เมื่อถึงเวลาที่จะต้องไปขึ้นเกี้ยวหน้าจวน อนุลิ่วเดินจูงบุตรสาวมาส่งขึ้นเกี้ยวที่หน้าประตูจวนตระกูลหยู โดยมีนายท่านหยูและฮูหยินรวมถึงบุตรสาวและบุตรชายบางคนมายืนอยู่ด้วย ที่จริงแล้วพวกเขามิได้คิดจะมายืนรอส่งเจ้าสาวที่เป็นบุตรสาวตระกูลหยูเช่นกัน แต่พวกเขามายืนรอดูเพื่อให้แน่ใจว่าเพ่ยอันขึ้นไปบนเกี้ยวเจ้าสาวแล้ว และเกี้ยวนี้ทางวังหลวงส่งมาพร้อมกับสินสอดหนึ่งหีบเล็ก นับเป็นขบวนเจ้าสาวที่น่าอนาถใจไม่่น้อย
ขบวนเจ้าสาวที่ออกเดินทางมีเพียงเกี้ยวและบ่าวชายที่หาบสินสอดหีบเล็กใส่ตระกร้าสานใบใหญ่และอีกด้านของตระกร้าสานนั้นเป็นหีบใส่ข้าวของๆเจ้าสาว เดินตามขบวนเกี้ยวไปเพียงคนเดียวเท่านั้น ไม่มีคนติดตามเจ้าสาว ไม่มีสาวใช้แม้สักคนเดียวไปกับเกี้ยวด้วย สินเดิมของเจ้าสาวนั้นไม่มี สินสอดนั้นก็มีที่ทางวังหลวงจัดมาให้เพียงหีบเดียว ส่วนสินสอดของเจ้าบ่าวนั้นไม่มี และย่อมไม่มีเจ้าบ่าวมารับเจ้าสาวด้วยเช่นกัน
อนุลิ่วจ้องมองเกี้ยวเจ้าสาวอย่างสะท้อนใจ บุตรสาวของตนเป็นบุตรีขุนนาง มีราชโองการได้สมรสกับท่านอ๋องอี้เหวิน แต่ขบวนส่งเจ้าสาวกลับน่าอนาถเพียงนี้ ยิ่งกว่าที่นางเคยเห็นขบวนเจ้าสาวของชาวบ้านธรรมดาทั่วไปในเมืองนี้เสียอีก นางกลั้นน้ำตาเอาไว้เพราะเกรงว่าจะไม่เป็นมงคลต่อบุตรสาวของตนเอง มืออูมที่ด้านในมือสากเพราะต้องทำงานหนักมาแทบจะทั้งชีวิต เป็นอนุอยู่ในจวนขุนนางแต่ก็ไม่ได้มีความสุขสบายเลย เบี้ยหวัดที่ควรได้มายังชีพก็เพียงเล็กน้อย แทบจะไม่พอประทังชีวิตของสองแม่ลูก แต่นางก็เพียรไปหางานรับจ้างมาทำที่เรือนให้พอมีเงินประทังชีวิตโดยไม่ถึงกับอดอยากมากนักและยังมีเงินเก็บออมเอาไว้บ้าง เผื่อยามฉุกเฉินจะได้มีเงินทองเอาให้ใช้จ่าย
อนุลิ่วควักถุงผ้าเล็กๆออกมาจากเอวของนาง แล้วใส่เอาไว้ในมือของบุตรสาว “ อันเอ๋อ เจ้าเอาเงินนี้ติดตัวไว้นะ แม่ไม่รู้ว่าที่จวนของท่านอ๋องจะเป็นอย่างไรบ้าง แต่เราควรมีเงินติดตัวเอาไว้บ้างเผื่อยามลำบาก ” เพ่ยอันแทบไม่อยากจะรับเงินจากมารดามาเลย เพราะนางเป็นห่วงมารดาที่อยู่เพียงลำพังจะลำบาก เผื่อยามเจ็บไข้จะได้มีเงินซื้อหยุกยาบ้าง “ แม่แบ่งเงินเอาไว้แล้ว แค่แบ่งให้ลูกติดตัวไปบ้าง ไม่ต้องห่วงตอนนี้แม่แข็งแรงดีและยังมีงานทำอยู่เรื่อยๆ คงจะพอเก็บเงินได้อีก ไม่ต้องเป็นห่วงแม่นะ ” นางยัดเงินใส่มือของบุตรสาวจนได้ สองแม่ลูกกอดกันแน่นอย่างแสนคิดห่วงหาอาทรกัน เพราะตั้งแต่เกิดมาไม่เคยแยกห่างกันเลย และไม่คิดว่าวันที่ต้องจากกันจะมาถึงเร็วปานนี้
“ เอาละ อย่าอ้อยสร้อยให้มันมากนัก มันจะเลยฤกษ์มงคลไปเสียเปล่า ” เสียงของฮูหยินใหญ่เอ่ยขึ้น เพราะนางเห็นสองแม่ลูกร่ำลากันนานมากแล้ว “ ใช่ รีบไปเสียเถิด มันจะเลยฤกษ์ยาม ไม่ต้องเป็นห่วงกันมากขนาดนั้น นางได้แต่งเป็นชายาอ๋องนะ ไม่ใช่ชาวบ้านธรรมดา ” นายท่านหยูหลี่กงเอ่ยขึ้น แต่เขาไม่ได้พูดจนจบประโยคว่า อ๋องที่ไร้บรรดาศักดิ์ ไร้ทรัพย์สินเงินทองและอำนาจเท่านั้น แถมจวนยังถูกยึดไปต้องย้ายไปอยู่จวนร้างท้ายตลาดอีกด้วย นับเป็นบิดาที่ใช้ไม่ได้ ไม่มีความเป็นห่วงบุตรสาวของตนเองเลยแม้แต่น้อย
“ เอาละ อันเอ๋อรีบขึ้นเกี้ยวไปเสียเถิด ไม่ต้องเป็นห่วงแม่นะ หากเจ้ามีเวลาก็มาเยี่ยมแม่ หรือว่าหากแม่ไปส่งงานที่ร้านอาภรณ์ที่ตลาดแม่จะแวะไปเยี่ยมนะ เราไม่ได้จากกันไกล เรายังพบกันได้ ” อนุลิ่วเอ่ยขึ้น เพ่ยอันพยักหน้านางกอดมารดาอีกครั้งแล้วก็ยอมเดินขึ้นเกี้ยวไปแต่โดยดี ท่ามกลางความโล่งใจของทุกคนในตระกูลหยูที่เกรงกลัวอาญาจากฮ่องเต้หากไม่ทำตามมราชโองการ จึงโล่งใจนักที่บัดนี้กาฝากตระกูลหยูอย่างหยูเพ่ยอันนั้นได้จากไปแล้ว ไม่ต้องสิ้นเปลืองเบี้ยหวัดในการเลี้ยงดูอีก เหลือเพียงมารดาของนางที่คงจะต้องลดเบี้ยหวัดที่เคยให้ลงไป เพราะตอนนี้เหลือแค่ปากท้องเดียวจะต้องใช้เงินอะไรกันมากมาย
ฮูหยินใหญ่ครุ่นคิดตามภาษาคนใจดำ ที่มีความเมตตาต่อคนที่ไม่ใช่ครอบครัวของตนเองน้อยเต็มที แล้วทั้งหมดก็หันหลังเดินกลับเข้าจวนไปเหมือนไม่มีสิ่งใดเกิดขึ้น เหลือเพียงอนุลิ่วที่ยังคงจ้องมองตามเกี้ยวของบุตรสาวไปจนลับตา นางยกมือขึ้นเช็ดน้ำตา แล้วปลอบใจตนเองว่าคงไม่เป็นไร บุตรสาวแค่จากไปไม่ไกลนัก นางจะหมั่นไปเยี่ยมเพื่อดูความเป็นอยู่ของนาง หากทำได้นางจะลาออกจากจวนนี้ไปอยู่กับบุตรสาวในอนาคต เมื่อคิดได้เช่นนี้อนุลิ่วก็ใจชื้นขึ้น แล้วเดินกลับเข้าจวนไป
เมื่อผ่านเรือนหลักก็ไม่เห็นใครสักคนแล้ว คนพวกนั้นไร้น้ำใจต่อนางและบุตรสาวจริงๆ ไม่เห็นว่าบุตรสาวของนางก็เป็นบุตรของตระกูลหยูเช่นกัน อนุลิ่วถอนหายใจน้อยๆระหว่างที่เดินกลับไปยังเรือนเล็กที่ท้ายจวนของตนเอง มีสามีผิดคิดจนตัวตายอย่างแท้จริง นางครุ่นคิด
เมื่อขบวนเจ้าสาวไปถึงหน้าประตูจวนที่ดูเงียบเชียบเหมือนไม่มีสิ่งมีชีวิตใดอยู่ในนั้น ทั้งขบวนมีเพียงคนหามเกี้ยวตามประเพณีและคนหาบสินสอดที่มีเพียงหีบเล็กๆใบเดียวและมีหีบเก่าๆใส่ข้าวของๆเจ้าสาวเพียงเท่านั้น ตามหลังมานั้นหยุดลงที่หน้าประตูแล้ว ก็มีเสียงร้องบอกให้กับเจ้าสาวรู้ เพ่ยอันเปิดผ้าม่านดูก็พบว่ามาถึงที่จวนของเจ้าบ่าวแล้ว แต่มันดูทรุดโทรมและเงียบเชียบยิ่งนัก ไม่มีคนออกมารอรับที่หน้าประตูจวนเหมือนที่นางเคยเห็นในงานแต่งของคนอื่น เพ่ยอันก้าวเท้าลงจากเกีี้ยวและบ่าวชายคนที่หาบตระกร้าสานใส่หีบสองใบนั้นก็เดินตรงมาหานาง
“ คุณหนูขอรับหีบสองใบนี้จะเอาวางไว้ที่ใดขอรับ ข้าจะได้หาบเข้าไปไว้ด้านในให้ ” เพ่ยอันเปิดประตูจวนออกกว้างแล้วเดินเข้าไปในลานกว้างนั้น นางชี้มือไปที่หน้าเรือน “ เอาวางไว้ที่หน้าเรือนก็ได้จ๊ะ ข้ายังไม่รู้ว่าจะพักห้องไหน ” บ่าวชายคนนั้นจึงได้หาบตระกร้าสานใบใหญ่นั้นตรงไปที่หน้าเรือนที่มีเพียงหลังเดียวในจวนเล็กนั้น เขายกหีบใบใหญ่วางริมผนังเรือนและยกหีบใบเล็กวางซ้อนกันเอาไว้ แล้วเดินกลับมาหาเพ่ยอัน
“ คุณหนูขอรับ ข้าส่งคุณหนูแค่นี้นะขอรับ แล้วจะกลับกันเลย ขอให้คุณหนูมีความสุขมากๆ มีลูกเต็มบ้านมีหลานเต็มเมือง ร่ำรวย เฮงๆ นะขอรับ ” บ่าวชายผู้นั้นออกปากอวยพรคุณหนูเล็กของจวนหยูที่เขาเป็นบ่าวอยู่ที่นั่นเพราะเขาเวทนานางเต็มทน เมื่อเห็นขบวนเจ้าสาวที่น่าอนาถเช่นนี้ เขาเป็นบ่าวมาหลายสิบปีก็เพิ่งเคยเห็น แต่ก็นั่นแหละเขาเองก็รู้อยู่เต็มอกว่าสภาพของสองแม่ลูกที่จวนหยูนั้นเป็นอย่างไร น่าสงสารกว่าหญิงชาวบ้านทั่วไปอีก
บทส่งท้าย เรื่องชีวิตรักของคุณชายหวู่เฉิงหว่าน นั้นอาภัพรักจริงหรือไม่ …..คุณชายหวู่เฉิ่งหว่านผู้ช้ำรัก หลังจากที่เขากลับมายังเมืองชานตง และได้เข้าไปที่ร้านอาภรณ์พบกับมารดาของเพ่ยอัน และได้รู้เรื่องราวทั้งหมดว่าเพ่ยกันกลับไปคืนดีกับสามีของนางแล้ว และพวกเขากำลังจะแต่งงานกันอีกครั้ง และนางนั้นได้เป็นถึงพระชายาของท่านอ๋องอี้เหวิน และอีกไม่นานมารดาของนางที่ดูแลร้านให้เขาอยู่ในขณะนี้ก็จะขอลาออก เพื่อย้ายไปอยู่กับบุตรสาวที่ตำหนักของท่านอ๋อง เพราะเพ่ยอันตั้งครรภ์ตั้งแต่อยู่ที่ร้านนี้แล้ว แต่นางไม่ได้บอกผู้ใด จนเมื่อคืนดีกับสามีนางถึงได้บอกกับทุกคนว่านางตั้งครรภ์บุตรของท่านอ๋องอี้เหวินแล้ว เป็นอันว่าหนทางรักของเขากับเพ่ยอันสิ้นสุดลงเพียงเท่านี้ ความหวังของเขาที่จะรับนางเป็นอนุนั้นเป็นหมันลงอีกครั้ง แต่อีกใจนั้นเขาก็ยินดีกับนางด้วย นางนั้นมีวาสนาได้เป็นถึงพระชายาของท่านอ๋อง จะมามัวอยากจะฉุดรั้งนางเอาไว้กับเขาและมอบเพียงตำแหน่งอนุให้กับนางนั้น ดูจะเป็นการเห็นแก่ตัวไม่น้อย คุณชายหนุ่มรับปากกับมารดาของเพ่ยอันว่าจะหาคนมาดูแลร้านนี้แทนนาง และมารดาของเพ่ยอันนั้นก็แสนจะดี นางบอกว่าจะอยู่ดูแลร้
“ อ๊าย อ๊ายย อ๊ะ อ๊ะ อย่านะ อย่านะ อ๊าย ” อดีตชายาที่กำลังจะต้องหวนคืนกลับมาดิ้นรนส่ายร่างไปมา นางแอ่นอกจนโค้งขึ้นหาปากหนานั่น อ๋องหนุ่มยิ่งดูดดึงนางยิ่งขึ้น เขาทั้งเลียทั้งดูดดื่มมัน จนร่างบางครวญครางกระเส่าอย่างทนต่อไปไม่ไหวมือหนาของเขาควานลงไปในชุดกระโปรงของนางจนพบเนินอวบใหญ่เต็มมือของเขา แล้วตรงเข้าขยำมันเบาๆ บีบเค้นคลึงไปมา นิ้วแกร่งก็สอดเข้าไปควานในร่องอวบนั้น นิ้วแกร่งสอดเข้าไปในร่องอวบนั้นช้าๆ จนมันมิดลำกาย เพ่ยอันกรีดร้องเสียงดังด้วยความเจ็บปวดเพราะนางนั้นแม้จะเคยเริงรักกับเขามาแล้ว แต่ก็ห่างกายกันไปนาน จึงยังทั้งเจ็บทั้งแสบไม่น้อย อ๋องหนุ่มประกบจูบนางทันทีอย่างดูดดื่ม เขาวนเวียนจูบนางจนเคลิบเคลิ้ม มือด้านล่างก็ชักเข้าสุดออกสุด จากที่เป็นจังหวะช้าๆก็เร่งขึ้นเรื่อยๆ จนกระทั่งกระแทกนางอย่างรัวเร็ว “ อ๊าย อ๊าย อ๊าย อ๊ะ อ๊ะ ” สะโพกอวบของนางกระตุกเกร็งหลายๆครั้ง น้ำหวานของนางซึมออกมาเปื้อนมือของเขา ร่างบางหอบหายใจอย่างเหน็ดเหนื่อย อ๋องหนุ่มปลดสายคาดเอวของเขาออก แล้วดึงรั้งกางเกงเอารูดของเขาลงไปจนพ้นหัวเข่า เพื่อปลดปล่อยลำกายอวบใหญ่่ออกมา มันพรักพร้อมเมื่อเห็นเมียรักส่า
ส่วนอ๋องหนุ่มทำเป็นยังไม่ฟื้นแต่ก็แอบมองชายาของตนเองเวลาที่นางเผลอ เขาไม่อยากจะหายเร็วจนเกินไป อยากจะแสร้งทำเป็นเจ็บป่วยและอ้อนนางอยู่ที่นี่จนกว่านางจะหายโกรธและยอมกลับตำหนักไปกับเขา ก่อนมาเขาขอให้ฮ่องเต้ที่เป็นพี่ชายต่างมารดาของเขาดูแลท่านหญิงน้อยให้เขาแล้วจึงไม่ต้องเป็นห่วงบุตรสาว อ๋องหนุ่มแสร้งทำเป็นนอนสลบอยู่บนเตียงยังไม่ฟื้นทั้งที่จริงเขาฟื้นหลังจากที่ท่านหมอกลับไปเพียงแค่ครู่เดียว และเขารู้สึกว่าไม่ได้เจ็บปวดอะไรมาก เพียงแค่เขาอาจจะเคยมีอาการบาดเจ็บที่ศีรษะมาก่อนที่เป็นสาเหตุที่ทำให้ความจำเสื่อมและคงจะกระแทกถูกบาดแผลเก่าเข้า ทำให้เขาสลบไป แต่เขารู้สึกว่าไม่ได้เป็นอะไรมาก มีเพียงแค่แผลที่หัวและที่แขนซ้ายนิดหน่อยเท่านั้น หลังจากที่นอนไปหลายชั่วยามก็รู้สึกว่าอาการดีขึ้นมากจนสามารถลุกขึ้นได้แล้ว แต่เขาเกรงชายาจะไล่ให้เขากลับไปเขาจึงทำเป็นยังไม่ฟื้น และเมื่อถึงเวลาค่ำคืน หลังจากที่มารดาของเพ่ยอันมาดูอาการท่านอ๋องก่อนที่นางจะเข้านอนในอีกห้องหนึ่งแล้ว เพ่ยอันจำต้องอยู่ดูแลเขาในห้องนี้เผื่อว่าเขาจะฟื้นขึ้นมานางจะได้ให้เขาดื่มยาที่ท่านหมอเจียดเอาไว้ให้เพ่ยอันเดินไปนอนที่ตั่งไม้ริมผนั
แต่นั่นเป็นเพียงความคิดของเพ่ยอันเพียงเท่านั้น อ๋องหนุ่มตั้งใจเอาไว้แล้วว่าเขาจะไม่มีทางยอมแพ้ เขาเช่าห้องแถวที่ว่างอยู่ตรงข้ามกับห้องแถวของนางเพื่อจับตาดูนางกับคุณชายหวู่และอาจจะมีบุรุษอีกหรือไม่ เขาจะต้องรู้ให้ได้ว่านางมีรักใหม่กับชายอื่น และนางคิดจะสวมหมวกเขียวให้เขาหรือไม่ ด้านฮ่องเต้ก็สถาปนาพระสนมเอกคือท่านหญิงอวี้ชางและย้ายนางมาอยู่ตำหนักใกล้ๆกันกับเขา โดยบิดาของนางตอนแรกก็ตกใจยิ่งนัก เพราะเป็นเรื่องที่เขาคาดไม่ถึง แต่กลับกลายเป็นธิดาของเขาได้ดีกว่าเดิม นางกลายเป็นสนมเอกของฮ่องเต้และดูทั้งสองจะรักใคร่และหลงไหลกันมากอีกด้วย ท่านอ๋องอิ้นจึงไม่รื้อฟื้นเรื่องการแต่่งงานกับท่านอ๋องอี้เหวินอีก เขาปล่อยผ่านมันไป เพราะเขาสมใจเรื่องธิดาแล้ว และนางทำท่าว่าจะได้ดีกว่าเดิม อีกไม่นานคงจะเลื่อนขัั้นขึ้นไปอีก เพราะเขาสังเกตุว่าฮ่องเต้ดูจะหลงไหลนางมาก หากนางตั้งครรภ์มังกรเขาก็สบายและนางเองก็สบาย เมื่อเสร็จพิธีการสถาปนาธิดาเขาก็เดินทางกลับไปยังเมืองที่ตนเองปกครองทันที เรื่องของท่านหญิงอวี้ชางก็จบลงโดยดี นางพอใจและหลงไหลฮ่องเต้หนุ่มมาก นางแทบจะลืมไปเลยว่านางเคยหลงรักท่านอ๋องอี้เหวิน เพราะนาง
อ๋องหนุ่มนั้นเมื่อไปราชการนอกเมือง เมื่อนั่งรถม้ากลับมากับคนสนิทคือเฉฺิินหมิ่นนั้น อยู่ๆ เขากลับฟื้นความทรงจำได้ และจดจำได้ว่าตนเองแต่งงานใหม่แล้ว และชายาคือหยูเพ่ยอัน เขารีบกลับไปที่จวนท้ายตลาด แต่ไม่พบใครที่นั่น และนางไม่ได้เขียนจดหมายทิ้งไว้เลย นางพวกนางพากันย้ายไปอยู่ที่ใด นางเก็บข้าวของๆนางและมารดาไปหมด พวกเขาค้นทุกอย่างในจวนแล้ว มีแต่ข้าวของๆ ท่านอ๋องและท่านหญิงน้อยที่เก็บเอาไว้ที่เดิม แต่ไม่มีสิ่งใดที่เป็นของๆสองแม่ลูกเลย มีเพียงข้าวของที่พวกเขาซื้อหามาใช้และนางคงจะขนเอาไม่ได้ได้ จึงไม่ได้เก็บเอาไปด้วย อ๋องหนุ่มรู้สึกว่าความหวังว่าจะได้อยู่กันพร้อมหน้านั้นพังลงไปในพริบตา เมื่อพบว่าในจวนนั้นว่างเปล่าไม่มีร่างของเมียรักของเขาอยู่เลย “ ท่านอ๋องขอรับ พวกนางคงจะไปหลายวันแล้ว เพราะว่าฝุ่นเริ่มจะจับไปจนทั่ว ถ้าเช่นนั้นเรากลับกันก่อนดีหรือไม่ แล้วค่อยสืบหาพวกนางว่าย้ายไปอยู่ที่ใดกัน ” อ๋องหนุ่มนั่งนิ่งงัน เขานึกไม่ออกว่านางจะไปที่ใด และทำไมนางถึงไม่อยู่รอเขาที่นี่ หาเขาเสร็จภารกิจย่อมจะต้องกลับมารับนาง เฉินหมิ่นเห็นท่านอ๋องมีท่าทางเสียใจ เขาจึงได้สารภาพว่าเขาบอกกับพระชายาไปอย่า
แต่เมื่อค้นพบแล้วก็จะเก็บนางเอาไว้บำเรอรักเช่นนี้ แต่เขามิอาจยกนางเป็นฮ่องเอาได้ แต่เขาจะยกนางเป็นสนมเอกและท่านอ๋องอิ้นบิดาของนางก็คงจะพอใจที่นางจะแต่งเป็นเพียงชายาของอ๋องอี้เหวินน้องชายของเขา กับหญิงอื่น เขาแต่งกับพวกนางเพื่อเชื่อมสัมพันธไมตรีระหว่างแคว้นเพียงเท่านั้น และบางนางเขาก็แต่งเพื่อถ่วงดุลอำนาจของเขา และเพื่อความมั่นคงของแคว้นเพียงเท่านั้น เขาอยู่กับพวกนางเพราะหน้าที่ ดูแลพวกนางตามหน้าที่ของสวามี แต่กับท่านหญิงอวี้ชางสนมหมาด ๆ ผู้นี้ หญิงที่เขามองข้ามไม่เคยสนใจ เพราะเห็นว่านางจืดชืดจนเกินไป และทุกอย่างที่เขาทำลงไปในวันนี้ก็เพื่อน้องชายร่วมบิดา คืออ๋องอี้เหวินเท่านั้น แต่เขากลับพบว่า นางถูกอกถูกใจเขายิ่งนัก ฮ่องเต้หนุ่มโยกขย่มร่องอวบของนางสนมหมาด ๆ อย่างเร่าร้อน นางก็โยกสะโพกอวบรับลำกายแกร่งของเขา สองแขนเรียวก็ยกขึ้นโอบลำคอเขาเอาไว้ โน้มใบหน้าของเขาลงมาประกบจูบกันอย่างเต็มอกเต็มใจ ตอนนี้นางติดใจในรสรักของเขาไม่น้อย นางสุขสมเหลือเกิน “ พระองค์ หม่อมฉันจำได้แล้ว พระองค์คือองค์ฮ่องเต้ ใช่หรือไม่เพคะ ” อยู่ๆนางก็พลันนึกออกว่าเคยเห็นเขาที่ใด นางพบเขามาหลายครั้งแล้วนับ