เข้าสู่ระบบแม้กระทั่งหานซูเฟยพระมารดาของอ๋องแปดก็ไม่พลาดข่าวนี้เช่นกัน
การเลือกสรรผู้ช่วยที่เป็นถึงผู้วิเศษมีหรือจะไม่ได้รับคำชี้แนะจากผู้เป็นมารดามาก่อน
จะมีแม่ใครอยากให้ลูกตนได้ผู้ช่วยกะโหลกกะลาชื่อเสียงไม่ค่อยดีเช่นข้า
เย่อหยิ่ง จองหอง ไร้มารยาท แถมยังเพิ่งเถียงขุนนางอาวุโสไปหยก ๆ ตระกูลหนุนหลังก็นับว่าศูนย์เลยด้วยซ้ำ
เป็นดังคาด องค์รัชทายาทเลือกเลี่ยงซูเมิ่ง ก็นะพระเอกนิยายก็ต้องเลือกนางเอกนิยายสิ ส่วนท่านอ๋องแปดลังเลแต่ท้ายที่สุดก็เลือกเฟิงหยาง
ส่วนข้าที่ไม่มีใครเลือกจึงได้เป็นผู้ช่วยของท่านอ๋องสาม
อีกฝ่ายทำหน้านิ่ง ไม่แม้จะมองหน้าข้าสักแวบหนึ่ง
ถึงข้าจะอ่านใจของอีกฝ่ายไม่ออกแต่ข้าก็หาได้ถือสากริยาของเจ้านายใหม่ไม่ ตอนนี้ข้าพึงพอใจยิ่งนักที่แผนของตนสำเร็จไปอีกขั้น
ตัวร้ายก็ย่อมต้องคู่กับจอมวายร้ายอย่างข้าสิถึงจะสมน้ำสมเนื้อ
“พวกเจ้าคงเป็นที่พอใจแล้วกระมัง ข้าขอประกาศแต่งตั้งให้ท่านผู้วิเศษทั้งสามเป็นผู้พิทักษ์แห่งสวรรค์อย่างเป็นทางการ ณ บัดนี้ พร้อมกับทรัพย์สินต้อนรับตำแหน่งใหม่ เครื่องประดับคนละหนึ่งหีบ ทองอีก....”
รายชื่อของมีค่าทำให้ข้ายิ่งอารมณ์ดีเข้าอีกขั้น เรียกได้ว่าข้ากลายเป็นคนร่ำรวยกันเลยทีเดียว
“และท้ายที่สุดเนื่องจากท่านผู้พิทักษ์เหล่านี้เป็นผู้ช่วยประจำตัว เราจึงเห็นสมควรให้แต่ละจวนของพวกเจ้ามีเรือนไว้พำนักประจำให้ท่านผู้วิเศษด้วย...”
“เรือนลูกเต็มพะย่ะค่ะเสด็จพ่อ”
ใครจะคิดว่าอ๋องสามผู้เงียบขรึมประหยัดคำพูดอยู่ดี ๆเอ่ยคัดค้านออกมากอย่างเด็ดเดี่ยว
แต่ใครก็รู้ว่าท่านอ๋องสามมีจวนหลังใหญ่ พระชายารองก็มีเพียงคนเดียว...แล้วเรือนจะเต็มได้อย่างไรกัน
ขุนนางที่มองพระประสงค์ค้านทางอ้อมของอ๋องสามออกจึงพากันหันมามองข้าอย่างเยาะเย้ย
เหอะ จวนเต็มหรือไม่ต้อนรับการเป็นผู้ช่วยของข้ากันแน่
“งั้นหรือ งั้นเรามอบพื้นที่ด้านหลังจวนของเจ้าให้เพิ่มก็แล้วกัน ท่านเสนาบดีหานช่วยจัดการให้เราที”
“แต่...”
“หม่อมฉันขอบพระทัยแทนลูกสามของหม่อมฉันเพคะ ขอบพระทัยเสด็จพ่อสิอ๋องสาม”
เมื่อเห็นว่าบุตรบุญธรรมตนกำลังทำเสียเรื่องฮองเฮาจึงเอ่ยออกโรงเอง ซึ่งได้ผลท่านอ๋องสามทำเพียงมองสบตาข้าด้วยแววตาราวกับหมายชีวิตข้าเอาไว้แล้ว
“เอาล่ะ งั้นเรื่องนี้ตกลงตามนี้ มีใครอยากคัดค้านเราหรือไม่”
“....” ไม่มีใครกล้าคัดค้านอีก
“เอาล่ะงั้นต่อไปข้าเชิญร่วมฉลองให้กับตำแหน่งหน้าที่ใหม่ของเหล่าผู้วิเศษเถิด”
“ในอดีต กล่าวถึงผู้พิทักษ์แห่งสวรรค์ทั้งสองท่านก่อนหน้าท่านจิ่วฮุ่ย และท่านถางจงฮ่วนต่างได้รับความเมตตาจากฝ่าบาทในการดื่มสุราที่ทรงประทานให้หนึ่งจอก ดังนั้นกระหม่อมจึงเสนอนับเป็นธรรมเนียมปฏิบัติดีหรือไม่พะย่ะค่ะ”
ถางกงกงหรือขันทีคนสนิทของฮ่องเต้ยังคงเป็นผู้ที่รู้ใจฝ่าบาทมากที่สุด
“ดี ๆ เราก็คิดว่าดี เชิญท่านผู้วิเศษทั้งสามเป็นเกียรติดื่มสุราจากเหยือกเราเถิด ถางกงกง เตรียมสุราจอกใหม่ให้ข้าหน่อย”
“พะย่ะค่ะ”
ถางกงกงทำงานได้รวดเร็วยิ่งนักเพียงไม่นานสุราเหยือกใหม่ก็ถูกนางกำนัลนำมาให้ พวกข้าทั้งสามจึงน้อมรับคำเชิญพากันเยื่องย่างเข้าไปในแผนการอันแยบยล
ในสายตาคนภายนอกล้วนอิจฉาที่พวกข้าได้รับเกียรติถึงขนาดได้ดื่มสุราจากเหยือกของโอรสของสวรรค์โดยตรง
บ่งบอกได้เป็นอย่างดีว่าหน้าที่การงานในอนาคตของพวกข้าย่อมเจริญรุ่งเรืองเพราะมีองค์ฮ่องเต้ให้ความไว้วางใจและสนับสนุน
แม้เป็นสตรีเพียงแค่มีพลังวิเศษติดตัวมาก็ได้รับข้อยกเว้นจากฝ่าบาท
แม้เป็นครอบครัวไร้ชื่อเสียงแค่เพียงเป็นผู้ที่สวรรค์เลือกก็ได้รับยศถาบรรดาศักดิ์แบบก้าวกระโดด
แต่ในสายตาของข้ากำลังจ้องเหยือกใบนั้นด้วยสายตาเยือกเย็น แม้รอยยิ้มยังคงปรากฏบนใบหน้าข้า แต่มันกลับให้ความรู้สึกวังเวงจนบางคนถึงกับขยี้ตาเพราะคิดว่าข้าที่ควรยิ้มดีใจสิถึงจะถูก
หากพวกเขารู้ว่าเหยือกเหล้านั้นมียาพิษละลายอยู่คงไม่มองข้าด้วยความอิจฉาเช่นนี้แน่
ใช่แล้ว ในเหยือกมียาพิษละลายอยู่ เป็นยาพิษที่ไม่มีฤทธิ์หากยังไม่ได้รับการกระตุ้นจากยาพิษอีกขนาน และเป็นยาพิษที่ไม่สามารถใช้วิธีธรรมดาตรวจพบด้วยเช่นกัน
มีคนที่มีของวิเศษอยู่ในมือแล้วมอบให้คนอื่นแบบไม่หวังสิ่งใดแลกเปลี่ยนด้วยหรือ
ยาพิษนี้ต่อไปในภายภาคหน้าฮ่องเต้จะใช้เป็นตัวควบคุมเหล่าผู้วิเศษให้อยู่ในการปกครองของตน
เรียกได้ว่าหากใครไม่ทำตามพระองค์ก็จะไม่ได้รับยาถอนพิษที่พระองค์มีอยู่ในครอบครองผู้เดียวเท่านั้น แต่อาจได้รับยากระตุ้นแทน
ช่างน่าขัน หากข้าดื่มเหล้าจอกนี้ข้าก็จะกลายเป็นหมากหนึ่งตัวในกระดานของพระองค์ กระดานที่ผู้อยากเป็นใหญ่นานตราบนานอย่างฮ่องเต้เป็นผู้ควบคุม
เขาส่งพวกนางไปให้อยู่ใกล้ชิดกับบรรดาลูก ๆผู้มากความสามารถเพื่อให้พวกนางเป็นหนอนบ่อนไส้ เป็นตาคอยตรวจสอบความเคลื่อนไหวที่ผิดปกติ หากใครคิดก่อกบถพระองค์จะได้ไหวตัวทัน
แน่นอนว่าข้าต้องการเป็นผู้ชม มิใช่หมากตัวหนึ่ง ดังนั้นข้าจึงได้หาทางจัดการเรื่องนี้เป็นที่เรียบร้อยแล้ว
ในปากข้าอมวัตถุเนื้อพิเศษชนิดหนึ่งที่มีคุณสมบัติในการดูดซับน้ำได้ดียิ่งนักไว้ เวลานี้ข้าจึงรับเหล้าจากมือองค์ฮ่องเต้และยกดื่มอย่างไม่รีรอ
“เหล้าพระองค์รสชาติล้ำเลิศมากเพคะ”
ข้าถอยเดินออกมาก่อนจะแขนเสื้อขึ้นบังริมฝีปากเพื่อไอทีนึง
วัตถุชิ้นนั้นทำงานได้ดีนัก เหล้าสักหยดไม่สามารถลงถึงคอข้าได้ เมื่อสักครู่ข้าได้ทำการคายวัตถุนั้นลงไปในแขนเสื้อตน ในขณะที่ข้านั่งที่ตนเองเสร็จเรียบร้อยแล้วข้าจึงล้วงมือเข้าไปในแขนเสื้อเพื่อเก็บวัตถุดูเหล้าพิษนั้นใส่ในถุงผ้าพกข้างกายข้า
ข้าว่าจะนำเหล้าไปตรวจสักหน่อยว่าเป็นพิษชนิดใด เผื่อในอนาคตจะได้นำมาใช้ประโยชน์ได้
จากนั้นงานเลี้ยงฉลองก็ดำเนินต่อไป เสียงเฮฮาจากบางคนที่เริ่มมึนมาจากฤทธิ์สุราให้งานเลี้ยงคึกครื้น ข้าเองก็มีขุนนางหลายคนมาขอชนบ้างประปราย
ข้านั่งอยู่กับที่ไม่ค่อยสนใจสิ่งใดนอกจากอาหารเลิศรสตรงหน้าจึงไม่ได้สังเกตสองสายตาที่จ้องมายังข้า
หนึ่งคือสายตาจากท่านเสนาบดีที่เพิ่งฉะฝีปากกับข้าไป ชายเฒ่ามองมาที่ข้าด้วยสายตาโกรธแค้น
ส่วนอีกหนึ่งคือสายตาจ้องเขม็งเต็มไปด้วยไอสังหารจากเจ้านายคนใหม่ของข้า ท่านอ๋องสาม
ข้าหัวเราะเฮฮาไปกับคนที่เข้ามาทักทายจวบจนงานราตรีนี้จบลง
ค่ำคืนนี้ก็เช่นกันเฉิงหย่งจื้อเข้านอนแต่หัวค่ำเพราะยิ่งไม่นอนใจยิ่งนึกถึงใบหน้าดื้อดึงที่มีนิสัยมิย่อมใครของหญิงคนรักดวงจันทร์วันนี้เกือบเต็มดวงเหลืองนวลลอยเด่นอยู่ท่ามกลางหมู่ดาว เฉิงหย่งจื้อนอนเอาแขนก่ายหน้าผาก เปิดหน้าเอาไว้เช่นนี้ทุกค่ำคืนเพื่อให้ดวงจันทราอยู่เป็นเพื่อนคลายเหงาแกร็ก แกร็กมีผู้บุกรุกมือหยาบที่มิได้จับอาวุธมานานของเฉิงหย่งตวัดไปจับมีดสั้นใต้หมอนของตนเองที่เอาไว้ในกรณีฉุกเฉินซึ่งเขามิได้มีโอกาสได้ใช้มันเลยตลอดสามเดือนนี้ชายหนุ่มแสร้งเป็นนอนหลับตาลง พยายามหายใจเข้าออกสม่ำเสมอเพื่อให้ผู้บุกรุกตายใจคิดว่าเขานอนหลับสู่นิทราแล้ว พอมันตายใจเข้ามาในเขตแดนเตียงของเขาเมื่อไหร่เมื่อนั้นแหละถึงคราวฆาตของมันกลิ่นหอมหวานอันแสนคิดถึงลอยผ่านสายลมอ่อนเข้ามาแตะจมูกของชายหนุ่มที่แกล้งนอนหลับอยู่บนเตียงทำให้เฉิงหย่งจื้อเผลอใจเต้นรัวทั้งที่พยายามหายใจสม่ำเสมอให้เหมือนคนหลับ เปลือกตาหรี่ขึ้นกว่าเดิมเล็กน้อยแต่ก็มิให้มากจนเกินไปเพื่อมองตามเสียงเดินแผ่วเบาที่กำลังย่องเข้ามาใกล้เตียงของเขา บัดนี้มือหนาคลายจากมีดใต้หมอนเรียบร้อยแล้วได้แต่จิกผ้าปูที่นอนเพื่อระงับความตื่นเต้นที่กำลังท่วม
บทส่งท้าย“นี่เป็นจดหมายที่นางฝากคนใช้ให้มามอบให้พระองค์พะย่ะค่ะ คนของเราเห็นว่าเป็นเรื่องผิดปกติจึงรีบส่งมาให้ข้าพะย่ะค่ะ แต่ข้าน้อยมิบังอาจเปิดอ่านจึงเลือกแจ้งพระองค์ดีกว่าพะย่ะค่ะ”กระดาษพับขนาดเท่าฝ่ามือถูกมอบให้เฉิงหย่งจื้อที่รีบขอตัวออกมาจากห้องอักษรของบิดาเมื่อได้ยินว่าเป็นเรื่องของสตรีคนรักเขารับจดหมายนั้นมาก่อนจะคลี่กระดาษเปิดอ่านข้อความข้างใน ‘ลาก่อน หมดหน้าที่หลักของข้าแล้ว หลังจากนี้ขอให้พวกเราได้ทำในสิ่งที่ประสงค์อยากทำ ขอให้ใช้ชีวิตเป็นอิสระอย่างที่ใจต้องการ ข้าขอไปตามทางของข้าในที่ที่ข้าอยากไป และสำหรับท่านก็เช่นกันเซียวเฟยเจิน’หมายความว่าเช่นไร...ไยนางจึงเขียนจดหมายฉบับนี้ให้ข้าเฉิงหย่งจื้อละสายตาจากข้อความในกระดาษ“เฟยเจินยังอยู่ที่เรือนนางหรือไม่”ฉีหมิงที่อยู่ดีดีก็โดนยิงคำถามแปลก ๆ ชะงักไปครู่หนึ่งก่อนจะตั้งสติและตอบคำถามเจ้านายเท่าที่ชายหนุ่มรู้“ข้าน้อยมิรู้ ไม่มีใครกล้าเข้าไปรบกวนนางหรอกขอรับหากมิโดนเรียกเข้าไปใช้งาน...เกิดเรื่องอันใดหรือพะย่ะค่ะท่านอ๋อง”“นาง...หนีข้าไปแล้ว”ดวงตาสีดำสนิทจ้องเหม่อมองออกไปยังที่อันแสนไกล น้ำเสียงและแววตาตัดพ้อราว
และก็เป็นอย่างที่ฝ่ายเฉิงหย่งจื้อคาดการไว้ทางฝั่งฮ่องเต้เมื่อได้รู้จากเลี่ยงกงกงว่าลูกชายคนรองของตนขอเข้าเฝ้า จากที่ตอนแรกประทับอยู่ในห้องหนังสือเพื่ออ่านฎีกาที่กองพะเนินอยู่บนโต๊ะก็เตรียมตัวลุกขึ้นจากเก้าอี้“บอกเจ้าสามว่าข้าไม่สะดวกให้เข้าเฝ้าวันนี้ วันอื่นค่อยให้มาใหม่ ข้าจะพักผ่อนเร็วหน่อยวันนี้”ฮ่องเต้กล่าวกับกงกงที่ทำสีหน้าลำบากใจอยู่เบื้องหน้าเสร็จก็เตรียมตวัดชายแขนเสื้อเพื่อหันหลังเดินออกทางประตูด้านหลังแทนที่จะเป็นประตูหลักข้างหน้าดั่งปกติ“ฝะ...ฝ่าบาท เกรงว่าครานี้จะไม่ทันเสียแล้วพะย่ะค่ะ ท่านอ๋องสามรออยู่ทะ...ไม่ทันแล้ว”ชายชราเลี่ยงกงกงยังพูดไม่ทันจบดี เจ้านายของตนที่ไม่รอฝั่งคำเขาจึงเดินออกทางประตูหลังเรียบร้อยแล้ว และก็เจอลูกชายของตนที่รู้ทันพ่อของตนหลังจากโดนผลัดวันประกันพรุ่งมาหลายคราดักรอที่ประตูข้างหลังเฉิงหย่งจื้อในอาภรณ์ดำขลิบทองยืนมองบิดาตนด้วยใบหน้านิ่งสนิท ดวงตาสีดำเช่นเดียวกับสีผมมองมาที่คนอายุมากกว่าตรงหน้าเขม็ง ดุคมราวกับเหยี่ยวกำลังจ้องมองเพื่อจับผิดอีกฝ่าย“ลูกมีเรื่องสำคัญจะคุยกับเสด็จใช้เวลาไม่นานหรอกพะย่ะค่ะ”“พ่อ...”แม้บนหน้าของเจ้าแผ่นดินจะไม่มีเม็ด
“เจ้ากำลังคิดถึงเรื่องอันอยู่รึ ไยจึงนั่งยิ้มอยู่คนเดียวเช่นนั้น”ข้ามิรู้ตัวว่าตนเองกำลังนั่งท้าวคางบนมือของตนอยู่บนโต๊ะน้ำชารับแขกในเรือนตนเอง ใบหน้าหันมองออกไปนอกหน้าต่างที่กำลังเปิดอ้าอยู่ เวลาเย็นแดดจึงไม่จัดมาก ลมพัดโชยเข้ามาอ่อน ๆ นอกหน้าต่างไม่มีนก หรือแมลงบินตอมดอกไม้ให้ข้าได้ดูและทำให้ข้ายิ้มได้ ชายหนุ่มผู้ถือวิสาสะเดินเข้ามาในเรือนผู้อื่นแม้อยู่ในจวนตนเองก็เถอะจึงเอ่ยทักข้าอย่างฉงนใจเจือด้วยความไม่พอใจเนือง ๆ เพราะชายหนุ่มกลัวว่าที่ข้ายิ้มอาจเพราะคิดถึงบุรุษอื่นใบหน้าหล่อเหลาทว่าติดดุเข้มมของเฉิงหย่งจื้อโผล่เข้ามาในสายตาข้า ระยะห่างระหว่างใบหน้าเราห่างเพียงหนึ่งฝ่ามือทำให้ข้าผงะถอยหลังเล็กน้อย“ท่านเข้ามาในเรือนข้าได้อย่างไร...ข้าไม่เห็นได้ยินเสียงฝีเท้าเลย” ประโยคหลังข้าบนพึมพำกับตนเองเบา ๆดวงตาคู่ดำสนิทไล่สายตาขึ้นลงราวกับกำลังไล่สำรวจเครื่องหน้าของข้าหากข้ามองไม่ผิด ดวงตาคู่ตรงหน้าเวลานี้คมราวกับเหยี่ยวสอดส่ายไล่เก็บภาพหญิงสาวคนรักตรงหน้า“ยังมิชินอีกหรือ เมื่อหลายวันก่อนเจ้ายังไม่เห็นขัดที่จะอยู่ห้องนอนเดียวกับข้าอยู่เลย”“นั่นมันตอนข้าแปลงเป็นบุรุษและเราทั้งสองคนกำล
“ข้ามีข้อตกลงเพิ่ม ข้าต้องการให้เจ้าเผยรูปโฉมที่แท้จริงออกมาด้วยหากเจ้าจริงใจอยากช่วยมิใช่เพื่อลวงหลอกให้ข้าเดินตามแผนของพวกเจ้า”ที่ข้าต้องการดูรูปโฉมที่แท้จริงเป็นเพราะข้าคิดว่าที่ข้าจำมิได้จากนิยายต้นฉบับอาจมีสาเหตุมาจากอีกฝ่ายปลอมตัว หากข้าเห็นใบหน้าที่แท้จริงข้าอาจระบุตัวละครตัวนี้ได้และหากข้าระบุตัวตนของอีกฝ่ายได้นั่นเท่ากับข้าจะได้เลือกถูกว่าควรเลือกเชื่อนางดีหรือไม่นางระบายลมหายใจออกมาเบา ๆ ข่มกลั้นความรู้สึกที่อัดอั้นข้างในอก“ได้ หากนั่นจะทำให้ท่านเชื่อว่าข้าหวังดี”มือบางที่คล้ำหมองเพราะพอกผงสีดำพลางตัวเพื่อแปลงกลายยกขึ้นมาทั้งสองข้าง นางจัดการลอกหน้ากากหนังบนใบหน้านางออก รอยแผล รอยดำเป็นปื้นบนแก้มทั้งสองของนางเป็นของปลอม เมื่อหน้ากากหนังอัปลักษณ์ถูกลอกออกใบหน้าที่แท้จึงของสตรีตรงหน้าข้าจึงถูกเปิดเผยดวงหน้างามหวาน ผิวขาวผุดผ่องแม้เวลานี้จะดูซีด มีรอยย่นตามอายุของเจ้าตัวก็มิอาจปิดบังความงามของหญิงสาวได้เลยข้าที่เห็นการเปลี่ยนแปลงอันน่าอัศจรรย์นี้อดมิได้ที่จะยกมือขึ้นมาปิดปาก ดวงตากลมโตของข้าจ้องอีกฝ่ายอย่างประหลาดใจโดยมิปิดบัง“แม่นางงามนัก ข้าไม่แปลกใจหากท่านต้องแปลงกาย
ปึงประตูบ้านปิดเองอาจด้วยเพราะกลไกธรรมชาติ อาจเป็นลมหรือความตั้งใจของเจ้าบ้านอันนี้ข้าก็มิรู้ แต่ข้าที่นั่งหันหลังให้พอได้ยินเสียงถึงกับสะดุ้งตัวขึ้นเพราะตกใจก่อนจะหันหลังไปมอง ข้ากลืนน้ำลายก่อนหันกลับมาประจันหน้ากับเจ้าของบ้านเช่นเดิมสตรีขี้เหร่มิได้มีท่าทีเปลี่ยนไปจากเดิม นางเพียงยิ้มและยกชาถ้วยตนขึ้นมาจิบมีแต่ข้าที่พยายามรักษาใบหน้ามิให้แสดงอาการตื่นกลัวทว่าเหงื่อที่ออกบนมือมิสามารถห้ามได้ มือที่บีบกันแน่นของข้าจึงชุ่มไปด้วยเหงื่อใจเย็นไว้เฟยเจิน แค่ประตูปิด“ข้าพอจะเดาได้ว่าท่านตั้งใจมาหาข้าโดยเฉพาะและพอจะเดาสิ่งที่ท่านต้องการจากข้าได้”“รู้ว่าข้ามาหาทำไมงั้นรึ เจ้าดูมั่นใจยิ่งนักว่าตนเองเดาใจข้าได้ สิ่งที่จ้าคิดอาจมิใช่ ใครจะไปรู้”“นั่นก็จริง งั้นเชิญเอ่ยเรื่องของท่านมาเถิด หากไม่เกินความสามารถข้าย่อมช่วยเต็มที่”“แม่นางรู้จักพ่อค้านาม ติงเอ๋าซีหรือไม่”“รู้จักเมื่อไม่นานมานี้”“และแม่นางรู้จักเซี่ยฮองเฮาหรือไม่”“ย่อมรู้จัก” ข้าสังเกตเห็นนางกำชายเสื้อตนเอง“ประชาชนอาณาจักนี้มีใครบ้างไม่รู้พระนางผู้เป็นพระมารดาของแผ่นดิน”“ข้าหมายถึงรู้จักเป็นการส่วนตัวแบบที่มิใช่สถานะประชาชน







