แชร์

ไม่สายเจ้าค่ะ

ผู้เขียน: น้องเหม่ยเหมย
last update ปรับปรุงล่าสุด: 2025-11-30 21:58:03

“เพคะ”

ข้าเพิ่งมาถึงแท้ ๆ ก็ได้สนทนากับผู้เป็นโอรสสวรรค์อยู่หลายประโยค คนที่มาถึงก่อนหรือแม้แต่ขุนนางบางคนที่รับราชการมาหลายปียังมิได้มีโอกาสได้สนทนาโดยตรงกับพระองค์จึงรู้สึกทั้งอิจฉาทั้งรังเกียจนางยิ่งขึ้นไปอีก

สะเทือนแม้กระทั่งท่านเสนาบดีคนหนึ่งที่นั่งเสมอ ๆ แนวใกล้ข้าเอ่ยขึ้นด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม สายตาร้ายกาจมองมาทางนางแวบหนึ่งก่อนจะหันไปทางฮ่องเต้

“ทูลฝ่าบาทคงเป็นเพราะนางเพิ่งมายังเมืองหลวง เข้าเฝ้าฝ่าบาทและราชวงศ์ครั้งแรก งานพิธีการเช่นนี้ยิ่งไม่ต้องพูดถึง นางจึงไม่รู้ว่าไม่ควรมาสายเช่นนี้ ฝ่าบาทโปรดอย่างทรงใส่พระทัยเลยพะย่ะค่ะ”

เหอะ มองจากดวงจันทร์ยังรู้เลยว่าที่เสนาบดีผู้นี้ต้องการจี้จุดบกพร่องของนางให้ฝ่าบาทลดความประทับใจแรกพบในตัวนาง

“เป็นอย่างที่ท่านกล่าวข้ายังใหม่ อาจมิรู้ความเรื่องใดไปท่านเสนาบดีอย่าเพิ่งถือสาเลย แต่ เอ ข้ามาสายหรือ ข้าเพิ่งรู้ตัวนะเจ้าคะ”

ข้าแสร้งใบหน้าไร้เดียงสาสุด ๆ เรียวคิ้วขมวดเข้ามากันอย่างใคร่สงสัย

“ท่านไม่เห็นหรือว่าทุกคนมากันหมดแล้ว เหลือเพียงแต่ท่านเท่านั้นแบบนี้ไม่เรียกสายหรือ”

“ไม่สายเจ้าค่ะ ข้าได้รับแจ้งว่านัดหมายยามโหย่ว ดูสิเจ้าคะยามนี้ยังยามโหย่วอยู่เลย นี่เรียกว่าสายหรือเจ้าคะ การดูเวลาของท่านกับข้าไม่เหมือนกันเสียแล้ว”

ข้าไม่ได้สายแต่คนอื่นดันมาก่อนเวลาต่างหาก

เสียงฮึดฮัดไม่พอใจดังมาจากท่านเสนาบดีคนปากเก่ง ส่วนข้าก็นั่งยิ้มตาใส

“การปฏิบัติตนเตรียมตัวแต่เนิ่น ๆเพื่อมาก่อนเวลาเป็นธรรมเนียมปฏิบัติกันมาช้านาน ท่านลองคิดดูเถิดการที่ให้องค์ฮ่องเต้รอท่านมันสมควรแล้วหรือ”

“ไม่สมควรเจ้าค่ะ” ข้าตอบทันทีโดยไม่ต้องคิด “แต่ท่านเพิ่งทูลบอกองค์ฮ่องเต้เองมิใช่หรือเจ้าคะ เพราะว่าข้ายังใหม่อย่าได้ถือสา ธรรมเนียมเหล่านี้ข้าที่เพิ่งมาร่วมงานครั้งแรก ไม่สิเข้าเมืองหลวงครั้งแรกด้วยซ้ำ ย่อมไม่รู้ นี่ท่านกำลังห้ามมิให้ฮ่องเต้ผู้เป็นโอรสสวรรค์ถือสาเอาความผิดข้า แต่ท่านจะถือโทษข้าเองหรือเจ้าคะ เช่นนี้ก็ได้หรือ

ท่านมีสิทธิ์ห้ามองค์ฮ่องเต้ได้หรือเจ้าคะ ข้ามาถึงนี่เพิ่งรู้”

เสนาบดีถึงกับสะอึกเมื่อโดนตอกกลับเช่นนี้

“เจ้า!”

คงไม่คิดว่าข้าจะกล้าเถียงตน แถมยังพูดจากลับขาวเป็นดำจากการหวังดีไม่อยากให้ฮ่องเต้ถือโทษโกรธข้า แต่กลับกลายเป็นว่าเป็นประโยคห้ามปรามฮ่องเต้เสียอย่างนั้น

“พอเถอะ เรามิอยากดูขุนนางตนเถียงกัน ถือเสียว่าเรื่องเมื่อครู่ไม่เกิดขึ้นแล้วกัน” สุรเสียงทรงอำนาจทว่าเต็มเปี่ยมไปด้วยความเมตตาทำให้เรื่องจบลงด้วยดี

ข้ายิ้มกระหย่อง ส่วนท่านเสนาบดีได้แต่เก็บโทสะของตนพลางจ้องมาทางข้าเขม็ง จะไม่ให้โกรธเกลียดนางได้อย่างไรเล่า เมื่อครู่เขาแทบจะโดนเด็กเมื่อวานซืนถอนหงอก

แต่ในเมื่อฮ่องเต้ทรงพูดเช่นนั้นขุนนางรับใช้จะกล้าขัดคำสั่งหรือ

ทางข้าไม่อะไรอยู่แล้ว เมื่อกี้เถียงอีกฝ่ายไปเพราะความคะนองปากล้วน ๆ แถมข้ายังรู้ว่าองค์ฮ่องเต้ไม่อยากทำอะไรผู้วิเศษอย่างข้าหรอก

ข้ากับท่านเสนา ข้ารู้ว่าตนเองคือหมากในกระดานที่สำคัญกว่ามากนัก

วัดจากเมื่อครู่ก็น่าจะเห็นชัดเจนอยู่ จังหวะห้ามทัพมีตั้งมากมายแต่พระองค์ไม่รู้ว่าตั้งใจหรือเป็นเรื่องบังเอิญที่ทรงห้ามทัพตอนข้ากำลังถอนหงอกอีกฝ่ายพอดี อีกฝ่ายอยากโต้นางกลับ ยังไม่มีโอกาสเลย

การโต้กันระหว่างข้าซึ่งเป็นผู้วิเศษใหม่กับเสนาบดีฝ่านพิธีการทำให้นิสัยอันเลื่องชื่อของข้าประจักษ์ชัดเจนยิ่งขึ้น

ในเร็ววันข้าคงฉายาใหม่เป็นนางปิศาจน้อยเป็นแน่

พิธีการดำเนินไปอย่างราบรื่นเมื่อข้าหุบปากเงียบ

ไล่ตั้งแต่รับประทานอาหารเย็นร่วมกัน

องค์ฮ่องเต้ทักทายครอบครัวขุนนางทั้งฝ่ายบุ๊นและฝ่ายบู๊

กล่าวถามถึงเหตุการณ์ต่าง ๆในอุทยานป่าของบรรดาองค์ชายก่อนที่สุดท้ายขันทีข้างกายพระองค์ก้าวเข้ามากระซิบเตือนเรื่องลำดับพิธีต่อไป

นั่นก็คือประกาศผู้ชนะสามลำดับที่สามารถล่าสัตว์ติดสัญลักษณ์ออกมาได้

“การแข่งขันครั้งนับว่ายากกว่าปีก่อน ๆ แต่ด้วยเพราะความปรีชาสามารถของเหล่าองค์ชาย ทุกพระองค์จึงทรงมีสัตว์น้อยใหญ่ติดมือกันมามากมาย ต่อจากนี้กระหม่อมจะประกาศผู้ชนะนะพะย่ะค่ะ

องค์ชายผู้ทรงได้รับลำดับที่หนึ่งได้แก่ องค์รัชทายาทหย่งเจียนพะย่ะค่ะ ลำดับสองคือท่านอ๋องแปดหย่งเหวิน และลำดับที่สามคือ ท่านอ๋องสามหย่งจื้อพะย่ะค่ะ”

เสียงปรบมือดังเกรียวกราว ข้าที่นั่งตรงกลางระหว่างผู้วิเศษรุ่นใหม่อีกสองคนอย่างเลี่ยงซูเมิ่งและเฟิงหยางจึงพลอยปรบมือตามไปด้วย

เหล่าคนในราชวงศ์ซึ่งนั่นอยู่บนแท่นขนาดใหญ่ด้านหลังฮ่องเต้และฮองเฮาก็ไม่แคล้วจำใจปรบมือตามน้ำ บนใบหน้าองค์ชายบางคนที่มิได้ถูกเอ่ยชื่อจึงเจื่อนลงพลางมองสบตาพระมารดาของตนที่มองกลับมาด้วยดวงตาไม่พอพระทัย

ปีที่ผ่านมาไม่มีการจัดลำดับที่ชัดเจนเช่นปีนี้ องค์ชายที่ล่าสัตว์ออกมาล้วนได้รับรางวัลกันถ้วนหน้า

ทว่าปีนี้ใครที่ค้นหาสัตว์ติดสัญลักษณ์ไม่เจอก็เท่ากับไม่ได้รางวัลแม้กระทั่งคำชมจากปากของผู้เป็นบิดา ทำราวกับไม่มีตัวตนในงานเสียอย่างนั้น

นับว่าการตัดสินใจครั้งนี้ขององค์ฮ่องเต้มีอะไรแอบแฝงเสียแล้ว

ข้านั่งจิบนิ่งมองสีหน้าของคนโดยรอบเพื่อเก็บข้อมูลไว้ในใจ

อย่างข้ายังต้องเรียนรู้อีกตั้งมาก

“เราได้บอกทุกคนไปแล้วว่ารางวัลครั้งนี้ของเราพิเศษนัก” สายพระเนตรของฝ่าบาททอดมาทางที่นั่งของพวกข้า “เวลานี้สวรรค์ได้ส่งผู้วิเศษมาถึงสามคนที่ยังไม่มีหน้าที่มอบหมายชัดเจน เราตัดสินใจแล้วว่าแผ่นดินของเรา ประชาชนของเราสำคัญที่สุด ในเมื่อทั้งสามล้วนเป็นบุตรชายผู้มากความสามารถของข้าและล้วนเป็นผู้ที่ข้ามอบหมายหน้าที่สำคัญไปแล้วทั้งสิ้น

เราจึงมีความประสงค์อยากแต่งตั้งท่านผู้วิเศษทั้งสามให้เป็นผู้ช่วยส่วนตัวของแต่ละคน พวกเจ้ายินดีรับรางวัลนี้ของพ่อหรือไม่”

“ลูกยินดีพะย่ะเสด็จพ่อ ลูกนับว่าเป็นเกียรติยิ่งนักที่เสด็จพ่อเมตตาผู้วิเศษมาให้ ลูกรับรองจะไม่ทำให้ทรงผิดหวัง” องค์รัชทายาทหย่งเจี้ยนตอบ

ช่างเป็นภาพพ่อลูกรักใคร่เสียนี่กระไร ข้านั่งดูด้วยใบหน้ารื่นเริงราวกับกำลังดูงิ้ว

“ลูกก็ยินดีเช่นกันพะย่ะค่ะเสด็จพ่อ”

ท่านอ๋องแปดคือตัวละครที่ในนิยายที่ข้าอ่านมิได้กล่าวถึงละเอียดนัก บอกเพียงว่าพระองค์เป็นบุตรที่เรื่องการเรียนและการปฏิบัติจริงเป็นแบบผ่านเกณฑ์ มิได้โดดเด่นเช่นลูกชายคนอื่น แต่หากมีการจัดอันดับเมื่อไหร่ต้องมีชื่อเขาติดอยู่หนึ่งในนั้นเสมอ

แต่สิ่งหนึ่งที่พระองค์โดดเด่นยิ่งนักคือการเขียนบทประพันธ์งิ้ว เป็นงานอดิเรกที่เลื่องชื่อของอีกฝ่ายยิ่ง

ท้ายที่สุดทุกคนต่างรอคำตอบจากอ๋องสาม ถึงแม้จะรู้ว่าพระองค์ไม่มีปฏิเสธองค์ฮ่องเต้ได้อยู่แล้ว

เพราะหากปฏิเสธก็เท่ากับเป็นการหักหน้าและหยามในน้ำใจที่เปี่ยมล้นครั้งนี้

แต่เขาคืออ๋องสามผู้ทำสิ่งใดตามใจแม้กระทั่งฆ่าคนจึงไม่อาจคาดเดาการกระทำของพระองค์ได้เลย

ขนาดข้ายังนั่งลุ้นจนตัวโก่งเลย

“ลูกตามใจเสด็จพ่อเช่นกัน”

เฮ้อ ข้าและคนอื่น ๆต่างพากันหายใจลื่นอกหลังจากที่ลุ้นจนแทบกลั้นหายใจมานาน

“ดี ๆ ดียิ่งนัก เพื่อไม่เป็นลำเอียงเราให้พวกเจ้าเลือกคนไปทำงานด้วยตนเองเถิดตามลำดับการมาถึงเส้นชัยก่อนเป็นอย่างไร”

“วิธีนี้ช่างเป็นวิธีที่ชาญฉลาดยิ่งนักพะย่ะค่ะ”

เป็นขันทีข้างกายพระองค์ที่ส่งเสริมเจ้านายตนเองได้อย่างยอดเยี่ยม

ฉะนั้นในลำดับการเลือกจึงเป็น

องค์รัชทายาทหย่งเจี้ยน อ๋องแปดหย่งเหวิน และสุดท้ายหรือก็คือผู้ไม่มีสิทธิ์เลือกได้แก่ อ๋องสามหย่งจื้อ

ข้ากับผู้วิเศษผู้ร่วมชะตาอีกสองคนข้างกายลุกขึ้นทำความเคารพองค์ชายผู้ชนะทั้งสาม

และจากนั้นข้าก็กลายเป็นสิ่งของที่ให้ผู้อื่นพินิจเลือกได้อย่างละเอียด

ข้าเป็นคนที่คิดเช่นใดก็มักแสดงอารมณ์เช่นนั้น ใบหน้างดงามที่ผ่านการแต่งมาบางเบาจึงแสดงความเบื่อหน่ายมาอย่างชัดเจน

แน่นอนว่าความเป็นจริงแล้วเรื่องข่าวรางวัลที่จะมอบให้เป็นถึงผู้วิเศษไม่น่าจะเป็นความลับได้

ซ่งกุ้ยเฟยผู้เป็นพระมารดาขององค์รัชทายาทเองก็รู้ล่วงหน้าเรื่องนี้แล้วจึงได้ทำการประเมินความสามารถและตระกูลเบื้องหลังจากแต่ละคนของผู้วิเศษเรียบร้อยแล้ว

และฮองเฮาผู้มีอำนาจมากที่สุดในวังหลังมีหรือจะพลาดเรื่องใหญ่เช่นนี้ นางเป็นพระมารดาผู้เลี้ยงดูอ๋องสาม

แม้กระทั่งหานซูเฟยพระมารดาของอ๋องแปดก็ไม่พลาดข่าวนี้เช่นกัน

อ่านหนังสือเล่มนี้ต่อได้ฟรี
สแกนรหัสเพื่อดาวน์โหลดแอป

บทล่าสุด

  • ชะตาท่านข้าขอลิขิตเอง   บทส่งท้าย

    ค่ำคืนนี้ก็เช่นกันเฉิงหย่งจื้อเข้านอนแต่หัวค่ำเพราะยิ่งไม่นอนใจยิ่งนึกถึงใบหน้าดื้อดึงที่มีนิสัยมิย่อมใครของหญิงคนรักดวงจันทร์วันนี้เกือบเต็มดวงเหลืองนวลลอยเด่นอยู่ท่ามกลางหมู่ดาว เฉิงหย่งจื้อนอนเอาแขนก่ายหน้าผาก เปิดหน้าเอาไว้เช่นนี้ทุกค่ำคืนเพื่อให้ดวงจันทราอยู่เป็นเพื่อนคลายเหงาแกร็ก แกร็กมีผู้บุกรุกมือหยาบที่มิได้จับอาวุธมานานของเฉิงหย่งตวัดไปจับมีดสั้นใต้หมอนของตนเองที่เอาไว้ในกรณีฉุกเฉินซึ่งเขามิได้มีโอกาสได้ใช้มันเลยตลอดสามเดือนนี้ชายหนุ่มแสร้งเป็นนอนหลับตาลง พยายามหายใจเข้าออกสม่ำเสมอเพื่อให้ผู้บุกรุกตายใจคิดว่าเขานอนหลับสู่นิทราแล้ว พอมันตายใจเข้ามาในเขตแดนเตียงของเขาเมื่อไหร่เมื่อนั้นแหละถึงคราวฆาตของมันกลิ่นหอมหวานอันแสนคิดถึงลอยผ่านสายลมอ่อนเข้ามาแตะจมูกของชายหนุ่มที่แกล้งนอนหลับอยู่บนเตียงทำให้เฉิงหย่งจื้อเผลอใจเต้นรัวทั้งที่พยายามหายใจสม่ำเสมอให้เหมือนคนหลับ เปลือกตาหรี่ขึ้นกว่าเดิมเล็กน้อยแต่ก็มิให้มากจนเกินไปเพื่อมองตามเสียงเดินแผ่วเบาที่กำลังย่องเข้ามาใกล้เตียงของเขา บัดนี้มือหนาคลายจากมีดใต้หมอนเรียบร้อยแล้วได้แต่จิกผ้าปูที่นอนเพื่อระงับความตื่นเต้นที่กำลังท่วม

  • ชะตาท่านข้าขอลิขิตเอง   เซียวเฟยเจิน

    บทส่งท้าย“นี่เป็นจดหมายที่นางฝากคนใช้ให้มามอบให้พระองค์พะย่ะค่ะ คนของเราเห็นว่าเป็นเรื่องผิดปกติจึงรีบส่งมาให้ข้าพะย่ะค่ะ แต่ข้าน้อยมิบังอาจเปิดอ่านจึงเลือกแจ้งพระองค์ดีกว่าพะย่ะค่ะ”กระดาษพับขนาดเท่าฝ่ามือถูกมอบให้เฉิงหย่งจื้อที่รีบขอตัวออกมาจากห้องอักษรของบิดาเมื่อได้ยินว่าเป็นเรื่องของสตรีคนรักเขารับจดหมายนั้นมาก่อนจะคลี่กระดาษเปิดอ่านข้อความข้างใน ‘ลาก่อน หมดหน้าที่หลักของข้าแล้ว หลังจากนี้ขอให้พวกเราได้ทำในสิ่งที่ประสงค์อยากทำ ขอให้ใช้ชีวิตเป็นอิสระอย่างที่ใจต้องการ ข้าขอไปตามทางของข้าในที่ที่ข้าอยากไป และสำหรับท่านก็เช่นกันเซียวเฟยเจิน’หมายความว่าเช่นไร...ไยนางจึงเขียนจดหมายฉบับนี้ให้ข้าเฉิงหย่งจื้อละสายตาจากข้อความในกระดาษ“เฟยเจินยังอยู่ที่เรือนนางหรือไม่”ฉีหมิงที่อยู่ดีดีก็โดนยิงคำถามแปลก ๆ ชะงักไปครู่หนึ่งก่อนจะตั้งสติและตอบคำถามเจ้านายเท่าที่ชายหนุ่มรู้“ข้าน้อยมิรู้ ไม่มีใครกล้าเข้าไปรบกวนนางหรอกขอรับหากมิโดนเรียกเข้าไปใช้งาน...เกิดเรื่องอันใดหรือพะย่ะค่ะท่านอ๋อง”“นาง...หนีข้าไปแล้ว”ดวงตาสีดำสนิทจ้องเหม่อมองออกไปยังที่อันแสนไกล น้ำเสียงและแววตาตัดพ้อราว

  • ชะตาท่านข้าขอลิขิตเอง   บอกเจ้าสาม

    และก็เป็นอย่างที่ฝ่ายเฉิงหย่งจื้อคาดการไว้ทางฝั่งฮ่องเต้เมื่อได้รู้จากเลี่ยงกงกงว่าลูกชายคนรองของตนขอเข้าเฝ้า จากที่ตอนแรกประทับอยู่ในห้องหนังสือเพื่ออ่านฎีกาที่กองพะเนินอยู่บนโต๊ะก็เตรียมตัวลุกขึ้นจากเก้าอี้“บอกเจ้าสามว่าข้าไม่สะดวกให้เข้าเฝ้าวันนี้ วันอื่นค่อยให้มาใหม่ ข้าจะพักผ่อนเร็วหน่อยวันนี้”ฮ่องเต้กล่าวกับกงกงที่ทำสีหน้าลำบากใจอยู่เบื้องหน้าเสร็จก็เตรียมตวัดชายแขนเสื้อเพื่อหันหลังเดินออกทางประตูด้านหลังแทนที่จะเป็นประตูหลักข้างหน้าดั่งปกติ“ฝะ...ฝ่าบาท เกรงว่าครานี้จะไม่ทันเสียแล้วพะย่ะค่ะ ท่านอ๋องสามรออยู่ทะ...ไม่ทันแล้ว”ชายชราเลี่ยงกงกงยังพูดไม่ทันจบดี เจ้านายของตนที่ไม่รอฝั่งคำเขาจึงเดินออกทางประตูหลังเรียบร้อยแล้ว และก็เจอลูกชายของตนที่รู้ทันพ่อของตนหลังจากโดนผลัดวันประกันพรุ่งมาหลายคราดักรอที่ประตูข้างหลังเฉิงหย่งจื้อในอาภรณ์ดำขลิบทองยืนมองบิดาตนด้วยใบหน้านิ่งสนิท ดวงตาสีดำเช่นเดียวกับสีผมมองมาที่คนอายุมากกว่าตรงหน้าเขม็ง ดุคมราวกับเหยี่ยวกำลังจ้องมองเพื่อจับผิดอีกฝ่าย“ลูกมีเรื่องสำคัญจะคุยกับเสด็จใช้เวลาไม่นานหรอกพะย่ะค่ะ”“พ่อ...”แม้บนหน้าของเจ้าแผ่นดินจะไม่มีเม็ด

  • ชะตาท่านข้าขอลิขิตเอง   เจ้ากำลังคิดถึงเรื่องอันอยู่รึ

    “เจ้ากำลังคิดถึงเรื่องอันอยู่รึ ไยจึงนั่งยิ้มอยู่คนเดียวเช่นนั้น”ข้ามิรู้ตัวว่าตนเองกำลังนั่งท้าวคางบนมือของตนอยู่บนโต๊ะน้ำชารับแขกในเรือนตนเอง ใบหน้าหันมองออกไปนอกหน้าต่างที่กำลังเปิดอ้าอยู่ เวลาเย็นแดดจึงไม่จัดมาก ลมพัดโชยเข้ามาอ่อน ๆ นอกหน้าต่างไม่มีนก หรือแมลงบินตอมดอกไม้ให้ข้าได้ดูและทำให้ข้ายิ้มได้ ชายหนุ่มผู้ถือวิสาสะเดินเข้ามาในเรือนผู้อื่นแม้อยู่ในจวนตนเองก็เถอะจึงเอ่ยทักข้าอย่างฉงนใจเจือด้วยความไม่พอใจเนือง ๆ เพราะชายหนุ่มกลัวว่าที่ข้ายิ้มอาจเพราะคิดถึงบุรุษอื่นใบหน้าหล่อเหลาทว่าติดดุเข้มมของเฉิงหย่งจื้อโผล่เข้ามาในสายตาข้า ระยะห่างระหว่างใบหน้าเราห่างเพียงหนึ่งฝ่ามือทำให้ข้าผงะถอยหลังเล็กน้อย“ท่านเข้ามาในเรือนข้าได้อย่างไร...ข้าไม่เห็นได้ยินเสียงฝีเท้าเลย” ประโยคหลังข้าบนพึมพำกับตนเองเบา ๆดวงตาคู่ดำสนิทไล่สายตาขึ้นลงราวกับกำลังไล่สำรวจเครื่องหน้าของข้าหากข้ามองไม่ผิด ดวงตาคู่ตรงหน้าเวลานี้คมราวกับเหยี่ยวสอดส่ายไล่เก็บภาพหญิงสาวคนรักตรงหน้า“ยังมิชินอีกหรือ เมื่อหลายวันก่อนเจ้ายังไม่เห็นขัดที่จะอยู่ห้องนอนเดียวกับข้าอยู่เลย”“นั่นมันตอนข้าแปลงเป็นบุรุษและเราทั้งสองคนกำล

  • ชะตาท่านข้าขอลิขิตเอง   สิบขวบ

    “ข้ามีข้อตกลงเพิ่ม ข้าต้องการให้เจ้าเผยรูปโฉมที่แท้จริงออกมาด้วยหากเจ้าจริงใจอยากช่วยมิใช่เพื่อลวงหลอกให้ข้าเดินตามแผนของพวกเจ้า”ที่ข้าต้องการดูรูปโฉมที่แท้จริงเป็นเพราะข้าคิดว่าที่ข้าจำมิได้จากนิยายต้นฉบับอาจมีสาเหตุมาจากอีกฝ่ายปลอมตัว หากข้าเห็นใบหน้าที่แท้จริงข้าอาจระบุตัวละครตัวนี้ได้และหากข้าระบุตัวตนของอีกฝ่ายได้นั่นเท่ากับข้าจะได้เลือกถูกว่าควรเลือกเชื่อนางดีหรือไม่นางระบายลมหายใจออกมาเบา ๆ ข่มกลั้นความรู้สึกที่อัดอั้นข้างในอก“ได้ หากนั่นจะทำให้ท่านเชื่อว่าข้าหวังดี”มือบางที่คล้ำหมองเพราะพอกผงสีดำพลางตัวเพื่อแปลงกลายยกขึ้นมาทั้งสองข้าง นางจัดการลอกหน้ากากหนังบนใบหน้านางออก รอยแผล รอยดำเป็นปื้นบนแก้มทั้งสองของนางเป็นของปลอม เมื่อหน้ากากหนังอัปลักษณ์ถูกลอกออกใบหน้าที่แท้จึงของสตรีตรงหน้าข้าจึงถูกเปิดเผยดวงหน้างามหวาน ผิวขาวผุดผ่องแม้เวลานี้จะดูซีด มีรอยย่นตามอายุของเจ้าตัวก็มิอาจปิดบังความงามของหญิงสาวได้เลยข้าที่เห็นการเปลี่ยนแปลงอันน่าอัศจรรย์นี้อดมิได้ที่จะยกมือขึ้นมาปิดปาก ดวงตากลมโตของข้าจ้องอีกฝ่ายอย่างประหลาดใจโดยมิปิดบัง“แม่นางงามนัก ข้าไม่แปลกใจหากท่านต้องแปลงกาย

  • ชะตาท่านข้าขอลิขิตเอง   ข้ามั่นใจว่าเป็นเขา

    ปึงประตูบ้านปิดเองอาจด้วยเพราะกลไกธรรมชาติ อาจเป็นลมหรือความตั้งใจของเจ้าบ้านอันนี้ข้าก็มิรู้ แต่ข้าที่นั่งหันหลังให้พอได้ยินเสียงถึงกับสะดุ้งตัวขึ้นเพราะตกใจก่อนจะหันหลังไปมอง ข้ากลืนน้ำลายก่อนหันกลับมาประจันหน้ากับเจ้าของบ้านเช่นเดิมสตรีขี้เหร่มิได้มีท่าทีเปลี่ยนไปจากเดิม นางเพียงยิ้มและยกชาถ้วยตนขึ้นมาจิบมีแต่ข้าที่พยายามรักษาใบหน้ามิให้แสดงอาการตื่นกลัวทว่าเหงื่อที่ออกบนมือมิสามารถห้ามได้ มือที่บีบกันแน่นของข้าจึงชุ่มไปด้วยเหงื่อใจเย็นไว้เฟยเจิน แค่ประตูปิด“ข้าพอจะเดาได้ว่าท่านตั้งใจมาหาข้าโดยเฉพาะและพอจะเดาสิ่งที่ท่านต้องการจากข้าได้”“รู้ว่าข้ามาหาทำไมงั้นรึ เจ้าดูมั่นใจยิ่งนักว่าตนเองเดาใจข้าได้ สิ่งที่จ้าคิดอาจมิใช่ ใครจะไปรู้”“นั่นก็จริง งั้นเชิญเอ่ยเรื่องของท่านมาเถิด หากไม่เกินความสามารถข้าย่อมช่วยเต็มที่”“แม่นางรู้จักพ่อค้านาม ติงเอ๋าซีหรือไม่”“รู้จักเมื่อไม่นานมานี้”“และแม่นางรู้จักเซี่ยฮองเฮาหรือไม่”“ย่อมรู้จัก” ข้าสังเกตเห็นนางกำชายเสื้อตนเอง“ประชาชนอาณาจักนี้มีใครบ้างไม่รู้พระนางผู้เป็นพระมารดาของแผ่นดิน”“ข้าหมายถึงรู้จักเป็นการส่วนตัวแบบที่มิใช่สถานะประชาชน

บทอื่นๆ
สำรวจและอ่านนวนิยายดีๆ ได้ฟรี
เข้าถึงนวนิยายดีๆ จำนวนมากได้ฟรีบนแอป GoodNovel ดาวน์โหลดหนังสือที่คุณชอบและอ่านได้ทุกที่ทุกเวลา
อ่านหนังสือฟรีบนแอป
สแกนรหัสเพื่ออ่านบนแอป
DMCA.com Protection Status