ในเรือนสกุลเซียวมีเพียงฮูหยินผู้เฒ่าที่อยู่ในเรือน ส่วนบิดาและมารดายังไม่กลับจากทำนา ทั้งลี่อิน ลู่อันและเซียวอี้หยางก็มีหน้าที่ของตนเอง เหลือเพียงหวังชิงหว่านที่นั่งพักเอื่อยเฉื่อยอยู่ในที่นั่งหน้าเรือน นางเงยหน้ามองท้องฟ้าพลางคิดในใจ
“สวรรค์ตอนนี้ข้าเริ่มจับปลาขายแล้วนะ...จากนี้ก็คงจะเป็นปลูกผัก ทำนา เลี้ยงเป็ด เลี้ยงไก่ ... นับว่าเป็นชีวิตเรียบง่ายที่ตามข้าร้องขอ...
เฮ้อ! เอาเถอะถือว่าข้าไม่รอบคอบเอง...ที่ไม่ขอเงินด้วย”
นางนึกบางอย่างได้กลับเข้าไปในเรือน ดึงหีบสินเดิมที่หวังฮูหยินกล่าวว่าจัดเตรียมให้ ความจริงแล้วทั้งหมดล้วนเป็นของใช้ส่วนตัวของนางที่บิดามอบให้ก่อนหน้า นางเปิดหีบหลายหีบออกมา
“ล้วนเป็นเสื้อผ้าที่นำมาใส่ไม่ได้ทั้งนั้น....ของพวกนี้เอาไปขายเปลี่ยนเป็นเงินจะดีกว่า” นางในฐานะฮูหยินขุนนางบางส่วนก็ควรต้องเก็บไว้ จึงจัดแจงแยกของอยู่ครึ่งเค่อก็ได้ยินเสียงเด็กสาว
“พี่สะใภ้ พี่สะใภ้” เสียงลี่อินตะโกนเรียกอยู่หน้าเรือน หวังชิงหว่านจึงเอ่ยตอบ
“ลี่อินหรือ เข้ามาข้างในสิ”
ผ้าม่านถูกเลิกขึ้นปรากฏเด็กสาวใบหน้ายิ้มแย้ม นางปรายตามองของเบื้องหน้าอย่างตกตะลึง เด็กสาวรีบเก็บซ่อนอาการเดินเข้ามานั่งตรงหน้าแล้วพูดด้วยน้ำเสียงยินดี “พี่สะใภ้ ข้าขายปลาหมดแล้ว...ได้เงินมา 70 อีแปะ ข้าแบ่งไปซื้อเนื้อหมู 1 ชั่ง นี่คือเงิน 50 อีแปะที่เหลือเจ้าค่ะ”
หวังชิงหว่านมองเงินในมือเด็กน้อย ทั้งดีใจและสะท้อนใจ เงินเท่านี้ซื้อปิ่นปักผมให้พี่หญิงหวังหรูเยว่ของนางไม่ได้ด้วยซ้ำ
เฮ้อ!! ไม่ว่าจะยุคสมัยไหน ความเหลื่อมล้ำยังคงมีอยู่ นางยื่นมือไปรับแบ่งออกมา 25 อีแปะแล้วพูดส่งที่เหลือคืนเอ่ย “เจ้าเอาส่วนนี้ไปแบ่งกับลู่อัน ถือว่าพวกเราร่วมการค้าด้วยกัน”
ลี่อินยิ้มอย่างดีใจ แต่ก็หุบยิ้มโดยเร็วพูดขึ้น “ได้อย่างไรกัน ข้าไม่ได้ทำอะไรเสียหน่อยแค่ได้กินปลาก็นับว่ามากพอแล้ว”
ชิงหว่านยัดเงินใส่มือแล้วพูดขึ้น “หากเจ้าไม่ช่วยขายปลา ก็ไม่ได้เงินก้อนนี้ เจ้าอย่าปฏิเสธเลยข้ายังมีเรื่องจะรบกวนเจ้าอีก”
ลี่อินรับเงินมาเม้มปากระงับความดีใจแล้วถาม “พี่สะใภ้มีอะไรจะสั่งข้าก็บอกมาได้เลยเจ้าค่ะ”
ชิงหว่านยิ้ม “ก่อนอื่นเอาหมูไปเก็บเสียก่อน”
ลี่อินรีบลุกขึ้นเอ่ย “ได้ ๆ เจ้าค่ะ เรื่องเล็กน้อยเดี่ยวข้ากลับมานะเจ้าคะ”
ชิงหว่านดึงปิ่นหยกเล็ก ๆ ใบหนึ่งออกมา แล้วส่ายหน้า แต่ละชิ้นล้วนมีมูลค่าหลายตำลึง จะมอบให้ลี่อินใช้ก็ยังไม่เหมาะ นำไปขายแล้วซื้อให้นางใหม่จะดีกว่า
ลี่อินหายไปไม่นานก็กลับมา เห็นชิงหว่านยืนอยู่หน้าเรือนก็เอ่ยถาม “พี่สะใภ้มีอะไรจะใช้ข้าหรือเจ้าคะ”
“เจ้ารู้จักโรงจำนำหรือไม่”
ลี่อินกระพริบตาตอบ “รู้จักเจ้าค่ะ” นางย่อมรู้จัก เพราะไม่นานมานี้ นางกับมารดาพึ่งไปจำนำของเพื่อจัดงานแต่งพี่ชาย
ชิงหว่านยิ้มเล็กน้อยเอ่ย “ที่นี่มีรถลากใช่หรือไม่ เจ้าไปนำมันมา” ลี่อินพยักหน้าอย่างงวยงงอย่างไม่อยากจะเชื่อสิ่งที่ตัวเองกำลังคิด
ชิงหว่านยกหีบขึ้นรถลากโดยมีลี่อินช่วย รถลากคันเล็กไม่พอหีบทั้งหมด ชิงหว่านเอ่ย “งั้นวันนี้เอาไปเท่านี้ก่อน...เจ้าช่วยนำทางพาข้าไปโรงจำนำได้แล้ว”
ลี่อินเผลออ้าปากค้างอยากจะเอ่ยบางคำ แต่นางเห็นสายตาของชิงหว่านก็ไม่กล้าเอ่ยได้แต่รับคำ “เจ้าค่ะ”
ชิงหว่านและลี่อินช่วยกันลากรถลากเข้าไปในเมือง ในขณะนั้น ลู่อันที่นำปลาไปแลกไข่ก็กลับมา เขาไม่เห็นคนในเรือน ตะวันยังไม่ตกดิน เขาไม่คิดจะทิ้งเวลาเสียเปล่าถือถังน้ำไปตักน้ำมาไว้ใช้ในเรือน
โรงจำนำจี้กง
เถ้าแก่หรี่ตามองฮูหยินเบื้องหน้า ในใจครุ่นคิดหลายตลบ หวังชิงหว่านเหลือบตามองเถ้าแก่ที่ทำท่าทีประเมินราคาก็เอ่ยขึ้น
“เถ้าแก่...ท่านรีบประเมินราคามาเสียเถิด ถึงแม้ข้าจะอายุน้อยก็หาใช่ไม่รู้จักมูลค่าของ”
เถ้าแก่ถอนหายใจเผยสีหน้าลำบากใจกล่าว “ฮูหยินท่านก็ทราบเสื้อผ้าที่ใช้แล้วย่อมไม่ได้ราคามากนัก”
“ผ้าที่ไร้ราคาข้าย่อมไม่นำมาขาย แต่ผ้าเหล่านี้ล้วนตัดเย็บจากร้านเสื้อฟู่หงมูลค่าตัดเย็บบางตัวเกือบร้อยตำลึงท่านคงจะไม่กดราคามากเกินไปใช่หรือไม่”
ร้อยตำลึง!! ลี่อินยืนตะลึงมูลค่าชุดพลางมองพี่สะใภ้คนงามเหมือนคนแปลกหน้ากลิ่นอายที่แผ่ซานออกมากดดันผู้คนอย่างประหลาด ไม่เหมือนพี่สะใภ้คนที่อยู่ลำธารก่อนหน้า แต่นับว่าสมเหตุสมผลชิงหว่านเป็นคุณหนูเจ็ดจากจวนเสนาบดี จะอ่อนโยนไร้พิษสงไปไปอย่างไร
หวังชิงหว่านให้เวลาเถ้าแก่ขบคิดครู่หนึ่งก็เอ่ยต่อ “ท่านคงรู้จักจวนเสนาบดีหวังกระมัง”
เถ้าแก่เงยหน้าขึ้นมามองใบหน้าเฉิดฉายตรงหน้าอย่างไตร่ตรองแล้วเอ่ยถาม “ท่านคือ คุณหนูเจ็ด”
หวังชิงหว่านพยักหน้า “ใช่ข้าเอง...ท่านคงเข้าใจความลำบากใจของข้าที่ต้องทำเช่นนี้”
สีหน้าเถ้าแก่เปลี่ยนเป็นยิ้มแป้นเอ่ยประจบ “ไอ้หย่า!! ข้ามีตาแต่ไร้วี่แวว...ท่านได้โปรดรอสักครู่ข้าจะรีบคำนวณราคาให้ รับรองในแถบนี้ไม่มีใครให้ราคาสูงไปกว่านี้แล้ว...เด็กๆ มาพาฮูหยินน้อยไปนั่งดื่มชาในห้องรับรอง”
ชิงหว่านเหยียดยิ้มอย่างพอใจแล้วเอ่ย “รบกวนท่านแยกเงินให้เหมาะสำหรับใช้จ่ายด้วย”
เถ้าแก่หยักหน้าหงึกๆ “ข้าเข้าใจแล้ว” เอ่ยเสร็จนางก็เดินตามเด็กนำทางพาลี่อินเข้าไปในห้องรับรอง
ลี่อินหยิบขนมกินพลางลอบมองพี่สะใภ้
ชิงหว่านเห็นท่าทีเด็กน้อยก็หัวเราะเบา ๆ กล่าว “ของพวกนั้นล้วนไม่ได้ใช้แล้วขายไปซื้อของที่จำเป็นจะดีกว่า” นางยกกาชารินไปสองจอก เถ้าแก่ก็เข้ามา
“ฮูหยินน้อย...อาภรณ์ท่านข้าให้ได้ทั้งหมดสองร้อยตำลึงส่วนเครื่องประดับรวมได้สี่ร้อยตำลึงขอรับ” ลี่อินเบิกตากว้างนางไม่กล้าแม้กระทั่งหายใจนางนั่งนิ่งพยายามระงับอาการแบบสุดๆ
ชิงหว่านพยักหน้ายิ้มพอใจ นับว่าเสนาบดีหวังเอ็นดูลูกสาวคนนี้ไม่น้อย แต่พอนางนึกถึงพี่รองก็ลอบถอนหายใจ ของที่นางมีตอนนี้มีค่าไม่ถึงหนึ่งส่วนของคุณหนูจากฮูหยินเอกด้วยซ้ำ
เถ้าแก่ลอบมองสีหน้าของหวังชิงหว่าน เห็นว่านางไม่มีท่าทีขุนเคืองก็กล่าวต่อ “รวมทั้งหมดเป็นหกร้อยตำลึง ข้าเขียนเป็นตั๋วแลกเงินใบละร้อยตำลึงห้าใบอีกร้อยตำลึงแบ่งเป็นตั๋วแลกเงินสิบตำลึงเก้าใบและนี่เงินตำลึงขอรับ”
ชิงหว่างโค้งศีรษะกล่าว “ขอบคุณเถ้าแก่ ข้าคิดไม่ผิดที่เลือกมาโรงจำนำจี้กง โรงจำนำที่ได้ชื่อว่าเป็นอันดับหนึ่งในเมืองหลวงเพราะเชื่อมั่นว่าที่นี่ข้าจะเจอเถ้าแก่ที่สายตาหลักแหลมพร้อมคุณธรรม ข้ายังมีภาพวาด แจกันและเครื่องประดับอีกบางส่วนหวังว่าเถ้าแก่จะช่วยประเมินราคาให้”
เถ้าแก่ได้ยินเช่นนั้นก็แววตาก็เต็มไปด้วยความยินดีกล่าวอย่างเอาใจ “หรือฮูหยินจะให้ข้าไปรับที่เรือนดีหรือไม่ขอรับ”
หวังชิงหว่านส่ายหน้าตอบ “ไม่รบกวนเถ้าแก่ พรุ่งนี้จะกลับมาใหม่ วันนี้ขอบคุณมากข้ามีธุระที่อื่นต่อไม่รบกวนแล้ว”
เอ่ยเสร็จหวังชิงหว่านก็โค้งศีรษะเล็กน้อยแล้วเดินออกมา