มนอบน้อมเช่นเคยเหตุที่ทำให้หล่อนใจไม่อยู่กับเนื้อกับตัว คือสิ่งที่เกิดกับตัวหล่อนเมื่อไม่กี่นาทีก่อนหน้านี้ โดยเนื่องมาจากว่า หล่อนไม่แน่ใจในคำสั่งของคุณเจ้านายที่บอกไว้เมื่อคืนที่ให้หล่อนยืมเล่ม หอมลมกลิ่นรัก มา เธอว่า‘คืนที่โต๊ะนะคะ’หล่อนซึ่งปกติไม่เคยก้าวเข้าห้องส่วนตัวคุณเจ้านายโดยไม่ได้รับอนุญาต จึงตีความเอาเองว่า โต๊ะที่เธอพูดถึง คงหมายถึงโต๊ะไม้สนชั้นล่าง เพราะเป็นโต๊ะที่เกี่ยวข้องกับหน้าที่หล่อนโดยตรง วั
‘สองฝั่งคลอง’… ‘มาลัยสามชาย’ … ‘ทวิภพ’‘กรงกรรม’ … ‘ฤกษ์สังหาร’ … ‘บ้านทรายทอง’รายนามบนสันหนังสือที่นรีเลื่อนสายตาผ่านนั้น มีแต่ชื่อโด่งดังคุ้นหู ที่บางเรื่องก็เคยดูเป็นละครโทรทัศน์รีรันซ้ำซากจนคุ้นตาแทบทั้งหมด หล่อนเถียงในประเด็นที่ว่า นี่คือหนังสือหายากทรงคุณค่า และหล่อนก็ไม่เกี่ยงนักหรอกที่ต้องอ่านนิยายละครโทรทัศน์ แต่ก็ต้องยอมรับว่า เรื่องเล่าในเล่มเหล่านั้นไม่ใช่เรื่องราวแปลกใหม่ น่าสนใจเพียงพอจะดึงความสนใจของหล่อนได้‘สาปภูษา’ … ‘กำไลมาศ’ … ‘กาหลมหรทึก’ ‘เกิดแต่ตม’ … ‘หลงเงาจันทร์’ … ‘รากนครา’หากต้องเลือกเล่มใดไปอ่านเฉพาะชั้นวางนี้ นรีก็ไม่ติดขัดใจ เพราะอย่างน้อยการได้มีอะไรให้อ่า
‘สูตรแกงรัญจวนของวังเจ้านั้นพิถีพิถันนัก เริ่มจากปลายครกที่ต้องตำพริกขี้หนูสวนด้วยเกลือป่นให้ฟู ต้มปลาเค็มที่รมด้วยฟืนเปลือกมะกรูด น้ำแกงต้องขลุกขลิก ใส่ตะไคร้หั่นบาง ใบมะกรูดฉีก และใบโหระพาจากสวนด้านเหนือเท่านั้น กลิ่นขึ้นจากไอร้อน เหมือนจิตใจคนกำลังเร่าร้อนแต่ไม่กล้ากล่าวรัก แกงนี้ต้องกลั้นใจขณะตัก กลิ่นจะยิ่งลอยชัด… คล้ายรักที่ยิ่งปิด ยิ่งฉุน ยิ่งยากลืม’นรีปิดหนังสือลงวางกับตัก เมื่อได้ยินเสียงคุณทิพย์ขยับตัว พยายามปรับสติเรียกอารมณ์ให้ตนเองกลับสู่โลกแห่งความจริงเพียงชั่วพริบตา ก่อนหันไปหาคุณทิพย์ที่กำลังกลับจากภวังค์นิทรายามบ่าย“ลมดีจริงเชียว” คุณทิพย์พึมพำเสียงแผ่ว ตาปรือเล็กน้อย ออกอาการเพลียคล้ายติดงัวเงียอยู่สักนิด“สักพักฝนอาจจะตก… เข้าบ้านกันดีมั้ยคะ” นรีเอ่ยชวนพลางรวบรวมเอาชุดถ้วยชาลายครามใส่ถาดเดียวกับกาน้ำชาไว้รอท่า เมื่อเห็นคุณพยักหน้าเชิงว่ารับคำ
มื้อเย็นวันนั้น ไม่มีอะไรเด่นแซ่บไปกว่าลาบหมูฝีมือดารัณที่ทำแยกมาสองรส สำหรับคุณทิพย์และสำหรับทุกคน รสเค็มเผ็ดนัวตัดเปรี้ยวด้วยน้ำมะนาวแป้นสดจากสวนหลังเรือน คละเคล้าผักหอมแล้วยังฟุ้งไปด้วยข้าวคั่วสมุนไพรที่ทำพิเศษเฉพาะวันนี้ ทำให้ทุกคำที่บดเคี้ยว สติของนรีหวนคืนมวลอารมณ์คิดถึงบ้าน คิดถึงยาย บาดลึกไปทุกทีการเก็บกลืนรส แม้จะทำตัวนิ่ง ดูสงบ แต่น้ำตากลับคลอรื้นออกมาอยู่ดี“นรี… นรีคะ” เสียงคุณเจ้านายทักขึ้นเบาๆ พร้อมสายตาอุ่นๆ ที่ส่งมาจากอีกฝั่งโต๊ะอาหาร ก่อนเอ่ยถาม“เป็นอะไรรึเปล่า”“แค่… คิดถึงบ้านค่ะ” นรีตอบสั้นๆ ตามตรง พร้อมรอยยิ้มบางๆ พลางเอื้อมหยิบกระดาษทิชชู่มาซับน้ำตา“ เพราะลาบหมูเนี่ยเหรอ” คุณทิพย์ถามขึ้น นรีพยักหน้ารับและตอบว่า