บทที่ 2 เริ่มต้นชาติใหม่
เมื่อถึงกำหนดเข้าห้องหอ เหยียนซือเหยียนก็ยังนั่งดื่มสุรามงคลอย่างใจเย็นโดยที่ผ้าคลุมหน้าของนางยังคงปิดอยู่
นางไม่สนใจว่าเขาจะดื่มหรือไม่ และไม่คิดจะรีรอพิธีอย่างไรก็ต้องทำให้เสร็จสิ้นเพื่อที่จะให้แม่สื่อออกจากเรือนไป
“เชิญเจ้าบ่าวยกจอกสุราขึ้นดื่ม”
เสียงแม่สื่อเร่งเร้าไป๋จิ้งหานอีกครั้ง นางเห็นมือเรียวขาวของเขายกจอกสุราที่วางอยู่บนโต๊ะขึ้นมาจึงยกมุมปากเยาะหยัน
แน่นอนว่าเขาไม่ยินยอม แต่ก็ไม่อาจขัดขืน
แม่สื่อออกไปแล้ว ไป๋จิ้งหานนั่งมองนางนิ่งงันจากนี้จึงเอ่ยด้วยน้ำเสียงต่ำไร้อารมณ์
“ถอดผ้าคลุมหน้าออกเสีย มือของเจ้ายังใช้งานได้คงไม่ต้องรอให้ข้าถอดให้กระมัง”
ไม่ผิดเพี้ยวจากว่าจาในชาติที่แล้ว เพราะเขาเองก็เอ่ยเช่นนี้ ทว่านางกลับใช้น้ำเสียงอ้อนวอนตอบเขากลับไปว่า
ผ้าคลุมหน้าต้องเป็นท่านพี่ที่เป็นคนเปิด หากท่านไม่เปิดจะถือว่าผิดธรรมเนียมนะเจ้าคะ
หลังจากกล่าวจบ จากนั้นเขาก็ไม่ตอบสนองหรือเอ่ยคำใดอีกบรรยากาศเต็มไปด้วยความกดดันและเงียบงันยิ่งนัก
ในชาติที่แล้วเหยียนซือเหยียนเกรงว่าเขาจะโกรธ สุดท้ายจึงเป็นคนเปิดผ้าคลุมหน้าเจ้าสาวด้วยตนเองแม้ว่าจะเป็นการผิดธรรมเนียมก็ตาม
และดูเหมือนว่าตั้งแต่วันนั้นต่อหน้าเขา นางก็จำเป็นเชื่อฟังเฝ้าปรนนิบัติเขาราวกับสุนัขที่เขาเลี้ยงเอาไว้ตัวหนึ่ง ทั้งหมดล้วนเพราะนางรักเขาจนไม่กล้าทำให้เขาขุ่นเคืองใจ
ทว่าไป๋จิ้งหานกลับเห็นความจริงใจของเหยียนซือเหยียนว่าเป็นเพียงการเสแสร้ง
ในชาติที่แล้วนางเกรงว่าเขาจะเปลี่ยนใจไม่ยอมร่วมเตียงจึงได้ให้คนผสมยากำหนัดเข้มข้นไว้ในสุรามงคล และเพราะยาปลุกกำหนัดนั่นจึงทำให้เขายอมร่วมเตียงกับนางอยู่ด้วยกันเป็นเวลาถึงสองวันสองคืนกว่าที่ยาจะสิ้นฤทธิ์
และหลังจากวันนั้นเขาก็พลันโกรธนางเป็นฟืนเป็นไฟต่อว่านางว่าไร้ยางอายจึงทำเรื่องเช่นนี้มาได้
โชคดีที่หรงฮูหยินแม่สามีเข้าข้างนางมิเช่นนั้นเรื่องคงบานปลายวุ่นวายจนเข้าหน้ากันไม่ติด
เดิมเหยียนซือเหยียนมีฉายาว่าคุณหนูเอาแต่ใจ เมื่ออยู่ในจวนเสนาบดีนางต้องการสิ่งใดย่อมได้สิ่งนั้น
ทว่าเพราะรักเขามากจึงยอมทุกอย่างเป็นภรรยาที่ต่อหน้าเชื่อฟัง ไม่กล้าเอ่ยปากโต้แย้ง ไม่กล้าพูดสิ่งที่ตนเองอยากพูด จะคิดการทำสิ่งใดต่อหน้าล้วนระมัดระวังเพราะกลัวเขาจะไม่พอใจ นางเอ่ยชมเขาต่อหน้าบิดามารดาเสมอ ทั้ง ๆ ที่เป็นเรื่องเท็จเพราะกลัวบิดามารดาของนางจะตำหนิสามีและทำให้เขาได้รับความลำบากใจ
นางคิดโง่ ๆ ว่าเมื่อกลายเป็นสามีภรรยาผูกผมได้ร่วมเตียงกันแล้ว เขาจะรักใคร่นางเช่นสามีภรรยาคู่อื่น
ทว่านางกลับคิดผิด ต่อให้ร่วมเตียงนอนด้วยกันแล้วหรือเฝ้าทำดีมาเนิ่นนานหลายปีเพียงนั้นแล้วอย่างไร คนเขาเกลียดอย่างไรเขาก็ยังคงเกลียดอยู่เช่นนั้น
ความจริงชีวิตสามีภรรยาของนางนั้นน่าเศร้านัก ชาติที่แล้วนางกับเขาร่วมเตียงกันไม่กี่ครั้ง และทุกครั้งก็ล้วนเป็นมารดาของไป๋จิ้งหานที่มาจัดการกดดันบุตรชายให้มีทายาทด้วยตนเองโดยอ้างว่าเป็นไทเฮาที่กดดันนางมาอีกต่อหนึ่งยิ่งทำให้ไป๋จิ้งหานไม่กล้าขัดใจมารดา
และท้ายที่สุดเหยียนซือเหยียนกลับจับได้ว่าเขารังเกียจนาง กระทั่งเขาใช้สมุนไพรชนิดหนึ่งเป็นยาดื่มเพื่อให้หยางของเขาพร่อง ไม่อาจทำให้สตรีใดตั้งครรภ์
จะมีบุรุษใดในโลกนี้ที่กล้าดื่มยาที่ทำลายธาตุหยางของตนเองบ้าง หากว่าบุรุษผู้นั้นไม่รังเกียจภรรยาของตนเองสุดหัวใจ
เพราะเรื่องนี้จึงทำให้เหยียนซือเหยียนเสียใจราวกับถูกเขานำมีดมากรีดที่หัวใจ
ข้าน่ารังเกียจเพียงนั้นหรือ เขาจึงไม่อยากมีลูกกับข้า
กว่านางจะผ่านความทรมานนั้นมาได้ไม่ง่ายเลย ชาตินี้นางจึงคิดหนีให้ห่างจากเขา อโหสิกรรมในชาติที่แล้วและไม่คิดอยู่ร่วมกันอีก
เสียงทุ้มต่ำเอ่ยขึ้นอีกครั้งดึงสติของนางให้กลับมาอยู่ในปัจจุบัน
“หากไม่อยากถอดผ้าคลุมหน้า ข้าก็ไม่คิดสนใจ”
จู่ ๆ เหยียนซือเหยียนก็คิดที่จะแกล้งคนขึ้นมาบ้าง นางสงสัยว่าหากว่านางกลายเป็นตัวของตัวเอง อยากทำสิ่งใดก็ทำเช่นนั้นไม่เสแสร้งต่อหน้าเขาอีก เรื่องราวนับจากนี้จะเป็นเช่นใด
ในตอนนี้นางจึงอยากทดสอบ ลองแกล้งเขาดูสักหน่อย
เหยียนซือเหยียนเผยรอยยิ้มภายใต้ผ้าคลุมหน้าจากนั้นก็ลุกขึ้นยืน ใบหน้าหล่อเหลาราวกับไม่ใช่มนุษย์นั้นกำลังขมวดคิ้วมองเหยียนซือเหยียนด้วยความสงสัยทั้งระมัดระวัง
ได้แต่คิดในใจว่า นางคิดจะทำสิ่งใดกันแน่ กระทั่งนางส่งเสียงออกมา
“อ๊ะ ท่านพี่...ข้า...วิงเวียนยิ่ง”
และเมื่อลุกขึ้นนางก็แสร้งยกมือจับศีรษะที่ยังคลุมด้วยผ้าแดง จากนั้นร่างกายกลับเริ่มโอนเอนไปมา ก่อนจะซวนเซแล้วล้มลงไปข้างหน้า ราวกับกำลังจะหมดสติ
ไป๋จิ้งหานตกใจมือแข็งแกร่งยื่นออกไปคว้าเอวนางไว้โดยสัญชาตญาณกระทั่งนางเสียหลักล้มลงนั่งบนตักของเขา
แน่นอนว่านางจงใจ
แต่ทันทีที่สัมผัสกับร่างบาง เขาก็ต้องขมวดคิ้วด้วยความไม่ชอบใจเมื่อถูกมือเล็กของนางรัดเอวเขาเอาไว้แล้วซุกใบหน้าลงมาบนอก
เหยียนซือเหยียนรู้ดีว่าสิ่งที่เขาเกลียดที่สุดก็คือการที่นางใช้มารยาเช่นนี้กับเขา
ดังนั้นชาติที่แล้วหลังจากที่นางวางยากำหนัดในคืนแต่งงาน นางก็ไม่กล้าใช้เล่ห์กลกับเขาอีก
ทว่าชาตินี้นางคิดดีแล้วแม้ว่าจะคิดว่าต่างคนต่างอยู่ แต่สามปีนี้นางต้องได้เอาคืนเขาบ้างเป็นการล้างแค้นเล็ก ๆ ของตนเอง
และเป็นไปอย่างที่นางคิด เพียงนางกอดเขาไป๋จิ้งหานก็ตัวแข็งค้างเอ่ยน้ำเสียงดุกร้าวออกมา
“เอามือออกไป!”
เหยียนซือเหยียนเงยหน้าขึ้นช้า ๆ ริมฝีปากคลี่ยิ้มแผ่ว ผ้าคลุมหลุดออกเผยให้เห็นใบหน้างามสะคราญโฉมที่แต้มด้วยรอยยิ้มอ่อนโยน
“ท่าน...พี่...ข้าเมาแล้วเจ้าค่ะ”
“หึ” เขาหัวเราะเย็นชา “เจ้าเมาหรือ อย่ามาเสแสร้งเลย”
“ไม่ได้เสแสร้งสักนิด...สุรามงคลรสชาติบาดคอนัก ข้าเมาแล้วจริง ๆ เจ้าค่ะ” นางลากเสียงยาวก่อนจะเอนตัวเข้าหาเขาอย่างแนบชิด
นิ้วเรียวขาวไต่ไปตามสันกรามคม เลื่อนผ่านมาที่ริมฝีปากจากนั้นก็วางที่จมูกโด่งได้รูป
“ท่านพี่ ใบหน้านี้ของท่านที่ทำให้ข้าหลงใหลนัก มิน่าเล่าจึงได้มีสตรียอมตายเพื่อท่าน”
จากนั้นก็คิดในใจว่า
สตรีโง่ไยมีอยู่มากนัก ข้าก็โง่จนกระทั่งถูกเขาฆ่าตาย แม่ดอกบัวขาวอี้ชิงคนนั้นก็โง่จึงได้รอเขาจนเหี่ยวแห้งนับสิบปี
นางจ้องเขาโดยไม่หลบสายตา ไม่มีทีท่าเขินอายแต่กลับมองเขาเหมือนกำลังล้อเล่นหยอกเย้ากับนายโลมผู้หนึ่ง
จู่ ๆ ไป๋จิ้งหานก็รู้สึกว่าใบหน้าร้อนผ่าว เขาไม่เคยคิดมาก่อนว่าเหยียนซือเหยียนผู้นี้จะเป็นคนเถรตรงทั้งยังกล่าววาจาหน้าไม่อายเช่นนี้ออกมาได้
“อย่ามาเล่นตลกกับข้า!”
เหยียนซือเหยียนส่ายหน้า
“ตลกอันใดกัน ท่านมีใบหน้างดงามจริง ๆ มิได้ล้อเล่นเลย บุรุษในหอนายโลมยังสู้ท่านไม่ได้ ท่านของข้าท่านหล่อเหลาจริง ๆ เจ้าค่ะ”
เหยียนซือเหยียนเอ่ยเสียงหวาน เอียงคอมองเขาด้วยสายตาเจ้าชู้กรุ้มกริ่ม นางมิได้พูดผิดสักคำ
สาเหตุที่นางคลั่งรักบุรุษผู้นี้จนยอมทำทุกอย่างเพื่อเขานั้นก็เพราะว่าเขาหน้าตาดี ส่วนตัวของนางก็ดันชอบบุรุษหน้าตาดีเสียด้วย แม้ว่าเขาจะทำร้ายจิตใจเพียงแต่เขาอยู่ใกล้ ๆ มองนางสักหน่อย นางก็ลืมทุกอย่างไปอย่างง่ายดาย
ให้ตายเถิด ข้าช่างนิสัยเสียจริง ๆ
ยิ่งเพ่งพิศมอง นางก็ยิ่งเห็นชัดแจ้งบุรุษผู้นี้มีใบหน้าหล่อเหลาคมคาย นัยน์ตาหงส์ ริมฝีปากบางระเรื่อ รูปร่างสูงโปร่ง มีกล้ามเนื้อร่างกายงดงามสมส่วน ท่วงท่าสง่างามประดุจเทพเซียน มองอย่างไรก็ไม่อาจเบื่อได้ แม้ว่าจะมองมาถึงสองชาติอย่างใกล้ชิดก็ยังไม่เบื่อ
ไม่ว่าเวลาจะผ่านไปเท่าใด เขาก็ยังคงรูปงามโดดเด่นอยู่เสมอเสียดายเพียงแต่ใบหน้านี้ของเขาช่างแสดงเพียงด้านที่เย็นชาออกมาเสมอ
ไป๋จิ้งหานเอ่ยถามนางด้วยนางเสียงเต็มไปด้วยโทสะ
“เหยียนซือเหยียน เจ้าเคยไปเที่ยวหอนายโลมด้วยหรือ ช่างไร้ยางอายยิ่งนัก”
จู่ ๆ ก็รู้สึกว่าถูกหยามน้ำหน้าอย่างไรไม่รู้ เมื่อสตรีที่ตามติดเขายิ่งกว่ากาวหนังสุนัขนางนี้เอ่ยว่าไปเที่ยวหอนายโลมมาก่อนแต่งงาน
นี่มันเรื่องบ้าอันใดกัน!
เหยียนซือเหยียนพยักหน้าโดยไร้ความละอาย
“เจ้าค่ะ ไปเปิดหูเปิดตาบ้าง ผู้ใดก็ไปกัน สตรีไปกันมากมายนัก จะไร้ยางอายได้อย่างไร ที่นั่นมีบุรุษดีดพิณ ขับร้อง และยังร่ายรำ น่าเสียดายที่ข้าน่าจะไปตั้งนานแล้วที่นั่นทำให้สำราญช่วยคลายทุกข์ได้ดี ท่านพี่คราหน้าข้าพาท่านไปร่วมสนุกด้วยดีหรือไม่”
ไป๋จิ้งหานมองเหยียนซือเหยียนดวงตาขึงขัง
เหยียนซือเหยียนไยจึงไร้ท่าทางเขินอายเฉกเช่นสาวน้อยวัยสิบเจ็ดอย่างสิ้นเชิง แววตานี้ของนางราวกับสตรีที่ผ่านโลกมาเนิ่นนานแล้ว
“นี่เจ้า...”
ดูเหมือนเขาก็พูดไม่ออกแล้ว เหยียนซือเหยียนฉีกยิ้มดวงตาคู่งามกระจ่างใส
นางมิได้โกหก ชาติที่แล้วหลังจากแต่งงานกับเขามาหลายปี องค์หญิงใหญ่สตรีหม้ายที่เป็นญาติผู้พี่ก็พานางไปเปิดหูเปิดตาจริง ๆ
วันนั้นนางโกรธที่เขาไม่สนใจตนเอง เอาแต่ใส่ใจแม่ดอกบัวขาวอี้ชิงที่แสร้งป่วยนางนั้น ด้วยความน้อยเนื้อต่ำใจเมื่อองค์หญิงใหญ่เชื้อเชิญนางจึงไม่ลังเลที่จะตอบรับ
และช่างเป็นเรื่องที่ตัดสินใจถูกต้อง เมื่อได้ฟังนายโลมผู้งดงามเล่นดนตรี ขับร้องและพูดคุยด้วยถ้อยคำหวานหูก็รู้สึกสดชื่นขึ้นทันตา
เหยียนซือเหยียนในวัยสามสิบกว่าจึงยอมรับว่าความจริงแล้วยังมีบุรุษหน้าตาดีอีกมากมายรอรับใช้นางอยู่ ไยนางจึงได้หลงใหลไป๋จิ้งหานมานานเพียงนั้น
และหลังจากวันนั้นเขาก็วางยาพิษนางจนตาย และแน่นอนว่านางก็ฆ่าเขาเช่นกัน
เมื่อคิดถึงเรื่องนี้ ใจก็รู้สึกโกรธไม่ได้ ถึงแม้ว่าต่างคนต่างล้วนมอบยาพิษถือว่าควรจบสิ้นกันไปได้แล้ว แต่นางก็ยังคงหลงเหลือโทสะที่ซุกซ่อนอยู่ในใจ
จู่ ๆ ภายในดวงตาคู่งามมีประกายความเคียดแค้นเต็มเปี่ยม ไอสังหารพวยพุ่งรอบกาย มือเรียวขาวราวหยกเลื่อนลงมาที่ลำคอขาวของเขาและกำแน่นขึ้นในใจคิดว่า
หักคอให้ตายเลยดีหรือไม่ คนสารเลว!