บทนำ
หวนคืน
“เกาอู๋ฮั่น ท่าน... แค่ก!”
น้ำเสียงแผ่วเบาสั่นเครือเอ่ยถาม ก่อนที่จะกระอักเลือดออกมา แต่แม้จะบาดเจ็บปางตายนางก็ยังคงจดจ้องรอคอย... รอคอยคำอธิบายจากชายผู้เป็นสามี ดวงตาคมแดงก่ำจดจ้องใบหน้าของเขาด้วยความปวดร้าวผิดหวัง ในขณะที่สองมือสองเท้าถูกมัดเอาไว้
หากแต่อีกฝ่ายกลับทำเพียงยกยิ้มดูแคลน สาวเท้าเข้ามาประชิดแล้วใช้ดาบในมือแทงเข้าที่กลางอกของนาง ด้วยสายตาเยือกเย็น
“อั๊ก! ทะ... ทำไมถึงได้...”
“ทำไมน่ะหรือ... เมิ่งหว่านชิง สตรีใจทรามหยาบช้าเช่นเจ้า กล้าถามคำถามนี้กับข้าอย่างนั้นหรือ”
สตรีใจทรามหยาบช้า คิ้วเรียวเล็กขมวดมุ่น ความเจ็บปวดจากคมดาบเมื่อครู่เทียบกับประโยคนี้ของเขาแล้ว กลับสร้างความเจ็บปวดให้นางมากกว่านับร้อยนับพันเท่า
“เกาอู๋ฮั่น เจ้ามันคนไร้คุณธรรม สามปีก่อนข้าก้าวเท้าเข้าจวน ยังไม่ทันเข้าประตูเรือนหอ มารดาของเจ้าก็ร้องขอให้ข้าออกรบแทนเจ้า เจ้าไม่เพียงไม่สำนึกบุญคุณของข้า ยังกล้าร่วมมือกับสตรีหน้าหนาผู้นี้ทรยศข้า!”
เมิ่งหว่านชิงตวัดสายตามองไปทางสตรีที่ยืนข้างกายเขา กู้ฮวาหลัน พี่สาวบุญธรรมของนาง
“ก่อนหน้านี้เป็นข้าที่ตาบอด ถึงได้มองสตรีงูพิษเช่นเจ้าไม่ออก”
“สตรีงูพิษ คำเรียกขานนี้เกรงว่าท่านจะเรียกผิดคนแล้ว”
“น้องหญิงเหตุใดจึงพูดเช่นนี้ เจ้าลืมไปแล้วหรือไรว่าข้าดูแลเจ้ากับแม่ดีแค่ไหน”
ดูแล ก่อนหน้านี้ตัวนางไม่เพียงตาบอด ยังโง่งม มานึกย้อนดูตอนนี้คำว่าดูแลที่อีกฝ่ายพูดถึง ทุกครั้งกลับจบด้วยความทุกข์ทรมานมากกว่าที่ควร
“พี่อู๋ฮั่น ข้าว่าพวกเราปล่อยน้องสาวไปเถิด”
ปากบอกปล่อย แต่มือกลับดันดาบของเกาอู๋ฮั่นจนสุดแรง ฉึก! คมดาบทะลุผ่านร่างกายของเมิ่งหว่านชิง ความเจ็บปวดแผ่ซ่าน ทว่ายังไม่อาจเทียบเท่าความจริงที่เมิ่งหว่านชิงได้ยินผ่านหู
“เมิ่งหว่านชิง เจ้ารู้หรือไม่ในคืนแต่งงานของเจ้า พี่สาวคนนี้ดูแลมารดาของเจ้าอย่างไร”
“เจ้าทำอะไรท่านแม่ของข้า!”
ตอนนี้เมิ่งหว่านชิงรู้ซึ้งถึงธาตุแท้ของกู้ฮวาหลันแล้ว ย่อมไม่เชื่อในคำว่าดูแลของอีกฝ่าย
“ข้าก็ให้นางได้เล่นสนุกกับคนงานในสวนประมาณสัก... เก้าคนสิบคนก็แค่นั้น”
“กู้ฮวาหลัน! เจ้ามันคนอำมหิต!”
“ข้าอำมหิตอะไรกัน แม่ของเจ้าน่ะเก่งมากทีเดียว มอบความสุขให้คนงานเหล่านั้นถึงสามวันสามคืน ได้ยินว่าแม้แต่ตอนที่นางขาดใจตายคาเตียงไปแล้วพวกเขายังสนุกกันต่ออีกหลายรอบเลยทีเดียว”
ดวงตาของเมิ่งหว่านชิงปูดโปนไปด้วยโทสะ แม้แต่น้ำตาที่ไหลรินออกมาก็กลายเป็นสีแดงฉาน เกาอู๋ฮั่นยกยิ้มเย้ยหยันดึงดาบในมือของตนเองออก แล้วใช้เท้ายันร่างที่อาบไปด้วยโลหิตจนล้มลงไปกองกับพื้น
“กู้ฮวาหลัน! เกาอู๋ฮั่น! ต่อให้วันนี้ข้าตายเป็นผีก็จะไม่มีวันปล่อยพวกเจ้า!”
“หึ! สตรีอย่างเจ้ากล้าข่มขู่พวกข้าหรือ! เช่นนั้นวันนี้ข้าจะทำให้เจ้าทุกข์ทรมานอยู่ในเปลวเพลิง อยากตายก็ไม่ได้ตายง่าย ๆ”
มือหนาหันไปหยิบคบเพลิงจากคนติดตามแล้วโยนลงบนพื้นฟางเบื้องหน้าเมิ่งหว่านชิง
“เจ้าสวมรอยเป็นตัวแทนพวกเรามาสามปีแล้ว วันนี้ก็สมควรส่งคืนเสียที”
เปลวไฟลุกโหมกระหน่ำโอบล้อมเผาไหม้เมิ่งหว่านชิงในทันที เพียงแต่สำหรับนางแล้วเปลวเพลิงที่โหมแรงนี้ยังไม่อาจเทียบเท่าเพลิงแค้นที่ปะทุในอก ดวงตาเรียวปิดลงด้วยหัวใจที่ไม่ยินยอม
ชีวิตนี้ข้าช่างโง่งม หากมีโอกาสอีกครั้งข้าจะไม่ยอมเป็นสตรีตัวแทนผู้ใด
ราวสวรรค์เมตตา มอบกาลเวลาหวนคืน ยามที่เมิ่งหว่านชิงเปิดดวงตาขึ้นอีกครั้งกลับพบว่าตนเองกำลังยืนอยู่ที่หน้าประตูเรือนเถาฮวา ของตระกูลเสวี่ย
“เสวี่ยชิงเยี่ยนพาบุตรสาวกลับบ้านเดิม คารวะพี่ใหญ่ พี่สะใภ้”
.......................................
เรื่องนี้เนื้อหาค่อนข้างหนัก ตัวพระนางร้ายกาจ และ รุนแรงมาก
หากใครชอบแนวเบาๆ สบายๆ ไรต์แนะนำกดผ่านเรื่องนี้ได้เลยนะคะ
เมื่อกู้อิงโม่อุ้มเสวี่ยชิงเยี่ยนกลับเข้าเรือนไปแล้ว เมิ่งหว่านชิงก็เชิญหยางเทียนอี้ไปที่ศาลาด้านข้าง เพียงแต่เดินมาได้ไม่ไกลร่างเล็กก็ถูกโอบอุ้มจนตัวลอยจากพื้น “ฝ่าบาทจะทรงทำอะไรเพคะ” “ข้าเองก็หวาดกลัว อยากกลับเข้าห้องให้เจ้าปลอบโยนเช่นกัน” ได้ยินคนสูงศักดิ์ใช้อุบายเดียวกับบิดาเลี้ยงเมิ่งหว่านชิงก็อดที่จะขบขันไม่ได้ ก่อนจะสบตาเอ่ยถามสีหน้าจริงจัง “พระองค์ทำเช่นนี้คุ้มแล้วหรือเพคะ” “หากเจ้าหมายถึงเรื่องสละบัลลังก์ ตั้งแต่ต้นข้าก็ไม่เคยต้องการ” “เช่นนั้นพระองค์ต้องการอะไรกันพคะ” “ต้องการเป็นสวามีเพียงคนเดียวของเจ้า” ริมฝีปากบางยกยิ้มขบขันในทันทีที่ได้ยินความต้องการของคนตัวโต หากแต่หยางเทียนอี้กลับขมวดคิ้วแน่นด้วยท่าทีไม่ยินยอม “ชิงชิง ข้าไม่ยอมเป็นอนุหรอกนะ” คิ้วเล็กขมวดเข้าหากันด้วยความสงสัยตั้งแต่เมื่อไหร่กันที่นางบอกว่าจะให้เขาเป็นอนุชาย แต่เมื่อคิดถึงเหตุการณ์ก่อนหน้านี้ ความสงสัยก็คลายออกในทันที “ท่านแม่ของข้าเพียงแค่เอาคืนความเจ้าเล่ห์ร้ายกาจของท่านอารองกู้เท่านั้น ไม่ได้ตั้งใจให้เขาเป็นอนุจริงๆ” “ถึงอย่างไรข้าก็ไม่ยินดี ชีวิตนี้ข้าจะมีเพียงเจ้าเป็นภรรยา และก็ไม่ยินยอม
หลังจากเดินออกจากท้องพระโรงหยางเทียนอี้ก็กลับไปที่ตำหนักส่วนพระองค์ บรรดาขุนนางต่างเดือดดาลและคิดว่าอย่างไรเสียเขาก็ต้องกลับมาขอร้องและยอมรับข้อเสนอของพวกตน จะมีบุรุษใดไม่รักอำนาจ ไม่ปรารถนาเป็นผู้นั่งบนบัลลังก์มังกร ดังนั้นพวกเขาแค่อดทนรออีกไม่กี่วันก็จะสามารถควบคุมหยางเทียนอี้เอาไว้ในฝ่ามือได้ เพียงแต่สิ่งที่เหล่าขุนนางคิดไม่ถึงก็คือ ตะวันไม่ทันตกดินหยางเทียนอี้ก็นำกำลังส่วนตัวควบม้าออกจากประตูเมืองตะวันออก"เกิดอะไรขึ้น นั่นไม่ใช่ฝ่าบาทของพวกเราหรือ เหตุใดพระองค์จึงออกจากเมืองอย่างกะทันหันเช่นนี้เล่า""เจ้าไม่รู้หรือไร เมื่อเช้านี้พวกขุนนางบีบบังคับให้ฝ่าบาทแต่งตั้งบุตรสาวของตนเองเป็นฮองเฮาและนางสนม พระองค์ไม่ยินยอมเป็นเครื่องมืออำนาจให้คนพวกนั้นจึงได้สละราชบัลลังก์แล้ว""สละราชบัลลังก์! เช่นนี้ต้าเซี่ยของพวกเราจะทำอย่างไร"เพียงสามวันข่าวลือเรื่องขุนนางบีบบังคับฮ่องเต้จนต้องสละราชบัลลังก์ลี้ภัยออกจากเมืองก็ถูกเล่าลือไปทั่วต้าเซี่ย ชาวเมืองต่างวิพากษ์วิจารณ์ต่างๆ นานา ถึงกระทั่งบางคนยังไปรวมกลุ่มกันที่หน้าประตูจวนของขุนนางเพื่อตะโกนด่าทอและสาบแช่ง ทั่วทั้งเมืองหลวงวุ่ยวายเกิดจลาจลกล
องค์ฮ่องเต้หยางเทียนจงได้ยินว่ารุ่ยอ๋องกลับเข้าเมืองมาช่วยเมิ่งหว่านชิงก็หัวเราะเสียงดังก้องอย่างพึงพอใจ น้องชายของเขาผู้นี้เก่งกาจทั้งบุ๋นบู๊ แต่กลับเป็นเพียงบุรุษอ่อนแอ ปล่อยให้สตรีนางหนึ่งควบคุมจิตใจ หนีออกไปได้แล้วอย่างไร เขาแค่ใช้แผนการเล็กๆ น้อยๆ ล่อสตรีแซ่เมิ่งผู้นั้นเข้ามา น้องชายผู้โง่เขลาก็วิ่งกลับมาติดกับเช่นเดิม "บัลลังก์นี้เป็นของข้า ใครก็ไม่สามารถมาแย่งชิงไปได้" กล่าวจบหยางเทียนจงก็เดินผ่านประตูข้างตรงไปยังท้องพระโรง มองเก้าอี้บัลลังก์มังกรด้วยสายตาแดงก่ำ ทั้งยินดี แล้วเศร้าหมองไปพร้อมๆ กัน ภาพในวันวานสะท้อนกลับมาในความทรงจำ ครั้งหนึ่งเบื้องหน้าบนเก้าอี้มังกรตัวนี้เคยมีบิดานั่งอย่างสง่า เก้าอี้หงส์ด้านข้างก็มีมารดาผู้งดงามนั่งเคียงข้าง ทอดสายตารักใคร่อ่อนโยนมองดูเขาและหยางเทียนอี้วิ่งเล่นกันอย่างสนุกสนาน ริมฝีปากคลี่ยิ้มกว้างอ่อนโยนมองไปที่พื้นกลางห้องโถง "เสด็จพี่อุ้มๆ ข้าเจ็บ" เสียงของหยางเทียนอี้ในวัยเยาว์ยามหกล้มร้องขอให้เขาโอบอุ้มยังคงชัดเจนในความทรงจำ เพียงแต่เมื่อหลับตาลงและลืมขึ้นอีกครั้งทุกอย่างก็ล้วนจางหายเหลือเพียงห้องโถงที่ว่างเปล่าโดดเดี่ยว โดดเดี่ยวแล้ว
"นี่ไม่ใช่รุ่ยอ๋อง!"ทหารที่วิ่งนำทางเข้ามาในคุกหลวงร้องบอก เมิ่งหว่านชิงขมวดคิ้วแน่นไม่คิดว่านางวางแผนการอย่างรัดกุมถึงเพียงนี้กลับยังพลาดท่าให้กับฮ่องเต้ทรราช ดังนั้นจึงรีบสั่งให้คนของตนรีบถอยออกในทันที เพียงแต่ให้นางดำเนินการรวดเร็วมากมายเพียงใด ก็ยังคงช้ากว่าคนวางแผนการ ยามเมื่อออกพ้นประตูคุกหลวงมาก็พบว่าเบื้องหน้าถูกล้อมด้วยทหารจำนวนมาก อีกทั้งคนที่นำทหารมาจับกุมตนยังเป็น..."เกาอู๋ฮั่น!!"มือเรียวกำเข้าหากันแน่น ในชาติก่อนหลังสงครามเมืองประจิมเสร็จสิ้น นางกลับเมืองหลวงก็ถูกเขาลอบวางแผนจับตัวและสังหารอย่างโหดเหี้ยม ไม่คิดว่าในชาตินี้เหตุการณ์ก็ยังคงวนมาให้นางถูกเขาจับกุมอีกเช่นเคย"ฮูหยินคนเก่งของข้า สามีมารับกลับจวนแล้ว""ผู้ใดเป็นฮูหยินของเจ้ากัน!!"เมิ่งหว่านชิงโต้กลับเสียงแข็งกร้าวดุดัน ยิ่งคิดถึงเรื่องราวในชาติก่อน สายตาคมเรียวก็มองชายตรงหน้าด้วยความคับแค้นใจ"เมิ่งหว่านชิง เจ้าใช้สถานะฮูหยินของข้าทูลขอตรานำทัพจากฝ่าบาท เท็จทูลเอาความดีความชอบใส่ตน กล่าวหาว่าข้าเป็นคนไร้ความรับผิดชอบหนีทัพ หากไม่เพราะฮ่องเต้ทรงปรีชาและเชื่อใจตระกูลเกาตอนนี้ตระกูลเกาของข้าถูกประหารทั้งตระกูล
เหตุการณ์รุ่ยอ๋องสังหารเหอไทเฮาแพร่กระจายไปทั่วทั้งแคว้นต้าเซี่ย เมิ่งหว่านชิงที่ได้รับข่าวขบกรามแน่น ตั้งแต่ต้นตัวนางก็ไม่ไว้ใจองค์ฮ่องเต้อยู่แล้ว หากแต่ไม่คาดคิดว่าอีกฝ่ายจะใช้แผนการใส่ความร้ายแรงเช่นนี้ "ท่านแม่ทัพไม่ทราบว่าท่านเรียกประชุมด่วนเช่นนี้มีเรื่องอันใดหรือขอรับ"รองแม่ทัพฉาง ที่ตอนนี้ยอมรับในตัวเมิ่งหว่านชิงแล้วเอ่ยถามด้วยความเคารพ หญิงสาวจึงหยิบป้ายบัญชาการทหารออกมาวางลงบนโต๊ะเบื้องหน้า สร้างความตื่นตกใจให้กับทุกคนเป็นอย่างยิ่งคืนป้ายบัญชาการ นี่ไม่เท่ากับนางกำลังถอนตัวจากกองทัพหรือ"ท่านแม่ทัพ นี่ท่านหมายความว่าอย่างไร"รองแม่ทัพตงเอ่ยถามด้วยความร้อนรน ก่อนหน้านี้เขายอมรับว่าดูแคลนที่นางเป็นสตรี แต่หลังจากได้ร่วมทัพแม้เป็นระยะเวลาสั้นๆ กลับทำให้เขานับถือนางจากใจจริง“ข้ามีบางเรื่องต้องจัดการ ตำแหน่งแม่ทัพนี้จึงไม่อาจรับผิดชอบได้อีก"เพราะตัดสินใจที่จะเข้าเมืองไปช่วยหยางเทียนอี้ ดังนั้นเมิ่งหว่านชิงจึงไม่อาจครองตำแหน่งแม่ทัพนี้เอาไว้ได้ ดวงตาเรียวหันไปทางเซี่ยหลิงซางก่อนจะมอบจี้หยกประจำตระกูลเมิ่งและป้ายบัญชาการกองทัพบูรพาให้กับเขา"พี่ชายหลิงซาง ต่อจากนี้ขอฝากกองกำลั
“ไทเฮาเสด็จ!”เสียงรายงานดังมาจากด้านหน้าตำหนักรับรอง หยางอี้เทียนขมวดคิ้วหนา แน่นอนว่าเขาในฐานะอดีตองค์ชายการพบปะกับไทเฮานั้นเป็นเรื่องปกติ ทว่าก่อนหน้านี้เขาเป็นคนสั่งการลงทัณฑ์สังหารต้วนอ๋อง พระโอรสเพียงหนึ่งเดียวของเหอไทเฮา แน่นอนว่าด้วยเหตุและผลการพบปะครั้งนี้นับว่าเป็นเรื่องไม่สมควรเป็นอย่างยิ่ง ดังนั้นเพื่อหลีกเลี่ยงเรื่องวุ่นวายในภายหลัง รุ่ยอ๋องจึงให้คนออกไปปฏิเสธการเข้าพบของเหอไทเฮา“ไปทูลไทเฮาว่าข้าไม่สะดวกพบพระองค์”สายตาคมมองบรรดาขันทีนางกำนัลที่ถูกส่งมายืนนิ่งไม่ไหวติง ก็เข้าใจอย่างชัดเจนว่านี่ต้องเป็นแผนการยืมมือฆ่าคนแน่ๆ และเป็นเช่นที่เขาคาดการณ์ เมื่อประตูตำหนักรับรองถูกเปิดออก ร่างของสตรีในชุดสูงศักดิ์ปรากฏอยู่เบื้องหน้า“ไทเฮามีเรื่องต้องการสนทนากับรุ่ยอ๋องตามลำพัง พวกกระหม่อมไม่ขออยู่รบกวน ทูลลาพ่ะย่ะค่ะ”พูดจบคนทั้งหมดก็ออกไปยืนที่ด้านนอกตำหนัก ปากบอกว่าไม่ต้องการรบกวน แต่การกระทำชัดเจนว่าเป็นการควบคุมให้คนทั้งสองอยู่ร่วมกันในตำหนัก“ถวายพระพรไทเฮา”“เจ้าสังหารลูกของข้ายังต้องมาเสแสร้งต่อหน้าข้าอีกทำไมกัน”เหอไทเฮากัดฟันเอ่ยเสียงสั่น สองแก้มอาบไปด้วยหยาดน้ำ สองตาแ