บทที่ 3 แต่งงาน
แสงตะวันยามเช้าส่องผ่านม่านบางเข้ามาภายในเรือนหลังเล็ก สวนดอกไม้ที่เต็มไปด้วยดอกพุดซ้อนขาวสะอาดมอบกลิ่นหอมอ่อนๆ คล้ายกับบรรยากาศที่กำลังอบอวลด้วยความหวานและความขมขื่นในเวลาเดียวกัน ภายในจวนถูกตกแต่งประดับประดาอย่างงดงามด้วยผ้าสีแดงสด อีกทั้งโคมไฟที่ลวดลายวิจิตรถูกจัดเตรียมไว้อย่างสมฐานะของเจ้าบ่าวผู้เป็นบุตรชายตระกูลใหญ่แห่งแผ่นดิน
หานอี้หลง เป็นบุตรชายคนเดียวของสกุลหาน บิดาของเขา หานอ้าวเว่ย เป็นเสนาบดีเจ้ากรมโยธา ในขณะที่หานอี้หลงเป็นรองเสนาบดีเจ้ากรมโยธา ด้วยหานอ้าวเว่ยนั้นมีบุตรชายค่อนข้างช้า ทำให้หานอี้หลงนั้นนับว่าเป็นบุตรชายหัวแก้วหัวแหวนของตระกูล อีกทั้งหานอ้าวเว่ยก็ใกล้จะเกษียณอายุเต็มที ตำแหน่งเสนาบดีเจ้ากรมโยธานั้นอีกไม่นานย่อมตกทอดเป็นของหานอี้หลงในไม่ช้าทีเดียว
หยางชิวเหยายืนอยู่หน้าโต๊ะเครื่องแป้งในห้องแต่งตัว นางสวมชุดเจ้าสาวสีแดงสดปักลวดลายด้วยไหมทอง ด้านหน้าของผ้าคลุมหน้าสีแดงสดพาดอยู่บนศีรษะ ทว่าใบหน้าของนางกลับซีดเซียวราวกับคนไร้ชีวิต ดวงตาของนางเต็มไปด้วยความเศร้าสร้อยและอ่อนล้า
“คุณหนู... เอ่อ...หลังจากแต่งงาน ท่านก็จะได้เป็นฮูหยินของคุณชายหาน นับได้ว่ามีเกียรติยิ่งนัก อีกทั้งข้ายังได้ยินมาว่าคุณชายหานท่านนี้หน้าตานั้นหล่อเหลาสง่างาม ผู้คนต่างรู้สึกอิจฉาท่านกันยิ่งนัก และคนสกุลหานนั้นถือเรื่องผัวเดียวเมียเดียว ต่อไปท่านคงมิได้ลำบากเป็นแน่เจ้าคะ...” เสี่ยวเว่ยใช้พูดปลอบเสียงเบา แม้ในใจจะรู้ดีว่านางไม่ได้ยินดีในพิธีสมรสนี้
“อิจฉาอย่างนั้นหรือ...” ชิวเหยาพึมพำ นางยกมือขึ้นสัมผัสปิ่นทองบนเรือนผม ราวกับมันเป็นเครื่องพันธนาการที่นางไม่อาจปลดออก
ในขณะนั้น เสียงกลองและขลุ่ยดังขึ้นจากภายนอก เป็นสัญญาณว่าพิธีกำลังจะเริ่มต้นขึ้นแล้ว เสี่ยวเว่ยรีบกุลีกุจอจัดผ้าคลุมหน้าให้เรียบร้อย ก่อนพยุงหยางชิวเหยาออกจากเรือน
เกี้ยวเจ้าสาวถูกจัดวางไว้อยู่ด้านหน้าของจวน พร้อมสินสอดที่วางเรียงรายเป็นทางยาวไปตามท้องถนน หยางกวงโหลหน้าตาแช่มชื่นอย่างรู้สึกเป็นเกียรติยิ่งนัก ด้านข้างของเขาเป็นหยางจ้าวเสียนที่ยืนยิ้มแย้มอยู่ไม่ห่างแม้ว่าจะมิได้รู้สึกยินดีกับวาสนาของบุตรเลี้ยงของตนแม้แต่น้อย
“ต่อไปเจ้าต้องทำตัวดีๆ ให้คนสกุลหานรักและเมตตาเจ้า ชีวิตต่อไปภายภาคหน้า คนในตระกูลหยางย่อมได้ดิบได้ดีตามวาสนาของเจ้าเป็นแน่” หยางกวงโหลกำชับบุตรสาวของตนอีกครั้ง
หยางชิวเหยาได้แต่ยิ้มเจื่อนออกมา พร้อมพยักหน้ารับอย่างขมขื่นใจ ก่อนที่เสี่ยวเว่ยจะค่อยๆ ประคองร่างบางเข้าไปยังเกี้ยวเจ้าสาวตรงหน้าอย่างระมัดระวัง
ลานพิธีเต็มไปด้วยแขกเหรื่อในเสื้อผ้าหรูหราอย่างต้องการให้เกียรติและเป็นสัญญาณถึงความมีอำนาจของสกุลหานที่หลายคนล้วนต้องการเข้าหา
หานอี้หลงยืนเด่นอยู่กลางลานในชุดเจ้าบ่าวปักลวดลายวิจิตรบรรจง ใบหน้าที่ขาวออกไปทางสำอางอย่างคุณชายที่มิเคยต้องลำบาก กับท่วงท่าที่สง่างามจนดึงดูดทุกสายตา รอยยิ้มกว้างที่เผยบนใบหน้าบ่งบอกถึงความสุขและความสมหวังกับการแต่งงานในครั้งนี้เป็นอย่างยิ่ง
เมื่อหยางชิวเหยาเดินมาถึงหน้าเวทีพิธี หานอี้หลงก็ยื่นมือออกมารอให้นางวางมือลงบนมือของเขา หยางชิวเหยาอึ้งไปเล็กน้อยก่อนจะยื่นมือวางบนมือหนานั้นอย่างแผ่วเบา
“ชิวเหยา...ข้าขอสาบานว่าจะปกป้องและดูแลเจ้าไปชั่วชีวิต” หานอี้หลงกล่าวด้วยน้ำเสียงหนักแน่น แววตาของเขาส่งผ่านความรู้สึกที่ลึกซึ้งนั้นไปยังใบหน้าที่ถูกปิดคลุมด้วยผ้าสีแดงเอาไว้
พิธีการเริ่มดำเนินไปจนกระทั่งเสร็จสิ้น แขกเหรื่อส่งเสียงแสดงความยินดีอย่างพร้อมเพรียง ทว่าในใจของหยางชิวเหยากลับรู้สึกเหมือนกำลังเดินเข้าสู่กรงขังที่นางไม่อาจหลบหนีได้อีก
หยางชิวเหยาถูกพามายังเรือนหอที่คนสกุลหานจัดเตรียมและตกแต่งไว้อย่างงดงามและใหญ่โต บ่งบอกถึงความรักและความเอาใจใส่ที่หานอี้หลงมีให้ต่อหยางชิวเหยาอย่างมากล้น
“ที่นี่งดงามและใหญ่โตยิ่งนัก...หากท่านได้เห็นจะต้องดีใจยิ่งนักเจ้าค่ะ” เสี่ยวเว่ยรีบกล่าวออกมาอย่างตื่นเต้น ห้องหอขนาดใหญ่ที่นับได้ว่าเมื่อเทียบกับเรือนเก่าของหยางชิวเหยานั้นแทบมิอาจเทียบเคียงกันได้เลยสักนิด
หยางชิวเหยาได้ฟังเสียงเจี้ยยแจ้วของเสี่ยวเว่ยก็รู้สึกคลายความวิตกกังวลไปอยู่ในที อย่างน้อยนางก็ยังมีสาวใช้คู่ใจที่คอยอยู่เคียงข้างนางในเวลานี้
ในขณะที่ด้านนอกยังคงมีงานเลี้ยงที่แขกเหรื่อต่างพากันร่วมแสดงความยินดีกับหานอี้หลงอย่างไม่ขาดสาย ในระหว่างนั้นจู่ๆ บ่าวรับใช้นายหนึ่งก็วิ่งเข้ามาพร้อมกับรายงานต่อหานอี้หลงด้วยน้ำเสียงตื่นตระหนก
“คุณชายขอรับ ด้านหน้าจวนมีชายผู้หนึ่งกำลังอาละวาดโวยวายอยู่ด้านหน้าจวนขอรับ”
หานอี้หลงเปลี่ยนสีหน้าเป็นเคร่งขรึมขึ้นมาในทันที ก่อนจะหันไปสั่งการอย่างเด็ดขาด “จัดการคนผู้นั้นเสีย อย่าให้ใครกล้าเข้ามาทำลายงานแต่งของข้าได้”
ด้านหน้าจวนจางลู่เหวินพยายามบุกเข้าไปภายในงานอย่างร้อนรน แต่กลับถูกกลุ่มบ่าวรับใช้หลายคนห้อมล้อมและขัดขวางเอาไว้อย่างแน่นหนา
“ปล่อยข้า...ข้าจะไปหาชิวเหยา...ข้า...”
ยังไม่ทันสิ้นเสียงบ่าวรับใช้ผู้หนึ่งก็โถมไม้ตะบองฟาดลงไปที่ด้านหลังของจางลู่เหวินอย่างแรง ก่อนที่บ่าวรับใช้คนอื่นๆ ต่างก็พากันประเคนทั้งมือและเท้ากระหน่ำลงบนร่างของจางลู่เหวินอย่างไม่ปรานี
“เจ้าคนชั้นต่ำ...กล้ามาเกะกะงานแต่งของคุณชายหาน พวกข้าจะสั่งสอนให้เจ้าได้หลาบจำ” สิ้นเสียงร่างทั้งร่างของจางลู่เหวินก็ถูกซ้อมลงไปกองกับพื้นจนไม่อาจเปล่งเสียงอันใดออกมาได้อีก
“พวกเจ้าจัดการพาเจ้าคนชั้นต่ำนี่ออกไปทิ้งให้ไกลจวนเสีย อย่าให้มีเรื่องเสื่อมเสียอันใดให้ระคายเคืองนายท่านได้” บ่าวรับใช้ผู้วิ่งออกมาทีหลังรีบตะโกนบอกออกไป
ก่อนที่ร่างของจางลู่เหวินที่ตอนนี้แทบสิ้นสภาพถูกลากจูงออกไปโยนทิ้งด้านข้างถนนที่ห่างไกลออกไปจากจวนสกุลหาน
“ชิวเหยา...อย่าทิ้งข้าไป...ข้ารักเจ้า...” เสียงพร่ำเพ้อดังออกมาด้วยน้ำเสียงที่รวยริน ใบหน้าที่บูดโบนกับเลือดแดงสดที่ไหลตามมุมปาก ก่อนที่ร่างของจางลู่เหวินจะสิ้นสติลงไปในที่สุด
บทที่ 64 ข้าจะรอเจ้าลมเย็นโบกสะบัดพัดผ่านยอดเขาส่งเสียงหวีดหวือประสานกับเสียงใบไม้ที่เสียดสีกันคล้ายบทสวดที่ธรรมชาติคอยขับกล่อม อารามอันเงียบสงบตั้งอยู่ท่ามกลางป่าสนที่สูงชะลูดโอบล้อมรอบบริเวณอารามแห่งนี้ราวกับถูกตัดขาดจากโลกภายนอกโดยสิ้นเชิง แสงตะวันอ่อนของยามเช้าสาดส่องลอดผ่านหมอกบางๆ ที่ปกคลุม ไม้ระแนงเก่าแก่ของอารามส่งกลิ่นหอมอ่อนๆ ของไม้จันทน์ชวนให้รู้สึกสงบใจหยางชิวเหยาสวมอาภรณ์สีขาวอย่างเรียบง่าย ใบหน้าที่เคยเต็มไปด้วยความทุกข์ใจและหม่นหมองในวันวาน เวลานี้กลับดูสงบนิ่งอย่างผู้ที่ผ่านการขัดเกลาจากธรรมะและกาลเวลาจนจิตใจของนางสงบและเยือกเย็นลงดวงตาคู่งามของหยางชิวเหยาไม่เหลือร่องรอยของความเศร้าโศกอย่างที่เคยเป็นแต่กลับแฝงไปด้วยความสงบนิ่งและการปล่อยวางได้เป็นอย่างมากหลังจากที่หยางชิวเหยาเข้ามาถือศีลในอารามแห่งนี้ นับเป็นเวลากว่าสามปีเต็มที่นางมิเคยติดต่อกับผู้ใดอีกเลย นางละทิ้งโลกภายนอกไว้เบื้องหลังราวกับมันมิเคยเกิดขึ้นและมีอยู่จริง ในทุกวันนางจะใช้เวลาอยู่กับการถือศีล ท่องบทสวดมนต์ และทำจิตใจให้เบาบางลงเมื่อสามปีก่อนหลังจากที่หานอี้หลงถูกประหารชีวิตลง หยางชิวเหยาก็ได้แต่ทน
บทที่ 63 ประหารชีวิตลมหนาวพัดโชยในช่วงเวลาเช้าจนชวนให้รู้สึกขนลุกชันขึ้นมา บรรยากาศภายในเมืองหลวงต่างอึมครึมและหนักอึ้งไปด้วยความตึงเครียดจากเหตุการณ์กบฏที่เกิดขึ้น หน้าประตูวังหลวงที่ใหญ่โตโอ่อ่าในวันนี้กลับคลาคล่ำไปด้วยฝูงชนที่ต่างมารอดูจุดจบของเหล่านักโทษกบฏเสียงฝีเท้าของเหล่าทหารที่เหยียบย่างไปตามพื้นอย่างหนักหน่วงและมั่นคง แสงแดดยามเช้าที่ตะวันเริ่มเคลื่อนคล้อยขึ้นลอยเหนือหัวขึ้นมาทุกทีทั่วทั้งเมืองหลวงต่างได้ยินข่าวเกี่ยวกับการประหารชีวิตของหานอี้หลงและคนสกุลเจียงทั้งครอบครัว ทุกคนต่างอยู่ในความตื่นตะลึงและใจหายขึ้นมาอย่างไม่อาจห้ามได้หานอี้หลงผู้ซึ่งเป็นบุรุษที่สง่างามน่าเคารพ บุรุษที่ต่างเป็นที่หมายปองของเหล่าหญิงสาวในเมืองหลวง บัดนี้กลับกลายเป็นนักโทษกบฏที่รอเวลาประหารชีวิตในขณะที่ท่านโหวเจียงเสิ่นเย่วผู้มีจิตใจเมตตาและเป็นที่เคารพยำเกรงของผู้คนทั่วทั้งเมืองหลวง บัดนี้ต่างมีจุดจบอันเลวร้ายไม่ต่างกันหานอี้หลงและเจียงเสิ่นเย่วถูกนำตัวมายังลานประหารที่หน้าวังหลวง หานอี้หลงนั่งคุกเข่าลงบนพื้นดินด้วยสีหน้าที่ยังคงราบเรียบและดูสงบนิ่ง ในขณะที่เจียงเสิ่นเย่วกลับมีท่าทางคอตกดั
บทที่ 62 คุมขังภายในคุกกรมอาญา ความมืดมิดและความเงียบสงัดทำให้บรรยากาศรอบตัวหานอี้หลงดูราวกับถูกกลืนกินด้วยความสิ้นหวัง ทุกอย่างรอบตัวเต็มไปด้วยความเย็นเยียบจนแทบจะสัมผัสได้ ราวกับอากาศในที่แห่งนี้ถูกผนึกด้วยความเจ็บปวด ความโหดร้าย และการทรมานทางจิตใจที่ไม่รู้จักจบสิ้นหานอี้หลงนั่งอยู่บนพื้นหินที่เย็นชืด ข้อมือถูกตรึงด้วยโซ่ที่มีความหนาและหนักหน่วง มือขวาของเขาถูกยึดแน่นจนไม่สามารถขยับได้อย่างอิสระ ดวงตาของเขาหม่นหมองไปด้วยความเศร้าโศกที่ไม่สามารถบรรยายออกมาได้ ทุกสิ่งในชีวิตของเขาดูเหมือนจะพังทลายลงไปแล้วอย่างสิ้นเชิงหานอี้หลงไม่สามารถหนีจากโชคชะตาที่ถูกบีบบังคับมาได้ ในขณะที่รอคอยวันที่จะเป็นการประหารชีวิตของเขา ความคิดที่ทำให้หัวใจเขาเจ็บปวดและหนักอึ้งจนมิอาจปล่อยวางลงได้ยังคงมีเพียงเรื่องเดียวในชีวิตนั่นคือหยางชิวเหยา และเขาจะไม่มีโอกาสได้พบกับคนที่เขารักอีกต่อไปแล้วในขณะที่หานอี้หลงกำลังหลับตาและข่มกลั้นความเจ็บปวดรวดร้าวในใจอยู่นั้น พลันเสียงฝีเท้าหนึ่งก็ก้าวเข้ามาใกล้เขาขึ้นเรื่อยๆทันทีที่หานอี้หลงเงยหน้าขึ้นมาจ้องมองคนตรงหน้าผ่านลูกกรงเหล็กแข็งนั้น ดวงตาของหานอี้หลงก็เบิก
บทที่ 61 แผนซ้อนแผนสิ้นเสียงของหงจูเหลียง เหล่าทหารก็กรูกันเข้ามาด้านในห้อง พร้อมกับร่างใหญ่ที่สาวเท้าเข้ามาด้วยท่าทางหยิ่งทะนง ร่างของจางลู่เหวินปรากฏตัวขึ้นในความมืด เขาสวมชุดเกราะทหารที่ทำให้เขาดูสง่าผ่าเผยพร้อมใบหน้าราบเรียบแต่เย็นชายิ่งนักหานอี้หลงตกตะลึงเป็นอย่างมาก ภาพของจางลู่เหวินตรงหน้าราวกับสายฟ้าที่ฟาดเข้ามาตรงกลางหน้าผากของเขาเข้าอย่างจัง หานอี้หลงไม่คาดคิดเลยว่าในช่วงเวลาที่เขาคิดว่ากำลังจะชนะ จางลู่เหวินกลับมาปรากฏตัวในแบบที่ไม่คาดฝัน “จางลู่เหวิน...เจ้า...”“หานอี้หลง...เจ้าคงคิดสินะว่าแผนการของเจ้าฉลาดล้ำลึกจนมิมีผู้ใดเทียบ” จางลู่เหวินกล่าวออกมาด้วยน้ำเสียงเย็นเยือก “เจ้า...เจ้า...” หานอี้หลงพึมพำในลำคอด้วยความตกใจ รู้สึกเหมือนโลกทั้งใบกำลังถล่มลงมาจางลู่เหวินยิ้มเยาะออกมาอย่างเหนือกว่าด้วยความเย็นชา “หานอี้หลง ข้ารู้ทุกอย่างเกี่ยวกับแผนการของเจ้า แต่เพื่อให้เจ้าตายใจ ข้ากับฝ่าบาทจึงเลือกที่จะเล่นงิ้วตามพวกเจ้าก็เพียงเท่านั้น”คำพูดของจางลู่เหวินทำให้หานอี้หลงรู้สึกเหมือนถูกฟันไปที่หัวใจ เขารู้สึกถึงความเจ็บปวดที่แทรกซึมเข้ามาภายในร่างกาย “เจ้า... เจ้า...” หานอี
บทที่ 60 ก่อกบฏทหารที่ยืนเฝ้ายามที่รอบบริเวณจวนสกุลจาง ทำให้หยางชิวเหยาอดนึกหวาดหวั่นและตกใจขึ้นมาไม่ได้ “ลู่เหวิน...นี่เกิดเรื่องอันใดขึ้นกันแน่”จางลู่เหวินเดินเข้ามาสวมกอดหยางชิวเหยาเอาไว้อย่างต้องการปลอบขวัญ “ชิวเหยา...เจ้าอย่าได้เป็นกังวลไป อีกไม่นานทุกอย่างก็จะคลี่คลาย” จางลู่เหวินปลุกปลอบหยางชิวเหยาให้คลายความกังวลใจ“ท่านจะไม่เป็นอันใดใช่หรือไม่” หยางชิวเหยายังคงอดห่วงจางลู่เหวินไม่ได้“ข้ามีเจ้าอยู่เคียงข้าง...ข้าย่อมไม่กล้าเป็นอันใดเป็นอันขาด” จางลู่เหวินกล่าวตอบออกมาด้วยน้ำเสียงหนักแน่น“ท่านมิได้หลอกข้าใช่หรือไม่” หยางชิวเหยายังคงไม่แน่ใจกับคำกล่าวของจางลู่เหวินเสียทีเดียว“ข้ามิได้พักผ่อนเสียนาน...ถือโอกาสนี้นอนกกกอดเจ้าทั้งวันทั้งคืนดีหรือไม่” จางลู่เหวินพูดจากรุ้มกริ่มใส่หยางชิวเหยาอย่างอารมณ์ดี“ลู่เหวิน...ท่านนี่นะ...เรื่องราวหน้าสิ่วหน้าขวานเช่นนี้...ท่านยังมีแก่ใจมาพูดเล่นอยู่อีก” หยางชิวเหยาบ่นกระปอดกระแปดออกมาจางลู่เหวินหัวเราะออกมาเสียงดังอย่างอารมณ์ดี หยางชิวเหยาเห็นเช่นนั้นก็ค่อยผ่อนคลายความวิตกกังวลที่มีลงไปเป็นอันมากในขณะเดียวกันที่จวนโหวก็เริ่มมีการเคลื่อ
บทที่ 59 มิอาจรั้งรอได้อีกช่วงสายวันต่อมาหานอี้หลงลืมตาตื่นขึ้นด้วยความรู้สึกปลอดโปร่ง ในยามค่ำคืนที่ผ่านมา ภาพความทรงจำที่เขามีทั้งสัมผัสอันเร่าร้อนและไออุ่นของหยางชิวเหยายังคงตราตรึงอยู่ในความนึกคิดของเขา จนหานอี้หลงอดยกยิ้มขึ้นมาอย่างลืมตัว หานอี้หลงพลิกกายหันไปดึงรั้งร่างบางเข้ามาในอ้อมกอดราวกับคนละเมอ “เหยาเอ๋อร์...”ฉับพลันอ้อมแขนของหานอี้หลงก็ชะงักค้างเมื่อเพ่งสายตามองร่างบางตรงหน้า หญิงสาวในอ้อมกอดของเขามิใช่หยางชิวเหยาแต่กลับกลายเป็นเจียงอันเล่อหานอี้หลงหยัดกายขึ้นพร้อมกุมศีรษะด้วยความปวดหัวจากฤทธิ์สุราที่มี เจียงอันเล่อลืมตาตื่นขึ้นมาด้วยความงัวเงีย เนื่องจากค่ำคืนที่ผ่านมาหานอี้หลงเคี่ยวกรำนางจนแทบมิได้พัก แต่เมื่อเห็นปฏิกิริยาของหานอี้หลง เจียงอันเล่อก็ตาสว่างขึ้นมาในทันที“ท่านพี่...” เจียงอันเล่อเอ่ยออกมาด้วยน้ำเสียงแผ่วเบา“เจ้ามาอยู่ที่นี่ได้เช่นใด” หานอี้หลงเบือนหน้าหนีร่างเปลือยเปล่าตรงหน้า“เมื่อคืนข้ากับท่านร่วมหอกันทั้งคืน...ท่านพี่จำมิได้หรือ” เจียงอันเล่อเอ่ยออกมาแม้ว่าจะรู้ดีว่าเมื่อคืนคนที่หานอี้หลงคิดว่าร่วมหลับนอนด้วยคือหยางชิวเหยา“เมื่อคืนข้าคงเมามากไปหน