Se connecterบทที่ 8
ข้าเดินออกจากป่าได้ในที่สุดส่วนท่านอ๋องสามน่ะหรือ ข้ากับเขาแยกกันเดินตั้งแต่ขึ้นมาจากเนินนั่นแล้ว
ชายหนุ่มเดินหนีข้าไปราวกับคิดว่าข้าเป็นอาจมหรืออะไรสักอย่างที่น่ารังเกียจอย่างนั้นแหละ
เหอะ ข้าเซียวเฟยเจิน ถึงจะเป็นคนบ้านป่าแต่ก็มีเกียรติมีศักดิ์ศรีนะ ไล่ข้าด้วยสายตาและการกระทำเช่นนั้นข้าคงไม่เดินตามก้นเขาไปหรอก
ไม่ใช่อะไรหรอกด้วยความที่ข้ากลัวว่าเขาจะเปลี่ยนใจฆ่าข้าเสียเดี๋ยวนั้นมากกว่า
ตอนเดินหาทางออกข้าไม่เจอมนุษย์ดูดเลือดนั่นอีกเลย ซากสัตว์ที่ข้าเคยเห็นว่ามันควรอยู่ตรงนั้นก็หายไปราวกับเหตุการณ์ที่ข้าเห็นก่อนหน้าเป็นเพียงฝันไป
ข้าคิดเรื่องนั้นได้ไม่นานก็ทำใจได้ว่าข้าอาจตาฝาด และตัดใจไม่นึกถึงมันอีก เหตุผลหลักคือมันคงไม่เกี่ยวกับข้า เหตุผลรองคือ ในหนังสือมิได้กล่าวถึงคนหรือสัตว์ประหลาดดูดเลือดใด ๆเลยสักครั้ง
ข้าออกมาเจอถงเอ๋อร์ยืนรอข้าอย่างร้อนรน พอเห็นข้าเท่านั้นแหละนางจึงวิ่งเข้ามาจับเนื้อจับตัวข้าด้วยความเป็นห่วง
“ท่านมิได้เป็นอันใดใช่หรือไม่เจ้าคะ”
ข้ายิ้มพลางส่ายหน้า
“มิได้เป็นอันใด กลัวข้าตายไปรึ ที่เป็นห่วงนี่คงมิใช่ว่าหากข้าตายไปแล้วเจ้าจะต้องกลับไปเป็นนางกำนัลหาบน้ำอีกใช่หรือไม่”
ข้าแซวนาง ถงเอ๋อร์ทำหน้ามุ่ยใส่ข้า
นางกับข้าคงทำบุญทำกรรมร่วมกันมาจึงได้มาเป็นเจ้านายสาวใช้จำเป็นซึ่งกันและกัน
“ตอนนี้องค์ชายทุกคนกลับออกมาจากอุทยานแล้วเจ้าค่ะ ท่านอ๋องสามออกมาเป็นคนสุดท้ายเหมือนกับเกิดเหตุฉุกเฉินขึ้นจึงเดินออกมามิได้ขี่ม้าออกมาเช่นคนอื่น แต่ในมือของท่านอ๋องมีกวางเขาสีทองที่มีสัญลักษณ์ออกมาด้วย....เพราะฉะนั้นผู้ที่ชนะทั้งสามพระองค์เท่าที่ข้าสังเกตเห็นคือ องค์รัชทายาท ท่านอ๋องแปด และท่านอ๋องสามเจ้าค่ะ
หากท่านอ๋องสามนำคุณชายสักคนไปช่วยด้วยคงไม่ออกมาเป็นคนสุดท้ายก็ได้นะเจ้าค่ะ ไม่น่าเลย”
ข้าอยากจะบอกนางเหลือเกินว่าเหตุฉุกเฉินที่ว่าข้านี่แหละคนทำ ถึงแม้ข้าจะไว้ใจนางในระดับหนึ่งแต่เวลาเพียงเดือนกว่า ๆ ไม่สามารถวัดธาตุแท้คนได้
ข้าจึงมิได้บอกแผนการของข้าแก่นางไป
“เจ้าพูดมากระวังศีรษะจะไม่อยู่บนบ่านะ ถึงที่นี่มิได้อยู่ในวังหลวงแต่หูตาคนไม่ต่างอันใดกับสับปะรด จะหาว่าข้าไม่เตือนเจ้า”
“ขะ ข้าจะไม่พูดมากอีกเจ้าค่ะ....ท่านจะเดินไปไหนเจ้าค่ะ”
“ก็เดินไปพักผ่อนอย่างไรเล่า เวลานี้เขาปล่อยให้พักมิใช่หรือ”
“เจ้าค่ะ แต่ท่านรู้ได้อย่างไรข้ายังมิได้แจ้งเลย”
ข้าดีดหน้าผากสาวใช้ดังเปาะ “เถอะน่า ข้าเดามิได้หรือไง ไหนต่อไปจะต้องทำอะไรบ้าง ชี้แจงมาโดยละเอียดเลย จะได้มิต้องเสียเวลา”
“ต่อไปเป็นช่วงพักเจ้าค่ะจนดวงตะวันตกดินราวยามโหย่วที่ลานนี้จะมีจัดงานเลี้ยงฉลองตอนกลางคืน ทางนั้นเป็นกระโจมที่เตรียมไว้ให้พักผ่อนเปลี่ยนเสื้อผ้า ฝั่งนั้นเป็นเขตสำหรับขุนนางเรียงตามขั้น ส่วนทางนั้นเป็นของพระญาติและคนในราชวงศ์ ส่วนทางนั้นที่หรูหราสุดคือกระโจมขององค์ฮ่องเต้ และฮองเฮาเจ้าค่ะ”
ข้ามองตามมือนางราวกับกำลังตั้งใจฟังเฉกเช่นเด็กดี ทว่าความจริงแล้วในหัวข้ากำลังแล่นคิดล่วงหน้าถึงแผนการต่อไปในคืนวันนี้
บัดนี้ตะวันตกดินเวลานี้ประมาณปลายยามโหย่ว ข้าที่ผลัดชุด เติมเครื่องประดับให้เข้ากับสตรีชั้นสูงที่นี่หน่อยเดินยืดอกออกมาด้วยกริยามั่นใจ ตามหลังด้วยถงเอ๋อร์ที่เดินสงบเสงี่ยมตามหลังข้ามาเช่นกัน
ลานกว้างโล่งเมื่อตอนกลางวันได้กลายเป็นสถานที่จัดงานเลี้ยงฉลองตอนกลางคืนอย่างรวดเร็ว
ข้าเดินไปยังไม่ถึงทางเข้างานกลับพบว่าบริเวณหน้างานไร้ผู้คนสัญจรไปมา พอข้าเดินไปถึงทางเข้าจึงรู้แจ้งถึงสาเหตุที่บริเวณหน้างานเงียบ
เพราะทุกคนกำลังประจำที่ของตนที่นางกำนัลจัดไว้ให้ ดวงตาแทบทุกคู่จ้องมาที่ผู้มาใหม่อย่างข้า
ข้าเดินไม่ช้าไม่เร็วจนเกินไปไร้ท่าทีเร่งรีบราวกับไม่รู้ตัวเลยว่าตนเองมาสาย ฝีเท้าของข้าเนิบช้าและมั่นคง ไร้อาการตื่นกลัวสถานที่แปลกใหม่อย่างที่หลายคนอยากเห็น อาภรณ์ของข้าไม่ดูมีลวดลายหรูหราและเป็นสีเขียวอ่อนเรียบง่ายดูแล้วอ่อนโยนและมุ่งมั่น หากคุณหนูที่แข่งกันแต่งตัวสีสันฉูดฉาดในวันนี้เปรียบเสมือนสีสันแต่งแต้มให้แก่มวลบุปผา ข้าคงเปรียบเสมือนสีของธรรมชาติที่ให้ความรู้สึกเย็นสบายแต่ส่งให้บุปผาเหล่านั้นเด่นออกนอกสายตาไป
แต่นั่นเป็นเพียงภาพลักษณ์ยามข้ามิได้ยิ้มหรือเอ่ยวาจาเท่านั้น ย่อมดูอ่อนโยนจนคนคาดไม่ถึง
ขณะที่ข้าเดินไปยิ้มไปโบกพัดในมือไป ตามทางข้าได้ยินเสียงกระซิบถามถึงตัวตนของข้ากันใหญ่
นางคือผู้ใด
ที่ว่างเหลือเพียงผู้วิเศษคนใหม่นี่นา หรือว่า....
นางเป็นเด็กบ้านนอกมิใช่หรือ ไยผิวนางจึงดีเช่นนั้น
ใบหน้านางก็งดงามยิ่งนัก จะเป็นไปได้อย่างไร
บางคนถึงกับคาดเดาไปต่าง ๆนานาว่าข้าคือผู้วิเศษคนใหม่จอมยโสคนนั้นที่เป็นที่พูดถึงกันทั่วทั้งวังหลวง
ไม่รู้ว่าโชคดีหรือโชคร้าย ที่นั่งของข้าถูกจัดให้นั่งอยู่ด้านข้างถัดจากฮ่องเต้และเชื่อพระวงศ์ราวห้าถึงหกที่เท่านั้น
นับเป็นที่นั่งที่โดดเด่นมิใช่น้อย ขนาดขุนนางหัวขาวขั้นสองบางคนยังนั่งถัดลงไปจากนางเลยด้วยซ้ำ
ข้ายิ้มมุมปากอย่างสะใจ นี่ถือสำหรับคนที่มองเหยียดใส่ข้าก็แล้วกัน ใช้เวลานานหน่อยข้าจึงจะเยื้องย่างถึงที่นั่ง
ก่อนเข้าที่ข้าไม่ลืมหันมาทำเคารพผู้สูงสุดในที่นี่
อาภรณ์สีเหลืองอร่ามพาดลวดลายมังกร ดูเพียงหางตาก็รู้ว่าผู้สวมใส่คือผู้ใด
องค์ฮ่องเต้แห่งแคว้นเฉียนเหลียง
ดวงตาของผู้มีอำนาจสูงสุดมองกลับมาที่นางดูเปล่งประกายเรืองรองกกว่าปกติ ข้ากล้ากระทั่งสบตากับพระองค์ตรง ๆ จนขุนนางหลายมองมาที่ข้าราวกับเห็นตัวประหลาด
ข้ามิได้ทำอันใดผิดนี่นา ราชวงศ์เฉิงมิได้มีทำเนียมห้ามชาวบ้านสบตากับฮ่องเต้นี่
พวกที่ตกใจที่ข้าใจกล้าเช่นนี้คงรู้สึกผิดคลาดที่ข้าไม่มีท่าทีเกรงกลัวบารมีอีกฝ่ายอีกทั้งยังปฏิบัติตัวราวกับกำลังทำเรื่องทั่วไป
ขุนนางที่รับใช้องศ์ฮ่องเต้บางคนทำงานมาหลายปียังไม่กล้าสบตานานขนาดข้าเลยกระมัง
กริยาของข้าในสายตาของพวกเขาคงหนีไม่พ้นกริยาของคนเย่อหยิ่ง ไม่รู้จักที่ต่ำที่สูง
ข้ามิได้สนใจพวกเขา เดินกลับไปนั่งที่
“ทูลองค์ฮ่องเต้นี่คือผู้วิเศษคนใหม่พะย่ะค่ะ”
ขันทีข้างกายพระองค์เอ่ยขึ้นท่ามกลางเสียงซุบซิบนินทา
“งั้นรึนามว่าเฟยเจินใช่ไหม”
“เพคะฝ่าบาท หม่อมฉันนามเฟยจิน แซ่เซียวเพคะ ภูมิลำเนาเกิดที่ดินแดนทางเหนือสุดของแคว้นเพคะ”
น้ำเสียงทุกถ้อยคำของข้าชัดเจน หลายคนเมื่อได้ยินยิ่งเผยใบหน้าดูถูกเหยียดหยามส่งมาให้ข้ายิ่งกว่าเดิม
พวกนางคงคิดว่าข้าเอ่ยชื่อแซ่ด้วยน้ำเสียงมั่นใจเช่นนี้ได้อย่างไร
ดูท่าข้าไม่อาย แต่คนอื่นคงอายแทนข้ากันหมดแล้ว
“ดินแดนทางเหนือรึ” องค์ฮ่องเต้เงียบไปพักนึงราวกับตกอยู่ในภวังค์ของตนเอง ข้าที่เตรียมสนทนาต่อจึงยั้งปากตนเองไว้ก่อน ในที่สุดขันทีของพระองค์คงเห็นว่าพระองค์มีท่าทีแปลกประหลาดจึงช่วยเตือนสติพระองค์ “เรานึกถึงอดีตน่ะ ช่างเถิด ดีแล้ว ๆ เจ้าเป็นผู้วิเศษคนใหม่ของราชสำนักข้าจึงไม่คุ้นหน้าเจ้าสินะ”
“เพคะ”
ค่ำคืนนี้ก็เช่นกันเฉิงหย่งจื้อเข้านอนแต่หัวค่ำเพราะยิ่งไม่นอนใจยิ่งนึกถึงใบหน้าดื้อดึงที่มีนิสัยมิย่อมใครของหญิงคนรักดวงจันทร์วันนี้เกือบเต็มดวงเหลืองนวลลอยเด่นอยู่ท่ามกลางหมู่ดาว เฉิงหย่งจื้อนอนเอาแขนก่ายหน้าผาก เปิดหน้าเอาไว้เช่นนี้ทุกค่ำคืนเพื่อให้ดวงจันทราอยู่เป็นเพื่อนคลายเหงาแกร็ก แกร็กมีผู้บุกรุกมือหยาบที่มิได้จับอาวุธมานานของเฉิงหย่งตวัดไปจับมีดสั้นใต้หมอนของตนเองที่เอาไว้ในกรณีฉุกเฉินซึ่งเขามิได้มีโอกาสได้ใช้มันเลยตลอดสามเดือนนี้ชายหนุ่มแสร้งเป็นนอนหลับตาลง พยายามหายใจเข้าออกสม่ำเสมอเพื่อให้ผู้บุกรุกตายใจคิดว่าเขานอนหลับสู่นิทราแล้ว พอมันตายใจเข้ามาในเขตแดนเตียงของเขาเมื่อไหร่เมื่อนั้นแหละถึงคราวฆาตของมันกลิ่นหอมหวานอันแสนคิดถึงลอยผ่านสายลมอ่อนเข้ามาแตะจมูกของชายหนุ่มที่แกล้งนอนหลับอยู่บนเตียงทำให้เฉิงหย่งจื้อเผลอใจเต้นรัวทั้งที่พยายามหายใจสม่ำเสมอให้เหมือนคนหลับ เปลือกตาหรี่ขึ้นกว่าเดิมเล็กน้อยแต่ก็มิให้มากจนเกินไปเพื่อมองตามเสียงเดินแผ่วเบาที่กำลังย่องเข้ามาใกล้เตียงของเขา บัดนี้มือหนาคลายจากมีดใต้หมอนเรียบร้อยแล้วได้แต่จิกผ้าปูที่นอนเพื่อระงับความตื่นเต้นที่กำลังท่วม
บทส่งท้าย“นี่เป็นจดหมายที่นางฝากคนใช้ให้มามอบให้พระองค์พะย่ะค่ะ คนของเราเห็นว่าเป็นเรื่องผิดปกติจึงรีบส่งมาให้ข้าพะย่ะค่ะ แต่ข้าน้อยมิบังอาจเปิดอ่านจึงเลือกแจ้งพระองค์ดีกว่าพะย่ะค่ะ”กระดาษพับขนาดเท่าฝ่ามือถูกมอบให้เฉิงหย่งจื้อที่รีบขอตัวออกมาจากห้องอักษรของบิดาเมื่อได้ยินว่าเป็นเรื่องของสตรีคนรักเขารับจดหมายนั้นมาก่อนจะคลี่กระดาษเปิดอ่านข้อความข้างใน ‘ลาก่อน หมดหน้าที่หลักของข้าแล้ว หลังจากนี้ขอให้พวกเราได้ทำในสิ่งที่ประสงค์อยากทำ ขอให้ใช้ชีวิตเป็นอิสระอย่างที่ใจต้องการ ข้าขอไปตามทางของข้าในที่ที่ข้าอยากไป และสำหรับท่านก็เช่นกันเซียวเฟยเจิน’หมายความว่าเช่นไร...ไยนางจึงเขียนจดหมายฉบับนี้ให้ข้าเฉิงหย่งจื้อละสายตาจากข้อความในกระดาษ“เฟยเจินยังอยู่ที่เรือนนางหรือไม่”ฉีหมิงที่อยู่ดีดีก็โดนยิงคำถามแปลก ๆ ชะงักไปครู่หนึ่งก่อนจะตั้งสติและตอบคำถามเจ้านายเท่าที่ชายหนุ่มรู้“ข้าน้อยมิรู้ ไม่มีใครกล้าเข้าไปรบกวนนางหรอกขอรับหากมิโดนเรียกเข้าไปใช้งาน...เกิดเรื่องอันใดหรือพะย่ะค่ะท่านอ๋อง”“นาง...หนีข้าไปแล้ว”ดวงตาสีดำสนิทจ้องเหม่อมองออกไปยังที่อันแสนไกล น้ำเสียงและแววตาตัดพ้อราว
และก็เป็นอย่างที่ฝ่ายเฉิงหย่งจื้อคาดการไว้ทางฝั่งฮ่องเต้เมื่อได้รู้จากเลี่ยงกงกงว่าลูกชายคนรองของตนขอเข้าเฝ้า จากที่ตอนแรกประทับอยู่ในห้องหนังสือเพื่ออ่านฎีกาที่กองพะเนินอยู่บนโต๊ะก็เตรียมตัวลุกขึ้นจากเก้าอี้“บอกเจ้าสามว่าข้าไม่สะดวกให้เข้าเฝ้าวันนี้ วันอื่นค่อยให้มาใหม่ ข้าจะพักผ่อนเร็วหน่อยวันนี้”ฮ่องเต้กล่าวกับกงกงที่ทำสีหน้าลำบากใจอยู่เบื้องหน้าเสร็จก็เตรียมตวัดชายแขนเสื้อเพื่อหันหลังเดินออกทางประตูด้านหลังแทนที่จะเป็นประตูหลักข้างหน้าดั่งปกติ“ฝะ...ฝ่าบาท เกรงว่าครานี้จะไม่ทันเสียแล้วพะย่ะค่ะ ท่านอ๋องสามรออยู่ทะ...ไม่ทันแล้ว”ชายชราเลี่ยงกงกงยังพูดไม่ทันจบดี เจ้านายของตนที่ไม่รอฝั่งคำเขาจึงเดินออกทางประตูหลังเรียบร้อยแล้ว และก็เจอลูกชายของตนที่รู้ทันพ่อของตนหลังจากโดนผลัดวันประกันพรุ่งมาหลายคราดักรอที่ประตูข้างหลังเฉิงหย่งจื้อในอาภรณ์ดำขลิบทองยืนมองบิดาตนด้วยใบหน้านิ่งสนิท ดวงตาสีดำเช่นเดียวกับสีผมมองมาที่คนอายุมากกว่าตรงหน้าเขม็ง ดุคมราวกับเหยี่ยวกำลังจ้องมองเพื่อจับผิดอีกฝ่าย“ลูกมีเรื่องสำคัญจะคุยกับเสด็จใช้เวลาไม่นานหรอกพะย่ะค่ะ”“พ่อ...”แม้บนหน้าของเจ้าแผ่นดินจะไม่มีเม็ด
“เจ้ากำลังคิดถึงเรื่องอันอยู่รึ ไยจึงนั่งยิ้มอยู่คนเดียวเช่นนั้น”ข้ามิรู้ตัวว่าตนเองกำลังนั่งท้าวคางบนมือของตนอยู่บนโต๊ะน้ำชารับแขกในเรือนตนเอง ใบหน้าหันมองออกไปนอกหน้าต่างที่กำลังเปิดอ้าอยู่ เวลาเย็นแดดจึงไม่จัดมาก ลมพัดโชยเข้ามาอ่อน ๆ นอกหน้าต่างไม่มีนก หรือแมลงบินตอมดอกไม้ให้ข้าได้ดูและทำให้ข้ายิ้มได้ ชายหนุ่มผู้ถือวิสาสะเดินเข้ามาในเรือนผู้อื่นแม้อยู่ในจวนตนเองก็เถอะจึงเอ่ยทักข้าอย่างฉงนใจเจือด้วยความไม่พอใจเนือง ๆ เพราะชายหนุ่มกลัวว่าที่ข้ายิ้มอาจเพราะคิดถึงบุรุษอื่นใบหน้าหล่อเหลาทว่าติดดุเข้มมของเฉิงหย่งจื้อโผล่เข้ามาในสายตาข้า ระยะห่างระหว่างใบหน้าเราห่างเพียงหนึ่งฝ่ามือทำให้ข้าผงะถอยหลังเล็กน้อย“ท่านเข้ามาในเรือนข้าได้อย่างไร...ข้าไม่เห็นได้ยินเสียงฝีเท้าเลย” ประโยคหลังข้าบนพึมพำกับตนเองเบา ๆดวงตาคู่ดำสนิทไล่สายตาขึ้นลงราวกับกำลังไล่สำรวจเครื่องหน้าของข้าหากข้ามองไม่ผิด ดวงตาคู่ตรงหน้าเวลานี้คมราวกับเหยี่ยวสอดส่ายไล่เก็บภาพหญิงสาวคนรักตรงหน้า“ยังมิชินอีกหรือ เมื่อหลายวันก่อนเจ้ายังไม่เห็นขัดที่จะอยู่ห้องนอนเดียวกับข้าอยู่เลย”“นั่นมันตอนข้าแปลงเป็นบุรุษและเราทั้งสองคนกำล
“ข้ามีข้อตกลงเพิ่ม ข้าต้องการให้เจ้าเผยรูปโฉมที่แท้จริงออกมาด้วยหากเจ้าจริงใจอยากช่วยมิใช่เพื่อลวงหลอกให้ข้าเดินตามแผนของพวกเจ้า”ที่ข้าต้องการดูรูปโฉมที่แท้จริงเป็นเพราะข้าคิดว่าที่ข้าจำมิได้จากนิยายต้นฉบับอาจมีสาเหตุมาจากอีกฝ่ายปลอมตัว หากข้าเห็นใบหน้าที่แท้จริงข้าอาจระบุตัวละครตัวนี้ได้และหากข้าระบุตัวตนของอีกฝ่ายได้นั่นเท่ากับข้าจะได้เลือกถูกว่าควรเลือกเชื่อนางดีหรือไม่นางระบายลมหายใจออกมาเบา ๆ ข่มกลั้นความรู้สึกที่อัดอั้นข้างในอก“ได้ หากนั่นจะทำให้ท่านเชื่อว่าข้าหวังดี”มือบางที่คล้ำหมองเพราะพอกผงสีดำพลางตัวเพื่อแปลงกลายยกขึ้นมาทั้งสองข้าง นางจัดการลอกหน้ากากหนังบนใบหน้านางออก รอยแผล รอยดำเป็นปื้นบนแก้มทั้งสองของนางเป็นของปลอม เมื่อหน้ากากหนังอัปลักษณ์ถูกลอกออกใบหน้าที่แท้จึงของสตรีตรงหน้าข้าจึงถูกเปิดเผยดวงหน้างามหวาน ผิวขาวผุดผ่องแม้เวลานี้จะดูซีด มีรอยย่นตามอายุของเจ้าตัวก็มิอาจปิดบังความงามของหญิงสาวได้เลยข้าที่เห็นการเปลี่ยนแปลงอันน่าอัศจรรย์นี้อดมิได้ที่จะยกมือขึ้นมาปิดปาก ดวงตากลมโตของข้าจ้องอีกฝ่ายอย่างประหลาดใจโดยมิปิดบัง“แม่นางงามนัก ข้าไม่แปลกใจหากท่านต้องแปลงกาย
ปึงประตูบ้านปิดเองอาจด้วยเพราะกลไกธรรมชาติ อาจเป็นลมหรือความตั้งใจของเจ้าบ้านอันนี้ข้าก็มิรู้ แต่ข้าที่นั่งหันหลังให้พอได้ยินเสียงถึงกับสะดุ้งตัวขึ้นเพราะตกใจก่อนจะหันหลังไปมอง ข้ากลืนน้ำลายก่อนหันกลับมาประจันหน้ากับเจ้าของบ้านเช่นเดิมสตรีขี้เหร่มิได้มีท่าทีเปลี่ยนไปจากเดิม นางเพียงยิ้มและยกชาถ้วยตนขึ้นมาจิบมีแต่ข้าที่พยายามรักษาใบหน้ามิให้แสดงอาการตื่นกลัวทว่าเหงื่อที่ออกบนมือมิสามารถห้ามได้ มือที่บีบกันแน่นของข้าจึงชุ่มไปด้วยเหงื่อใจเย็นไว้เฟยเจิน แค่ประตูปิด“ข้าพอจะเดาได้ว่าท่านตั้งใจมาหาข้าโดยเฉพาะและพอจะเดาสิ่งที่ท่านต้องการจากข้าได้”“รู้ว่าข้ามาหาทำไมงั้นรึ เจ้าดูมั่นใจยิ่งนักว่าตนเองเดาใจข้าได้ สิ่งที่จ้าคิดอาจมิใช่ ใครจะไปรู้”“นั่นก็จริง งั้นเชิญเอ่ยเรื่องของท่านมาเถิด หากไม่เกินความสามารถข้าย่อมช่วยเต็มที่”“แม่นางรู้จักพ่อค้านาม ติงเอ๋าซีหรือไม่”“รู้จักเมื่อไม่นานมานี้”“และแม่นางรู้จักเซี่ยฮองเฮาหรือไม่”“ย่อมรู้จัก” ข้าสังเกตเห็นนางกำชายเสื้อตนเอง“ประชาชนอาณาจักนี้มีใครบ้างไม่รู้พระนางผู้เป็นพระมารดาของแผ่นดิน”“ข้าหมายถึงรู้จักเป็นการส่วนตัวแบบที่มิใช่สถานะประชาชน







