บทที่ 3 ข้าก็มีปาก
ทว่าก่อนที่นางจะลงแรงบีบคอคนจริง ๆ ไป๋จิ้งหานก็เอ่ยด้วยน้ำเสียงเยียบเย็นพร้อมกับดึงมือของนางออกจากลำคอของเขา
แน่นอนว่าเขาไม่คิดว่านางจะบีบคอเขาจริง ๆ อย่างไรมือนางก็ทั้งเรียวทั้งเล็ก เพียงแต่เมื่อท้องนิ้วนุ่มนิ่มสัมผัสที่ลำคอทำให้เขารู้สึกกระอักกระอ่วนแปลก ๆ
“เจ้าช่างน่าไม่อาย”
จากนั้นเขาก็ยังทำท่าทางเป็นหนุ่มน้อยผู้หนึ่งที่วางท่ามองนางด้วยสายตาไม่พอใจ
ถึงสีหน้าจะยังคงเย็นชาแต่ก็สายตายังแสดงออกถึงอาการตกตะลึงพรึงเพริดที่รู้ว่านางแอบไปเที่ยวหอนายโลม มิได้มีหนังหน้าหนาจนดูไม่ออกว่าคิดอะไรเฉกเช่นตาเฒ่าไป๋คนใจจืดใจดำในชาติที่แล้ว
เหยียนซือเหยียนหัวเราะออกมาโดยพลัน
“หน้าไม่อายหรือ ไยข้าต้องหน้าไม่อายด้วย หอนางโลมเปิดถูกต้องตามกฎหมายต้าหยาง คนที่ไปที่นั้นล้วนเป็นชนชั้นสูงมีฐานะ กระทั่งองค์หญิงใหญ่ยังเลี้ยงนายโลมในตำหนักหลายคน ฝ่าบาทยังไม่ตำหนิ เช่นนั้นหมายความว่าสตรีสามารถหาความสำราญได้อย่างที่ใจต้องการ ต้าหยางให้อิสระเพียงนี้มีสิ่งใดต้องหน้าไม่อายกันเจ้าคะ”
ไป๋จิ้งหานตกตะลึงเมื่อจนไม่รู้ว่าต้องรู้สึกอย่างไร เมื่อนางเปิดเผยเรื่องนี้กับเขาอย่างซื่อตรงในคืนเข้าหอ เขาควรรังเกียจนาง ด่าทอ หรือว่าควรทำเช่นใดดี
ปากเขาสั่นด้วยโทสะ ยิ่งรู้สึกว่านางช่างน่ารังเกียจยิ่งนัก
“อย่างไรก็แต่งกับข้าแล้วไยไม่รู้จักรักษาเกียรติของจวนเจิ้นโหว หากเป็นเช่นนี้ข้าเห็นทีว่า...”
เหยียนซือเหยียนเอ่ยตัดคำขึ้นมาท่าทางยินดีอย่างน่าประหลาด
“ท่านจะหย่ากับข้าหรือเจ้าคะ ตั้งแต่วันแรกที่เข้าหอก็คิดเรื่องหย่าแล้วหรือ? อา...เจิ้นโหว ข้ารู้ว่าท่านไม่ชอบข้าแต่อดทนสักนิด เพราะตอนนี้บอกตามตรงว่าข้าก็ไม่ชอบท่านแล้วเช่นกัน แต่อย่างไรก็แต่งแล้วจึงต้องทำใจอดทน”
จากนั้นก็มองเขาด้วยสายตาสงสัยมุมปากเหยียดยิ้ม รู้สึกครึกครื้นยิ่งนักเมื่อเห็นว่าเขากำลังทำสีหน้าไม่ถูกแล้ว
“เจ้าบีบบังคับให้ข้าแต่ง แต่กลับบอกไม่ชอบข้าแล้ว เหยียนซือเหยียนเจ้าคิดจะมาไม้ไหนกันแน่”
นางอมยิ้มมองอย่างรู้ทัน หัวเราะในลำคอแผ่วเบา
“ข้าไม่มีลูกไม้แล้ว บอกว่ายินดีหย่าก็หย่า แต่ข้าผิดเองที่ปากพล่อยไปหน่อย อย่างไรก็ต้องรอถึงสามปี ในเมื่อไร้หนทางออกจะทำเช่นไรเล่าต่อจากนี้อีกสามปีท่านก็ต้องอยู่กับข้าผู้นี้ ท่านก็อดทนหน่อยแล้วกัน”
แน่นอนว่านางไม่มีทางไปคุกเข่าขอร้องฝ่าบาทเรื่องหย่าอีก นางรู้ว่าหากนางก่อเรื่องทำราวกับการแต่งงานและสมรสพระราชทานเป็นเรื่องล้อเล่น แม้ว่าสกุลเหยียนจะได้รับธงละเว้นตายจากปฐมกษัตริย์มานางก็อาจจะอยู่เหมือนตายทั้งเป็นในต้าหยางก็เป็นได้
ดังนั้นไม่อาจทำให้เบื้องบนขุ่นเคืองโดยเด็ดขาด อย่างไรก็เคยอยู่ร่วมกับเขามามากกว่าสิบปี จะอยู่อีกสามปีแบบไม่เกี่ยวข้องกันจะเป็นอะไรไป
นางเชยคางเขาขึ้นมามองยิ้ม ๆ เอ่ยต่อว่า
“ไป๋จิ้งหานท่านก็ไม่ชอบข้า อยากหย่ากับข้าใช่หรือไม่บอกมาเถิด”
“หึ”
ไป๋จิ้งหานไม่ยอมเอ่ยคำนี้ออกมาเช่นเคย เขาผู้นี้รักศักดิ์ศรีไม่น้อยทั้ง ๆ ที่อยากหย่ากับนางใจจะขาด แต่เมื่อเขารับปากฝ่าบาทแล้วว่าจะทำให้ดีที่สุด เขาจึงไม่มีทางหลุดคำว่าหย่าออกมา
ดังนั้นเขาจึงพูดว่า
“ข้าไม่เชื่อมั่นในวาจาของเจ้า เหยียนซือเหยียนผู้ใดจะเชื่อว่าเจาจะเปลี่ยนใจภายในเวลาข้ามคืน เจ้ากำลังวางแผนใดอยู่ในใจอย่าคิดว่าข้าไม่รู้ทัน”
“ท่านคิดมากเกินไปแล้ว สตรีตัวเล็ก ๆ เช่นข้าจะทำสิ่งใดได้ หึ อีกอย่างเข้าหอวันแรกก็เอ่ยเรื่องหย่า ดียิ่งไม่เห็นสมรสพระราชทานในสายตาเลยหรือ จึงโลเลเปลี่ยนใจได้ง่ายดายเช่นนี้ เพราะบุรุษอื่นหรือที่ทำให้เจ้าไร้สติ ช่างไม่รู้สำนึกเอาเสียเลยทั้ง ๆ ที่เจ้าทำเรื่องผิดครรลองสตรีที่กำลังจะเข้าหอลอบไปเที่ยวหอนายโลม หากเรื่องนี้รู้ไปถึงคนนอกจวนโหวของข้าจะเอาหน้าไว้ที่ใด”
ท่าทางของเขาเหมือนหัวเราะไม่ได้ร้องไห้ไม่ออกแล้ว สาเหตุเพราะสตรีนางนี้กำลังทำให้เขารู้สึกสับสนยิ่งนัก
เหยียนซือเหยียนไม่โกรธที่เขาต่อว่านาง แต่กลับหัวเราะอย่างสนุกสนาน อย่างไรนางก็ต้องรักษาชื่อเสียงของตนเองอยู่บ้าง
นางในตอนนี้คือเหยียนซือเหยียนสตรีที่เพิ่งออกเรือนเท่านั้น
“ท่านพี่ ข้าเพียงแค่ล้อเล่นเรื่องนายโลมทั้งหมดล้วนฟังจากเหล่าฮูหยินในงานเลี้ยงที่ลักลอบพูดคุยกันสนุกปาก ตัว ข้าถูกขังอยู่ในเรือน ไม่เคยไปหอนายโลมสักหน อย่าคิดมากเลย หน้าตาของจวนโหวของท่านข้ายังรักษาเอาไว้ให้อย่างดี”
ไป๋จิ้งหานเอ่ยไม่ออกอีกครั้ง ได้แต่คิดในใจอย่างตะลึงพรึงเพริด
ล้อเล่นหรือ เรื่องนี้สมควรที่สตรีในห้องหอเช่นเจ้า จะนำมาล้อเล่นได้หรือ!
เหยียนซือเหยียนขยับออกจากตักของเขาแล้ว จากนั้นนางก็ขยับมานั่งเก้าอี้ข้าง ๆ นางยังคงมองหน้าเขา ริมฝีปากคลี่ยิ้มเอ่ยเสียงเบาทั้งก้มลงมองอาภรณ์สีแดงมงคลของตนเอง
“ท่านพี่ ข้ารู้สึกร้อนจริง ๆ ท่านดูสิชุดเจ้าสาวนี่ไยจึงได้ทังหนาทั้งหนักเช่นนี้”
กล่าวจบนางก็รินสุรามงคลดื่มแก้กระหายอีกหลายจอกจนใบหน้าเริ่มแดงก่ำ แล้วจากนั้นมือเรียวก็เริ่มปลดชุดเจ้าสาวมือไม้วุ่นวายพัลวันเพราะไม่รู้จะเริ่มจากส่วนใดก่อน
“ท่านพี่ ช่วยข้าหน่อยนะเจ้าคะ”
ไป๋จิ้งหานมองนางอย่างตื่นตะลึงเมื่อเห็นสตรีผู้นี้กำลังถอดเสื้อผ้าต่อหน้าเขาอย่างคุ้นเคยเช่นนี้
“เหยียนซือเหยียน เจ้ากำลังทำอะไร...”
เห็นสีหน้าที่ดูเหมือนว่าทำตัวไม่ถูกของบุรุษหนุ่มผู้นี้แล้วทำให้นางมีความสุขจริง ๆ
“ข้ากำลังถอดเสื้อผ้าอย่างไรเล่า เอ๊ะ...หรือว่าท่านพี่ก็ร้อนเช่นกัน ดูสิใบหน้าแดงก่ำเลย ชุดแต่งงานนี้หนายิ่งนัก พวกเราถอดชุดแต่งงานกันเถิดเจ้าค่ะ มาข้าช่วยนะเจ้าคะ”
กล่าวจบนางก็โผเข้าไปดึงผ้าคาดเอวสีแดงของเขาออก ไป๋จิ้งหานผลักนางอย่างแรงด้วยสีหน้าตื่นตระหนก
“เหยียนซือเหยียนหยุดนะ อย่ามายุ่งกับข้า หยุด นี่เจ้ากำลังทำสิ่งใด”
เหยียนซือเหยียนยังคงพยายามถอดเสื้อผ้าให้เขา สตรีนางนี้เหมือนคนกินยาผิดจนโรคประสาทกำเริบ เพราะนางกลายเป็นคนละคนกับที่เขาเคยรู้จักไปเสียแล้ว
หรือว่านางจะเมาจนไร้สติจริง ๆ
เหยียนซือเหยียนยังคงวุ่นวายกับร่างกายของเขา จิตใจของนางบัดนี้เมื่อปล่อยวางได้จึงไม่รู้สึกหนักอึ้งอีกต่อไป
“ท่านไม่คิดจะทำอะไรในคืนแต่งงานของเราหรือ พวกเราสองคนมาทำเรื่องที่เร่าร้อนกันตามประสาผัวเมียกันเถิด ท่านพี่ข้าเรียนมาเยอะทุกท่วงท่าเลยเจ้าค่ะ รับรองว่าท่านต้องติดใจแน่”
เหยียนซือเหยียนเหยียดยิ้มยั่วเย้า อย่างไรในตอนนี้ไป๋จิ้งหานผู้นี้ก็ยังเป็นบุรุษหนุ่มอายุเพียงยี่สิบสี่ปีผู้หนึ่ง จะสู้จิ้งจอกเฒ่าเช่นนางที่ผ่านการเป็นสามีภรรยาทั้งผ่านความเป็นความตายกับเขามาแล้วชาติหนึ่งได้อย่างไร
ไป๋จิ้งหานเอ่ยห้ามเสียงหลง
“เหยียนซือเหยียน หยุดนะ!”
นางเชยคางเขาขึ้น ยังใช้สายตาโลมเลีย
“ท่านพี่เจ้าขา ไยท่านจึงมีสีหน้าคล้ายรังเกียจข้าเช่นนี้เล่า ท่านกำลังทำข้าเสียใจนะเจ้าคะ”
ท่าทางน้อยเนื้อต่ำใจนี้นางแสดงออกมาได้อย่างชัดแจ้ง ยิ่งทำให้ไป๋จิ้งหานรู้สึกว่าขยะแขยงท่าทางเช่นนี้ของนางเกินทน
“เจ้าช่างมารยาสาไถนัก เมื่อครู่บอกไม่ชอบข้าแล้วตอนนี้ไยจึงมาลวนลามข้า เมาหรืออย่างไร”
“ท่านพี่ คำพูดเหล่านี้พ่นใส่หัวข้าได้อย่างไร ตั้งแต่เข้ามาท่านว่าข้าไปกี่คำแล้ว สตรีหน้าไม่อายบ้าง มารยาสาไถบ้าง หาว่าข้าเมาลวนลามบ้าง คำพูดร้ายกาจเช่นนี้ข้ารับไม่ไหวจนหนักหัวไปหมดแล้วเจ้าค่ะ”
ไป๋จิ้งหานผลักร่างของนางออกจากตัวเขาโดยไม่ลังเล เขาจ้องนางแล้วเม้มปากในขณะที่เหยียนซือเหยียนบัดนี้มองเขากลับด้วยน้ำตาคลอหน่วย ทำท่าเสียใจราวกับว่าสามีของนางตายกระนั้น
“ท่านพี่ ท่านผลักข้าหรือเจ้าคะ ท่านพี่ข้าจะบอกท่านแม่สามีว่าท่านผลักไสเจ้าสาวในคืนเข้าหอ ฮือ ฮือ ข้าเจ็บปวดใจยิ่งนัก ท่านแม่สามีต้องรู้เรื่องนี้ท่านไม่ยอมรับข้า ไม่ให้ข้ากอดท่าน”
“เหยียนซือเหยียนนี่เจ้าขู่ข้าหรือ”
“ไม่กล้าเจ้าค่ะ แค่จะพูดความจริง”
ชาติที่แล้วเป็นฮูหยินหรงแม่สามีที่ปกป้องนางมาเสมอ และก็เป็นคนที่ไป๋จิ้งหานเกรงใจและรักเคารพที่สุดด้วยเป็นมารดาที่เลี้ยงเขามาด้วยความลำบากหลังจากที่บิดาจากไป จึงทำให้เขาไม่กล้าทำให้มารดาเสียใจ
ในชาตินี้นางจึงได้ขอยืมชื่อเสียงของแม่สามีมากดดันเขา ทำให้ไป๋จิ้งหานไม่กล้าพ่นวาจาทำร้ายนางอีก
“เจ้าคิดว่าหากใช้อำนาจท่านแม่มากดข่มข้าแล้วข้าจะกลัวหรืออย่างไร”
นางเอ่ยตอบพร้อมกับแสร้งสะอื้นอย่างน่าสงสาร
“ท่านพี่ใส่ร้ายข้าอีกแล้ว ข้าก็เป็นเพียงสะใภ้ที่ดีผู้หนึ่งท่านแม่บอกข้าว่า ข้าคือลูกสะใภ้ของท่านแม่ มีสิ่งใดที่ท่านพี่ทำให้ข้าลำบากใจให้รีบบอก ลูกสะใภ้ที่ดีเช่นข้าย่อมเชื่อฟังแม่สามีนะเจ้าคะ ท่านไม่ดีกับข้า ข้าก็ย่อมต้องฟ้องเอ๊ยต้องบอกให้มารดาของท่านรับรู้”
ไป๋จิ้งหานกำมือแน่น เขาไม่คาดคิดว่าตนเองต้องมาถกเถียงเรื่องไร้สาระกับสตรีนางนี้ตั้งแต่วันแรกที่อยู่ร่วมกัน
“เจ้า...”
“ทำไมเจ้าคะ ท่านพูดไม่ดีข้าก็จะฟ้องท่านแม่ คอยดูเถิดว่าท่านแม่จะเข้าข้างผู้ใด”
เหยียนซือเหยียนเอ่ยเอาแต่ใจ ชาติที่แล้วเขาเย็นชากับนาง ส่วนนางที่เดิมเป็นสตรีช่างพูดก็เอาแต่แสร้งสงบเสงี่ยมไม่เป็นตัวของตัวเอง
ชาตินี้กลับมาอยู่ในวัยสิบเจ็ดปีที่สดใสอีกครั้ง ไม่เอาอีกแล้วชีวิตที่ต้องอยู่ใต้เงาคนอื่นดั่งเช่นที่ผ่านมา
ในที่สุดไป๋จิ้งหานก็ต้องยอมแพ้เอ่ยว่า
“เอาล่ะ ๆ อยากกอดก็กอดมาสิมา”
เป็นเขาที่อ้าแขนออกเป็นการยอมแพ้แต่โดยดี
มารดาวุ่นวายกับงานแต่งของเขามานับเดือนแล้ว เขาไม่อยากสร้างความลำบากใจอันใดให้มารดาอีก
ดังนั้นศึกในคืนนี้ เขาจึงต้องสงบด้วยตนเอง เดิมทีเขาคิดว่าเมื่อมาถึงเรือนหอ เขาจะพูดกับนางเพียงประโยคแล้วเดินออกมา ทว่าบัดนี้เขากับนางกลับสนทนากันมากมายนับคำไม่ถ้วน แม้จะเป็นคำโต้แย้งที่ไร้สาระก็เถิด
นางทำลายความตั้งใจของเขาจนหมดสิ้น และทำให้เขาเอ่ยถ้อยคำมากมายเหล่านี้ได้อย่างง่ายดาย
ทว่าเหยียนซือเหยียนกลับไม่ยอมกอดเขา ยังหัวเราะยอย่างผู้ชนะ จากนั้นนางก็เอ่ยราวขับไล่
“ท่านพี่ จะไปต้อนรับแขกก็ไปเถิด ดื่มให้เต็มที่เลยนะเจ้าคะ ข้าไม่ทำให้ท่านลำบากแล้ว”
แน่นอนว่าทำให้ไป๋จิ้งหานขมวดคิ้วมุ่น
“เหยียนซือเหยียน เจ้าทำท่าเหมือนไล่ข้า”
นางยักไหล่
“หากท่านพี่เข้าใจเจตนาข้าผิดเช่นนั้นข้าก็ขี้เกียจแก้ต่างให้ตนเอง เชิญเถิดเจ้าค่ะ”
สีหน้าของไป๋จิ้งหานเวลานี้เห็นได้ชัดว่ารู้สึกสับสนยิ่งนัก แต่เขาก็ยืนขึ้นโดยไม่เอ่ยถามคำใดอีก
เหยียนซือเหยียนมองไปที่ประตู ชาติที่แล้วแม่สามีของนางวางแผนมาดีเกรงว่าบุตรชายของตนเองจะทำให้ขายหน้าไม่ยอมเข้าหอ ดังนั้นจึงให้คนเฝ้าประตูแน่นหนาไม่ยอมให้เขาออกไปได้เด็ดขาด
กระทั่งฤทธิ์ยากำหนัดรุนแรงขึ้นทำให้ไป๋จิ้งหานคนนี้ทรมานปางตายและไม่อาจอดทนได้อีกต่อไปต้องจำใจเข้าหอกับนางด้วยความคับแค้นใจ
ทว่าครานี้นางไม่ยอมให้เกิดเรื่องซ้ำรอยอีกเด็ดขาด แม่สามียังวางแผนเช่นเดิมนางส่งคนมาเฝ้าเรือนหอเอาไว้ สั่งห้ามท่านโหวออกจากเรือนหอเด็ดขาด แต่ว่าเหยียนซือเหยียนที่รู้ทัน นางจึงเปลี่ยนคนเฝ้าเป็นคนของนางเองและให้คนของแม่สามีกลับไปเสีย
เหยียนซือเหยียนยังเห็นเขายืนนิ่ง จึงส่งเสียงดังว่า
“เช่นนั้นเชิญท่านพี่รับแขกตามสบายไม่ต้องรีบนะเจ้าคะ ข้าเข้าใจ เซียวยี อาเหวิน เปิดประตูให้ท่านโหวออกไปต้อนรับแขก”
ทันใดนั้นประตูเรือนหอก็เปิดอ้าออก ด้านหน้าคือเซียวอวี่และอาเหวิน บ่าวบุรุษสตรีของนางคู่หนึ่งที่ติดตามเหยียนซือเหยียนมาจากบ้านเดิม
อาเหวินบ่าวบุรุษร่างอ้วนกลมเอ่ยว่า
“เชิญท่านโหวขอรับ”
น้ำเสียงนี้ราวกับรอคอยเขาอยู่นานแล้ว
ไป๋จิ้งหานหันขวับไปมองนาง เหยียนซือเหยียนยิ้มอ่อนหวานเอ่ยว่า
“เชิญท่านโหวเจ้าค่ะ”
ไป๋จิ้งหานเต็มไปด้วยความงงงวย จากนั้นจึงสะบัดชายแขนเสื้อเดินจากไปโดยไม่เห็นว่าเจ้าสาวของเขาบัดนี้กำลังเผยรอยยิ้มกว้างยินดีอยู่เบื้องหลัง
ทว่าขณะก้าวพ้นเรือนหอ เขากลับชะงักเล็กน้อย ก่อนจะหันมาเหลือบมองนางอีกครั้ง
ใบหน้างามของเหยียนซือเหยียนกำลังฉีกยิ้มกว้างทั้งยังโบกมือให้เขาพร้อมกับเอ่ยว่า
“ท่านพี่ รับแขกให้เต็มที่ดื่มกินให้เมาไปเลย ไม่เมาห้ามกลับนะเจ้าคะ”
จากนั้นก็คิดในใจว่า คืนนี้ห้ามกลับมาเด็ดขาดข้าไม่ต้อนรับเจ้าแล้ว
ไป๋จิ้งหานขมวดคิ้ว
อา...ดูเหมือนว่าจะมีบางอย่างที่ผิดปกติไป
ทำไมนางไม่รั้งเขาไว้เลย?
เป็นไปได้อย่างไร เมื่อสักครู่นางยังจะถอดเสื้อผ้าเขาด้วยตนเองอย่างน่าไม่อายด้วยซ้ำ
ไป๋จิ้งหานขมวดคิ้วแน่น หรือว่านางกำลังวางแผนร้ายคิดจะทำอะไรอีกกันแน่!