จ้าวจิ้งเทียนมีสีหน้าตกใจเล็กน้อย ชายารองงั้นหรือ หญิงสาวเช่นชิงชิงไม่ใช่คนที่จะพาเข้าวังหลวงมาเป็นภรรยาได้ง่ายดายเช่นนั้น
"เสด็จแม่พ่ะย่ะค่ะ ลูกเชื่อว่าด้วยนิสัยของนางไม่มีทางยอมรับตำแหน่งที่ท่านแม่ทรงมอบให้แน่นอน ตั้งแต่ที่ลูกรู้จักนางมา นางเป็นหญิงสาวที่รักอิสระยิ่งพ่ะย่ะค่ะ"
"เจ้าจึงถูกตาต้องใจนาง?"
จ้าวจิ้งเทียนหมดคำจะพูด เขาไม่ได้ปฏิเสธหรือบ่ายเบี่ยงใดๆ ทั้งสิ้น ตัวเขาเองก็ยังไม่แน่ใจในความรู้สึกที่มีต่อหลิวลี่เซียน เขากลัวว่านางจะไม่ได้คิดเช่นเดียวกันกับเขา จ้าวฮวงโหวย่อมต้องอ่านความคิดของจ้าวจิ้งเทียนออก นางยิ้มออกมาเล็กน้อยคล้ายไม่ได้ติดใจอันใดมากนัก
"เช่นนั้นก็ตามใจเจ้า แม่เป็นคนไม่ชอบบังคับใจใคร เรื่องที่เจ้ารักษาใบหน้าจนหายดีแล้วนั้น ต้องกราบทูลต่อเสด็จพ่อเจ้าเสีย"
"พ่ะย่ะค่ะ"
เมื่อสถานการณ์บีบบังคับ ความลับที่เขาตั้งใจจะไม่ยอมเปิดเผยก็จำต้องยอมเสียแล้ว
หลังจากที่กลับจากวังหลวงหลิวลี่เซียนก็เข้าไปพูดคุยเล่นกับเสนาบดีหลิวและฮูหยินลี่หยางเกี่ยวกับเรื่องที่เข้าวังหลวงวันนี้เพียงเล็กน้อย หลิวลี่ซือก็อยู่ที่นั่นด้วยเช่นกัน นางพยายามที่จะถามหลิวลี่เซียนว่าเข้าวังหลวงไปด้วยเหตุใด จนเสนาบดีหลิวต้องหันไปเตือนนางว่าหลิวลี่เซียนเดินทางมาเหนื่อยควรพักผ่อนได้แล้ว
แน่นอนว่าหลิวลี่เซียนไม่ได้บอกบิดานางถึงเรื่องในวันนี้ นางเพียงบอกปัดไปว่าจ้าวฮวงโหวต้องการพบนางเพราะเรื่องครีมทาผิวที่นางมอบให้องค์หญิงเฟยหยางคราวก่อน จ้าวฮวงโหวทรงพอพระทัยจึงทรงเรียกนางไปพบเพื่อสอบถาม
แต่หลิวลี่ซือไม่เชื่อสิ่งที่หลิวลี่เซียนกล่าว นางทำได้เพียงเก็บงำความสงสัยในใจเอาไว้โดยไม่แสดงอาการใดๆ
"คุณหนูจะอาบน้ำเลยหรือไม่เจ้าคะ บ่าวจะไปเตรียมให้เจ้าค่ะ"
หลิวลี่เซียนทิ้งตัวลงบนเตียงก่อนจะบิดตัวไปมา นางรู้สึกท้องไส้ว่างเปล่าชวนคลื่นไส้ยิ่งนัก เมื่อเย็นนางกำลังจะกินไก่ตุ๋นโสมยาจีนที่จ้าวเฟยหรงมอบให้ แต่กลับเกิดเรื่องเสียก่อน น่าเสียดายชะมัด
หลิวลี่เซียนเอียงศีรษะไปมาเล็กน้อย นางรู้สึกเบื่ออาหารยิ่งนัก
"ไป๋หลาง"
"เจ้าคะคุณหนูใหญ่"
"ไปห้องครัวกับข้าเร็วเข้า"
"ไปทำไมกันเจ้าคะ หากคุณหนูใหญ่หิวให้บ่าวไปหาอะไรอ่อนๆ ให้รองท้องดีหรือไม่เจ้าคะ"
"ไม่!! ตามข้ามาเดี๋ยวนี้ ก่อนที่ข้าจะโมโหแล้วกินเจ้าเข้าไปทั้งตัว!!!"
หลิวลี่เซียนเดินนำไป๋หลางไปที่ห้องครัว ก่อนจะพบกับคนเฝ้าครัวนั่งอยู่ เขาเดินมาทำความเคารพหลิวลี่เซียน นางยิ้มออกมาเล็กน้อยก่อนจะมองไปรอบๆ
"เจ้าชื่ออะไร"
"บ่าวชื่อเสินเจียงขอรับคุณหนูใหญ่"
"เจ้าช่วยก่อไฟให้ข้าที"
เสินเจียงมีสีหน้างุนงงแต่ก็ยอมทำตามคำสั่งของหลิวลี่เซียนอย่างว่าง่าย นางมองไปรอบๆ ก่อนจะหันไปพบกับ เนื้อหมูเนื้อไก่และเนื้อวัวที่ถูกแช่แข็งเอาไว้
ว่ากันว่ายุคสมัยนี้นั้นน้ำแข็งเป็นอะไรที่แพงยิ่งนัก ตระกูลที่ค่อนข้างมีฐานะนิยมใช้น้ำแข็งในช่วงฤดูร้อนเพื่อเก็บของสดและดับความร้อนภายในจวน
โชคดีจริงๆ ที่เกิดมาในบ้านคนรวยฮรี่ๆๆๆ
หลิวลี่เซียนหยิบเนื้อต่างๆ และผักหลายชนิดมาหั่น เป็นชิ้นพอดีคำและเสียบไม้ที่ให้เสินเจียงไปนำมาให้นาง ก่อนจะให้ไป๋หลางนำพริกขี้หนูแห้ง พริกป่น พริกซวงเจียง พริกไทยดำ กระเทียม ขิงตำรวมกันให้ละเอียด
"ได้แล้วเจ้าค่ะคุณหนูใหญ่"
"ตักมาให้ข้าตรงนี้"
ไป๋หลางพยักหน้ารับคำอย่างว่าง่าย หลิวลี่เซียนนำส่วนผสมที่ไป๋หลางนำมาให้ไปผสมกับซอส ซีอิ๊วขาว น้ำมันมะกอกและน้ำตาลทรายแดง ก่อนจะนำเนื้อสัตว์และผักที่นางเสียบไม้เอาไว้นำไปย่างที่เตาถ่านและทาด้วยน้ำจิ้มที่นางทำไว้
หอมสุดยอด!!! หม่าล่าของข้า
เสินเจียงและไป๋หลางลอบกลืนน้ำลายเล็กน้อย นางจึงแบ่งให้ทั้งสองคน ก่อนจะกำชับเสินเจียงให้ทำตามขั้นตอนที่นางบอกแล้วนำไปให้ท่านพ่อท่านแม่และน้องสาวของนางในวันรุ่งขึ้น เสินเจียงพยักหน้ารับคำ เมื่อหลิวลี่เซียนจากไปเขาจึงจัดการสวาปามหม่าล่าตรงหน้าด้วยความอิ่มเอมใจ
หลิวลี่เซียนอาบน้ำเรียบร้อยก็มานั่งอย่างสบายใจที่ห้องของนาง พลางยิ้มตาหยีอย่างอารมณ์ดี ของเหล่านี้เป็นของชอบของนางตอนยังมีชีวิตอยู่ที่โลกปัจจุบัน
หลิวลี่เซียนที่กำลังยกเนื้อที่ย่างหอมพอดีราดด้วยซอสหม่าล่า พลันสายตาของนางหันไปมองไป๋หลางที่ตาค้างเบิกกว้าง พร้อมกับรีบลุกขึ้นทำความเคารพด้วยความลนลาน
หลิวลี่เซียนหันไปมองตามสายตาของไป๋หลาง ก่อนจะค้อนขวับและหันมากินเนื้อย่างในมือของนางต่อ
"เจ้ากำลังกินสิ่งใดอยู่หรือ"
จ้าวจิ้งเทียนที่กระโดดเข้ามาทางหน้าต่างเดินตรงเข้ามาหาหลิวลี่เซียน นางหันไปมองไป๋หลางก่อนจะโบกมือให้นางออกไปรอที่ด้านนอก ก่อนจะหันไปมองจ้าวจิ้งเทียน
"หม่าล่า"
หลิวลี่เซียนพูดในขณะที่เนื้อย่างยังอยู่ในปากของนาง จ้าวจิ้งเทียนค่อนข้างแปลกใจเล็กน้อยที่นางไม่ได้ตกใจหรือหวาดกลัวเมื่อรู้ว่าเขาเป็นใคร
"ชิงชิง เรื่องเมื่อตอนเย็นที่เจ้า เอ่อ เจ้ารู้ว่าข้าเป็น"
"องค์รัชทายาทน่ะรึ?"
จ้าวจิ้งเทียนพยักหน้าพลางมองหลิวลี่เซียนด้วยความคาดหวัง
ออดอ้อนข้าสิ เข้าหาข้า บอกให้ข้าปกป้องเจ้า
จ้าวจิ้งเทียนสะบัดศีรษะไปมาไล่ความคิดพิสดารนี้ออกไปจากหัวของเขา
"เจ้าไม่โกรธข้าใช่หรือไม่ ที่ข้าไม่ได้บอกความจริงกับเจ้า"
หลิวลี่เซียนหันไปมองจ้าวจิ้งเทียนพลางอ้าปากงับเนื้อย่างในมืออีกชิ้น พลางส่ายหน้าไปมา
"จริงหรือ"
"อือ"
จ้าวจิ้งเทียนยกยิ้มที่มุมปากพลางขยับเข้าไปใกล้หลิวลี่เซียนที่กำลังกินอาหารตรงหน้าไม่หยุดปาก หลิวลี่เซียนเหมือนรู้สึกตัวเล็กน้อย นางกระแอมไอออกมาก่อนก้มศีรษะลงโดยที่ยังนั่งเคี้ยวเนื้อตุ้ยๆ ในปาก
"ถวายพระพรองค์รัชทายาทเพคะ"
จ้าวจิ้งเทียนแทบจะกระอักโลหิตออกมา ชิงชิงของเขาช่างพิลึกพิสดารยิ่งนัก ใครกันถวายความเคารพองค์รัชทายาทเช่นนี้
"ไม่ต้องมากพิธี อุ๊บ!!"
"กินนี่ซะ แล้วหยุดชวนข้าคุย ข้าต้องใช้สมาธิในการกิน"
หลิวลี่เซียนหยิบเนื้อหมูออกมาจากไม้ ก่อนจะยัดมันเข้าไปในปากของจ้าวจิ้งเทียน ความจริงเรื่องที่จ้าวจิ้งเทียนเป็นองค์รัชทายาทตอนที่นางรู้ก็ค่อนข้างตกใจเล็กน้อย แต่ไม่ได้มากมายอะไร ดูๆ ไปแล้วคลับคล้ายจะเหมือนนิยายที่นางเคยอ่าน พระเอกปลอมตัวมาพบรักกับนางเอก
พบรักกับนางเอก!!! หยุดความคิดน่าขนลุกนี่ซะ
ไม่นานนักทั้งสองคนก็อิ่มจนแทบจะลุกไม่ไหว หลิวลี่เซียนที่ลุกขึ้นเดินไปมาก่อนจะนั่งลงข้างจ้าวจิ้งเทียนที่มีสีหน้าแดงก่ำเพราะความเผ็ด นางหลุดหัวเราะออกมาเล็กน้อย
"ข้าชอบสิ่งที่เจ้าทำยิ่งนัก มันอร่อยเหลือเกิน เจ้าไปเอาวิธีทำเหล่านี้มาจากที่ใด"
"ความลับ แต่ถ้าท่านชอบไว้ข้าจะบอกวิธีทำให้ท่าน"
"ไม่จำเป็นหรอก เมื่อใดที่ข้าอยากกินข้าจะมาหาเจ้าที่นี่"
คำพูดของจ้าวจิ้งเทียนทำให้หลิวลี่เซียนชะงักไปเล็กน้อย บรรยากาศกระอักกระอ่วนนี่คืออันใดกัน
"ไว้ข้าจะบอกวิธีทำให้เจินเซียง หากพวกท่านแต่งงานกันเมื่อใดนางจะได้ทำให้ท่านกิน"
หลิวลี่เซียนพลันรู้สึกเหมือนนางไม่ชอบใจประโยคนี้ที่ตนเองกล่าวออกไปยิ่งนัก แต่นางก็อธิบายมันออกไปไม่ได้เหมือนกันกับความรู้สึกนี้ จ้าวจิ้งเทียนพลันเงียบลงเล็กน้อยก่อนจะมองหลิวลี่เซียน
"ข้ากับเจินเซียงผูกพันกันมาตั้งแต่วัยเด็ก ถึงข้าจะไม่ได้ชอบนางเหมือนเช่นชายหญิง แต่นางก็เป็นน้องสาวเพียงคนเดียวของข้าที่ข้าเป็นห่วงยิ่ง"
หลิวลี่เซียนพยักหน้าเป็นเชิงเข้าใจ ก่อนที่จะถามถึงสาเหตุที่เขามาหานางที่จวนในคืนนี้
"ท่านมาหาข้ามีเรื่องอะไรหรือจิ้นหมิง"
หลิวลี่เซียนหันไปมองจ้าวจิ้งเทียน พร้อมกับมองหน้าของเขาด้วยความสงสัย
"ข้ามาเพราะเรื่องของเจินเซียง"
หลิวลี่เซียนพยักหน้าเล็กน้อย นางไม่ค่อยแปลกใจเท่าใด พอจะเดาได้รางๆ ว่าเรื่องเจินเซียงกำลังเป็นปัญหาใหญ่ของจ้าวจิ้งเทียน
"ทำไมหรือ"
"เจ้าเชื่อหรือว่าเจินเซียงจะทำเรื่องเช่นนั้นลง"
หลิวลี่เซียนมองจ้าวจิ้งเทียนด้วยแววตาที่แฝงไว้ด้วยความหนักใจ ถ้าพูดกันตามความรู้สึก นางคิดว่าเรื่องราวระหว่างเจินเซียงกับบัณฑิตหนุ่มผู้นั้นมีบางอย่างที่ไม่ชอบมาพากล
"ชิงชิง"
"ข้าคิดเช่นเดียวกับท่าน"
"เจ้าคิดเห็นเป็นอย่างไร"
หลิวลี่เซียนถอนหายใจเล็กน้อย ก่อนจะหันไปพูดกับจ้าวจิ้งเทียน
"ด้วยฐานะของเจินเซียงย่อมมีบุรุษมากหน้าหลายตาที่พยายามเข้ามาหานางเพราะผลประโยชน์ และที่สำคัญต้องการทำลายชื่อเสียงของนางรวมถึงตัวท่าน"
หลิวลี่เซียนชี้มือมาที่จ้าวจิ้งเทียน เขามีสีหน้างุนงงเล็กน้อยพร้อมกับความไม่เข้าใจที่แสดงออกทางสีหน้าอย่างเห็นได้ชัด
"ท่านเป็นองค์รัชทายาท นางเป็นว่าที่พระชายาของท่าน ศัตรูและมิตรย่อมมีรอบตัว ท่านเข้าใจที่ข้าพูดใช่หรือไม่"
จ้าวจิ้งเทียนพยักหน้าพลันมีแววตาเป็นประกาย ที่หลิวลี่เซียนต้องการบอกเขาก็คือ บัณฑิตหนุ่มผู้นั้นใช้ความรักที่เจินเซียงมีให้ เขาสร้างเรื่องหลอกลวงขึ้นมางั้นหรือ
นางช่างฉลาดยิ่งนัก
"เจ้าคิดว่าควรทำเช่นไรดี"
หลิวลี่เซียนมองจ้าวจิ้งเทียนอย่างล้ำลึก นางคิดว่าเรื่องนี้พานางมาไกลเรื่อยๆ นางไม่คิดว่านางจะต้องเข้ามาข้องเกี่ยวกับเชื้อพระวงศ์ นางต้องการใช้ชีวิตที่สงบสุข นางจะไม่แต่งงาน นางจะท่องยุทธภพ ทำในสิ่งที่นางอยากทำและไม่นำปัญหามาใส่ตัวนางเอง
แต่จะทำเช่นไรในเมื่อเจินเซียงนั้นเป็นสหายที่นางรักเพียงคนเดียว นางย่อมอยู่เฉยไม่ได้
"ก่อนอื่นท่านต้องสืบให้รู้ว่าบัณฑิตผู้นั้นเป็นใคร ถ้าเรารู้ที่มาที่ไปย่อมมีทางแก้ปัญหาที่ดีขึ้น"
จ้าวจิ้งเทียนพยักหน้าเห็นด้วย เขาพลาดเรื่องนี้ไปได้เช่นไร ทั้งที่ตัวเขาเองก็ตามเจินเซียงไม่คลาดสายตา แต่กลับพลาดเรื่องสำคัญเช่นนี้ไป
"พรุ่งนี้ข้าจะให้ชุนหลางตามสืบเรื่องนี้ คืนพรุ่งนี้เจ้าจะออกไปกับข้าด้วยหรือไม่"
"ข้าหรือ"
หลังจากครบกำหนดที่เจินเซียงกลับมาจากวัดต้าฝู นางได้เดินทางกลับจวนเจ้ากรมกลาโหมเพื่อเตรียมตัวอภิเษกกับจ้าวจิ้งเทียน หนึ่งเดือนต่อมาเมื่อเข้าสู่สายลมแห่งฤดูหนาว ขบวนเจ้าสาวจากตระกูลเจินเจ้ากรมกลาโหมพร้อมสินสอดที่ยาวนับพันลี้ก็ได้เคลื่อนขบวนเข้าสู่วังหลวงหลิวลี่เซียนได้เข้าวังหลวงไปพร้อมกับจวิ้นอ๋องและพระชายาในฐานะพระญาติ ส่วนหลิวลี่ซือไปในฐานะว่าที่คู่หมั้นของจ้าวเฟยหรงองค์ชายรองพิธีอภิเษกสมรสเป็นไปด้วยความราบรื่น จนกระทั่งส่งตัวเจ้าสาวเข้าหอ หลิวลี่เซียนนำของขวัญเป็นปิ่นปักผมทองและเวชสำอางที่นางทำขึ้นเองมอบให้แก่เจินเซียงที่ตอนนี้ได้รับการสถาปนาเป็น 'หวงไท่จื่อเฟย' ตำแหน่งองค์หญิงพระชายา พระชายาเอกในองค์รัชทายาท ด้านจ้าวจิ้งเทียนเมื่อเข้าพิธีอภิเษกแล้วเขาก็ได้รับการสถาปนาเป็น 'หวงไท่จื่อ' องค์รัชทายาทผู้สืบทอดบัลลังก์อย่างชอบธรรม"ยินดีด้วยเพคะหวงไท่จื่อเฟย ขอให้พระองค์ทรงเกษมสำราญเพคะ""ขอบใจเจ้ายิ่งนักลี่เซียน"หวงไท่จื่อเฟยจากตระกูลเจินยิ้มจนตาหยี นางมีความสุขยิ่งนัก นางตั้งใจว่านับตั้งแต่วันนี้นางจะใช้ชีวิตที่เหลืออยู่ให้มีความสุขหลังจากดื่มสุรามงคลและได้ฤกษ์เข้าหอแล้ว เหล่าพระญ
หลังจากที่ได้รับพระราชโองการจากฮ่องเต้ เสนาบดีหลิวที่ตอนนี้ได้เปลี่ยนสถานะเป็นจวิ้นอ๋องก็ได้ย้ายครอบครัวตระกูลหลิวของตนมาพำนักที่จวนอ๋องพระราชทาน ซึ่งเป็นจวนอ๋องที่ฮ่องเต้จ้าวชิงเฟยตั้งใจสร้างเอาไว้เผื่อพระนัดดาทั้งหลายในอนาคตพระชายาจวิ้นอ๋องหลิวลี่หยางยังไม่ค่อยคุ้นชินกับที่อยู่ใหม่มากนัก นางค่อนข้างคิดถึงบ้านเก่าไม่น้อย บางวันจึงกลับไปพักผ่อนที่จวนตระกูลหลิวและรับสั่งให้บ่าวไพร่ดูแลจวนให้ดีจวิ้นอ๋องค่อนข้างปลื้มใจกับบุตรสาวของเขาไม่น้อย เขาได้สอบถามเรื่องราวแต่แรกเริ่มว่าเป็นมาเช่นไร หลิวลี่เซียนสามารถรักษาพระพักตร์องค์รัชทายาทได้อย่างไร หลิวลี่เซียนเองก็เต็มใจเล่าให้ผู้เป็นบิดามารดาฟัง และนางยังได้รู้อีกด้วยว่า แท้จริงแล้วจวนตระกูลหลิวของบิดาเป็นพระญาติใกล้ชิดกับฮ่องเต้มิน่าเล่าทั้งฮ่องเต้และจ้าวฮวงโหวต่างมีใบหน้าเหมือนคุณพ่อคุณแม่ของนาง ที่แท้ก็เป็นบรรพบุรุษของนางนี่เองหลิวลี่ซือลอบเบ้ปากเล็กน้อย นางขี้เกียจจะฟังเรื่องราวพวกนี้ อีกอย่างตอนนี้ตระกูลนางก็ไม่ใช่ขุนนางธรรมดาทั่วไปอีกแล้ว เรื่องนี้ทำให้นางรู้สึกภูมิใจอยู่ไม่น้อยที่จะได้เชิดหน้าชูตาขึ้นมาอีกขั้นไม่นานนักข่าวเรื่องอ
หลิวลี่เซียนมองฮ่องเต้จ้าวชิงเฟยด้วยแววตาที่ตกใจไม่น้อย แต่เพียงแค่แวบเดียวเท่านั้นสายตานี้ของนางก็หายไป เหลือเพียงความเคารพที่มีต่อฮ่องเต้พระองค์หนึ่งเท่านั้นภพปัจจุบันเขาอาจจะเป็นพ่อของนาง แต่ในภพนี้เขาเป็นฮ่องเต้ที่สูงส่ง นางต้องให้ความเคารพเขาเป็นสิ่งที่ถูกต้องที่สุดแล้วฮ่องเต้จ้าวชิงเฟยมองหลิวลี่เซียนด้วยแววตาล้ำลึกครั้งหนึ่งบุตรสาวของเสนาบดีหลิวนางทำไมช่างดูคุ้นตา เหมือนกับว่าเขาเคยพบเจอนางที่ใดมาก่อน"ไปเชิญเสนาบดีหลิวเทียนเฉิงมาพบข้าที่ตำหนัก"ฮ่องเต้จ้าวชิงเฟยเอ่ยพลางสะบัดชายเสื้อมังกรให้ขันทีไปตามเสนาบดีหลิว ก่อนจะหันมามองหลิวลี่เซียนเสนาบดีหลิวรั้งตำแหน่งเสนาบดีกรมพระคลัง ดูแลเรื่องการจัดเก็บภาษีรายได้ของแผ่นดิน เบิกจ่ายงบประมาณของราชสำนัก เป็นขุนนางตงฉินผู้ซื่อสัตย์น้อยคนนักที่จะรู้ว่าเสนาบดีหลิวผู้นี้เป็นพระญาติฝั่งมารดาของฮ่องเต้จ้าวชิงเฟย เขาเป็นบุตรชายคนโตของน้องสาวไทเฮาองค์ปัจจุบัน นั่นก็คือมารดาของฮ่องเต้จ้าวชิงเฟยนั่นเองไทเฮาตระกูลหลิวพระองค์นี้ทรงอภิเษกกับฮ่องเต้พระองค์ก่อน และได้รับการสถาปนาให้ขึ้นเป็นจ้าวฮวงโหว ก่อนจะมีพระประสูติการพระโอรสนามว่าจ้าวชิงเฟยแล
หลังจากที่จับตัวหนิงซานกับหวาเยียนเข้าคุกหลวงเรียบร้อยแล้ว จ้าวจิ้งเทียนได้ส่งคนไปแจ้งเรื่องราวต่อจ้าวฮวงโหว นางรู้สึกเหมือนดั่งมรสุมใหญ่ได้ลอยหายไปในพริบตา พลันยกยิ้มมุมปาก มเหสีรองเหมย เจ้าไม่มีทางมีชัยชนะเหนือข้าได้หรอกฮ่องเต้จ้าวชิงเฟยที่กำลังว่าราชการในท้องพระโรงเสร็จเรียบร้อยแล้วนั้น กำลังเดินทางกลับตำหนักมังกร พลันสายตาของเขาได้หันไปพบกับจ้าวจิ้งเทียน พระราชโอรสองค์โตของเขาที่มายืนรออยู่ที่หน้าตำหนัก"ถวายบังคมเสด็จพ่อ"ฮ่องเต้จ้าวชิงเฟยหันไปมองด้านหลังของจ้าวจิ้งเทียน จึงพบเข้ากับเจินเซียงและหญิงสาวอีกหนึ่งคน ดูจากการแต่งกายแล้วคงจะเป็นบุตรสาวของตระกูลขุนนางเป็นแน่ หลิวลี่เซียนที่ก้มหน้าตลอดเวลาไม่ได้เงยหน้าไปมอง แต่ก็รับรู้ได้ว่าฮ่องเต้กำลังมองมาที่นางอยู่"เจ้ามีเรื่องอันใดถึงมาพบข้าที่นี่?""ลูกมีเรื่องกราบทูลเสด็จพ่อพ่ะย่ะค่ะ"จ้าวชิงเฟยพยักหน้าเล็กน้อยเมื่อเข้ามาในตำหนัก ฮ่องเต้จ้าวชิงเฟยทรงให้เหล่านางกำนัลขันทีออกไปให้หมดเหลือเพียงราชเลขาคนสนิทเพียงคนเดียว ตอนนี้ภายในตำหนักจึงเหลือคนไม่มาก จ้าวจิ้งเทียนเงยหน้าขึ้นมองเสด็จพ่อของเขาเล็กน้อย"ลูกขอให้เสด็จพ่อทรงเชิญเสด็จแ
"ท่านคิดจะทำเช่นไรต่อไปจิ้นหมิง"หลิวลี่เซียนหันไปเอ่ยถามจ้าวจิ้งเทียน ก่อนจะโยนองุ่นที่นางแอบหยิบมาจากหอโคมแดงตอนที่เดินออกมาจากประตูโยนขึ้นและอ้าปากงับมาเคี้ยวอย่างอารมณ์ดี จ้าวจิ้งเทียนมองหลิวลี่เซียนด้วยสายตาที่เอ็นดูนางไม่น้อย เด็กน้อยผู้นี้ของเขาช่างดูสดใสนัก เขาที่ใช้ชีวิตมาจนอายุสิบแปดปีไม่เคยพบเจอหญิงในใต้หล้าใดที่น่ารักน่าชังเท่านาง"พรุ่งนี้ข้าคงต้องให้เจ้าไปพบเจินเซียงที่จวนเจ้ากรมกลาโหม เจ้าต้องพานางออกมาให้ได้ ข้าต้องการให้เจินเซียงได้พบกับหวาเยียน หลังจากนั้นข้าจะให้นางไปสารภาพผิดกับเสด็จพ่อ แล้วข้าจะเป็นผู้ทวงคืนความยุติธรรมให้น้องสาวของข้าด้วยตนเอง"หลิวลี่เซียนพยักหน้าเล็กน้อย พ่อหนุ่มคนนี้ช่างรอบคอบจริงๆ"เจ้าพักผ่อนเถอะ ขอบใจเจ้ามากที่ไปกับข้าในวันนี้""เป็นพระกรุณาเพคะองค์รัชทายาท"หลิวลี่เซียนโค้งกายคารวะ ก่อนจะปิดประตูหน้าต่างใส่หน้าจ้าวจิ้งเทียน เขายกยิ้มมุมปากขึ้นเล็กน้อยพลางคิด นี่นางเคารพเขาจริงๆ งั้นหรือ?จวนเจ้ากรมกลาโหมหลังจากที่แต่งกายเรียบร้อย หลิวลี่เซียนก็ออกจากจวนแต่เช้าเพื่อไปที่จวนเจ้ากรมกลาโหม"ขอโทษที่ไม่ได้แจ้งเจ้าก่อนว่าข้าจะมา""ไม่เป็นไร รีบ
รุ่งเช้าหลิวลี่เซียนไปที่เรือนของฮูหยินลี่หยางเพื่อรับประทานอาหารเช้าที่เรือนของมารดา ฮูหยินลี่หยางเอ่ยปากชมว่าหม่าล่าที่นางนำมาให้กินนั้นแปลกตาและอร่อยยิ่ง ส่วนหลิวลี่ซือที่นั่งร่วมโต๊ะด้วยนั้นลอบบิดเบ้มุมปากตนด้วยความริษยาตั้งแต่ที่พี่สาวนางตกน้ำครานั้นก็ดูเปลี่ยนไป เมื่อก่อนนางช่างอ่อนแอและขี้โรคนัก โดนลมเพียงนิดก็ไม่สบายต้องนอนรักษาตัวอยู่ในจวนเป็นนานแรมเดือน แต่ตอนนี้นางดูแข็งแรงไม่เจ็บป่วยไข้เหมือนแต่ก่อน ซ้ำยังดูงดงามสดใสยิ่งน่าถลกหนังหน้านางให้มันพังพินาศไปเสียหลังจากที่กินข้าวเช้าเสร็จแล้ว หลิวลี่ซือก็เดินออกมาจากเรือนฮูหยินลี่หยาง ก่อนจะจัดการเปลี่ยนเสื้อผ้าออกนอกจวนไปที่หอเป่าชิงเพื่อหาซื้อเครื่องประดับหลิวลี่ซือเป็นคนรักสวยรักงามยิ่ง นางชอบสะสมเครื่องประดับอัญมณีที่งดงามหลากหลายเมื่อเลือกเครื่องประดับได้ตามที่ต้องการแล้ว หลิวลี่ซือเตรียมให้อวี้จู้สาวรับใช้คนสนิทจ่ายค่าเครื่องประดับของนาง แต่ทว่ามีมือปริศนาข้างหนึ่งยื่นมาก่อน"แม่นาง ค่าเครื่องประดับนี้นายของข้าจะเป็นคนจ่ายให้ท่านเอง"หลิวลี่ซือหันไปมองก่อนจะพบกับบุรุษผู้หนึ่ง เขาแต่งกายคล้ายองครักษ์ในวังหลวง"นายของเจ
จ้าวจิ้งเทียนมีสีหน้าตกใจเล็กน้อย ชายารองงั้นหรือ หญิงสาวเช่นชิงชิงไม่ใช่คนที่จะพาเข้าวังหลวงมาเป็นภรรยาได้ง่ายดายเช่นนั้น"เสด็จแม่พ่ะย่ะค่ะ ลูกเชื่อว่าด้วยนิสัยของนางไม่มีทางยอมรับตำแหน่งที่ท่านแม่ทรงมอบให้แน่นอน ตั้งแต่ที่ลูกรู้จักนางมา นางเป็นหญิงสาวที่รักอิสระยิ่งพ่ะย่ะค่ะ""เจ้าจึงถูกตาต้องใจนาง?"จ้าวจิ้งเทียนหมดคำจะพูด เขาไม่ได้ปฏิเสธหรือบ่ายเบี่ยงใดๆ ทั้งสิ้น ตัวเขาเองก็ยังไม่แน่ใจในความรู้สึกที่มีต่อหลิวลี่เซียน เขากลัวว่านางจะไม่ได้คิดเช่นเดียวกันกับเขา จ้าวฮวงโหวย่อมต้องอ่านความคิดของจ้าวจิ้งเทียนออก นางยิ้มออกมาเล็กน้อยคล้ายไม่ได้ติดใจอันใดมากนัก"เช่นนั้นก็ตามใจเจ้า แม่เป็นคนไม่ชอบบังคับใจใคร เรื่องที่เจ้ารักษาใบหน้าจนหายดีแล้วนั้น ต้องกราบทูลต่อเสด็จพ่อเจ้าเสีย""พ่ะย่ะค่ะ"เมื่อสถานการณ์บีบบังคับ ความลับที่เขาตั้งใจจะไม่ยอมเปิดเผยก็จำต้องยอมเสียแล้วหลังจากที่กลับจากวังหลวงหลิวลี่เซียนก็เข้าไปพูดคุยเล่นกับเสนาบดีหลิวและฮูหยินลี่หยางเกี่ยวกับเรื่องที่เข้าวังหลวงวันนี้เพียงเล็กน้อย หลิวลี่ซือก็อยู่ที่นั่นด้วยเช่นกัน นางพยายามที่จะถามหลิวลี่เซียนว่าเข้าวังหลวงไปด้วยเหตุใด
ตำหนักจ้าวฮวงโหวจ้าวจิ้งเทียนคิดไตร่ตรองเรื่องของเจินเซียงมาสักพักก่อนจะเข้าไปขอพบกับจ้าวฮวงโหวเสด็จแม่ของเขา"ถวายพระพรเสด็จแม่พ่ะย่ะค่ะ""ลุกขึ้นเถิด มานั่งข้างแม่เร็วเข้า จิ้นหมิง"จ้าวจิ้งเทียนลุกขึ้นก่อนจะเดินเข้าไปนั่งลงข้างพระวรกายของจ้าวฮวงโหว เขามองพระพักตร์ของเสด็จแม่ตนเองอย่างลำบากใจเรื่องนี้หนักหนาเกินกว่าเขาจะแก้ไขเองจริงๆ"ว่าอย่างไรจิ้นหมิง""ที่ลูกมาเข้าเฝ้าเสด็จแม่วันนี้ เพราะมีเรื่องสำคัญสองเรื่องอยากกราบทูลพ่ะย่ะค่ะ""ไหนเจ้าว่ามาสิ"จ้าวจิ้งเทียนหันไปมองเหล่านางกำนัลเป็นเชิงให้ออกไปให้หมด ก่อนจะยกมือขึ้นไปปลดผ้าคลุมใบหน้าของเขาออกอย่างช้าๆ เผยให้เห็นใบหน้างดงามราวกับเทพเซียนของเขา รอยแผลบนใบหน้าจางหายไปจนหมดสิ้นแทบไม่ทิ้งร่องรอยใดเหลือไว้ ราวกับว่าไม่เคยมีบาดแผลน่ารังเกียจนั่นอยู่บนใบหน้าของเขามาก่อน"จิ้นหมิง!!! ลูกแม่ นี่เจ้า หมอเทวดารักษาเจ้าจนหายดีแล้วหรือ สวรรค์ช่างเมตตายิ่งนัก!!!"จ้าวฮวงโหวยื่นมือมาจับที่ใบหน้าของจ้าวจิ้งเทียนอย่างดีใจปนตกใจ น้ำตาของนางเอ่อคลออย่างกลั้นเอาไว้ไม่อยู่ จ้าวจิ้งเทียนกุมมือของพระมารดาเอาไว้ด้วยความรักใคร่ ก่อนจะยิ้มให้จ้าวฮวงโห
ตำหนักพระมเหสีรองเหมย"ถวายพระพรพระมเหสีรองเพคะ"เหมยฮวาชิงย่อกายทำความเคารพมเหสีรองเหมยท่านอาของนาง พระมเหสีรองเหมยพระองค์นี้เข้าวังมาได้ห้าปีแล้ว แต่ยังไม่มีพระโอรสและพระธิดาแม้สักพระองค์เดียว เพราะสุขภาพของนางค่อนข้างไม่สู้ดี แต่ถึงอย่างนั้นนางก็ยังคงเป็นที่โปรดปรานของฮ่องเต้ เพราะราชสำนักยังต้องพึ่งพากำลังทางทหารของจวนโหวตระกูลเหมย มเหสีรองเหมยแม้ภายนอกจะดูอ่อนโยน ไม่มีปากมีเสียงกับใคร แต่ลึกๆ ภายในใจของนางซ่อนความโหดเหี้ยมเอาไว้ไม่น้อยนางริษยาจ้าวฮวงโหวกับพระสนมเอกยิ่งนัก ทั้งที่พวกนางไม่ใช่คนโปรดของฮ่องเต้สักเท่าใด แต่วาสนากลับทำให้พวกนางมีพระโอรส แล้วนางเล่า นางเป็นที่โปรดปราน แต่สวรรค์กลั่นแกล้งนางถึงเพียงนี้เพราะเหตุใดกัน"รีบลุกขึ้นเถิดหลาน เจ้าไม่ต้องมากพิธีการ""ขอบพระทัยเพคะพระมเหสีรอง"พระมเหสีรองเหมยโบกมือเป็นการไล่บ่าวรับใช้นางกำนัลออกไปจากตำหนักให้หมด เหลือเพียงแม่นมคนสนิทของนางกับเหมยฮวาชิงและชิงฮุ่ย"ท่านอารู้ข่าวของตระกูลเจินรึยังเพคะ"เหมยฮวาชิงเป็นคนเริ่มบทสนทนาเรื่องของเจินเซียงกับพระมเหสีรองเหมยก่อน พระมเหสีรองเหมยยกชาขึ้นจิบเล็กน้อย พลางหัวเราะออกมาอย่างอารมณ