กงกงท่านหนึ่งเดินมาพร้อมกับพานที่มีพระราชโองการมาด้วย กงกงกางราชโองการนั้นออกมาพร้อมกับอ่านด้วยน้ำเสียงดังกังวาน
"ตระกูลเซียวรับพระราชโองการ...
เซียวฟู่ซินนั้นดำรงตำแหน่งด้วยความชอบธรรม ทั้งยังสั่งสอนบุตรสาวทั้งสองคนให้รู้จักทำความดี มีคุณธรรม เมตตาต่อผู้อื่น มีคุณสมบัติครบถ้วนในสิ่งที่สตรีพึงมี ข้าขอมอบสมรสพระราชทานแก่บุตรสาวของตระกูลเซียวกับแม่ทัพหวงหยางหมิงนับจากนี้อีกสามเดือน จบราชโองการ"
หลังจากที่กงกงอ่านพระราชโองการจบแล้ว เซียวฟู่ซินก็ยื่นมือไปรับพระราชโองการด้วยใบหน้าที่แข็งค้างกับเนื้อหาในพระราชโองการที่องค์ฮ่องเต้มอบให้ตน
“ขอบพระทัยฝ่าบาท ขอพระองค์อายุยืนหมื่นปี หมื่นหมื่นปี”
หลังจากที่กงกงมอบราชโองการให้แล้วเสร็จก็เดินขึ้นรถม้ากลับวังหลวงทันที เพราะภารกิจที่เขาได้รับมอบหมายมาได้บรรลุเรียบร้อยแล้ว คล้อยหลังกงกงจากไป เซียวลี่หงทรุดลงกับพื้นทันที ดวงตางามเก็บน้ำตาไม่อยู่เมื่อได้ยินราชโองการ นางเอื้อมมือไปจับแขนมารดาตัวเองที่ยืนอยู่ข้างๆ
“ท่าน.... ทะ ท่านแม่” น้ำเสียงสั่นปนสะอื้น
ฟางเหนียงรีบโอบกอดบุตรสาวทันที บุตรสาวที่น่ารักของนางเหตุใดถึงน่าสงสารถึงเพียงนี้
“โถ่...หงเอ๋อร์ของแม่” ฟางเหนียงปลอบบุตรสาวตนเองที่ร้องไห้สะอื้นซบอกนางอยู่
“ท่านแม่...ฮึกก ข้าจะต้องแต่งกับแม่ทัพปีศาจนั่นหรือเจ้าคะ” น้ำเสียงเว้าวอนมารดาตนเอง ฟางเหนียงยิ่งฟังยิ่งปวดใจ บุตรสาวที่บอบบางของนางต้องแต่งงานกับคนที่มีฉายาว่าปีศาจจะมีชีวิตอย่างไร จริงอยู่ที่อีกฝ่ายเป็นถึงแม่ทัพตำแหน่งใหญ่โต แต่ใครบ้างที่จะไม่หวาดกลัวผู้นั้น ฟางเหนียงหันไปถามสามีตนเองที่ยังยืนถือราชโองการแข็งค้างอยู่ที่เดิม
“ท่านพี่หมายความว่าอย่างไรเจ้าคะ พระราชโองการนี้ท่านพี่รับรู้มาก่อนหรือไม่ แล้วเหตุใดองค์ฮ่องเต้ถึงได้พระราชทานให้กับบุตรสาวเรา” น้ำเสียงคล้ายน้อยเนื้อต่ำใจสามีตนเอง ยิ่งบุตรสาวของนางร้องไห้ปานขาดใจ คนเป็นแม่ก็ปวดใจไม่ต่างกัน
“ข้า ข้าก็ไม่รู้เรื่องสมรสพระราชทานเหมือนกัน” เซียวฟู่ซินเอ่ยอย่างเหม่อลอย
“ท่านพี่แล้วเราจะทำอย่างไรกันดี หงเอ๋อร์ของเรา...”
“เข้าไปในเรือนกันก่อนเถิด”
สองสามีภรรยาช่วยกันประคับประคองเซียวลี่หงที่ยังร้องไห้ไม่หยุดตั้งแต่ที่ได้ยินราชโองการ ทั้งสามคนพากันเดินเข้าไปในเรือนใหญ่เพื่อปรึกษาหารือกันต่อไป
“คุณหนูใหญ่เจ้าคะ”
ลี่จินเรียกคุณหนูของตัวเองเบา ๆ เพราะตั้งแต่ที่เดินเข้ามาคุณหนูของนางยังไม่ได้เอ่ยอะไรแม้แต่คำเดียว ได้แค่เพียงยืนมองดูเหตุการณ์ตรงหน้าเงียบ ๆ เท่านั้น
เซียวเหม่ยอิงได้ยินเสียงสาวใช้เรียกตนก็หันไปยิ้มให้เล็กน้อย
“ไปเตรียมอาหารเย็นกันเถิด” พูดจบเซียวเหม่ยอิงก็เดินไปยังห้องครัวเพื่อเตรียมอาหารให้ครอบครัวตนเองทานดั่งปกติเช่นทุกวัน
แม้ว่าที่จวนจะมีแม่ครัวประจำไว้อยู่แล้ว แต่เซียวเหม่ยอิงชอบลงมือทำอาหารให้บิดามารดาตนเองมากกว่า เพราะนางรู้ว่าบิดามารดาของนางนั้นชอบกินอะไร รสชาติแบบไหน อีกอย่างอาหารที่ปรุงขึ้นด้วยความรักและความเอาใจใส่ นั้นดีกว่าคนที่ทำเพียงผ่าน ๆ ไปแต่ละครั้งอย่างแน่นอน
“คุณหนูใหญ่ ปล่อยให้เป็นหน้าที่บ่าวเถิดนะเจ้าคะ ประเดี๋ยวบ่าวจะตั้งใจทำให้สุดฝีมือเลยเจ้าค่ะ”
หัวหน้าแม่ครัวยิ่งเห็นคุณหนูตัวเองทำยิ่งละอายใจ ก่อนที่จะมาอยู่จวนนี้นางก็เคยประจำที่อื่นมาก่อน ทว่านางไม่เคยเห็นคนชั้นสูงคนไหนเข้าครัวบ่อยขนาดนี้ หากจะเข้าครัวก็จะเป็นโอกาสสำคัญ ๆ เสียมากกว่า
“ไม่เป็นไร เจ้าไปเตรียมของให้ข้าดีกว่า เดี๋ยวตรงนี้ข้าทำเอง” เซียวเหม่ยอิงหันไปพูดกับแม่ครัวด้วยรอยยิ้มแล้วก็หันหน้ามาทำอาหารต่อ
“พวกเจ้าทำอาจจะไม่ถูกปากท่านพ่อท่านแม่ ข้าน่ะรู้ดีว่าพวกท่านทั้งสองคนชอบทานแบบไหน” เซียวเหม่ยอิงพูดไปทำไปอย่างตั้งอกตั้งใจ
แม่ครัวเหล่านั้นเห็นก็ได้แต่ถอนหายใจ เพราะนี้ไม่ใช่ครั้งแรกที่พวกนางถูกปฏิเสธ คุณหนูของพวกนางลงมือทำเองเสมอ พวกนางนั้นได้เพียงแค่จัดเตรียมวัตถุดิบไว้ให้เท่านั้น
หลังจากที่เซียวเหม่ยอิงทำอาหารเสร็จแล้ว นางก็ไปชำระร่างกายเพื่อเตรียมทานอาหารกับครอบครัวเพราะตัวนางมีแต่กลิ่นอาหารและควันไฟ ที่เหลือจึงเป็นหน้าที่สาวใช้ที่จะเป็นคนจัดโต๊ะอาหารเย็น
เซียวเหม่ยอิงนั่งรอที่โต๊ะอาหาร ไม่นานบิดามารดาก็เดินมาด้วยใบหน้าที่เศร้าหมอง
“หงเอ๋อร์ยังไม่มาหรือเจ้าคะ”
ฟางเหนียงส่ายหัวเป็นคำตอบ ตั้งแต่ที่ได้ยินราชโองการ เซียวลี่หงก็ร้องไห้ไม่หยุด แม้กลับเข้าเรือนแล้วก็ยังคงร้องไห้พร่ำเพ้อกับนางจนหลับไป ฟางเหนียงสงสารบุตรสาวตัวเองจับใจ บุตรสาวที่เปราะบางของนางคงเสียใจและหวาดกลัวไม่น้อย ที่จู่ ๆ ได้รับราชโองการเช่นนั้น ดรุณีน้อยที่สดใสในอดีตตอนนี้กำลังหม่นหมอง ยิ่งคิดก็อดซับน้ำตาที่หางตาตนเองไม่ได้
“เดี๋ยวข้าให้สาวใช้ยกสำรับไปที่เรือนหงเอ๋อร์ให้นะเจ้าคะ”
เซียวเหม่ยอิงเห็นท่าทางบิดามารดาก็ไม่ได้ซักไซ้ให้มากความ นางนั่งลงทานอาหารกับบิดามารดาเงียบ ๆ ทั้งสามคนทานอาหารกับบรรยากาศที่เงียบสงัด ฟางเหนียงกินได้เพียงคำเดียวก็วางตะเกียบลง
“ข้าขอตัวไปดูลูกก่อนนะเจ้าคะ ข้าเป็นห่วงนาง”
พูดจบนางก็ลุกขึ้นเดินออกไปยังเรือนที่เซียวลี่หงอยู่ เซียวฟู่ซินเองก็รู้สึกไม่อยากอาหารเช่นกัน พูดกับเซียวเหม่ยอิงสองสามประโยคก็เดินไปห้องหนังสือตนเอง
โต๊ะอาหารตอนนี้จึงเหลือเพียงเซียวเหม่ยอิงคนเดียวเท่านั้นที่ไม่ลุกไปไหน ลี่จินเห็นคุณหนูตนเองกินข้าวคนเดียวก็อดน้ำตาคลอไม่ได้ อาหารยังเหลือเต็มโต๊ะเช่นเดิม ยิ่งเห็นลี่จินยิ่งน้ำตาซึม
สามวันผ่านไป ภายในจวนตระกูลเซียวยังคงเงียบสงัดไร้ซึ่งเสียงหัวเราะใด ๆ ตอนนี้ภายในเมืองข่าวลือเรื่องพระราชโองการสมรสของบุตรสาวตระกูลเซียวและแม่ทัพหวงหยางหมิงกระจายไปทั่วเมืองหลวง แม้ว่าผู้คนจะสงสัยเรื่องราชโองการที่ไม่ระบุตัวเจ้าสาวว่าเป็นผู้ใด แต่ผู้คนคิดว่าเป็นเซียวลี่หงคนน้องอย่างแน่นอน เพราะเซียวเหม่ยอิงคนพี่นั้นมีคู่หมั้นคู่หมายอยู่แล้ว
“น่าสงสารคุณหนูเล็กตระกูลเซียวเสียจริง นางเป็นเด็กดีถึงเพียงนี้แต่กลับได้แต่งกับคนผู้นั้น”
“นั่นสิ ไม่รู้ว่าเป็นเวรกรรมอะไรของนาง ตอนเด็กก็ป่วยไม่สบาย พอหายดี ข้าก็เห็นนางทำบุญทำทานไม่ขาด”
“ใช่ นางสดใสถึงเพียงนี้อีกทั้งยังเปราะบาง แม้ว่าอีกคนจะเป็นถึงแม่ทัพ แต่ผู้ใดบ้างจะไม่รู้ถึงความโหดเหี้ยมของผู้นั้น เฮ้ออ ข้าสงสารคุณหนูเล็กเสียจริง”
ชาวบ้านที่ได้ยินข่าวต่างพากันพูดคุยเรื่องนี้ไม่ขาดปาก ใครบ้างจะไม่สงสารเซียวลี่หง ไม่รู้ว่าตอนนี้จะเป็นเช่นไรบ้าง เพราะตั้งแต่ได้รับพระราชโองการจนถึงตอนนี้ก็ยังไม่มีใครเห็นนางออกจากจวนแม้แต่ครั้งเดียว ทั้งที่ยามปกติแล้วเซียวลี่หงมักออกมาทักทายผู้คนด้วยรอยยิ้มสดใสพร้อมทั้งแจกทานให้ผู้ยากไร้ตลอด
ภายในจวนตระกูลเซียว
ตอนนี้บรรยากาศภายในกำลังตึงเครียดเพราะจู่ ๆ เซียวลี่หงก็นำปิ่นปักผมมาจี้คอตัวเอง พร้อมกับขู่ว่าจะฆ่าตัวตาย ทำให้ตอนนี้ผู้คนในจวนต่างพากันแตกตื่นกับการกระทำของเซียวลี่หงเป็นอย่างมาก
ย้อนไปก่อนหน้านั้นราวสองเค่อ
เซียวฟู่ซิน ฟางเหนียง และเซียวเหม่ยอิงทานอาหารเช้ากันปกติ วันนี้ก็เหมือนอย่างเช่นเคยที่เซียวลี่หงยังไม่ออกมาจากเรือนตนเอง ขณะที่ทั้งสามคนกำลังทานอาหารอย่างเงียบ ๆ กันอยู่นั้น เซียวลี่หงก็เดินเข้ามาด้วยใบหน้าที่อิดโรย ฟางเหนียงเห็นบุตรสาวคนเล็กเดินมาก็รีบลุกไปประคองทันที
“หงเอ๋อร์ลูกแม่ มานั่งกินข้าวกันก่อนนะ” ฟางเหนียงประคองบุตรสาวตนมานั่งข้าง ๆ ตนเอง
“กินอันนี้ดูสิ พี่เจ้าตั้งใจทำเพื่อเจ้าโดยเฉพาะ” ฟางเหนียงตักอาหารให้บุตรสาวตนอย่างเอาอกเอาใจ เพราะไม่อยากให้บุตรสาวตนนั้นคิดมากเกินไป แต่เซียวลี่หงกลับไม่ยอมทานอาหารที่มารดาตนตักให้ นางมองตาผู้เป็นบิดาด้วยแววตาที่เศร้าหมอง
“ท่านพ่อไปคุยเรื่องราชโองการสมรสพระราชทานกับฝ่าบาทหรือยังเจ้าคะ”
เซียวฟู่ซินได้ยินคำถามบุตรสาวตัวเองก็ถอนหายใจออกมา พระราชโองการออกมาแล้วจะให้ตนทำอย่างไรได้ มีแต่ต้องทำตามเท่านั้น ใจจริงเขาไม่ต้องการให้บุตรสาวแต่งกับแม่ทัพปีศาจนั้นแม้แต่น้อย เขาอยากให้แต่งกับพวกที่เป็นขุนนางฝ่ายบุ๋นเหมือนเขามากกว่า
แม้ว่าสงสารบุตรสาวขนาดไหนแต่การขัดราชโองการนั้นถือเป็นกบฏแผ่นดิน มีโทษถึงขั้นประหารทั้งตระกูล เซียวฟู่ซินส่ายหน้าให้เป็นคำตอบ
เซียวลี่หงเห็นท่าทางของบิดา น้ำตาก็ไหลออกมาอย่างอดไม่ได้ นางถามบิดากลับด้วยน้ำเสียงสั่นคลอน
“ท่านพ่อ...ท่านพ่อช่วยคุยไม่ได้หรือเจ้าคะ ท่านพ่อรับใช้ฝ่ามานาน ฝ่าบาทอาจจะทรงเห็นใจท่านพ่อบ้าง ท่านพ่อ ข้าไม่เคยขอร้องท่านเลยสักครั้ง ท่านพ่อช่วยให้ข้าไม่แต่งกับแม่ทัพนั่นไม่ได้หรือเจ้าคะ ท่านพ่อก็รู้ดีว่าแม่ทัพหวงหยางหมิงโหดเหี้ยมถึงเพียงไหน ท่านพ่อ...ข้าไม่อยากแต่งกับแม่ทัพหวงหยางหมิงเจ้าค่ะ"
เซียวลี่หงอ้อนวอนบิดาตนเองอย่างน่าสงสาร นางอาจจะลืมไปแล้วว่าการแต่งงานนั้นส่วนใหญ่จะเป็นบิดามารดาจัดเตรียมเรื่องการออกเรือนให้ และอีกส่วนหนึ่งก็มาจากสมรสพระราชทานที่ไม่อาจขัดได้ เฉกเช่นพี่สาวของนาง ที่บิดามารดาจัดเตรียมคู่หมั้นให้เช่นกัน อาจเป็นเพราะเซียวฟู่ซินและฟางเหนียงนั้นตามใจเซียวลี่หงจนเคยตัว ทำให้นางลืมคิดถึงเรื่องนี้ไป
“หงเอ๋อร์ไม่ใช่ว่าพ่อไม่อยากช่วยเจ้า แต่ราชโองการออกมาแล้ว พวกเราขัดไม่ได้ เจ้าก็น่าจะรู้ดี ว่าถ้าขัดราชโองการจะมีโทษเช่นไร”
“ทำไม! ไหนท่านพ่อบอกว่ารักข้ามาก! แต่เรื่องแค่นี้ท่านพ่อกลับทำให้ข้าไม่ได้! ข้าเคยขอร้องท่านหรือไม่ตั้งแต่เกิดมา มีเพียงเรื่องนี้เท่านั้นที่ข้าขอร้องท่าน ทำไมท่านถึงทำให้ข้าไม่ได้!” เซียวลี่หงเอ่ยเสียงดังพร้อมทั้งท่าทางที่แข็งกร้าว
ทุกคนต่างพากันตกใจกับท่าทางของเซียวลี่หงที่จู่ ๆ ก็เปลี่ยนไปเป็นคนละคน ราวกับว่าไม่ใช่คนเดียวกัน ฟางเหนียงจับแขนบุตรสาวพร้อมพูดปลอบอย่างอ่อนโยน
“หงเอ๋อร์ ใจเย็น ๆ ก่อน ไม่ใช่บิดาเจ้าไม่อยากช่วย แต่เพราะเป็นพระราชโองการจากองค์ฮ่องเต้ เจ้าก็รู้ว่าพวกเราทำอะไรไม่ได้”
เซียวลี่หงได้ยินอย่างนั้นก็สะบัดแขนที่มารดาจับ ทำเอาฟางเหนียงถึงกับตกตะลึงท่าทางที่เปลี่ยนไปของบุตรสาวตนเอง ปีศาจตนไหนเข้าสิงบุตรสาวที่น่ารักของนาง ไม่อย่างนั้นหงเอ๋อร์ถึงมีกิริยาแข็งกร้าวเช่นนี้ได้อย่างไร