บทที่ 6 เสื่อมถอย
สิ่งที่กำลังดำเนินอยู่แคว้นอีกฟาก
หลี่โหวมักพาชายารองมาเรือนหมากล้อมทุก ๆ สองวัน สมัยยังเป็นเพียงคุณชายหลี่อวิ้นรุ่ย เขาก็ชอบมาเช่นนี้ เพียงแต่ข้างกายของเขาในตอนนั้น… เป็นสตรีนางหนึ่ง นางดูแปลกตาไปจากสตรีทั่วไป จนเมื่อเวลาผ่านไปเขาจึงรู้ ว่านางเป็นหญิงสาวจากต่างถิ่น แต่มากด้วยฝีมือหมากล้อม ทุกครั้งที่นางมากับเขา มักจะมีคนเข้าหาขอประลองฝีมืออยู่เสมอ
หลี่โหวทรุดตัวลงนั่งที่ประจำเช่นเคย เดิมทีวันนี้เขามาเพื่อโอ้อวดว่าได้แต่งกับคุณหนูหวัง หญิงสาวที่ตระกูลใหญ่ทั้งหลายต่างหมายตาอยากได้เป็นสะใภ้ แต่หลังจากแต่งงานกับหวังอีเหมยและพานางมาที่เรือนหมากล้อม ก็มีเพียงผู้คนเข้ามาแสดงความยินดีในเรื่องการแต่งงาน ทว่ากลับไม่มีใครเอ่ยชวนเขาดวลหมากเลยสักตา
ความเงียบงันเช่นนี้ทำให้หลี่โหวรู้สึกอึดอัด เขากวาดตามองไปรอบ ๆ ก่อนหันไปสั่งต้าหวัง บ่าวรับใช้ที่ติดตามเขามาตั้งแต่วัยเยาว์
“ต้าหวัง เจ้าไปเชิญท่านเจียงมาร่วมดวลหมากกับข้าสักตา”
ต้าหวังได้ยินเช่นนั้นก็มีสีหน้าลำบากใจอย่างเห็นได้ชัด ฝีมือหมากล้อมของนายท่านหากวัดตามลำดับแล้ว คงอยู่แทบจะท้าย ๆ ของเรือนหมากล้อมนี้ แต่กลับให้เขาไปเชิญท่านเจียง ผู้ที่ได้ชื่อว่าเป็นอันดับหนึ่งมาประลองด้วย… จะมิกลายเป็นขายหน้าตัวเองหรือ
ต้าหวังลังเลอยู่ครู่หนึ่ง แต่เมื่อเห็นสายตาของหลี่โหวที่เปี่ยมไปด้วยความมั่นใจ ก็ได้แต่กลืนคำคัดค้านลงไปในลำคอ ก่อนจะโค้งคำนับแล้วถอยออกไป…
“ไม่ล่ะ เสียเวลา”
เสนาบดีเจียงตอบปฏิเสธทันที น้ำเสียงเรียบเฉยไร้ความลังเล
หากพบกันภายนอก เขาคงไม่เอ่ยปฏิเสธหลี่โหวเช่นนี้ อาจรักษามารยาทยอมดวลด้วยสักตา แต่ที่เรือนหมากล้อมแห่งนี้ ทุกคนล้วนเท่าเทียมกัน ไม่ขึ้นกับยศถาบรรดาศักดิ์หรืออำนาจทางการเมือง หากเขาต้องลดมือลงไปดวลกับผู้ที่ฝีมือห่างชั้นเพียงเพื่อเอาใจ จะมิกลายเป็นว่าเขาฉวยโอกาสรังแกหลี่โหวหรอกหรือ
ยิ่งไปกว่านั้น… หากลงมือแล้วชนะ ก็คงไม่มีผู้ใดเห็นว่าเป็นเรื่องน่ายกย่อง แต่หากเผลอพลาดท่าเสียทีไป ไม่แน่ว่าอาจกลายเป็นเรื่องครึกโครมในวันพรุ่งก็ได้
ต้าหวังยืนตัวแข็งทื่อ ไม่กล้าเอ่ยอะไร ได้แต่ก้มศีรษะล่าถอยออกไปอย่างรวดเร็ว
เมื่อได้ฟังคำรายงานของบ่าว หลี่โหวก็หน้าดำคล้ำด้วยโทสะ ดวงตาเต็มไปด้วยความขุ่นเคือง
“เสนาบดีเจียงปฏิเสธข้าเช่นนั้นหรือ” น้ำเสียงของเขาเย็นเยียบ
ต้าหวังก้มหน้าต่ำ ไม่กล้าตอบสิ่งใด
หลี่โหวกำมือแน่นก่อนจะลุกขึ้นก้าวตรงไปยังที่นั่งของเสนาบดีเจียงด้วยตนเอง เสื้อคลุมยาวสะบัดตามแรงฝีเท้า บรรยากาศรอบตัวเขาดูเคร่งขรึมขึ้นจนผู้คนในเรือนหมากล้อมเริ่มหันมามองด้วยความสนใจ
เมื่อเดินมาถึงตรงหน้าชายวัยกลางคนที่กำลังวางหมากอยู่ หลี่โหวเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงกดต่ำ
“ท่านเจียง ข้าขอดวลกับท่านสักตา”
เสนาบดีเจียงละสายตาจากกระดานหมาก ลอบถอนใจเล็กน้อยก่อนจะเงยหน้ามองเขา ดวงตาฉายแววเรียบเฉย ไม่มีความยำเกรงหรือรีรอแม้แต่น้อย
“หลี่โหว ข้าไม่ว่าง” เขาตอบเสียงเรียบ ก่อนจะหันกลับไปสนใจหมากเบื้องหน้าอีกครั้ง ราวกับว่าหลี่โหวเป็นเพียงสายลมพัดผ่าน
บรรยากาศรอบข้างพลันเงียบกริบ…
“ทุกครั้งที่ข้ามา ท่านก็รับคำท้าประลองหมากทุกครั้ง ไยครานี้จึงไม่รับ”
หลี่โหวเอ่ยถาม เสียงของเขาข่มอารมณ์โทสะเอาไว้ แต่ความไม่พอใจยังคงฉายชัดอยู่ในดวงตา
เสนาบดีเจียงเงยหน้าขึ้นมองบุรุษที่ยืนอยู่ตรงหน้า… บุรุษที่เมื่อก่อนแทบไม่มีใครใส่ใจ หากมิใช่เพราะแซ่หลี่และสายเลือดของเขา เกรงว่าคงไม่มีผู้ใดเหลียวแล ทว่าการที่หลี่อวิ้นรุ่ยก้าวขึ้นมาเป็นหลี่โหว ไม่ใช่เพราะความสามารถของเขาเอง แต่เป็นเพราะมี ผู้หนุนหลัง และคนผู้นั้นก็คือตัวเขาเอง
จากเชื้อพระวงศ์ที่ไม่ได้มีสิทธิ์ในราชบัลลังก์เขาอุตส่าห์นำความไปทูลฮ่องเต้ ว่าหลี่อวิ้นรุ่ยผู้นี้ทำความดีความชอบและจะสามารถนำพาแคว้นฉู่ก้าวไปสู่ยุคใหม่ จนได้ศักดินา
เขาเคยคาดหวัง…
หวังว่าการผลักดันหลี่อวิ้นรุ่ยขึ้นสู่ตำแหน่งที่สูงกว่าเดิม จะช่วยให้หญิงสาวผู้นั้นสามารถใช้สติปัญญาที่นางมีผ่านสามีของนางได้ เพราะโลกนี้ไม่เปิดโอกาสให้สตรีได้ออกหน้า หรือได้รับการยอมรับในความสามารถ หากนางต้องการแสดงอำนาจหรือมีบทบาทในการกำหนดชะตา นางต้องทำผ่านบุรุษที่เป็นสามีของตน และเขาก็เต็มใจจะช่วย…ยามนางเอ่ยปากขอร้องให้ช่วยหนุนหลังคนสติปัญญาต่ำเตี้ยเช่นนี้ เขาคิดว่านางคงจะควบคุมความคิดอ่านของสามีได้
แต่ตอนนี้ ทุกสิ่งเปลี่ยนไปแล้ว
เขามองหลี่โหวอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะตอบเสียงเรียบ
“เพราะข้าไม่มีเวลาเสียให้กับคนที่ไม่รู้จักใช้โอกาสให้คุ้มค่า”
หลี่โหวชะงักไปชั่วขณะ ก่อนที่สีหน้าจะมืดดำลงกว่าเดิม…
“หากนางยังอยู่ ข้าคงยอมดวลหมากกับท่าน”
เสนาบดีเจียงกล่าวเสียงเรียบ แต่ทุกถ้อยคำกลับคมกริบดุจใบมีด แม้ไม่เอ่ยชื่อหลินซือเหยาออกมา คนทั้งเรือนหมากล้อมก็รู้ดีว่าเสนาบดีเจียงกำลังพูดถึงผู้ใด
“เพราะอย่างไร ทุกย่างก้าวที่เดินหมาก แต่ละตาที่ลงไป ล้วนมีนางคอยกระซิบข้างหูท่านโหวเสมอ”
ดวงตาของชายวัยกลางคนจับจ้องหลี่โหว ไม่ได้แฝงความท้าทาย หากแต่เป็นความผิดหวัง
“แต่ยามนี้… ไร้ซึ่งเงาของนางข้างกาย เกรงว่าจะเป็นการเสียเวลาเปล่า เมื่อรู้ผลแพ้ชนะตั้งแต่ยังไม่ได้เริ่ม”
คำพูดของเสนาบดีเจียงทำให้หลี่โหวรู้สึกเหมือนถูกแทงเข้ากลางใจ ความโกรธก่อตัวจนลมหายใจของเขาติดขัด มือทั้งสองข้างกำแน่นจนเส้นเลือดปูดโปน ดวงตาที่เคยมั่นใจในตนเองเริ่มแฝงไปด้วยความปั่นป่วน ไม่อาจปฏิเสธได้ว่า คำพูดนั้นสะท้อนความจริงที่เขาปฏิเสธมานาน
หลังจากที่ได้ตำแหน่งโหวมา เขาพยายามอย่างหนักเพื่อกดซือเหยาลง เพื่อที่ตนเองจะได้ภูมิใจในอำนาจและตำแหน่งที่ได้รับมาอย่างสมเกียรติ นี่คือสิ่งที่เขาคิดว่าเขาสมควรได้รับ แต่เขาจะยอมรับได้อย่างไร… ว่าทุกอย่างที่เขามีในตอนนี้ มันเกิดจากการสนับสนุนของสตรี
สตรีที่ไร้หัวนอนปลายเท้า สตรีที่ไม่มีสกุลใด ๆ หนุนหลัง
การยอมรับว่าทุกสิ่งทุกอย่างที่เขามีในวันนี้เป็นผลมาจากความช่วยเหลือของซือเหยา ซึ่งไม่ใช่แค่จากฝีมือและความสามารถของเขาเอง มันจะทำให้เขารู้สึกเหมือนกำลังยอมรับว่าตนเองอ่อนแอ… ไม่มีค่าพอที่จะได้สิ่งเหล่านั้นด้วยตัวเอง
การยอมรับความจริงที่ว่าตำแหน่งที่เขามีอยู่ได้มาเพราะการสนับสนุนจากสตรี จะทำให้ภาพลักษณ์ของเขาที่ยิ่งใหญ่พังทลายลง เขาจะยอมรับได้อย่างไร
ใช่… ก่อนหน้านี้ทุกครั้งที่เขาประลองหมากกับเสนาบดีเจียง เขาอาจเป็นผู้ลงหมากเอง แต่แท้จริงแล้ว ใครกันที่เป็นผู้วางหมากตัวจริง
เงาของหญิงสาวที่ครั้งหนึ่งเคยอยู่เคียงข้าง ทว่าบัดนี้ไม่อยู่แล้ว…
ความเงียบเข้าปกคลุมไปทั่วเรือนหมากล้อม ผู้คนรอบข้างลอบมองด้วยความสนใจ บางคนแสร้งทำเป็นไม่เห็น ขณะที่บางคนเริ่มซุบซิบกันเบา ๆ
แต่หลี่โหวไม่ได้ยินเสียงใดทั้งสิ้น นอกจากเสียงของความจริงที่เสียดแทงเข้าในใจเขาเอง…ความจริงที่เขาหลอกตนเองมาตลอด
เสนาบดีเจียงก้มมองกระดานหมากตรงหน้า หยิบเม็ดหมากขึ้นมาหมุนเล่นในมืออย่างใช้ความคิด เขาเองก็ไม่ใช่คนที่หวั่นไหวง่ายต่อข่าวลือ ในคราแรกที่ได้ยินข่าวเขาไม่เชื่อ ตกใจมิน้อยที่รู้ข่าวว่าหลินซือเหยากระโดดบ่อน้ำปลิดชีพตนเอง เพียงเพราะสามีแต่งภรรยาอีกคน แต่เมื่อเวลาล่วงเลยไปถึงสามเดือน โดยไร้เงาของหลินซือเหยาอยู่เคียงข้างหลี่โหวเหมือนเช่นเคย เขาก็เริ่มต้องยอมรับความจริง
“ซือเหยา… เจ้าจากไปจริง ๆ แล้วหรือ”
เขาไม่ได้รู้สึกเสียดายเพียงเพราะนางเป็นหญิงสาวผู้ปราดเปรื่องด้านหมากล้อม แต่เขาเสียดายความสามารถของนางที่เคยช่วยวางรากฐานหลายสิ่งให้กับแคว้นฉู่ นางเป็นมันสมอง เป็นผู้วางแผน เป็นคนที่หลี่โหวมักจะขอคำปรึกษา แม้หลี่โหวจะไม่ยอมรับต่อหน้าผู้ใดก็ตาม
แต่ตอนนี้… นางไม่อยู่แล้ว
หลี่โหวเป็นคนทะเยอทะยานก็จริง แต่เขาไม่ใช่คนฉลาดพอที่จะรักษาสิ่งที่ได้รับมา หากไร้ซือเหยาอยู่ข้างกาย อีกไม่นานอำนาจของเขาก็คงจะเริ่มสั่นคลอน
เสนาบดีเจียงถอนหายใจยาว พลางวางเม็ดหมากลงบนกระดาน หมากตานี้เขายอมเสียไปโดยไม่คิดจะเล่นต่อ เพราะไม่ว่ากี่ตาที่ผ่านมา ซือเหยาก็มักจะเป็นฝ่ายได้เปรียบเสมอ
“เสียดาย… เสียดายจริง ๆ” ความก้าวหน้าของแคว้นฉู่
ชายวัยกลางคนส่ายหน้าอย่างระอา ก่อนจะหันไปจิบชาช้า ๆ แต่แม้รสชาในถ้วยจะขมกลมกล่อมเพียงใด มันก็ไม่อาจล้างรสขมปร่าในใจเขาได้เลย…
บทที่ 6 เสื่อมถอยสิ่งที่กำลังดำเนินอยู่แคว้นอีกฟากหลี่โหวมักพาชายารองมาเรือนหมากล้อมทุก ๆ สองวัน สมัยยังเป็นเพียงคุณชายหลี่อวิ้นรุ่ย เขาก็ชอบมาเช่นนี้ เพียงแต่ข้างกายของเขาในตอนนั้น… เป็นสตรีนางหนึ่ง นางดูแปลกตาไปจากสตรีทั่วไป จนเมื่อเวลาผ่านไปเขาจึงรู้ ว่านางเป็นหญิงสาวจากต่างถิ่น แต่มากด้วยฝีมือหมากล้อม ทุกครั้งที่นางมากับเขา มักจะมีคนเข้าหาขอประลองฝีมืออยู่เสมอหลี่โหวทรุดตัวลงนั่งที่ประจำเช่นเคย เดิมทีวันนี้เขามาเพื่อโอ้อวดว่าได้แต่งกับคุณหนูหวัง หญิงสาวที่ตระกูลใหญ่ทั้งหลายต่างหมายตาอยากได้เป็นสะใภ้ แต่หลังจากแต่งงานกับหวังอีเหมยและพานางมาที่เรือนหมากล้อม ก็มีเพียงผู้คนเข้ามาแสดงความยินดีในเรื่องการแต่งงาน ทว่ากลับไม่มีใครเอ่ยชวนเขาดวลหมากเลยสักตาความเงียบงันเช่นนี้ทำให้หลี่โหวรู้สึกอึดอัด เขากวาดตามองไปรอบ ๆ ก่อนหันไปสั่งต้าหวัง บ่าวรับใช้ที่ติดตามเขามาตั้งแต่วัยเยาว์“ต้าหวัง เจ้าไปเชิญท่านเจียงมาร่วมดวลหมากกับข้าสักตา”ต้าหวังได้ยินเช่นนั้นก็มีสีหน้าลำบากใจอย่างเห็นได้ชัด ฝีมือหมากล้อมของนายท่านหากวัดตามลำดับแล้ว คงอยู่แทบจะท้าย ๆ ของเรือนหมากล้อมนี้ แต่กลับให้เขาไปเชิญท่าน
บทที่ 5 หรือยังติดอยู่ในฝันหลังจากจ่ายเงินให้กับพ่อค้า ซือเหยาก็รับห่อผ้ามาไว้ในมือ แต่ไป๋อวิ๋นบอกว่าเขาเจอกับคนไข้จึงต้องแวะคุยนางจึงเดินออกมาเรื่อย ๆ จนมาเจอเข้ากับร้านขายเครื่องประดับข้างทาง ปิ่นอันหนึ่งดูคล้ายกับปิ่นที่อดีตสามีของนาง เคยให้มาก ยิ่งมองดูก็ยิ่งเหมือน“แม่นางสนใจปิ่นอันนี้หรือ หน้าตาสวย ๆ อย่างนาง ข้าว่าเหมาะกับปะการังแดงมากกว่า แพงกว่าเพียงแค่ไม่กี่อีแปะ แต่ดูดีกว่าปิ่นอันนั้นเยอะ” แม้จะได้ยินคำนั้น แต่สายตาของนางก็ยังไม่ละไปจากปิ่นไม้แกะสลักลายดอกเหมย แม้จะดูสวยงามด้วยหินที่ประดับแต่เมื่อวางอยู่กับปิ่นเงิน และปิ่นหยกที่แกะสลักอย่างวิจิตรก็ทำให้รู้ว่าปิ่นไม้อันนั้นช่างไร้ค่า...เหมือนกับตัวนาง“เหยาเอ๋อร์...เจ้าชอบหรือไม่” ปิ่นไม้แกะสลักเป็นลายดอกเหมย แซมด้วยลูกปัดเม็ดเล็ก ๆ ที่หากมองผ่าน ๆ ก็ดูงดงาม แต่หากมองให้ชัด ลูกปัดพวกนั้นหาได้เป็นวัสดุที่ดี เป็นเพียงหินขัด ส่วนปิ่นไม้ก็ไม่ใช่เงิน ทอง หรือหยก แต่เป็นเพียงไม้แกะสลักแล้วเคลือบสีทองบาง ๆ ก็เท่านั้น “ชอบเจ้าค่ะ” ซือเหยาในตอนนั้นยิ้มให้กับปิ่นที่สามีปักให้ที่ผม นางชำเลืองมองมันจากกระจกทองเหลือง ความเลือนของกระจ
บทที่ 4 ยิ้มได้อีกคราตลาดยามบ่าย แม้หลายร้านเริ่มจะเก็บของแต่ก็มีหลายร้านเริ่มตั้งแผงใหม่ กลิ่นขนม กลิ่นซาลาเปา ฟุ้งไปทั่วทั้งบริเวณ ทำเอาซือเหยารู้สึกอยากจะลองกินแต่นางก็ไม่กล้าเอ่ย“ข้าจะมาซื้อสมุนไพรสักหน่อย แม้ว่าจะมีพวกนายพรานอาสาไปเก็บสม ุนไพร แต่บางอย่างก็ยังต้องมาซื้อจากร้านนี้” ซือเหยาฟังชายหนุ่มอธิบายแล้วก็เดินตามไป “เจ้าอยากได้อะไรหรือไม่” หญิงสาวส่ายหน้า ไป๋อวิ๋นที่เริ่มชินกับท่าทางราวกับใช้ชีวิตไปวัน ๆ ของนางแล้วก็ไม่ได้สนใจอะไรอีกเขาเดินเข้าไปในร้านสมุนไพรเจ้าประจำ “อ้าว ท่านหมอเทวดา ไม่ได้เจอกันเป็นเดือน วันนี้ต้องการอะไรดีเล่า เดี๋ยวข้าจะลดราคาให้เป็นพิเศษ แต่เดี๋ยวก่อนนะ วันนี้ท่านหมอพาภรรยามาด้วยหรือ” น้ำเสียงอยากรู้อยากเห็นและสายตาของเถ้าแก่ร้านยาทำให้ซือเหยาที่กำลังยืนดูบรรยากาศในร้านถึงกับสะดุ้งนางกำลังจะเอ่ยปฏิเสธ แต่เป็นชายหนุ่มข้างกายที่พูดขึ้นก่อน “ไม่ใช่หรอกเถ้าแก่ นางเป็น...” ไป๋อวิ๋นหันไปมองที่หญิงสาว และเงียบไปครู่หนึ่ง ราวกับคิดว่าจะบอกว่านางเป็นอะไรดี ซือเหยาที่เห็นอีกฝ่ายยังไม่พูดอะไรออกมา ก็ตัดสินใจจะช่วยเขาตอบเอง “ข้าเป็นผู้ช่วยของท่านหมอเจ้าค
บทที่ 3 ก้าวหนี่งก้าว ถอยหลังสองก้าว“ที่นี่ที่ไหน” ซือเหยาถามออกไป อย่างน้อย ๆ หากนางรู้ว่าตนอยู่ห่างจากจวนของสามีไม่ไกลจะได้แอบเข้าไปกระโดดบ่อน้ำเสียอีกรอบ“แคว้นหยาง เมืองชายแดนตะวันตก ที่นี่เป็นกระท่อมที่ข้าเปิ ดเป็นโรงหมอ” หลินซือเหยาคิด สามีเก่านางอยู่แคว้นฉู่ นี่คงเป็นอีกมิติหนึ่ง สุดท้ายนางก็ยังไม่ได้กลับบ้าน“เจ้าเป็นใครหรือ ชื่ออะไรมาจากที่ใด จะให้ข้าติดต่อคนที่บ้านให้หรือไม่” ชายหนุ่มถามยืดยาวแต่ซือเหยากลับตอบสั้น ๆ “ข้าไม่รู้” เพราะไม่แน่ใจว่าที่นี่คือที่ใด และชายตรงหน้าคือมิตรหรือศัตรู นางจึงแสร้งทำเป็นความจำเสื่อมเอาไว้ก่อน ความกังวลกัดกินหัวใจ หากเขารู้ว่านางมาจากอีกมิติ มีความรู้ความสามารถ บุรุษตรงหน้าอาจคิดหาประโยชน์จากนางอย่างที่หลี่อวิ้นรุ่ยทำกับนางซือเหยาเลือกที่จะไม่เหมือนกับครั้งก่อนที่ทำเป็นรู้ทุกสิ่ง สุดท้ายก็ได้กลายเป็นเพียงแค่คนประหลาด “ข้าจำอะไรไม่ได้เลย” ใบหน้าของไป๋อวิ๋นฉายแววประหลาดใจ บ่อน้ำที่นางตกลงไปมีความพิเศษ อีกทั้งชุดที่นางสวมใส่ตอนที่เขาพาร่างนางขึ้นมาก็แปลกตา และตัวเขาก็ไม่ใช่หมอธรรมดาแต่เป็นหมอเทวดาตามที่ชาวบ้านเรียก ไม่มีทางที่หญิงสาวตรงหน้
บทที่ 2 กลับบ้านเมื่อรู้สึกถึงสายลมกรรโชกแรก และเสียงฟ้าร้องคำราม หลินซือเหยาที่ยืนอยู่ในเรือนเพียงลำพังก็ค่อย ๆ ถอดอาภรณ์ที่ชายหนุ่ม ที่ได้ชื่อว่าสามี เคยมอบให้ออกทีละชิ้น ทีละชิ้น หญิงสาวเปลี่ยนกลับไปเป็นชุดเดิมที่นางเคยสวมใส่เมื่อยามมาที่มิติแห่งนี้เป็นวันแรก ชุดธรรมดา ๆ ไม่ได้เลิศหรูอะไร แต่มันเป็นสิ่งเดียวที่เชื่อมต่อตัวนางและมิติในอดีต ในเมื่อที่นี่ไม่มีอะไรหรือใครที่นางรักอีกแล้ว นางก็ไม่คิดจะอยู่อีกต่อไปหัวใจที่โดนเหยียบย่ำซ้ำแล้วซ้ำเล่า ไม่ได้รู้สึกเจ็บปวดอะไรอีกแล้วในยามนี้ หญิงสาวเดินฝ่าลมฝนออกไปยังบ่อน้ำเบื้องหน้า ดวงตาไม่รักดีเผลอเหลือบมองแผ่นหลังที่คุ้นเคยของสามีของนางที่ยามนี้มีคนอื่นเคียงข้างกาย เขายืนประคองสตรีอีกคนแนบแน่นราวกับนางเป็นสิ่งล้ำค่าที่สุดในชีวิต ซือเหยายิ้มจาง ๆ ยามนี้นางไม่ได้ต้องการให้อีกฝ่ายมาห่วงใยหรือใส่ใจอีกต่อไปแล้ว ถึงกระนั้นเมื่อสบตากับสายตาที่เมินเฉยของเขาเพียงชั่วอึดใจ หัวใจที่นางเคยคิดว่ามันไร้ความรู้สึกแล้วก็กลับเจ็บปวดขึ้นมาเล็กน้อย “ยังจะโง่ไม่เลิกอีก” นางบ่นว่าหัวใจของตน ที่มันเจ็บปวดกับท่าทางของสามี แต่ความลังเลก็หายไปเมื่อเสียงฟ้า
บทที่ 1 คืนก่อนงานมงคลสมรสเสียงสายลมหวีดหวิวพัดผ่านเรือนพักของหลินซือเหยา หญิงสาวก้าวเดินไปอย่างมั่นคงแม้ในใจจะว่างเปล่า ตั้งแต่วันที่นางตัดสินใจจะจากไป หัวใจของนางก็ไม่รู้สึกอะไรอีกต่อไปแล้ว ไ ม่มีความเจ็บ ไม่มีความโกรธ และไม่มีแม้กระทั่งน้ำตานางมาหยุดยืนอยู่ริมบ่อน้ำอีกครั้ง คืนนี้ฟ้าปิดสนิท ไม่มีดวงจันทร์ ไม่มีดวงดาว มีเพียงสายลมเย็นที่พัดผ่านเหมือนค่ำคืนที่พานางข้ามมิติมายังโลกนี้หลินซือเหยายืนอยู่ริมบ่อน้ำ หญิงสาวมองเงาสะท้านของตนเองที่สั่นไหวตามระลอกคลื่นของน้ำ กระแสลมเริ่มพัดโหมเหมือนกับมีพายุ แต่นี่คือสิ่งที่หญิงสาวรอคอย“ข้าคิดว่าข้าจะมีความสุขที่นี่…” นางพึมพำกับตัวเองเสียงเบา “แต่สุดท้ายก็เป็นเพียงแค่ความฝันที่ข้าหลอกตัวเองมาตลอด”ซือเหยาหลับตาลง ความทรงจำไหลย้อนกลับมาครั้งหนึ่งหญิงสาวเคยอยู่ในอีกยุค เพราะขับรถฝ่าพายุจึงทำให้เธอมาโผล่ที่ยุคนี้ วันแรกที่นางมาถึง นางทั้งสับสนและหวาดกลัว นางเป็นเพียงหญิงสาวจากยุคที่ไกลออกไป แต่เพราะความรู้และทักษะจากยุคเดิม นางจึงสามารถช่วยเขาได้ ตอนแรกคิดว่าเป็นโชคชะตา ที่สวรรค์เมตตาพามาพบกับคนที่มีด้ายแดง แต่ไม่นึกเลย ต่อให้นางทำดีแค่ไหน