บทที่ 2 สมใจท่านหรือยัง
หยางชิวเหยาเมื่อเดินเข้ามาภายในจวน นางถึงกับทรุดตัวลงพร้อมก้มหน้าร้องไห้ออกมาจวนเจียนจะขาดใจ เสี่ยวเว่ยสาวใช้คู่กายของนางรีบเข้ามาประคองร่างบางเอาไว้พร้อมพยายามปลอบโยนนายหญิงของตน “คุณหนู...ท่านต้องเข้มแข็งไว้นะเจ้าคะ”
ในระหว่างนั้นหยางจ้าวเสียนฮูหยินใหญ่ของจวนสกุลหยาง และเป็นมารดาเลี้ยงของหยางชิวเหยาก็เดินกรีดกรายมาตรงด้านหน้า พร้อมมือข้างหนึ่งที่ถือพัดโบกสะบัดไปมาอย่างไม่มีทีท่าร้อนใจ
“ชิวเหยา...ในเมื่อเจ้าตัดขาดจากเจ้าคนจรผู้นั้นแล้ว เจ้าก็จงเตรียมตัวแต่งงานเสีย...สินสอดที่สกุลหานนำมามอบให้มิใช่น้อยๆ...จริงๆ เจ้าควรขอบใจข้าเสียด้วยซ้ำที่จัดหาสามีที่มีเกียรติเช่นนี้ให้เจ้าได้” หยางจ้าวเสียนพูดจีบปากจีบคอ พร้อมกล่าวอ้างอย่างลำเลิกบุญคุณ
หยางชิวเหยาเงยหน้าขึ้นมองหยางจ้าวเสียนพร้อมทั้งใบหน้าที่นองน้ำตา ดวงตาที่แดงก่ำฉายแววความคับแค้นที่สุมแน่นอยู่ภายในใจ
“ข้าได้ทำตามที่ท่านต้องการแล้ว...ขอท่านจงทำตามสัญญา...อย่าได้ทำอันตรายอันใดกับลู่เหวินเป็นอันขาด” หยางชิวเหยากล่าวออกมาด้วยความเจ็บปวด
“เชอะ...คนกระจอกเช่นนั้น หากมิมาให้รกหูรกตาข้า ข้าก็มิคิดจะเกี่ยวพันอันใดให้เป็นเสนียดติดกายข้าหรอก” หยางจ้าวเสียนพูดพร้อมสะบัดหน้าอย่างรู้สึกเบื่อหน่าย “เด็กๆ จัดการพาชิวเหยากลับเรือนให้เรียบร้อย อีกห้าวันข้างหน้าจะถึงงานแต่งแล้ว พวกเจ้าดูแลนางให้ดี อย่าให้มีเรื่องผิดพลาดอันใดได้เล่า” หยางจ้าวเสียนหันไปสั่งสาวใช้ก่อนจะสะบัดกายเดินจากไปโดยไม่คิดจะเหลียวมองลูกเลี้ยงตรงหน้าแม้เพียงสักนิด
หยางชิวเหยาถูกประคองกลับเรือนด้วยสภาพหมดอาลัยตายอยาก นางได้แต่นั่งเหม่อลอยพร้อมน้ำตาที่ไหลอาบแก้มอย่างรู้สึกเจ็บช้ำ
“คุณหนู...เหตุใดท่านไม่บอกความจริงกับท่านจางเล่า...ทำเช่นนี้ท่านจางจะเข้าใจท่านผิดเอาได้นะเจ้าคะ” เสี่ยวเว่ยรีบท้วงขึ้นมาทันทีที่มีโอกาสอยู่กันตามลำพัง
เสี่ยวเว่ยนึกย้อนไปในตอนที่หยางชิวเหยาถูกหยางจ้าวเสียนเรียกตัวเข้าไปพบในห้องโถงใหญ่เมื่อสองวันก่อน
“ชิวเหยา...สกุลหานส่งเทียบสู่ขอเจ้ามาที่จวน ข้าตกปากรับคำสกุลหานไปแล้ว เจ้าจงเตรียมตัวแต่งงานเสีย” คำพูดของหยางจ้าวเสียนดั่งสายฟ้าฟาดเข้ามากลางใจของหยางชิวเหยาอย่างแรง
“ท่านทำเช่นนี้ได้เช่นใด ท่านก็รู้ว่าข้ารักใคร่กับลู่เหวิน ข้ามิอาจแต่งงานตามที่ท่านต้องการได้” หยางชิวเหยาตอบกลับในทันทีอย่างไม่คิดจะยอมรับการคลุมถุงชนครั้งนี้
“เพี๊ยะ...” เสียงฝ่ามือฟาดลงบนใบหน้าของหยางชิวเหยาอย่างเต็มแรง “เหลวไหล...เจ้านี่ช่างใฝ่ต่ำยิ่งนัก เหมือนแม่ของเจ้ามิมีผิด” หยางจ้าวเสียนตวาดออกมาอย่างสุดกลั้น นางจ้องมองหยางชิวเหยา บุตรสาวคนโตของสกุลหยางที่เกิดจากอนุอย่างรู้สึกรังเกียจเดียดฉันท์ ถ้าไม่เป็นเพราะคนสกุลหานต้องการเกี่ยวดองกับหยางชิวเหยาแล้วละก็นางก็มิคิดจะยุ่งเกี่ยวอันใดกับหยางชิวเหยาให้รู้สึกระคายเคืองใจเป็นอันขาด ซ้ำยังอยากให้นางได้ตบแต่งกับคนจรผู้นั้นไปเสียให้พ้น แต่เพราะสกุลหานนั้นมีบารมีมากล้นในราชสำนักอีกทั้งคุณชายหานอี้หลงผู้ส่งเทียบแต่งงานมาให้ก็เป็นถึงรองเจ้ากรมโยธา หากได้เกี่ยวดองกับสกุลหานแล้วย่อมเป็นการส่งเสริมสกุลหยางให้มั่นคงยิ่งขึ้น อีกทั้งยังช่วยส่งเสริมให้หยางเป่าจงบุตรชายคนเดียวของนางได้รับประโยชน์จากการแต่งงานในครั้งนี้อย่างมากล้นทีเดียว
“ข้ามิได้รักใคร่กับคุณชายหาน ทั้งข้ายังได้สัญญาแต่งงานกับลู่เหวินแล้ว ขอท่านได้โปรดตัดสินใจใหม่ด้วยเถิด” หยางชิวเหยากล่าวอ้อนวอนต่อหยางจ้าวเสียน
“ข้าจะพูดกับเจ้าเป็นครั้งสุดท้าย เจ้าจงไปบอกเลิกกับคนจรผู้นั้นเสีย แล้วเตรียมตัวแต่งงานตามที่ข้าสั่ง...หากเจ้ายังดื้อรั้นอยู่อีกละก็...เจ้าคงได้เห็นศพของคนรักเจ้านอนตายอยู่ข้างถนนเป็นแน่” หยางจ้าวเสียนยกมือขึ้นบีบคางของหยางชิวเหยาจนเกิดเป็นรอยแดงเรื่อขึ้นมา พร้อมกล่าวออกมาด้วยน้ำเสียงเข้มฉายความอำมหิตอยู่ในที ดวงตาคมกริบจ้องมองหยางชิวเหยาอย่างข่มขู่พร้อมประกายตาที่วาววับ
“ท่าน...” หยางชิวเหยามองหน้าหยางจ้าวเสียนอย่างรู้สึกเย็นวาบไปทั้งร่าง คำพูดที่เปล่งออกมานั้นบ่งบอกมิได้เป็นเพียงแค่คำขู่ หากแต่นางรู้ดีอยู่แก่ใจว่าหยางจ้าวเสียนนั้นทำได้จริงเพียงแค่พลิกฝ่ามือเท่านั้น
“ออกไปได้แล้ว เกะกะรำคาญตาข้ายิ่งนัก” หยางจ้าวเสียนขับไล่หยางชิวเหยาออกไปในทันทีอย่างรู้สึกรำคาญใจ
เสี่ยวเว่ยสะบัดหน้าขับไล่ความทรงจำในคราวก่อนออกไป ก่อนจะหันกลับมาสนใจนายหญิงของตน นางได้แต่ทอดถอนหายใจอย่างรู้สึกสงสารหยางชิวเหยา
เสี่ยวเว่ยเป็นสาวรับใช้ติดตามหยางชิวเหยาตั้งแต่ยังเล็ก แม้หยางชิวเหยาจะเป็นบุตรสาวคนโตของสกุลหยาง หากแต่เพราะนางเกิดจากอนุ ซ้ำมารดาของหยางชิวเหยาก็ได้ด่วนจากไปก่อนวัยอันควร ทำให้หยางชิวเหยานั้นมิได้รับความเหลียวแลอันใดจากใต้เท้าหยางกวงโหล ประมุขของสกุลหยาง อีกทั้งหยางจ้าวเสียน ฮูหยินใหญ่ของสกุลหยางก็นึกรังเกียจและเจ็บแค้นที่มารดาของหยางชิวเหยาที่เป็นเพียงอนุ แต่กลับได้รับความโปรดปรานอย่างมากตอนยังมีชีวิตอยู่ ซ้ำยังเป็นผู้ให้กำเนิดบุตรคนแรกของสกุลหยางอีกด้วย นั่นยิ่งทำให้ชีวิตความเป็นอยู่ของหยางชิวเหยาในจวนแห่งนี้นั้นต้องลำบากอยู่มิใช่น้อย แต่ก็นับว่าเป็นโชคดีอยู่บ้างที่หยางชิวเหยานั้นเกิดเป็นหญิงทำให้หยางจ้าวเสียนมิได้มองนางเป็นคู่แข่งกับหยางเป่าจงบุตรชายของตน หยางชิวเหยาจึงมีโอกาสใช้ชีวิตค่อนข้างอิสระพอสมควร แต่บัดนี้ชีวิตของหยางชิวเหยากลับกลายเป็นเพียงเครื่องมือในการเสริมอำนาจของสกุลหยางไปเสียแล้ว
“เสี่ยวเว่ย...ข้าจะกล่าวความจริงให้ลู่เหวินฟังได้เยี่ยงใด เจ้าก็รู้ดีแก่ใจด้วยนิสัยลู่เหวิน หากเขารู้ความจริงขึ้นมา ต่อให้ต้องแลกด้วยชีวิตย่อมไม่ยอมปล่อยมือข้าเป็นแน่” หยางชิวเหยากล่าวออกมาอย่างรู้สึกท้อแท้และจนใจ
“เช่นนั้นท่านจะยอมแต่งงานกับคุณชายหานหรือเจ้าคะ”
“ข้ามิมีทางเลือกอื่น เพื่อชีวิตของลู่เหวินข้าเพียงยอมรับโชคชะตาดังกล่าว...หากข้าทำเช่นนี้คงสมใจท่านพ่อและฮูหยินใหญ่แล้ว”
บทที่ 64 ข้าจะรอเจ้าลมเย็นโบกสะบัดพัดผ่านยอดเขาส่งเสียงหวีดหวือประสานกับเสียงใบไม้ที่เสียดสีกันคล้ายบทสวดที่ธรรมชาติคอยขับกล่อม อารามอันเงียบสงบตั้งอยู่ท่ามกลางป่าสนที่สูงชะลูดโอบล้อมรอบบริเวณอารามแห่งนี้ราวกับถูกตัดขาดจากโลกภายนอกโดยสิ้นเชิง แสงตะวันอ่อนของยามเช้าสาดส่องลอดผ่านหมอกบางๆ ที่ปกคลุม ไม้ระแนงเก่าแก่ของอารามส่งกลิ่นหอมอ่อนๆ ของไม้จันทน์ชวนให้รู้สึกสงบใจหยางชิวเหยาสวมอาภรณ์สีขาวอย่างเรียบง่าย ใบหน้าที่เคยเต็มไปด้วยความทุกข์ใจและหม่นหมองในวันวาน เวลานี้กลับดูสงบนิ่งอย่างผู้ที่ผ่านการขัดเกลาจากธรรมะและกาลเวลาจนจิตใจของนางสงบและเยือกเย็นลงดวงตาคู่งามของหยางชิวเหยาไม่เหลือร่องรอยของความเศร้าโศกอย่างที่เคยเป็นแต่กลับแฝงไปด้วยความสงบนิ่งและการปล่อยวางได้เป็นอย่างมากหลังจากที่หยางชิวเหยาเข้ามาถือศีลในอารามแห่งนี้ นับเป็นเวลากว่าสามปีเต็มที่นางมิเคยติดต่อกับผู้ใดอีกเลย นางละทิ้งโลกภายนอกไว้เบื้องหลังราวกับมันมิเคยเกิดขึ้นและมีอยู่จริง ในทุกวันนางจะใช้เวลาอยู่กับการถือศีล ท่องบทสวดมนต์ และทำจิตใจให้เบาบางลงเมื่อสามปีก่อนหลังจากที่หานอี้หลงถูกประหารชีวิตลง หยางชิวเหยาก็ได้แต่ทน
บทที่ 63 ประหารชีวิตลมหนาวพัดโชยในช่วงเวลาเช้าจนชวนให้รู้สึกขนลุกชันขึ้นมา บรรยากาศภายในเมืองหลวงต่างอึมครึมและหนักอึ้งไปด้วยความตึงเครียดจากเหตุการณ์กบฏที่เกิดขึ้น หน้าประตูวังหลวงที่ใหญ่โตโอ่อ่าในวันนี้กลับคลาคล่ำไปด้วยฝูงชนที่ต่างมารอดูจุดจบของเหล่านักโทษกบฏเสียงฝีเท้าของเหล่าทหารที่เหยียบย่างไปตามพื้นอย่างหนักหน่วงและมั่นคง แสงแดดยามเช้าที่ตะวันเริ่มเคลื่อนคล้อยขึ้นลอยเหนือหัวขึ้นมาทุกทีทั่วทั้งเมืองหลวงต่างได้ยินข่าวเกี่ยวกับการประหารชีวิตของหานอี้หลงและคนสกุลเจียงทั้งครอบครัว ทุกคนต่างอยู่ในความตื่นตะลึงและใจหายขึ้นมาอย่างไม่อาจห้ามได้หานอี้หลงผู้ซึ่งเป็นบุรุษที่สง่างามน่าเคารพ บุรุษที่ต่างเป็นที่หมายปองของเหล่าหญิงสาวในเมืองหลวง บัดนี้กลับกลายเป็นนักโทษกบฏที่รอเวลาประหารชีวิตในขณะที่ท่านโหวเจียงเสิ่นเย่วผู้มีจิตใจเมตตาและเป็นที่เคารพยำเกรงของผู้คนทั่วทั้งเมืองหลวง บัดนี้ต่างมีจุดจบอันเลวร้ายไม่ต่างกันหานอี้หลงและเจียงเสิ่นเย่วถูกนำตัวมายังลานประหารที่หน้าวังหลวง หานอี้หลงนั่งคุกเข่าลงบนพื้นดินด้วยสีหน้าที่ยังคงราบเรียบและดูสงบนิ่ง ในขณะที่เจียงเสิ่นเย่วกลับมีท่าทางคอตกดั
บทที่ 62 คุมขังภายในคุกกรมอาญา ความมืดมิดและความเงียบสงัดทำให้บรรยากาศรอบตัวหานอี้หลงดูราวกับถูกกลืนกินด้วยความสิ้นหวัง ทุกอย่างรอบตัวเต็มไปด้วยความเย็นเยียบจนแทบจะสัมผัสได้ ราวกับอากาศในที่แห่งนี้ถูกผนึกด้วยความเจ็บปวด ความโหดร้าย และการทรมานทางจิตใจที่ไม่รู้จักจบสิ้นหานอี้หลงนั่งอยู่บนพื้นหินที่เย็นชืด ข้อมือถูกตรึงด้วยโซ่ที่มีความหนาและหนักหน่วง มือขวาของเขาถูกยึดแน่นจนไม่สามารถขยับได้อย่างอิสระ ดวงตาของเขาหม่นหมองไปด้วยความเศร้าโศกที่ไม่สามารถบรรยายออกมาได้ ทุกสิ่งในชีวิตของเขาดูเหมือนจะพังทลายลงไปแล้วอย่างสิ้นเชิงหานอี้หลงไม่สามารถหนีจากโชคชะตาที่ถูกบีบบังคับมาได้ ในขณะที่รอคอยวันที่จะเป็นการประหารชีวิตของเขา ความคิดที่ทำให้หัวใจเขาเจ็บปวดและหนักอึ้งจนมิอาจปล่อยวางลงได้ยังคงมีเพียงเรื่องเดียวในชีวิตนั่นคือหยางชิวเหยา และเขาจะไม่มีโอกาสได้พบกับคนที่เขารักอีกต่อไปแล้วในขณะที่หานอี้หลงกำลังหลับตาและข่มกลั้นความเจ็บปวดรวดร้าวในใจอยู่นั้น พลันเสียงฝีเท้าหนึ่งก็ก้าวเข้ามาใกล้เขาขึ้นเรื่อยๆทันทีที่หานอี้หลงเงยหน้าขึ้นมาจ้องมองคนตรงหน้าผ่านลูกกรงเหล็กแข็งนั้น ดวงตาของหานอี้หลงก็เบิก
บทที่ 61 แผนซ้อนแผนสิ้นเสียงของหงจูเหลียง เหล่าทหารก็กรูกันเข้ามาด้านในห้อง พร้อมกับร่างใหญ่ที่สาวเท้าเข้ามาด้วยท่าทางหยิ่งทะนง ร่างของจางลู่เหวินปรากฏตัวขึ้นในความมืด เขาสวมชุดเกราะทหารที่ทำให้เขาดูสง่าผ่าเผยพร้อมใบหน้าราบเรียบแต่เย็นชายิ่งนักหานอี้หลงตกตะลึงเป็นอย่างมาก ภาพของจางลู่เหวินตรงหน้าราวกับสายฟ้าที่ฟาดเข้ามาตรงกลางหน้าผากของเขาเข้าอย่างจัง หานอี้หลงไม่คาดคิดเลยว่าในช่วงเวลาที่เขาคิดว่ากำลังจะชนะ จางลู่เหวินกลับมาปรากฏตัวในแบบที่ไม่คาดฝัน “จางลู่เหวิน...เจ้า...”“หานอี้หลง...เจ้าคงคิดสินะว่าแผนการของเจ้าฉลาดล้ำลึกจนมิมีผู้ใดเทียบ” จางลู่เหวินกล่าวออกมาด้วยน้ำเสียงเย็นเยือก “เจ้า...เจ้า...” หานอี้หลงพึมพำในลำคอด้วยความตกใจ รู้สึกเหมือนโลกทั้งใบกำลังถล่มลงมาจางลู่เหวินยิ้มเยาะออกมาอย่างเหนือกว่าด้วยความเย็นชา “หานอี้หลง ข้ารู้ทุกอย่างเกี่ยวกับแผนการของเจ้า แต่เพื่อให้เจ้าตายใจ ข้ากับฝ่าบาทจึงเลือกที่จะเล่นงิ้วตามพวกเจ้าก็เพียงเท่านั้น”คำพูดของจางลู่เหวินทำให้หานอี้หลงรู้สึกเหมือนถูกฟันไปที่หัวใจ เขารู้สึกถึงความเจ็บปวดที่แทรกซึมเข้ามาภายในร่างกาย “เจ้า... เจ้า...” หานอี
บทที่ 60 ก่อกบฏทหารที่ยืนเฝ้ายามที่รอบบริเวณจวนสกุลจาง ทำให้หยางชิวเหยาอดนึกหวาดหวั่นและตกใจขึ้นมาไม่ได้ “ลู่เหวิน...นี่เกิดเรื่องอันใดขึ้นกันแน่”จางลู่เหวินเดินเข้ามาสวมกอดหยางชิวเหยาเอาไว้อย่างต้องการปลอบขวัญ “ชิวเหยา...เจ้าอย่าได้เป็นกังวลไป อีกไม่นานทุกอย่างก็จะคลี่คลาย” จางลู่เหวินปลุกปลอบหยางชิวเหยาให้คลายความกังวลใจ“ท่านจะไม่เป็นอันใดใช่หรือไม่” หยางชิวเหยายังคงอดห่วงจางลู่เหวินไม่ได้“ข้ามีเจ้าอยู่เคียงข้าง...ข้าย่อมไม่กล้าเป็นอันใดเป็นอันขาด” จางลู่เหวินกล่าวตอบออกมาด้วยน้ำเสียงหนักแน่น“ท่านมิได้หลอกข้าใช่หรือไม่” หยางชิวเหยายังคงไม่แน่ใจกับคำกล่าวของจางลู่เหวินเสียทีเดียว“ข้ามิได้พักผ่อนเสียนาน...ถือโอกาสนี้นอนกกกอดเจ้าทั้งวันทั้งคืนดีหรือไม่” จางลู่เหวินพูดจากรุ้มกริ่มใส่หยางชิวเหยาอย่างอารมณ์ดี“ลู่เหวิน...ท่านนี่นะ...เรื่องราวหน้าสิ่วหน้าขวานเช่นนี้...ท่านยังมีแก่ใจมาพูดเล่นอยู่อีก” หยางชิวเหยาบ่นกระปอดกระแปดออกมาจางลู่เหวินหัวเราะออกมาเสียงดังอย่างอารมณ์ดี หยางชิวเหยาเห็นเช่นนั้นก็ค่อยผ่อนคลายความวิตกกังวลที่มีลงไปเป็นอันมากในขณะเดียวกันที่จวนโหวก็เริ่มมีการเคลื่อ
บทที่ 59 มิอาจรั้งรอได้อีกช่วงสายวันต่อมาหานอี้หลงลืมตาตื่นขึ้นด้วยความรู้สึกปลอดโปร่ง ในยามค่ำคืนที่ผ่านมา ภาพความทรงจำที่เขามีทั้งสัมผัสอันเร่าร้อนและไออุ่นของหยางชิวเหยายังคงตราตรึงอยู่ในความนึกคิดของเขา จนหานอี้หลงอดยกยิ้มขึ้นมาอย่างลืมตัว หานอี้หลงพลิกกายหันไปดึงรั้งร่างบางเข้ามาในอ้อมกอดราวกับคนละเมอ “เหยาเอ๋อร์...”ฉับพลันอ้อมแขนของหานอี้หลงก็ชะงักค้างเมื่อเพ่งสายตามองร่างบางตรงหน้า หญิงสาวในอ้อมกอดของเขามิใช่หยางชิวเหยาแต่กลับกลายเป็นเจียงอันเล่อหานอี้หลงหยัดกายขึ้นพร้อมกุมศีรษะด้วยความปวดหัวจากฤทธิ์สุราที่มี เจียงอันเล่อลืมตาตื่นขึ้นมาด้วยความงัวเงีย เนื่องจากค่ำคืนที่ผ่านมาหานอี้หลงเคี่ยวกรำนางจนแทบมิได้พัก แต่เมื่อเห็นปฏิกิริยาของหานอี้หลง เจียงอันเล่อก็ตาสว่างขึ้นมาในทันที“ท่านพี่...” เจียงอันเล่อเอ่ยออกมาด้วยน้ำเสียงแผ่วเบา“เจ้ามาอยู่ที่นี่ได้เช่นใด” หานอี้หลงเบือนหน้าหนีร่างเปลือยเปล่าตรงหน้า“เมื่อคืนข้ากับท่านร่วมหอกันทั้งคืน...ท่านพี่จำมิได้หรือ” เจียงอันเล่อเอ่ยออกมาแม้ว่าจะรู้ดีว่าเมื่อคืนคนที่หานอี้หลงคิดว่าร่วมหลับนอนด้วยคือหยางชิวเหยา“เมื่อคืนข้าคงเมามากไปหน