บทที่ 7 เสียงเล่าลือ
นับจากวันนั้นเป็นต้นมาหยางชิวเหยาก็มิได้ข่าวคราวอันใดจากจางลู่เหวินอีกเลย นางพยายามให้เสี่ยวเว่ยไปสืบดูที่ลานสอบจอหงวนแต่กลับมิพบจางลู่เหวินที่นั่น แม้แต่นางให้เสี่ยวเว่ยไปดูที่เรือนพักของจางลู่เหวินกลับได้พบเพียงชาวบ้านที่บอกกล่าวว่าคนเช่าดังกล่าวได้ย้ายออกไปที่อื่นแล้ว
นับเป็นเวลาผ่านมาถึงห้าปีเต็มนับตั้งแต่วันที่หยางชิวเหยาแต่งเข้ามาในจวนสกุลหาน บัดนี้หานอี้หลงได้เลื่อนเป็นเสนาบดีเจ้ากรมโยธาแทนที่บิดาของตน ในขณะที่หานอ้าวเว่ยและหานเซียงหนิงเมื่อได้ปลดภาระอันหนักอึ้งออกจากบ่า เขาทั้งสองก็เลือกจะย้ายไปอยู่ต่างเมืองกับญาติคนหนึ่งและใช้ชีวิตบั้นปลายอย่างสงบสุข
หานอี้หลงนับได้ว่าเป็นขุนนางผู้มีชื่อเสียงในความสุภาพและปัญญาเลิศล้ำ ความฉลาดเฉลียวและความสุขุมทำให้เขาได้รับการยอมรับจากฮ่องเต้และราชสำนักไม่น้อยไปกว่าบิดาของตนเลยทีเดียว
หานอี้หลงยังคงปฏิบัติต่อหยางชิวเหยาอย่างให้เกียรติเสมอมา ในขณะที่หยางชิวเหยาก็ทำหน้าที่ฮูหยินของเขาอย่างมิขาดตกบกพร่อง แต่ทว่าการแต่งงานของพวกเขาทั้งสองกลับมิได้สร้างสายใยแห่งครอบครัวตามที่คนอื่นคาดหวัง หยางชิวเหยาแม้จะนอนร่วมห้องกับหานอี้หลงในทุกค่ำคืน แต่คนทั้งคู่กลับมิเคยร่วมหอกันแม้เพียงสักครั้งหนึ่ง
ภายในท้องตลาดกลุ่มชาวบ้านต่างโจษจันเกี่ยวกับเรื่องราวของหานอี้หลงเป็นจำนวนมาก “ข้าได้ยินมาว่าฮูหยินหานมิสามารถให้กำเนิดบุตรได้...เจ้าคิดว่านางมีปัญหาอันใดหรือไม่” หญิงวัยกลางคนผู้หนึ่งกระซิบ
“อาจจะมิใช่เพราะฮูหยินแต่เป็นใต้เท้าหานก็เป็นได้ ใครจะรู้เล่า” หญิงชาวบ้านอีกคนพูดเสริมขึ้นมา
“บางทีทั้งสองคนอาจไม่เคยรักกันจริงก็เป็นได้” เสียงหัวเราะเย้ยหยันดังขึ้นแทรกอย่างสนุกสนาน
“แต่ข้ามิเคยเห็นใต้เท้าหานชายตามองผู้ใดในเมืองหลวงแห่งนี้เลยสักคน ฮูหยินหานช่างน่าอิจฉายิ่งนัก เป็นแม่ไก่ที่มิอาจฟักไข่ได้ แต่กลับได้รับความรักความโปรดปรานมากถึงเพียงนี้” หญิงสาวอีกคนกล่าวตอบอย่างรู้สึกอิจฉา
“ข้าว่าฮูหยินหานช่างร้ายกาจยิ่งนัก ตนเองมิอาจให้กำเนิดบุตรสืบสกุลได้ แต่กลับใจแคบมิยอมให้ใต้เท้าหานรับอนุผู้ใดเข้ามาในจวน” อีกคนเสริมขึ้นมาอย่างออกรสออกชาติ
ภายในจวนสกุลหาน หยางชิวเหยานั่งอยู่ในศาลาไม้กลางสวน นางกำลังปักเย็บถุงหอมที่ใส่ดอกไม้นานาชนิดด้วยความตั้งใจ ใบหน้าที่ยังคงงดงามนั้นดูนิ่งเฉย แต่สายตากลับแฝงความเศร้าหมองเอาไว้อยู่ภายใน ลมเย็นพัดเส้นผมยาวของนางปลิวไหวยิ่งทำให้ใบหน้านวลนั้นดูดึงดูดและน่าหลงใหลมากยิ่งขึ้น
เสียงฝีเท้าของผู้มาใหม่ทำให้หยางชิวเหยาเงยหน้ามอง เสี่ยวเว่ยรีบก้าวเท้าเข้ามาภายในศาลาด้วยท่าทางโมโหยิ่งนัก
“คุณหนู...ข้าได้ยินคำนินทากล่าวร้ายท่านที่ตลาด ได้ฟังก็ยิ่งขัดเคืองยิ่งนัก ข้านึกอยากจะเดินเข้าไปตบปากพวกปากมากเหล่านั้นให้เข็ดหลาบไปเสีย” เสี่ยวเว่ยโวยวายออกมาอย่างรู้สึกหงุดหงิดใจ นางได้ยินคำเล่าลือที่สาดโคลนใส่นายหญิงของตนจนแทบจะระงับตนเองไม่อยู่ หากแต่หยางชิวเหยามักจะห้ามปรามตนมิให้มีเรื่องกับผู้ใดให้รู้สึกขัดเคืองใจ
“เจ้าได้ยินสิ่งใดมาอีกเล่า” หยางชิวเหยากล่าวออกมาอย่างนึกขบขันในท่าทีของสาวใช้ของตน
“ก็เรื่องที่ท่านเป็นแม่ไก่ที่มิอาจฟักไข่ออกมาได้อย่างไรเล่าเจ้าคะ”
หยางชิวเหยาได้แต่ทอดถอนหายใจออกมา นับเป็นครั้งที่เท่าใดกันที่นางได้ยินเรื่องพวกนี้ แต่ก็ใช่ว่าพวกเขาเหล่านั้นจะพูดสิ่งใดผิดไม่ เวลากว่าห้าปีที่ตบแต่งเข้ามาในสกุลหาน แต่นางกลับมิอาจให้กำเนิดบุตรหลานสืบสกุลได้ ยิ่งคิดนางก็ยิ่งรู้สึกผิดอยู่ภายในใจมากขึ้นไปอีก
ในค่ำคืนดังกล่าว หลังจากหานอี้หลงเดินกลับเข้ามาด้านในด้วยท่าทีอ่อนโยนเหมือนเคย หานอี้หลงสวมชุดขุนนางสีเข้มที่สะท้อนถึงความสง่างามของเขา
หยางชิวเหยาเดินเข้ามาด้านหน้าของหานอี้หลง ก่อนจะบรรจงปลดเสื้อผ้าและผลัดเปลี่ยนเสื้อนอนให้เขาอย่างคุ้นเคย
“ท่านพี่...ท่านได้ยินคำเล่าลือภายนอกหรือไม่” หยางชิวเหยาถามออกมาโดยไม่สบตาเขา สองมือยังคงบรรจงจัดแจงชายเสื้อต่อไปด้วยท่าทางสงบนิ่ง
หานอี้หลงหัวเราะเบาๆ ออกมา ก่อนจะนั่งลงที่เก้าอี้ด้านข้างของหยางชิวเหยาพร้อมดึงมือบางมานั่งด้านข้าง สองมือหนายังคงเกาะกุมมือบางเอาไว้แน่น “คำเล่าลือผู้ใดก็ล้วนกล่าวอ้างได้ ข้ากับเจ้ารักใคร่กันดีย่อมมีแต่ผู้อื่นอิจฉา เจ้าไม่จำเป็นต้องใส่ใจคำพูดไร้สาระพวกนั้นหรอก”
หยางชิวเหยาชะงักค้างไปชั่วขณะ นางรีบดึงมือออกจากการเกาะกุม แล้วหันไปสบสายตาของหานอี้หลงอย่างจริงจัง “แต่พวกเขาไม่ได้พูดถึงข้าเพียงเท่านั้น ชื่อเสียงของท่านต้องมาแปดเปื้อนเพราะข้า...ข้ารู้สึกไม่สบายใจยิ่งนัก”
หานอี้หลงยิ้มกริ่มขึ้นมา ก่อนจะทอดสายตาหวานเยิ้มไปที่ใบหน้านวลที่เขายังคงหลงใหลอยู่ทุกเมื่อเชื่อวัน “เช่นนั้นพวกเราก็ทำให้คำเล่าลือเหล่านั้นหายไปดีหรือไม่”
หยางชิวเหยาสะอึกก้อนน้ำลายเหนียวในทันที ทั้งสายตาและคำพูดหยอกเย้าที่หานอี้หลงมักทำกับนางอย่างสม่ำเสมอทำเอาหยางชิวเหยาถึงกับเสียอาการไปในทันที
“ท่านพี่...ข้ากำลังพูดเรื่องจริงจังอยู่นะ...เหตุใดท่านต้องแกล้งข้าเช่นนี้ด้วย”
หานอี้หลงหัวเราะเบาๆ อีกครั้ง ก่อนจะยกมือข้างหนึ่งขึ้นลูบไล้เส้นผมของหยางชิวเหยาอย่างนึกเอ็นดู “ข้าเป็นขุนนาง...ย่อมต้องเผชิญคำวิพากษ์วิจารณ์ทั้งดีและร้ายเสมอ ที่ข้าใส่ใจคือสิ่งที่อยู่ตรงหน้าขณะนี้ และสิ่งนั้นก็คือเจ้า”
คำพูดของหานอี้หลงทำให้หัวใจของหยางชิวเหยานึกสั่นไหว แม้นางจะรู้ว่าหานอี้หลงเป็นบุรุษที่ดีอย่างหาได้ยากยิ่ง แต่ลึกๆ ภายในใจของนางกลับมิอาจเปิดรับเขาได้อย่างสนิทใจ
“ท่านพี่...ท่านไม่เคยถามข้าเลยว่าทำไมข้าถึงไม่สามารถมอบหัวใจให้ท่านได้” หยางชิวเหยากล่าวด้วยเสียงแผ่วเบา
หานอี้หลงยิ้มเจื่อนขึ้นมาในทันที สายตาที่ทอดมองมายังหยางชิวเหยานั้นเต็มไปด้วยความอบอุ่นและลึกซึ้ง “ข้าเคยสัญญากับเจ้าแล้ว...ตัวข้ามิคิดจะเร่งรัดอันใดเจ้าสักนิด...ข้าพร้อมจะรอจนกว่าเจ้าจะเปิดรับข้าอย่างเต็มหัวใจ”
คำพูดนั้นทำให้หยางชิวเหยาถึงกับเงียบไป นางมิรู้จะตอบเขาเช่นใดดี หยางชิวเหยารู้สึกซาบซึ้งในความรักและความอบอุ่นที่เขามีให้ แต่ก็อดรู้สึกผิดขึ้นมาอย่างเสียมิได้ที่ยังมิอาจตอบแทนความรักของเขาได้ในเวลานี้
บทที่ 64 ข้าจะรอเจ้าลมเย็นโบกสะบัดพัดผ่านยอดเขาส่งเสียงหวีดหวือประสานกับเสียงใบไม้ที่เสียดสีกันคล้ายบทสวดที่ธรรมชาติคอยขับกล่อม อารามอันเงียบสงบตั้งอยู่ท่ามกลางป่าสนที่สูงชะลูดโอบล้อมรอบบริเวณอารามแห่งนี้ราวกับถูกตัดขาดจากโลกภายนอกโดยสิ้นเชิง แสงตะวันอ่อนของยามเช้าสาดส่องลอดผ่านหมอกบางๆ ที่ปกคลุม ไม้ระแนงเก่าแก่ของอารามส่งกลิ่นหอมอ่อนๆ ของไม้จันทน์ชวนให้รู้สึกสงบใจหยางชิวเหยาสวมอาภรณ์สีขาวอย่างเรียบง่าย ใบหน้าที่เคยเต็มไปด้วยความทุกข์ใจและหม่นหมองในวันวาน เวลานี้กลับดูสงบนิ่งอย่างผู้ที่ผ่านการขัดเกลาจากธรรมะและกาลเวลาจนจิตใจของนางสงบและเยือกเย็นลงดวงตาคู่งามของหยางชิวเหยาไม่เหลือร่องรอยของความเศร้าโศกอย่างที่เคยเป็นแต่กลับแฝงไปด้วยความสงบนิ่งและการปล่อยวางได้เป็นอย่างมากหลังจากที่หยางชิวเหยาเข้ามาถือศีลในอารามแห่งนี้ นับเป็นเวลากว่าสามปีเต็มที่นางมิเคยติดต่อกับผู้ใดอีกเลย นางละทิ้งโลกภายนอกไว้เบื้องหลังราวกับมันมิเคยเกิดขึ้นและมีอยู่จริง ในทุกวันนางจะใช้เวลาอยู่กับการถือศีล ท่องบทสวดมนต์ และทำจิตใจให้เบาบางลงเมื่อสามปีก่อนหลังจากที่หานอี้หลงถูกประหารชีวิตลง หยางชิวเหยาก็ได้แต่ทน
บทที่ 63 ประหารชีวิตลมหนาวพัดโชยในช่วงเวลาเช้าจนชวนให้รู้สึกขนลุกชันขึ้นมา บรรยากาศภายในเมืองหลวงต่างอึมครึมและหนักอึ้งไปด้วยความตึงเครียดจากเหตุการณ์กบฏที่เกิดขึ้น หน้าประตูวังหลวงที่ใหญ่โตโอ่อ่าในวันนี้กลับคลาคล่ำไปด้วยฝูงชนที่ต่างมารอดูจุดจบของเหล่านักโทษกบฏเสียงฝีเท้าของเหล่าทหารที่เหยียบย่างไปตามพื้นอย่างหนักหน่วงและมั่นคง แสงแดดยามเช้าที่ตะวันเริ่มเคลื่อนคล้อยขึ้นลอยเหนือหัวขึ้นมาทุกทีทั่วทั้งเมืองหลวงต่างได้ยินข่าวเกี่ยวกับการประหารชีวิตของหานอี้หลงและคนสกุลเจียงทั้งครอบครัว ทุกคนต่างอยู่ในความตื่นตะลึงและใจหายขึ้นมาอย่างไม่อาจห้ามได้หานอี้หลงผู้ซึ่งเป็นบุรุษที่สง่างามน่าเคารพ บุรุษที่ต่างเป็นที่หมายปองของเหล่าหญิงสาวในเมืองหลวง บัดนี้กลับกลายเป็นนักโทษกบฏที่รอเวลาประหารชีวิตในขณะที่ท่านโหวเจียงเสิ่นเย่วผู้มีจิตใจเมตตาและเป็นที่เคารพยำเกรงของผู้คนทั่วทั้งเมืองหลวง บัดนี้ต่างมีจุดจบอันเลวร้ายไม่ต่างกันหานอี้หลงและเจียงเสิ่นเย่วถูกนำตัวมายังลานประหารที่หน้าวังหลวง หานอี้หลงนั่งคุกเข่าลงบนพื้นดินด้วยสีหน้าที่ยังคงราบเรียบและดูสงบนิ่ง ในขณะที่เจียงเสิ่นเย่วกลับมีท่าทางคอตกดั
บทที่ 62 คุมขังภายในคุกกรมอาญา ความมืดมิดและความเงียบสงัดทำให้บรรยากาศรอบตัวหานอี้หลงดูราวกับถูกกลืนกินด้วยความสิ้นหวัง ทุกอย่างรอบตัวเต็มไปด้วยความเย็นเยียบจนแทบจะสัมผัสได้ ราวกับอากาศในที่แห่งนี้ถูกผนึกด้วยความเจ็บปวด ความโหดร้าย และการทรมานทางจิตใจที่ไม่รู้จักจบสิ้นหานอี้หลงนั่งอยู่บนพื้นหินที่เย็นชืด ข้อมือถูกตรึงด้วยโซ่ที่มีความหนาและหนักหน่วง มือขวาของเขาถูกยึดแน่นจนไม่สามารถขยับได้อย่างอิสระ ดวงตาของเขาหม่นหมองไปด้วยความเศร้าโศกที่ไม่สามารถบรรยายออกมาได้ ทุกสิ่งในชีวิตของเขาดูเหมือนจะพังทลายลงไปแล้วอย่างสิ้นเชิงหานอี้หลงไม่สามารถหนีจากโชคชะตาที่ถูกบีบบังคับมาได้ ในขณะที่รอคอยวันที่จะเป็นการประหารชีวิตของเขา ความคิดที่ทำให้หัวใจเขาเจ็บปวดและหนักอึ้งจนมิอาจปล่อยวางลงได้ยังคงมีเพียงเรื่องเดียวในชีวิตนั่นคือหยางชิวเหยา และเขาจะไม่มีโอกาสได้พบกับคนที่เขารักอีกต่อไปแล้วในขณะที่หานอี้หลงกำลังหลับตาและข่มกลั้นความเจ็บปวดรวดร้าวในใจอยู่นั้น พลันเสียงฝีเท้าหนึ่งก็ก้าวเข้ามาใกล้เขาขึ้นเรื่อยๆทันทีที่หานอี้หลงเงยหน้าขึ้นมาจ้องมองคนตรงหน้าผ่านลูกกรงเหล็กแข็งนั้น ดวงตาของหานอี้หลงก็เบิก
บทที่ 61 แผนซ้อนแผนสิ้นเสียงของหงจูเหลียง เหล่าทหารก็กรูกันเข้ามาด้านในห้อง พร้อมกับร่างใหญ่ที่สาวเท้าเข้ามาด้วยท่าทางหยิ่งทะนง ร่างของจางลู่เหวินปรากฏตัวขึ้นในความมืด เขาสวมชุดเกราะทหารที่ทำให้เขาดูสง่าผ่าเผยพร้อมใบหน้าราบเรียบแต่เย็นชายิ่งนักหานอี้หลงตกตะลึงเป็นอย่างมาก ภาพของจางลู่เหวินตรงหน้าราวกับสายฟ้าที่ฟาดเข้ามาตรงกลางหน้าผากของเขาเข้าอย่างจัง หานอี้หลงไม่คาดคิดเลยว่าในช่วงเวลาที่เขาคิดว่ากำลังจะชนะ จางลู่เหวินกลับมาปรากฏตัวในแบบที่ไม่คาดฝัน “จางลู่เหวิน...เจ้า...”“หานอี้หลง...เจ้าคงคิดสินะว่าแผนการของเจ้าฉลาดล้ำลึกจนมิมีผู้ใดเทียบ” จางลู่เหวินกล่าวออกมาด้วยน้ำเสียงเย็นเยือก “เจ้า...เจ้า...” หานอี้หลงพึมพำในลำคอด้วยความตกใจ รู้สึกเหมือนโลกทั้งใบกำลังถล่มลงมาจางลู่เหวินยิ้มเยาะออกมาอย่างเหนือกว่าด้วยความเย็นชา “หานอี้หลง ข้ารู้ทุกอย่างเกี่ยวกับแผนการของเจ้า แต่เพื่อให้เจ้าตายใจ ข้ากับฝ่าบาทจึงเลือกที่จะเล่นงิ้วตามพวกเจ้าก็เพียงเท่านั้น”คำพูดของจางลู่เหวินทำให้หานอี้หลงรู้สึกเหมือนถูกฟันไปที่หัวใจ เขารู้สึกถึงความเจ็บปวดที่แทรกซึมเข้ามาภายในร่างกาย “เจ้า... เจ้า...” หานอี
บทที่ 60 ก่อกบฏทหารที่ยืนเฝ้ายามที่รอบบริเวณจวนสกุลจาง ทำให้หยางชิวเหยาอดนึกหวาดหวั่นและตกใจขึ้นมาไม่ได้ “ลู่เหวิน...นี่เกิดเรื่องอันใดขึ้นกันแน่”จางลู่เหวินเดินเข้ามาสวมกอดหยางชิวเหยาเอาไว้อย่างต้องการปลอบขวัญ “ชิวเหยา...เจ้าอย่าได้เป็นกังวลไป อีกไม่นานทุกอย่างก็จะคลี่คลาย” จางลู่เหวินปลุกปลอบหยางชิวเหยาให้คลายความกังวลใจ“ท่านจะไม่เป็นอันใดใช่หรือไม่” หยางชิวเหยายังคงอดห่วงจางลู่เหวินไม่ได้“ข้ามีเจ้าอยู่เคียงข้าง...ข้าย่อมไม่กล้าเป็นอันใดเป็นอันขาด” จางลู่เหวินกล่าวตอบออกมาด้วยน้ำเสียงหนักแน่น“ท่านมิได้หลอกข้าใช่หรือไม่” หยางชิวเหยายังคงไม่แน่ใจกับคำกล่าวของจางลู่เหวินเสียทีเดียว“ข้ามิได้พักผ่อนเสียนาน...ถือโอกาสนี้นอนกกกอดเจ้าทั้งวันทั้งคืนดีหรือไม่” จางลู่เหวินพูดจากรุ้มกริ่มใส่หยางชิวเหยาอย่างอารมณ์ดี“ลู่เหวิน...ท่านนี่นะ...เรื่องราวหน้าสิ่วหน้าขวานเช่นนี้...ท่านยังมีแก่ใจมาพูดเล่นอยู่อีก” หยางชิวเหยาบ่นกระปอดกระแปดออกมาจางลู่เหวินหัวเราะออกมาเสียงดังอย่างอารมณ์ดี หยางชิวเหยาเห็นเช่นนั้นก็ค่อยผ่อนคลายความวิตกกังวลที่มีลงไปเป็นอันมากในขณะเดียวกันที่จวนโหวก็เริ่มมีการเคลื่อ
บทที่ 59 มิอาจรั้งรอได้อีกช่วงสายวันต่อมาหานอี้หลงลืมตาตื่นขึ้นด้วยความรู้สึกปลอดโปร่ง ในยามค่ำคืนที่ผ่านมา ภาพความทรงจำที่เขามีทั้งสัมผัสอันเร่าร้อนและไออุ่นของหยางชิวเหยายังคงตราตรึงอยู่ในความนึกคิดของเขา จนหานอี้หลงอดยกยิ้มขึ้นมาอย่างลืมตัว หานอี้หลงพลิกกายหันไปดึงรั้งร่างบางเข้ามาในอ้อมกอดราวกับคนละเมอ “เหยาเอ๋อร์...”ฉับพลันอ้อมแขนของหานอี้หลงก็ชะงักค้างเมื่อเพ่งสายตามองร่างบางตรงหน้า หญิงสาวในอ้อมกอดของเขามิใช่หยางชิวเหยาแต่กลับกลายเป็นเจียงอันเล่อหานอี้หลงหยัดกายขึ้นพร้อมกุมศีรษะด้วยความปวดหัวจากฤทธิ์สุราที่มี เจียงอันเล่อลืมตาตื่นขึ้นมาด้วยความงัวเงีย เนื่องจากค่ำคืนที่ผ่านมาหานอี้หลงเคี่ยวกรำนางจนแทบมิได้พัก แต่เมื่อเห็นปฏิกิริยาของหานอี้หลง เจียงอันเล่อก็ตาสว่างขึ้นมาในทันที“ท่านพี่...” เจียงอันเล่อเอ่ยออกมาด้วยน้ำเสียงแผ่วเบา“เจ้ามาอยู่ที่นี่ได้เช่นใด” หานอี้หลงเบือนหน้าหนีร่างเปลือยเปล่าตรงหน้า“เมื่อคืนข้ากับท่านร่วมหอกันทั้งคืน...ท่านพี่จำมิได้หรือ” เจียงอันเล่อเอ่ยออกมาแม้ว่าจะรู้ดีว่าเมื่อคืนคนที่หานอี้หลงคิดว่าร่วมหลับนอนด้วยคือหยางชิวเหยา“เมื่อคืนข้าคงเมามากไปหน