รุ่งเช้าหลิวลี่เซียนไปที่เรือนของฮูหยินลี่หยางเพื่อรับประทานอาหารเช้าที่เรือนของมารดา ฮูหยินลี่หยางเอ่ยปากชมว่าหม่าล่าที่นางนำมาให้กินนั้นแปลกตาและอร่อยยิ่ง ส่วนหลิวลี่ซือที่นั่งร่วมโต๊ะด้วยนั้นลอบบิดเบ้มุมปากตนด้วยความริษยา
ตั้งแต่ที่พี่สาวนางตกน้ำครานั้นก็ดูเปลี่ยนไป เมื่อก่อนนางช่างอ่อนแอและขี้โรคนัก โดนลมเพียงนิดก็ไม่สบายต้องนอนรักษาตัวอยู่ในจวนเป็นนานแรมเดือน แต่ตอนนี้นางดูแข็งแรงไม่เจ็บป่วยไข้เหมือนแต่ก่อน ซ้ำยังดูงดงามสดใสยิ่ง
น่าถลกหนังหน้านางให้มันพังพินาศไปเสีย
หลังจากที่กินข้าวเช้าเสร็จแล้ว หลิวลี่ซือก็เดินออกมาจากเรือนฮูหยินลี่หยาง ก่อนจะจัดการเปลี่ยนเสื้อผ้าออกนอกจวนไปที่หอเป่าชิงเพื่อหาซื้อเครื่องประดับ
หลิวลี่ซือเป็นคนรักสวยรักงามยิ่ง นางชอบสะสมเครื่องประดับอัญมณีที่งดงามหลากหลาย
เมื่อเลือกเครื่องประดับได้ตามที่ต้องการแล้ว หลิวลี่ซือเตรียมให้อวี้จู้สาวรับใช้คนสนิทจ่ายค่าเครื่องประดับของนาง แต่ทว่ามีมือปริศนาข้างหนึ่งยื่นมาก่อน
"แม่นาง ค่าเครื่องประดับนี้นายของข้าจะเป็นคนจ่ายให้ท่านเอง"
หลิวลี่ซือหันไปมองก่อนจะพบกับบุรุษผู้หนึ่ง เขาแต่งกายคล้ายองครักษ์ในวังหลวง
"นายของเจ้าคือใคร"
"แม่นางโปรดตามข้ามาเถิด"
หลิวลี่ซือมองบุรุษตรงหน้าอย่างหยั่งเชิง ก่อนจะเดินตามเขาไปพร้อมกับอวี้จู้
บุรุษผู้นั้นพานางมาที่หอเสี่ยวเอ้อ ก่อนจะนำทางนางเข้าไปที่ห้องด้านในสุดห้องหนึ่ง เมื่อนางเดินเข้าไปก็ได้พบกับชายผู้หนึ่ง
ชายที่นางเฝ้าคะนึงหาเขาทุกเช้าค่ำ
"ถวายพระพรองค์ชายรองเพคะ"
"ไม่ต้องมากพิธี เจ้านั่งลงก่อนเถิด"
หลิวลี่ซือค่อนข้างประหม่าไม่น้อย นางไม่คิดไม่ฝันว่าจะได้เจอกับชายที่นางหมายปองที่นี่ ใบหน้าของนางแดงระเรื่อ ทุกการกระทำของนางอยู่ในสายตาของจ้าวเฟยหรง เขายกยิ้มมุมปากด้วยความพอใจไม่น้อย
"ขอโทษด้วยที่ให้คนไปเชิญเจ้ามาทั้งที่ไม่ได้บอกก่อน"
"ไม่เป็นไรเพคะ"
"เรามาพูดคุยกันอย่างตรงไปตรงมา เจ้าคือฝาแฝดผู้น้องของลี่เซียนใช่รึไม่"
คำถามนี้ขององค์ชายรองทำให้หลิวลี่ซือชะงักไปไม่น้อย นี่เขาเรียกนางมาเพื่อถามถึงนังตัวดีนั่นหรือ
"เพคะ หม่อมฉันเป็นแฝดผู้น้อง มีนามว่าหลิวลี่ซือเพคะ"
จ้าวเฟยหรงพยักหน้าเล็กน้อย
"เช่นนั้นเจ้าพอจะช่วยอะไรข้าสักอย่างหนึ่งได้หรือไม่"
"ช่วยอะไรหรือเพคะ?"
จ้าวเฟยหรงยิ้มมุมปากด้วยความเจ้าเล่ห์
"ข้าอยากให้เจ้าพาพี่สาวเจ้ามาพบข้า"
หลิวลี่ซือมองหน้าจ้าวเฟยหรงอย่างไม่เชื่อสายตา นี่เขาชอบหลิวลี่เซียนจริงๆ เช่นนั้นหรือ
จ้าวเฟยหรงเดาความคิดของหลิวลี่ซือออก เขาเอื้อมมือของตนเองไปกุมที่มือขาวนุ่มของหลิวลี่ซือ นางตกใจเล็กน้อยแต่ไม่แสดงท่าทีขัดขืน
"เจ้าไม่ต้องคิดมาก ข้าเพียงต้องการเชยชมนางเท่านั้น นางก็เหมือนดอกไม้ริมทางดอกหนึ่งที่ข้าต้องการ พอข้าเบื่อข้าก็จะเขี่ยนางไป แต่สำหรับเจ้าที่ข้าให้คนตามเจ้ามาที่นี่ เพราะข้ามีเรื่องจะบอกกับเจ้า"
"เรื่องอะไรหรือเพคะ?"
จ้าวเฟยหรงยิ้มอย่างอ่อนโยน
"ข้าชอบเจ้า เจ้าจะยอมเป็นชายาเอกของข้าได้หรือไม่"
หัวใจของหลิวลี่ซือพองโต นางรู้สึกเหมือนตัวเองฝันไปก็ไม่ปาน
"เจ้าจะช่วยข้าได้หรือไม่ ข้าสัญญาว่าจะมีเพียงเจ้า ข้าจะไม่มีทางให้พี่สาวเจ้ามาเทียบเจ้าได้"
"ได้เพคะ หม่อมฉันจะช่วยองค์ชายรอง"
"ถ้าเจ้าทำสำเร็จ เจ้าเตรียมรอวันที่เสด็จพ่อพระราชทานสมรสให้เราสองคนได้เลย"
หลิวลี่ซือยิ้มอย่างดีใจ หึ เจ้ามันก็แค่หมากตัวหนึ่งที่องค์ชายรองต้องการเล่น แล้วก็เขี่ยเจ้าทิ้ง สุดท้ายก็เป็นข้าที่ได้หัวใจขององค์ชายรองมาครอบครอง
หลังจากตกลงแผนการกันเรียบร้อยแล้วหลิวลี่ซือก็ขอตัวกลับ ส่วนจ้าวเฟยหรงได้แต่มองตามแผ่นหลังของนางจนลับสายตา พลันส่งเสียงหึในลำคอ
ผู้หญิงที่ตกปากรับคำทำลายชื่อเสียงพี่สาวได้อย่างหน้าไม่อายเช่นเจ้า ไม่คู่ควรเป็นชายาเอกที่ข้ารักแม้แต่น้อย
ตกดึกคืนนั้นจ้าวจิ้งเทียนก็มาตามที่รับปากกับหลิวลี่เซียนเอาไว้ เขาส่งชุดบุรุษให้นางเปลี่ยนก่อนจะออกไปรอด้านนอกหน้าต่าง ส่วนเขาแต่งกายเหมือนคุณชายธรรมดาทั่วไปและมีผ้าขาวปิดบังใบหน้าไว้
"ข้าแต่งตัวเสร็จแล้ว"
หลิวลี่เซียนยิ้มอย่างตื่นเต้น นางไม่เคยแต่งกายบุรุษมาก่อนเลย
ส่วนไป๋หลางที่มีสีหน้ากังวลตลอดเวลาได้แต่ยิ้มน้อยๆ ส่งให้หลิวลี่เซียน เพราะนางไม่อาจขัดใจคุณหนูใหญ่ของนางได้
"ไม่ต้องกังวล ข้าจะดูแลคุณหนูของเจ้าอย่างดี"
จ้าวจิ้งเทียนเอ่ยเพียงเท่านั้น ก่อนจะพาหลิวลี่เซียนกระโดดออกไปทางหน้าต่างขึ้นไปบนหลังคาและออกมานอกจวน
"วิชาตัวเบาท่านช่างเก่งกาจยิ่งนัก"
หลิวลี่เซียนเอ่ยปากชมจ้าวจิ้งเทียนอย่างชอบใจ ชุนหลางที่เดินตามอยู่ด้านหลังอดที่จะยิ้มออกมาไม่ได้
"ท่านจะพาข้าไปที่ไหน"
หลิวลี่เซียนหันไปถามจ้าวจิ้งเทียนพลางกวาดสายตามองไปรอบๆ นางไม่เคยออกไปไหนมาไหนตอนกลางคืนเลยตั้งแต่มาอยู่ที่นี่ บรรยากาศช่างเงียบและมีแสงไฟงดงามเรียงรายตามทางเดินไม่น้อย
"สายสืบของข้ารายงานว่าบัณฑิตผู้นั้นแท้จริงแล้วไม่ใช่บัณฑิต"
"หมายความว่าอย่างไร?"
"เขาปลอมตัวมาตั้งใจที่จะหลอกเจินเซียงโดยตรง ความจริงแล้วเขาเป็นชายคณิกาที่หอโคมแดง"
ชายคณิกา โอววว ผู้ชายขายตัวเหรอ
"แต่เจินเซียงเคยเล่าว่าเขาเป็นลูกหลานตระกูลบัณฑิตมีนามว่า ลั่วซือเฉิง"
"นั่นเป็นชื่อปลอม เขาแอบอ้างชื่อและสร้างเรื่องตระกูลบัณฑิตขึ้นมาตบตาเจินเซียง ความจริงแล้วเขามีนามว่า หวาเยียน บุรุษน้อยร้อยราคะ"
หลิวลี่เซียนพยักหน้าเล็กน้อย ข้อมูลช่างแน่นนัก
"เขาเป็นเด็กเร่ร่อนไม่มีพ่อแม่ มาจากที่ไหนไม่มีใครทราบ แต่ด้วยรูปโฉมที่ตราตรึงใจทำให้ได้มาทำงานที่หอโคมแดง"
"แล้วเขาไม่มีคนรักหรือ?"
"มี เป็นหัวหน้าหอโคมแดงนามว่า หนิงซาน"
พระเจ้า!!! เขารักผู้ชายด้วยกันงั้นหรือ
"ข้าคิดว่าถ้าหากเขาเป็นชายรักชาย เขาย่อมไม่ทีทางล่วงเกินเจินเซียง"
ว่าแต่หมอนั่นเป็นแบบรุกหรือแบบรับกันนะ อยากรู้จัง เพื่อความกระจ่างในการสืบสวน?
"ข้าก็คิดเช่นนั้น โอว เราถึงหอโคมแดงแล้ว เร็วรีบเข้าไปด้านในกันเถอะ อย่ามีพิรุธเด็ดขาด"
เมื่อเตรียมพร้อมแล้วทั้งสามคนก็เดินเข้าไปที่หอโคมแดงหรือหอคณิกาชาย ที่นี่ตกแต่งด้วยโคมแดงทั้งชั้นล่างและชั้นบน มีเด็กหนุ่มหน้าตาหล่อเหลาคอยต้อนรับแขก จ้าวจิ้งเทียนเลือกที่นั่งด้านบนเพราะเขารู้ว่าหวาเยียนต้องอยู่ที่นี่เป็นแน่
เป็นไปตามคาด หวาเยียนกำลังคลอเคลียกับเหล่าบุรุษที่เดินเข้ามาไม่ขาดสาย พลันสายตาของเขาจับจ้องมาที่จ้าวจิ้งเทียนอย่างเสน่หา
จ้าวจิ้งเทียนรู้สึกขนลุกขนพองไม่น้อย แต่ยังคงไม่แสดงอาการใดๆ
"คารวะคุณชายทั้งสามท่าน วันนี้ให้หวาเยียนปรนนิบัติดีหรือไม่?"
หลิวลี่เซียนนึกสนุกขึ้นมา นางกระแอมไอสองครั้งก่อนจะยิ้มให้หวาเยียน
"ดีอย่างยิ่ง คุณชายจ้าวสหายของข้าท่านนี้รู้สึกกระสันมาเป็นเวลาหลายวัน ข้าจึงพาเขามาปลดปล่อยที่นี่"
จ้าวจิ้งเทียนหันไปถลึงตาใส่หลิวลี่เซียนทันที นี่นางคิดจะแกล้งเขางั้นหรือ
"เช่นนั้นหวาเยียนจะนวดบรรเทาจุดกระสันให้นะขอรับ"
ยิ่งมองหลิวลี่เซียนก็ยิ่งสนุก นางมองหวาเยียนนวดจุดกระสันให้จ้าวจิ้งเทียน เริ่มตั้งแต่ต้นคอไล่ลงมาเรื่อยๆ จนถึง
โอวววว ต่ำลงอีกพ่อหนุ่มน้อยร้อยราคะ
"พอเถอะ ข้าอยากดื่มสุราแล้ว"
จ้าวจิ้งเทียนพลันเอ่ยเสียงขรึม หวาเยียนมีสีหน้าไม่สู้ดีเล็กน้อย ก่อนจะยิ้มออกมา
"ได้ขอรับ อีกสักครู่ข้าน้อยจะนำสุรามาปรนนิบัติท่าน"
ไม่นานหวาเยียนก็มาพร้อมสุราอย่างดีสามไห ก่อนจะยิ้มออกมาจนตาหยีพลางมองไปที่จ้าวจิ้งเทียน
"ไหนี้มีชื่อว่า คุณชายม้ากระสัน ส่วนไหนี้มีชื่อว่า ร้อยลีลาเล่ห์ลมหวน ส่วนไหสุดท้ายมีชื่อว่า คุณชายขอรับ ข้าน้อยกระสันยิ่ง"
หลิวลี่เซียนแทบจะหลุดขำออกมาแล้ว นางมองใบหน้าที่บูดเบี้ยวของจ้าวจิ้งเทียนอย่างเวทนา
ส่วนชุนหลางนั้นมีใบหน้าเรียบเฉย แต่ทว่าในใจของเขานั้นพลันหัวเราะจนท้องแข็งไปนานแล้ว
หลังจากครบกำหนดที่เจินเซียงกลับมาจากวัดต้าฝู นางได้เดินทางกลับจวนเจ้ากรมกลาโหมเพื่อเตรียมตัวอภิเษกกับจ้าวจิ้งเทียน หนึ่งเดือนต่อมาเมื่อเข้าสู่สายลมแห่งฤดูหนาว ขบวนเจ้าสาวจากตระกูลเจินเจ้ากรมกลาโหมพร้อมสินสอดที่ยาวนับพันลี้ก็ได้เคลื่อนขบวนเข้าสู่วังหลวงหลิวลี่เซียนได้เข้าวังหลวงไปพร้อมกับจวิ้นอ๋องและพระชายาในฐานะพระญาติ ส่วนหลิวลี่ซือไปในฐานะว่าที่คู่หมั้นของจ้าวเฟยหรงองค์ชายรองพิธีอภิเษกสมรสเป็นไปด้วยความราบรื่น จนกระทั่งส่งตัวเจ้าสาวเข้าหอ หลิวลี่เซียนนำของขวัญเป็นปิ่นปักผมทองและเวชสำอางที่นางทำขึ้นเองมอบให้แก่เจินเซียงที่ตอนนี้ได้รับการสถาปนาเป็น 'หวงไท่จื่อเฟย' ตำแหน่งองค์หญิงพระชายา พระชายาเอกในองค์รัชทายาท ด้านจ้าวจิ้งเทียนเมื่อเข้าพิธีอภิเษกแล้วเขาก็ได้รับการสถาปนาเป็น 'หวงไท่จื่อ' องค์รัชทายาทผู้สืบทอดบัลลังก์อย่างชอบธรรม"ยินดีด้วยเพคะหวงไท่จื่อเฟย ขอให้พระองค์ทรงเกษมสำราญเพคะ""ขอบใจเจ้ายิ่งนักลี่เซียน"หวงไท่จื่อเฟยจากตระกูลเจินยิ้มจนตาหยี นางมีความสุขยิ่งนัก นางตั้งใจว่านับตั้งแต่วันนี้นางจะใช้ชีวิตที่เหลืออยู่ให้มีความสุขหลังจากดื่มสุรามงคลและได้ฤกษ์เข้าหอแล้ว เหล่าพระญ
หลังจากที่ได้รับพระราชโองการจากฮ่องเต้ เสนาบดีหลิวที่ตอนนี้ได้เปลี่ยนสถานะเป็นจวิ้นอ๋องก็ได้ย้ายครอบครัวตระกูลหลิวของตนมาพำนักที่จวนอ๋องพระราชทาน ซึ่งเป็นจวนอ๋องที่ฮ่องเต้จ้าวชิงเฟยตั้งใจสร้างเอาไว้เผื่อพระนัดดาทั้งหลายในอนาคตพระชายาจวิ้นอ๋องหลิวลี่หยางยังไม่ค่อยคุ้นชินกับที่อยู่ใหม่มากนัก นางค่อนข้างคิดถึงบ้านเก่าไม่น้อย บางวันจึงกลับไปพักผ่อนที่จวนตระกูลหลิวและรับสั่งให้บ่าวไพร่ดูแลจวนให้ดีจวิ้นอ๋องค่อนข้างปลื้มใจกับบุตรสาวของเขาไม่น้อย เขาได้สอบถามเรื่องราวแต่แรกเริ่มว่าเป็นมาเช่นไร หลิวลี่เซียนสามารถรักษาพระพักตร์องค์รัชทายาทได้อย่างไร หลิวลี่เซียนเองก็เต็มใจเล่าให้ผู้เป็นบิดามารดาฟัง และนางยังได้รู้อีกด้วยว่า แท้จริงแล้วจวนตระกูลหลิวของบิดาเป็นพระญาติใกล้ชิดกับฮ่องเต้มิน่าเล่าทั้งฮ่องเต้และจ้าวฮวงโหวต่างมีใบหน้าเหมือนคุณพ่อคุณแม่ของนาง ที่แท้ก็เป็นบรรพบุรุษของนางนี่เองหลิวลี่ซือลอบเบ้ปากเล็กน้อย นางขี้เกียจจะฟังเรื่องราวพวกนี้ อีกอย่างตอนนี้ตระกูลนางก็ไม่ใช่ขุนนางธรรมดาทั่วไปอีกแล้ว เรื่องนี้ทำให้นางรู้สึกภูมิใจอยู่ไม่น้อยที่จะได้เชิดหน้าชูตาขึ้นมาอีกขั้นไม่นานนักข่าวเรื่องอ
หลิวลี่เซียนมองฮ่องเต้จ้าวชิงเฟยด้วยแววตาที่ตกใจไม่น้อย แต่เพียงแค่แวบเดียวเท่านั้นสายตานี้ของนางก็หายไป เหลือเพียงความเคารพที่มีต่อฮ่องเต้พระองค์หนึ่งเท่านั้นภพปัจจุบันเขาอาจจะเป็นพ่อของนาง แต่ในภพนี้เขาเป็นฮ่องเต้ที่สูงส่ง นางต้องให้ความเคารพเขาเป็นสิ่งที่ถูกต้องที่สุดแล้วฮ่องเต้จ้าวชิงเฟยมองหลิวลี่เซียนด้วยแววตาล้ำลึกครั้งหนึ่งบุตรสาวของเสนาบดีหลิวนางทำไมช่างดูคุ้นตา เหมือนกับว่าเขาเคยพบเจอนางที่ใดมาก่อน"ไปเชิญเสนาบดีหลิวเทียนเฉิงมาพบข้าที่ตำหนัก"ฮ่องเต้จ้าวชิงเฟยเอ่ยพลางสะบัดชายเสื้อมังกรให้ขันทีไปตามเสนาบดีหลิว ก่อนจะหันมามองหลิวลี่เซียนเสนาบดีหลิวรั้งตำแหน่งเสนาบดีกรมพระคลัง ดูแลเรื่องการจัดเก็บภาษีรายได้ของแผ่นดิน เบิกจ่ายงบประมาณของราชสำนัก เป็นขุนนางตงฉินผู้ซื่อสัตย์น้อยคนนักที่จะรู้ว่าเสนาบดีหลิวผู้นี้เป็นพระญาติฝั่งมารดาของฮ่องเต้จ้าวชิงเฟย เขาเป็นบุตรชายคนโตของน้องสาวไทเฮาองค์ปัจจุบัน นั่นก็คือมารดาของฮ่องเต้จ้าวชิงเฟยนั่นเองไทเฮาตระกูลหลิวพระองค์นี้ทรงอภิเษกกับฮ่องเต้พระองค์ก่อน และได้รับการสถาปนาให้ขึ้นเป็นจ้าวฮวงโหว ก่อนจะมีพระประสูติการพระโอรสนามว่าจ้าวชิงเฟยแล
หลังจากที่จับตัวหนิงซานกับหวาเยียนเข้าคุกหลวงเรียบร้อยแล้ว จ้าวจิ้งเทียนได้ส่งคนไปแจ้งเรื่องราวต่อจ้าวฮวงโหว นางรู้สึกเหมือนดั่งมรสุมใหญ่ได้ลอยหายไปในพริบตา พลันยกยิ้มมุมปาก มเหสีรองเหมย เจ้าไม่มีทางมีชัยชนะเหนือข้าได้หรอกฮ่องเต้จ้าวชิงเฟยที่กำลังว่าราชการในท้องพระโรงเสร็จเรียบร้อยแล้วนั้น กำลังเดินทางกลับตำหนักมังกร พลันสายตาของเขาได้หันไปพบกับจ้าวจิ้งเทียน พระราชโอรสองค์โตของเขาที่มายืนรออยู่ที่หน้าตำหนัก"ถวายบังคมเสด็จพ่อ"ฮ่องเต้จ้าวชิงเฟยหันไปมองด้านหลังของจ้าวจิ้งเทียน จึงพบเข้ากับเจินเซียงและหญิงสาวอีกหนึ่งคน ดูจากการแต่งกายแล้วคงจะเป็นบุตรสาวของตระกูลขุนนางเป็นแน่ หลิวลี่เซียนที่ก้มหน้าตลอดเวลาไม่ได้เงยหน้าไปมอง แต่ก็รับรู้ได้ว่าฮ่องเต้กำลังมองมาที่นางอยู่"เจ้ามีเรื่องอันใดถึงมาพบข้าที่นี่?""ลูกมีเรื่องกราบทูลเสด็จพ่อพ่ะย่ะค่ะ"จ้าวชิงเฟยพยักหน้าเล็กน้อยเมื่อเข้ามาในตำหนัก ฮ่องเต้จ้าวชิงเฟยทรงให้เหล่านางกำนัลขันทีออกไปให้หมดเหลือเพียงราชเลขาคนสนิทเพียงคนเดียว ตอนนี้ภายในตำหนักจึงเหลือคนไม่มาก จ้าวจิ้งเทียนเงยหน้าขึ้นมองเสด็จพ่อของเขาเล็กน้อย"ลูกขอให้เสด็จพ่อทรงเชิญเสด็จแ
"ท่านคิดจะทำเช่นไรต่อไปจิ้นหมิง"หลิวลี่เซียนหันไปเอ่ยถามจ้าวจิ้งเทียน ก่อนจะโยนองุ่นที่นางแอบหยิบมาจากหอโคมแดงตอนที่เดินออกมาจากประตูโยนขึ้นและอ้าปากงับมาเคี้ยวอย่างอารมณ์ดี จ้าวจิ้งเทียนมองหลิวลี่เซียนด้วยสายตาที่เอ็นดูนางไม่น้อย เด็กน้อยผู้นี้ของเขาช่างดูสดใสนัก เขาที่ใช้ชีวิตมาจนอายุสิบแปดปีไม่เคยพบเจอหญิงในใต้หล้าใดที่น่ารักน่าชังเท่านาง"พรุ่งนี้ข้าคงต้องให้เจ้าไปพบเจินเซียงที่จวนเจ้ากรมกลาโหม เจ้าต้องพานางออกมาให้ได้ ข้าต้องการให้เจินเซียงได้พบกับหวาเยียน หลังจากนั้นข้าจะให้นางไปสารภาพผิดกับเสด็จพ่อ แล้วข้าจะเป็นผู้ทวงคืนความยุติธรรมให้น้องสาวของข้าด้วยตนเอง"หลิวลี่เซียนพยักหน้าเล็กน้อย พ่อหนุ่มคนนี้ช่างรอบคอบจริงๆ"เจ้าพักผ่อนเถอะ ขอบใจเจ้ามากที่ไปกับข้าในวันนี้""เป็นพระกรุณาเพคะองค์รัชทายาท"หลิวลี่เซียนโค้งกายคารวะ ก่อนจะปิดประตูหน้าต่างใส่หน้าจ้าวจิ้งเทียน เขายกยิ้มมุมปากขึ้นเล็กน้อยพลางคิด นี่นางเคารพเขาจริงๆ งั้นหรือ?จวนเจ้ากรมกลาโหมหลังจากที่แต่งกายเรียบร้อย หลิวลี่เซียนก็ออกจากจวนแต่เช้าเพื่อไปที่จวนเจ้ากรมกลาโหม"ขอโทษที่ไม่ได้แจ้งเจ้าก่อนว่าข้าจะมา""ไม่เป็นไร รีบ
รุ่งเช้าหลิวลี่เซียนไปที่เรือนของฮูหยินลี่หยางเพื่อรับประทานอาหารเช้าที่เรือนของมารดา ฮูหยินลี่หยางเอ่ยปากชมว่าหม่าล่าที่นางนำมาให้กินนั้นแปลกตาและอร่อยยิ่ง ส่วนหลิวลี่ซือที่นั่งร่วมโต๊ะด้วยนั้นลอบบิดเบ้มุมปากตนด้วยความริษยาตั้งแต่ที่พี่สาวนางตกน้ำครานั้นก็ดูเปลี่ยนไป เมื่อก่อนนางช่างอ่อนแอและขี้โรคนัก โดนลมเพียงนิดก็ไม่สบายต้องนอนรักษาตัวอยู่ในจวนเป็นนานแรมเดือน แต่ตอนนี้นางดูแข็งแรงไม่เจ็บป่วยไข้เหมือนแต่ก่อน ซ้ำยังดูงดงามสดใสยิ่งน่าถลกหนังหน้านางให้มันพังพินาศไปเสียหลังจากที่กินข้าวเช้าเสร็จแล้ว หลิวลี่ซือก็เดินออกมาจากเรือนฮูหยินลี่หยาง ก่อนจะจัดการเปลี่ยนเสื้อผ้าออกนอกจวนไปที่หอเป่าชิงเพื่อหาซื้อเครื่องประดับหลิวลี่ซือเป็นคนรักสวยรักงามยิ่ง นางชอบสะสมเครื่องประดับอัญมณีที่งดงามหลากหลายเมื่อเลือกเครื่องประดับได้ตามที่ต้องการแล้ว หลิวลี่ซือเตรียมให้อวี้จู้สาวรับใช้คนสนิทจ่ายค่าเครื่องประดับของนาง แต่ทว่ามีมือปริศนาข้างหนึ่งยื่นมาก่อน"แม่นาง ค่าเครื่องประดับนี้นายของข้าจะเป็นคนจ่ายให้ท่านเอง"หลิวลี่ซือหันไปมองก่อนจะพบกับบุรุษผู้หนึ่ง เขาแต่งกายคล้ายองครักษ์ในวังหลวง"นายของเจ
จ้าวจิ้งเทียนมีสีหน้าตกใจเล็กน้อย ชายารองงั้นหรือ หญิงสาวเช่นชิงชิงไม่ใช่คนที่จะพาเข้าวังหลวงมาเป็นภรรยาได้ง่ายดายเช่นนั้น"เสด็จแม่พ่ะย่ะค่ะ ลูกเชื่อว่าด้วยนิสัยของนางไม่มีทางยอมรับตำแหน่งที่ท่านแม่ทรงมอบให้แน่นอน ตั้งแต่ที่ลูกรู้จักนางมา นางเป็นหญิงสาวที่รักอิสระยิ่งพ่ะย่ะค่ะ""เจ้าจึงถูกตาต้องใจนาง?"จ้าวจิ้งเทียนหมดคำจะพูด เขาไม่ได้ปฏิเสธหรือบ่ายเบี่ยงใดๆ ทั้งสิ้น ตัวเขาเองก็ยังไม่แน่ใจในความรู้สึกที่มีต่อหลิวลี่เซียน เขากลัวว่านางจะไม่ได้คิดเช่นเดียวกันกับเขา จ้าวฮวงโหวย่อมต้องอ่านความคิดของจ้าวจิ้งเทียนออก นางยิ้มออกมาเล็กน้อยคล้ายไม่ได้ติดใจอันใดมากนัก"เช่นนั้นก็ตามใจเจ้า แม่เป็นคนไม่ชอบบังคับใจใคร เรื่องที่เจ้ารักษาใบหน้าจนหายดีแล้วนั้น ต้องกราบทูลต่อเสด็จพ่อเจ้าเสีย""พ่ะย่ะค่ะ"เมื่อสถานการณ์บีบบังคับ ความลับที่เขาตั้งใจจะไม่ยอมเปิดเผยก็จำต้องยอมเสียแล้วหลังจากที่กลับจากวังหลวงหลิวลี่เซียนก็เข้าไปพูดคุยเล่นกับเสนาบดีหลิวและฮูหยินลี่หยางเกี่ยวกับเรื่องที่เข้าวังหลวงวันนี้เพียงเล็กน้อย หลิวลี่ซือก็อยู่ที่นั่นด้วยเช่นกัน นางพยายามที่จะถามหลิวลี่เซียนว่าเข้าวังหลวงไปด้วยเหตุใด
ตำหนักจ้าวฮวงโหวจ้าวจิ้งเทียนคิดไตร่ตรองเรื่องของเจินเซียงมาสักพักก่อนจะเข้าไปขอพบกับจ้าวฮวงโหวเสด็จแม่ของเขา"ถวายพระพรเสด็จแม่พ่ะย่ะค่ะ""ลุกขึ้นเถิด มานั่งข้างแม่เร็วเข้า จิ้นหมิง"จ้าวจิ้งเทียนลุกขึ้นก่อนจะเดินเข้าไปนั่งลงข้างพระวรกายของจ้าวฮวงโหว เขามองพระพักตร์ของเสด็จแม่ตนเองอย่างลำบากใจเรื่องนี้หนักหนาเกินกว่าเขาจะแก้ไขเองจริงๆ"ว่าอย่างไรจิ้นหมิง""ที่ลูกมาเข้าเฝ้าเสด็จแม่วันนี้ เพราะมีเรื่องสำคัญสองเรื่องอยากกราบทูลพ่ะย่ะค่ะ""ไหนเจ้าว่ามาสิ"จ้าวจิ้งเทียนหันไปมองเหล่านางกำนัลเป็นเชิงให้ออกไปให้หมด ก่อนจะยกมือขึ้นไปปลดผ้าคลุมใบหน้าของเขาออกอย่างช้าๆ เผยให้เห็นใบหน้างดงามราวกับเทพเซียนของเขา รอยแผลบนใบหน้าจางหายไปจนหมดสิ้นแทบไม่ทิ้งร่องรอยใดเหลือไว้ ราวกับว่าไม่เคยมีบาดแผลน่ารังเกียจนั่นอยู่บนใบหน้าของเขามาก่อน"จิ้นหมิง!!! ลูกแม่ นี่เจ้า หมอเทวดารักษาเจ้าจนหายดีแล้วหรือ สวรรค์ช่างเมตตายิ่งนัก!!!"จ้าวฮวงโหวยื่นมือมาจับที่ใบหน้าของจ้าวจิ้งเทียนอย่างดีใจปนตกใจ น้ำตาของนางเอ่อคลออย่างกลั้นเอาไว้ไม่อยู่ จ้าวจิ้งเทียนกุมมือของพระมารดาเอาไว้ด้วยความรักใคร่ ก่อนจะยิ้มให้จ้าวฮวงโห
ตำหนักพระมเหสีรองเหมย"ถวายพระพรพระมเหสีรองเพคะ"เหมยฮวาชิงย่อกายทำความเคารพมเหสีรองเหมยท่านอาของนาง พระมเหสีรองเหมยพระองค์นี้เข้าวังมาได้ห้าปีแล้ว แต่ยังไม่มีพระโอรสและพระธิดาแม้สักพระองค์เดียว เพราะสุขภาพของนางค่อนข้างไม่สู้ดี แต่ถึงอย่างนั้นนางก็ยังคงเป็นที่โปรดปรานของฮ่องเต้ เพราะราชสำนักยังต้องพึ่งพากำลังทางทหารของจวนโหวตระกูลเหมย มเหสีรองเหมยแม้ภายนอกจะดูอ่อนโยน ไม่มีปากมีเสียงกับใคร แต่ลึกๆ ภายในใจของนางซ่อนความโหดเหี้ยมเอาไว้ไม่น้อยนางริษยาจ้าวฮวงโหวกับพระสนมเอกยิ่งนัก ทั้งที่พวกนางไม่ใช่คนโปรดของฮ่องเต้สักเท่าใด แต่วาสนากลับทำให้พวกนางมีพระโอรส แล้วนางเล่า นางเป็นที่โปรดปราน แต่สวรรค์กลั่นแกล้งนางถึงเพียงนี้เพราะเหตุใดกัน"รีบลุกขึ้นเถิดหลาน เจ้าไม่ต้องมากพิธีการ""ขอบพระทัยเพคะพระมเหสีรอง"พระมเหสีรองเหมยโบกมือเป็นการไล่บ่าวรับใช้นางกำนัลออกไปจากตำหนักให้หมด เหลือเพียงแม่นมคนสนิทของนางกับเหมยฮวาชิงและชิงฮุ่ย"ท่านอารู้ข่าวของตระกูลเจินรึยังเพคะ"เหมยฮวาชิงเป็นคนเริ่มบทสนทนาเรื่องของเจินเซียงกับพระมเหสีรองเหมยก่อน พระมเหสีรองเหมยยกชาขึ้นจิบเล็กน้อย พลางหัวเราะออกมาอย่างอารมณ