“นะ...นางแต่งงานแล้ว..หรือว่า” เกาเวินเอ่ยด้วยน้ำเสียงตื่นตระหนก จางเคอหันมามองสหายขมวดคิ้วเล็กน้อยที่สหายไม่รู้เรื่องราว
“นางคือคุณหนูเจ็ดจวนเสนาบดีหวัง”
เกาเวินเบิกตากว้างอ้าปากค้างก่อนจะเอ่ย “นับว่านางงามสมควรรำลือ... มิน่าคุณชายรองกัวฉู่เหอจึงได้หลงใหล แต่เพราะนางเป็นบุตรสาวอนุจึงยังไม่ตบแต่ง”
จางเคอมองไปยังหญิงสาวแล้วพูดต่อ
“ข้าก็ไม่คาดคิดว่า สตรีเช่นนางจะยินยอมแต่งให้บุตรชายตระกูลชาวนา...” แผนการนี้กลับใช้ได้ผล
เกาเวินมองตามเห็นหวังชิงหว่านยกหอกขึ้น ด้านปลายแหลมมีปลาตัวใหญ่ดิ้นอยู่ เขาคลี่ยิ้มมุมปากเอ่ย “แต่ดูนางจะปรับตัวได้ดี...รูปร่างอรชนบอบบางเช่นนั้น กลับจวงแทงไม่พลาดสักครั้ง”
“นั่นสิ!! ข้ากลับรู้สึกว่าไม่รู้จักคุณหนูเจ็ดผู้นี้”
เกาเวินหัวเราะฝืด “ทุกคนล้วนดิ้นรน ไม่แน่ว่าอยู่ตระกูลจวนนางอาจจะลำบากกว่านี้”
ในขณะนั้นพวกเขาก็เห็นกลุ่มคนทหารม้ากำลังมาทางนี้ จึงหยุดวาจาแล้วก็กระโดดเข้าไปขวาง
หวังชิงหว่านรู้สึกว่าสายตาที่จ้องมองหายไปแล้ว จึงชำเลืองมองเห็นเพียงปลายอาภรณ์สีดำ
นางดึงสายตากลับลอบถอนหายใจพลางคิด
“คนที่นี่คงมีกำลังภายในที่สามารถเหาะเหินอากาศได้ ข้าจะทำอย่างไรจึงจะได้ฝึกวรยุทธ์”
จังหวะนั้นลี่อินก็ตะโกนขึ้น
“พี่สะใภ้! ปลาสุกแล้วเจ้าค่ะ...”
ชิงหว่านพลันคิดได้ยกมุมปาก
ข้าจะเป็นฮูหยินธรรมดา ๆ จะมีวรยุทธ์ไปทำไมกัน
นางขึ้นจากน้ำเดินกลับไปนั่งข้างเซียวอี้หยาง ชายหนุ่มยื่นถุงน้ำดื่มให้พลางพูด
“ลำบากน้องหญิงแล้ว”
“พี่สะใภ้..นี่ของท่าน....” ลู่อันยื่นไม้เสียบปลาตัวใหญ่ให้ชิงหว่าน
นางยิ้มรับแล้วพูดขึ้น “ที่บ้านที่ปลาเหลือเยอะหรือไม่ พวกเราแบ่งตะกร้ามาใส่ปลาดีไม่”
ลี่อินยิ้มจืดตอบ “ที่บ้านไม่มีปลาหรอกเจ้าคะ”
ดวงตาชิงหว่านเป็นประกายเอ่ย “เช่นนั้น...ข้าจะจับปลาเพิ่ม...อืมปลาสดมากๆ เสียดายพวกเราไม่พกเกลือมาด้วย...งั้น..เย็นนี้ข้าอยากจะกินต้มแกงปลา”
ลู่อันเบิกตากว้างขึ้น “ข้าก็อยากกินขอรับ!!...ไม่ได้กินน้ำแกงปลามาแล้ว”
เซียวอี้หยางส่งสายตาเขม็งมองน้องชายแล้วพูดขึ้น “จะให้เจ้าต้องเหนื่อยอีกทำไม...เอาไว้ข้าจะไปซื้อที่ตลาดมาให้เจ้าเอง”
ลี่อินได้ยินก็พูดน้ำเสียงแผ่วเบา “พี่ชายเบี้ยหวัดของท่านเดือนนี้...ในส่วนของค่าอาหารหมดแล้วเจ้าค่ะ”
เซียวอี้หยางรู้สึกอับอายขึ้นมากล่าว “ไม่เป็นไร อีกไม่กี่วันก็จะสิ้นเดือนแล้ว ไว้ข้าได้เบี้ยหวัดข้าจะเอามาให้เจ้าทั้งหมด”
หวังชิงหว่านรับรู้ว่าครอบครัวสกุลเซียวยากจน แต่เหมือนว่าจะอยากจนกว่าที่นางคิดไว้มาก นางจึงเอ่ยถามขึ้น “เบี้ยหวัดของท่านพี่ ไม่ใช่ต้องมอบให้ท่านแม่จัดการหรือเจ้าคะ”
เซียวอี้หยางรีบตอบ “แม้จะมอบให้ท่านแม่ แต่เงินก้อนนั้นใช้เพียงในเรือนข้าเท่านั้น”
หวังชิงหว่านขมวดคิ้วเอ่ย “แม้กระทั่งค่าอาหารของลี่อินกับลู่อันก็ไม่ได้มาจากเบี้ยหวัดของท่านหรือเจ้าค่ะ”
เซียวอี้หยางพูดต่อ “แม้อย่างอื่นจะไม่สะดวกสบายนัก แต่เรื่องอาหารการกิน ข้ารับรองว่าจะไม่บกพร่องต่อเจ้า”
ชิงหว่านมองดูรูปร่างสามีแล้วปรายตามองดูเด็กทั้งสองจึงได้ตระหนักบางอย่าง นางเข้าใจผิดว่าเบี้ยหวัดขุนนางของสามีคงใช้เลี้ยงคนทั้งตระกูล จึงพูดขึ้น
“พวกเจ้าคงไม่ได้ทานเนื้อมานานแล้วใช่หรือไม่” ลี่อินและลู่อันพยักหน้าเบา ๆ หวังชิงหว่านคลี่ยิ้มเอ่ยน้ำเสียงหนักแน่น
“ต่อไปมีข้าอยู่ พวกเจ้าต้องได้กินเนื้อทุกมื้อ”
เซียวอี้หยางตกใจรีบกล่าว “น้องหญิง แต่ว่า เบี้ยหวัดข้าคงไม่พอ...ถึงแม้ว่าเจ้าจะมีสินเดิมแต่หากกินอย่างสิ้นเปลื้องสักวันย่อมหมดไป...เจ้าไม่ต้องเกรงว่าผู้อื่นจะตำหนิเรื่องนี้ทุกคนล้วนเข้าใจ” เซียวอี้หยางพูดเสร็จเด็กทั้งสองก็พยักหน้าสนับสนุน
ชิงหว่านจึงยิ้มละมุนเอ่ย “ข้าไม่ได้คิดจะใช้สินเดิม ในเมื่อข้าหาปลาได้ พวกเราก็เอาปลาไปขายแลกเป็นเงินซื้อเนื้อมาทานได้...อืม ปลาขนาดเท่านี้ขายได้เท่าไร”
ลู่อันรีบตอบ “5 -10 อีแปะขอรับ”
ลี่อินรีบอธิบายต่อ “หมู 1 ชั่งราคา 20 อีแปะเจ้าคะ”
หวังชิงหว่านยิ้มพูด “ถ้าอย่างนั้นเราก็หาให้ได้สัก สิบกว่าตัว คงได้เนื้อไว้ทานหลายวันแล้ว”
พอได้ยินว่าจะเอาปลาไปขาย ลู่อันก็หันไปมองปลาที่เตรียมเผาอย่างเสียดาย ชิงหว่านจึงพูดขึ้น “พวกนี้พวกเรากินให้ท้องอิ่ม ปลาในแม่น้ำมีมาก เราไม่ต้องกลัวว่าต้องอด”
ลี่อินและลู่อันพยักหน้าพร้อมกัน “เจ้าค่ะ/ขอรับ”
ทุกอย่างล้วนดี แต่เซียวอี้หยางรู้สึกว่าบางอย่างไม่ถูกต้องเขาต้องเป็นคนหาเลี้ยงภรรยาไม่ใช่หรือกำลังจะเอ่ยบางอย่าง
แต่ชิงหว่านได้ชิงพูดขึ้น “พวกเราเป็นครอบครัวเดียวกันช่วยกันทำมาหากินท่านพี่คงไม่ตำหนิและไม่ห้ามใช่หรือไม่”
เซียวอี้หยางอึ้งและจนวาจาอยู่ครู่หนึ่ง เขาขบคิดบางอย่างก่อนจะเอ่ยน้ำเสียงอบอุ่น “ขอเพียงน้องหญิงพอใจข้าก็ยินดี”
ชิงหว่านยิ้มกว้างดุจแสงตะวันเจิดจรัส “ท่านรีบกินปลาเถอะเจ้าค่ะ เย็นแล้วจะไม่อร่อย”
หลังจากทานเสร็จเซียวอี้หยางนำฟื้นในตะกร้าของลี่อินใส่ให้ลู่อันตอนนี้ก็เหลือเพียงตะกร้าของเขาที่ยังไม่เต็ม
ชายหนุ่มเอ่ยบอกลู่อัน “เจ้าไปช่วยพี่สะใภ้จับปลา ส่วนฟืนที่เหลือข้าจะจัดการเอง”
ลู่อันหันไปมองลี่อินกับชิงหว่านแล้วพูดขึ้น
“ใช้ข้าช่วยพี่ดีกว่า” อี้หยางหันไปมองก็พยักหน้าเห็นด้วย เมื่อช่วยกันตัด ในเวลาไม่ถึงเค่อตะกร้าก็เริ่มเต็ม เซียวอี้หยางเห็นว่าพอแล้วจึงเอ่ยขึ้น “พอแค่นี้เถอะ...เจ้าเดินนำไปก่อนข้ามีเข้าไปทำธุระในป่าสักครู่”
ลู่อันพยักหน้าเข้าใจความนัยจึงเดินออกมา
แววตาของเซียวอี้หยางวูบไหวเล็กน้อยก่อนหายเข้าไปในพุ่มไม้ใหญ่ ผ่านไปครู่ใหญ่เขาจึงได้ออกมา ขณะก้าวเดินได้ยินเสียงร้องเชียร์ของลี่อินก็ยกปากยิ้ม
พอเข้าไปใกล้เห็นปลาเต็มตะกร้าก็เบิกตากว้างอย่างตกใจ
“นี่!! ทำไมเยอะขนาดนี้”
ชิงหว่านตอบตาใส “ก็ลี่อินบอกว่า ปลาพวกนี้ไม่เพียงแค่ขายได้ยังสามารถนำไปแลกไข่ แลกไก่ แลกเป็ดกับชาวบ้านได้ด้วยข้าเลยหาให้มากหน่อยเผื่ออีกหลาย ๆ มื้อ”
ที่เอ่ยถามหาใช่สงสัยว่าทำไมต้องหาเยอะ เซียวอี้หยางย่อมหมายถึงทำไมหาได้มากมายขนาดนี้ เห็นแววตาประกายของภรรยาเขาก็ยากจะเอ่ยถามอีก จึงพูดขึ้น
“เช่นนั้น พวกเราก็กลับกันเถอะ...จะได้ถึงบ้านไวขึ้น”
แม้ว่าปลาจะน้ำหนักมากแต่ลี่อินก็แบกขึ้นหลังด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม ขาที่ก้าวเดินก็ดูมั่นคงกว่าเดิมนางพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงสดใส
“กลับไปถึงบ้านข้าจะรีบเอาปลาไปขายที่ตลาดนะเจ้าคะ”
ชิงหว่านพยักหน้า “ต้องลำบากเจ้าแล้ว”
ลู่อันรีบเอ่ย “ข้าจะเอาไปแลกไข่ แลกไก่ นะขอรับ”
“ต้องรบกวนเจ้าแล้ว” ชิงหว่านเอ่ยตอบอย่างอ่อนโยน
เซียวอี้หยางไม่สามารถเอ่ยฉอเลาะเอาใจแบบน้องได้ เขาทำตัวไม่ถูกชั่วขณะ ยังไม่ทันได้ตัดสินใจก็ได้ยินเสียงอ่อนโยนหนึ่ง
“ต้องรบกวนท่านพี่เอาปลาบางส่วนไปแบ่งให้ครอบครัวท่านป้า ท่านลุงที่มาเมื่อเช้าด้วยนะเจ้าค่ะ”
อี้หยางตกใจคล้ายถูกจับความคิดได้รีบกล่าว
“ได้ ๆ เรื่องนี้ข้าจะจัดการเอง”
คล้อยหลังครอบครัวสกุลเซียวที่กำลังเดินทางออกจากเขา มีบุรุษชุดดำคู่หนึ่งจับจ้องมองตาม
เกาเวินเหยียดยิ้มมุมปาก
“นับวันอี้หยางยิ่งทำท่าเงอะงะได้แนบเนียน”
จางเคอหัวเราะเสียงต่ำ แววตาลุ่มลึกกล่าว
“ข้ากลับคิดว่าครั้งนี้มิใช่การเสแสร้ง”
เกาเวินผงกศีรษะเห็นด้วย