บทที่ 5 หรือยังติดอยู่ในฝัน
หลังจากจ่ายเงินให้กับพ่อค้า ซือเหยาก็รับห่อผ้ามาไว้ในมือ แต่ไป๋อวิ๋นบอกว่าเขาเจอกับคนไข้จึงต้องแวะคุยนางจึงเดินออกมาเรื่อย ๆ จนมาเจอเข้ากับร้านขายเครื่องประดับข้างทาง
ปิ่นอันหนึ่งดูคล้ายกับปิ่นที่อดีตสามีของนาง เคยให้มาก ยิ่งมองดูก็ยิ่งเหมือน
“แม่นางสนใจปิ่นอันนี้หรือ หน้าตาสวย ๆ อย่างนาง ข้าว่าเหมาะกับปะการังแดงมากกว่า แพงกว่าเพียงแค่ไม่กี่อีแปะ แต่ดูดีกว่าปิ่นอันนั้นเยอะ”
แม้จะได้ยินคำนั้น แต่สายตาของนางก็ยังไม่ละไปจากปิ่นไม้แกะสลักลายดอกเหมย แม้จะดูสวยงามด้วยหินที่ประดับแต่เมื่อวางอยู่กับปิ่นเงิน และปิ่นหยกที่แกะสลักอย่างวิจิตรก็ทำให้รู้ว่าปิ่นไม้อันนั้นช่างไร้ค่า...เหมือนกับตัวนาง
“เหยาเอ๋อร์...เจ้าชอบหรือไม่” ปิ่นไม้แกะสลักเป็นลายดอกเหมย แซมด้วยลูกปัดเม็ดเล็ก ๆ ที่หากมองผ่าน ๆ ก็ดูงดงาม แต่หากมองให้ชัด ลูกปัดพวกนั้นหาได้เป็นวัสดุที่ดี เป็นเพียงหินขัด ส่วนปิ่นไม้ก็ไม่ใช่เงิน ทอง หรือหยก แต่เป็นเพียงไม้แกะสลักแล้วเคลือบสีทองบาง ๆ ก็เท่านั้น
“ชอบเจ้าค่ะ” ซือเหยาในตอนนั้นยิ้มให้กับปิ่นที่สามีปักให้ที่ผม นางชำเลืองมองมันจากกระจกทองเหลือง ความเลือนของกระจกทำให้มองเห็นมันเป็นปิ่นทองสวยงาม นางเห็นเขาเป็นคุณชาย คิดว่ามันต้องมีค่ามาก
ไม่ได้รู้เลยว่าปิ่นนั้นก็เหมือนน้ำใจของชายผู้นั้นที่มีให้กับนาง เปราะบาง และหาได้ใส่ใจ
และวันหนึ่งทองที่เคลือบเอาไว้ก็หลุดลอกออก รวมถึงหินที่แสร้งทำตัวเป็นอัญมณีก็แตกออกเป็นผง เหมือนความรู้สึกของนาง จะเสียความรู้สึกก็ตรงนางดูเหมือนคนโง่ต่อหน้าอีกฝ่าย
“เจ้าชอบปิ่นหรือ” เสียงของไป๋อวิ๋นทำให้ซือเหยาหลุดออกจากความนึกคิด
“ข้าเป็นหญิงเห็นเครื่องประดับก็แค่มอง”
ไป๋อวิ๋นมองไปยังปิ่นที่วางขาย เขาไม่ได้มองอันที่แพงที่สุด หรือถูกที่สุด แต่กลับหยิบเอาปิ่นเงินประดับปะการังแดงขึ้นมาทาบไปที่ผมของหญิงสาว
“อันนี้เหมาะกับเจ้า” ไป๋อวิ๋นกล่าวเสียงเรียบ พร้อมทั้งยื่นเงินให้กับพ่อค้า
“ท่านหมอเทวดา ไม่เพียงแค่รักษาคนเก่ง แต่ยังมีตาที่เฉียบแหลมอีกนะขอรับ” ไป๋อวิ๋นยิ้ม แต่ซือเหยาตั้งใจจะไม่รับ
“ข้าจ่ายเงินแล้ว อีกอย่าง ปะการังแดงทำให้คนมองแต่สิ่งที่ดี ๆ ข้าว่ามันเหมาะกับเจ้า”
เมื่อปฏิเสธไม่ได้หลินซือเหยาก็ตั้งใจจะเอื้อมมือไปรับปิ่นจากอีกฝ่าย แต่สัมผัสที่บางเบาบนผมก็ทำให้นางรับรู้ว่าไป๋อวิ๋นค่อย ๆ เสียบปิ่นเข้าไปที่มวยผมของนางแล้ว
“ดูเหมาะกับเจ้าจริง ๆ ด้วย” ซือเหยาเงยหน้าขึ้นมองอีกฝ่าย ดวงตาที่สบกันเพียงครู่เกิดประกายแปลก ๆ แต่ก็เป็นไป๋อวิ๋นที่หลบตาไปเสียก่อน
“ขอบคุณเจ้าค่ะ”
“ไม่เป็นอะไร ถ้าเทียบกับงานที่เจ้าช่วยข้าช่วงนี้ มันเทียบกันไม่ได้เลย ขายดีนะพ่อค้า”
“ขอรับท่านหมอเทวดา”
ไป๋อวิ๋นเดินออกไปก่อน หลิวซือเหยามองอีกฝ่าย แม้เมื่อครู่ในใจของนางจะสั่นไหวน้อย ๆ แต่สุดท้ายนางก็เลือกที่จะเก็บกดมันเอาไว้ นางเคยโง่เง่ามามากพอแล้วในเรื่องความรัก ครั้งนี้นางจะไม่เผลอไผลไปกับความใจดีของใครอีก
เปลวไฟส่องสว่าง เสียงกระดาษถูกเผาดังอยู่ข้างหู ข้าง ๆ นั้นมีสาวใช้คนสนิทกำลังภาวนาให้ผู้เป็นนาย ที่หายไปอย่างไร้ร่องรอยมีความสุข
“พระชายาข้าขอโทษที่ช่วยอะไรไม่ได้เลย” เสียงของสาวใช้สั่นเครือ หยาดน้ำตาร่วงหล่นตรงหน้าของเซ่นไหว้เล็ก ๆ และหลุมศพจำลอง
“ข้ายังไม่ตาย เจ้าไม่ต้องร้อง” หลินซือเหยาพยายามจะบอกกับสาวใช้ตน แต่นางเหมือนถูกดึงออกมาไกลมากขึ้นเรื่อย ๆ
“เจ้าไม่ต้องร้อง”
เสียงที่อยู่ในความฝันดังออกมาด้านนอก ไป๋อวิ๋นได้ยินเสียงละเมอของหญิงสาว
นางตัวเกร็ง ผ้าห่มถูกกำแน่น เหงื่อเม็ดเล็ก ๆ ผุดขึ้นตามไรผม
ไป๋อวิ๋นนั่งลงข้าง ๆ เตียง ปกติเขาไม่เคยเปิดฉากไม้ที่กั้นระหว่างเขาและอีกฝ่ายเข้ามาส่วนนี้อีกเลยนับตั้งแต่นางหายป่วย แต่ยามนี้
“เจ้า ตื่นเถอะ ฝันอะไรอยู่กันแน่” เขาเขย่าตัวหญิงสาวเบา ๆ “ตื่นเถอะ” แม้จะถูกรบกวน แต่หลินซือเหยาก็ยังคงหลงอยู่ในความฝันของตน
ไป๋อวิ๋นปลุกนางแรงขึ้น หญิงสาวรู้สึกตัวสะดุ้งเฮือกขึ้นมา ดวงตาเบิกกว้างพร้อมกับลมหายใจหอบถี่และใบหน้าที่อยู่ห่างจากชายหนุ่มไม่ถึงคืบ
“เจ้าเป็นอะไรหรือไม่ ข้าได้ยินเสียงเจ้าละเมอ” ซือเหยาขยับตัวออกห่าง เช่นเดียวกันกับไป๋อวิ๋น
“ไม่เป็นอะไรเจ้าค่ะ แค่ฝันร้าย”
“เจ้าจำได้แล้วหรือ” ไป๋อวิ๋นไม่อยากจะถามอย่างนี้ แต่หากมันช่วยให้อีกฝ่ายระบายความในใจที่ทำให้กังวลได้บ้างเขาก็ยินดีช่วย
ท่าทางลังเลและความเงียบทำให้เขารู้ว่าหญิงสาวยังไม่พร้อมจะเปิดใจ
“คงเป็นความทรงจำในช่วงที่เจ้าไม่รู้สึกตัวนั่นแหละ นอนพักผ่อนเถอะ” ชายหนุ่มสรุปเพื่อให้หญิงสาวสบายใจ และก็ไม่ได้พูดอะไรต่อ
สักวันหากนางต้องการความช่วยเหลือจริง ๆ ก็คงจะบอกกับเขาเอง แต่วันนั้นคงยังไม่ใช่ตอนนี้
“ข้าขอโทษที่เข้ามาในฉากกั้น เพราะเสียงเจ้าดูทรมาน”
“ไม่เป็นอะไรเจ้าค่ะ ข้าเข้าใจ” ไป๋อวิ๋นพยักหน้าแล้วเดินหลบหายไปหลังฉาก
ซือเหยามองตามแผ่นหลังแกร่ง นางพยายามจะลืมสิ่งที่เกิดขึ้นระหว่างนางกับหลี่อวิ้นรุ่ย เมื่อไม่ได้กลับบ้านเกิด นางเลือกที่จะบอกไป๋อวิ๋นว่านางจำสิ่งใดไม่ได้ อีกฝ่ายก็ไม่ถามและไม่พูดถึง แม้เขาจะไม่ได้พูดอะไรมากนัก แต่กลับดูแลนางเป็นอย่างดี ทว่าสิ่งที่น่าแปลกใจที่สุดคือ
เขาไม่เคยถามว่านางเป็นใคร
นางบอกเขาว่านางจำอะไรไม่ได้ และเขาก็เพียงแค่พยักหน้า ไม่ซักไซ้ ไม่เคยแม้แต่จะสงสัย ไม่เคยพูดว่าพบนางที่ใด ไม่แม้แต่จะพยายามตั้งชื่อใหม่ให้นางเหมือนที่ใครหลายคนอาจทำ
มันราวกับว่า… ไม่ว่านางจะเป็นใคร มาจากที่ใด เขาก็ไม่ได้สนใจ
ซือเหยาไม่แน่ใจว่าควรรู้สึกเช่นไรกับเรื่องนี้ นางควรรู้สึกขอบคุณเขาหรือควรรู้สึกกังวลกันแน่
เพราะหากไม่มีชื่อ… หากไม่มีอดีต นางก็แทบจะเป็นเพียงคนไร้ตัวตน
นางต้องการสิ่งนี้จริงหรือ
ริมฝีปากบางเม้มแน่น ในใจเต็มไปด้วยความวุ่นวาย นางพยายามลืม พยายามผลักไสความรู้สึกขมขื่นที่กัดกินหัวใจ แต่ยิ่งพยายามเท่าไร เงาของเขาก็ยังคงติดตรึงอยู่ในความทรงจำไม่จางหาย
ซือเหยาเผลอกำมือแน่น ความเจ็บแปลบแล่นผ่านหัวใจ นางมองไป๋อวิ๋นอีกครั้ง ชายหนุ่มดูสงบนิ่งเสมอ เขาไม่เคยถามอะไรจากนาง ไม่เคยเรียกร้อง ไม่เคยบังคับ
แตกต่างจากหลี่อวิ้นรุ่ยโดยสิ้นเชิง
นางค่อย ๆ หลับตาลง สูดหายใจเข้า ราวกับหวังว่าลมหายใจนี้จะพัดพาความเจ็บปวดทั้งหมดไป
ถ้าหากไร้ซึ่งอดีตจะทำให้นางเจ็บปวดน้อยลง
บทที่ 6 เสื่อมถอยสิ่งที่กำลังดำเนินอยู่แคว้นอีกฟากหลี่โหวมักพาชายารองมาเรือนหมากล้อมทุก ๆ สองวัน สมัยยังเป็นเพียงคุณชายหลี่อวิ้นรุ่ย เขาก็ชอบมาเช่นนี้ เพียงแต่ข้างกายของเขาในตอนนั้น… เป็นสตรีนางหนึ่ง นางดูแปลกตาไปจากสตรีทั่วไป จนเมื่อเวลาผ่านไปเขาจึงรู้ ว่านางเป็นหญิงสาวจากต่างถิ่น แต่มากด้วยฝีมือหมากล้อม ทุกครั้งที่นางมากับเขา มักจะมีคนเข้าหาขอประลองฝีมืออยู่เสมอหลี่โหวทรุดตัวลงนั่งที่ประจำเช่นเคย เดิมทีวันนี้เขามาเพื่อโอ้อวดว่าได้แต่งกับคุณหนูหวัง หญิงสาวที่ตระกูลใหญ่ทั้งหลายต่างหมายตาอยากได้เป็นสะใภ้ แต่หลังจากแต่งงานกับหวังอีเหมยและพานางมาที่เรือนหมากล้อม ก็มีเพียงผู้คนเข้ามาแสดงความยินดีในเรื่องการแต่งงาน ทว่ากลับไม่มีใครเอ่ยชวนเขาดวลหมากเลยสักตาความเงียบงันเช่นนี้ทำให้หลี่โหวรู้สึกอึดอัด เขากวาดตามองไปรอบ ๆ ก่อนหันไปสั่งต้าหวัง บ่าวรับใช้ที่ติดตามเขามาตั้งแต่วัยเยาว์“ต้าหวัง เจ้าไปเชิญท่านเจียงมาร่วมดวลหมากกับข้าสักตา”ต้าหวังได้ยินเช่นนั้นก็มีสีหน้าลำบากใจอย่างเห็นได้ชัด ฝีมือหมากล้อมของนายท่านหากวัดตามลำดับแล้ว คงอยู่แทบจะท้าย ๆ ของเรือนหมากล้อมนี้ แต่กลับให้เขาไปเชิญท่าน
บทที่ 5 หรือยังติดอยู่ในฝันหลังจากจ่ายเงินให้กับพ่อค้า ซือเหยาก็รับห่อผ้ามาไว้ในมือ แต่ไป๋อวิ๋นบอกว่าเขาเจอกับคนไข้จึงต้องแวะคุยนางจึงเดินออกมาเรื่อย ๆ จนมาเจอเข้ากับร้านขายเครื่องประดับข้างทาง ปิ่นอันหนึ่งดูคล้ายกับปิ่นที่อดีตสามีของนาง เคยให้มาก ยิ่งมองดูก็ยิ่งเหมือน“แม่นางสนใจปิ่นอันนี้หรือ หน้าตาสวย ๆ อย่างนาง ข้าว่าเหมาะกับปะการังแดงมากกว่า แพงกว่าเพียงแค่ไม่กี่อีแปะ แต่ดูดีกว่าปิ่นอันนั้นเยอะ” แม้จะได้ยินคำนั้น แต่สายตาของนางก็ยังไม่ละไปจากปิ่นไม้แกะสลักลายดอกเหมย แม้จะดูสวยงามด้วยหินที่ประดับแต่เมื่อวางอยู่กับปิ่นเงิน และปิ่นหยกที่แกะสลักอย่างวิจิตรก็ทำให้รู้ว่าปิ่นไม้อันนั้นช่างไร้ค่า...เหมือนกับตัวนาง“เหยาเอ๋อร์...เจ้าชอบหรือไม่” ปิ่นไม้แกะสลักเป็นลายดอกเหมย แซมด้วยลูกปัดเม็ดเล็ก ๆ ที่หากมองผ่าน ๆ ก็ดูงดงาม แต่หากมองให้ชัด ลูกปัดพวกนั้นหาได้เป็นวัสดุที่ดี เป็นเพียงหินขัด ส่วนปิ่นไม้ก็ไม่ใช่เงิน ทอง หรือหยก แต่เป็นเพียงไม้แกะสลักแล้วเคลือบสีทองบาง ๆ ก็เท่านั้น “ชอบเจ้าค่ะ” ซือเหยาในตอนนั้นยิ้มให้กับปิ่นที่สามีปักให้ที่ผม นางชำเลืองมองมันจากกระจกทองเหลือง ความเลือนของกระจ
บทที่ 4 ยิ้มได้อีกคราตลาดยามบ่าย แม้หลายร้านเริ่มจะเก็บของแต่ก็มีหลายร้านเริ่มตั้งแผงใหม่ กลิ่นขนม กลิ่นซาลาเปา ฟุ้งไปทั่วทั้งบริเวณ ทำเอาซือเหยารู้สึกอยากจะลองกินแต่นางก็ไม่กล้าเอ่ย“ข้าจะมาซื้อสมุนไพรสักหน่อย แม้ว่าจะมีพวกนายพรานอาสาไปเก็บสม ุนไพร แต่บางอย่างก็ยังต้องมาซื้อจากร้านนี้” ซือเหยาฟังชายหนุ่มอธิบายแล้วก็เดินตามไป “เจ้าอยากได้อะไรหรือไม่” หญิงสาวส่ายหน้า ไป๋อวิ๋นที่เริ่มชินกับท่าทางราวกับใช้ชีวิตไปวัน ๆ ของนางแล้วก็ไม่ได้สนใจอะไรอีกเขาเดินเข้าไปในร้านสมุนไพรเจ้าประจำ “อ้าว ท่านหมอเทวดา ไม่ได้เจอกันเป็นเดือน วันนี้ต้องการอะไรดีเล่า เดี๋ยวข้าจะลดราคาให้เป็นพิเศษ แต่เดี๋ยวก่อนนะ วันนี้ท่านหมอพาภรรยามาด้วยหรือ” น้ำเสียงอยากรู้อยากเห็นและสายตาของเถ้าแก่ร้านยาทำให้ซือเหยาที่กำลังยืนดูบรรยากาศในร้านถึงกับสะดุ้งนางกำลังจะเอ่ยปฏิเสธ แต่เป็นชายหนุ่มข้างกายที่พูดขึ้นก่อน “ไม่ใช่หรอกเถ้าแก่ นางเป็น...” ไป๋อวิ๋นหันไปมองที่หญิงสาว และเงียบไปครู่หนึ่ง ราวกับคิดว่าจะบอกว่านางเป็นอะไรดี ซือเหยาที่เห็นอีกฝ่ายยังไม่พูดอะไรออกมา ก็ตัดสินใจจะช่วยเขาตอบเอง “ข้าเป็นผู้ช่วยของท่านหมอเจ้าค
บทที่ 3 ก้าวหนี่งก้าว ถอยหลังสองก้าว“ที่นี่ที่ไหน” ซือเหยาถามออกไป อย่างน้อย ๆ หากนางรู้ว่าตนอยู่ห่างจากจวนของสามีไม่ไกลจะได้แอบเข้าไปกระโดดบ่อน้ำเสียอีกรอบ“แคว้นหยาง เมืองชายแดนตะวันตก ที่นี่เป็นกระท่อมที่ข้าเปิ ดเป็นโรงหมอ” หลินซือเหยาคิด สามีเก่านางอยู่แคว้นฉู่ นี่คงเป็นอีกมิติหนึ่ง สุดท้ายนางก็ยังไม่ได้กลับบ้าน“เจ้าเป็นใครหรือ ชื่ออะไรมาจากที่ใด จะให้ข้าติดต่อคนที่บ้านให้หรือไม่” ชายหนุ่มถามยืดยาวแต่ซือเหยากลับตอบสั้น ๆ “ข้าไม่รู้” เพราะไม่แน่ใจว่าที่นี่คือที่ใด และชายตรงหน้าคือมิตรหรือศัตรู นางจึงแสร้งทำเป็นความจำเสื่อมเอาไว้ก่อน ความกังวลกัดกินหัวใจ หากเขารู้ว่านางมาจากอีกมิติ มีความรู้ความสามารถ บุรุษตรงหน้าอาจคิดหาประโยชน์จากนางอย่างที่หลี่อวิ้นรุ่ยทำกับนางซือเหยาเลือกที่จะไม่เหมือนกับครั้งก่อนที่ทำเป็นรู้ทุกสิ่ง สุดท้ายก็ได้กลายเป็นเพียงแค่คนประหลาด “ข้าจำอะไรไม่ได้เลย” ใบหน้าของไป๋อวิ๋นฉายแววประหลาดใจ บ่อน้ำที่นางตกลงไปมีความพิเศษ อีกทั้งชุดที่นางสวมใส่ตอนที่เขาพาร่างนางขึ้นมาก็แปลกตา และตัวเขาก็ไม่ใช่หมอธรรมดาแต่เป็นหมอเทวดาตามที่ชาวบ้านเรียก ไม่มีทางที่หญิงสาวตรงหน้
บทที่ 2 กลับบ้านเมื่อรู้สึกถึงสายลมกรรโชกแรก และเสียงฟ้าร้องคำราม หลินซือเหยาที่ยืนอยู่ในเรือนเพียงลำพังก็ค่อย ๆ ถอดอาภรณ์ที่ชายหนุ่ม ที่ได้ชื่อว่าสามี เคยมอบให้ออกทีละชิ้น ทีละชิ้น หญิงสาวเปลี่ยนกลับไปเป็นชุดเดิมที่นางเคยสวมใส่เมื่อยามมาที่มิติแห่งนี้เป็นวันแรก ชุดธรรมดา ๆ ไม่ได้เลิศหรูอะไร แต่มันเป็นสิ่งเดียวที่เชื่อมต่อตัวนางและมิติในอดีต ในเมื่อที่นี่ไม่มีอะไรหรือใครที่นางรักอีกแล้ว นางก็ไม่คิดจะอยู่อีกต่อไปหัวใจที่โดนเหยียบย่ำซ้ำแล้วซ้ำเล่า ไม่ได้รู้สึกเจ็บปวดอะไรอีกแล้วในยามนี้ หญิงสาวเดินฝ่าลมฝนออกไปยังบ่อน้ำเบื้องหน้า ดวงตาไม่รักดีเผลอเหลือบมองแผ่นหลังที่คุ้นเคยของสามีของนางที่ยามนี้มีคนอื่นเคียงข้างกาย เขายืนประคองสตรีอีกคนแนบแน่นราวกับนางเป็นสิ่งล้ำค่าที่สุดในชีวิต ซือเหยายิ้มจาง ๆ ยามนี้นางไม่ได้ต้องการให้อีกฝ่ายมาห่วงใยหรือใส่ใจอีกต่อไปแล้ว ถึงกระนั้นเมื่อสบตากับสายตาที่เมินเฉยของเขาเพียงชั่วอึดใจ หัวใจที่นางเคยคิดว่ามันไร้ความรู้สึกแล้วก็กลับเจ็บปวดขึ้นมาเล็กน้อย “ยังจะโง่ไม่เลิกอีก” นางบ่นว่าหัวใจของตน ที่มันเจ็บปวดกับท่าทางของสามี แต่ความลังเลก็หายไปเมื่อเสียงฟ้า
บทที่ 1 คืนก่อนงานมงคลสมรสเสียงสายลมหวีดหวิวพัดผ่านเรือนพักของหลินซือเหยา หญิงสาวก้าวเดินไปอย่างมั่นคงแม้ในใจจะว่างเปล่า ตั้งแต่วันที่นางตัดสินใจจะจากไป หัวใจของนางก็ไม่รู้สึกอะไรอีกต่อไปแล้ว ไ ม่มีความเจ็บ ไม่มีความโกรธ และไม่มีแม้กระทั่งน้ำตานางมาหยุดยืนอยู่ริมบ่อน้ำอีกครั้ง คืนนี้ฟ้าปิดสนิท ไม่มีดวงจันทร์ ไม่มีดวงดาว มีเพียงสายลมเย็นที่พัดผ่านเหมือนค่ำคืนที่พานางข้ามมิติมายังโลกนี้หลินซือเหยายืนอยู่ริมบ่อน้ำ หญิงสาวมองเงาสะท้านของตนเองที่สั่นไหวตามระลอกคลื่นของน้ำ กระแสลมเริ่มพัดโหมเหมือนกับมีพายุ แต่นี่คือสิ่งที่หญิงสาวรอคอย“ข้าคิดว่าข้าจะมีความสุขที่นี่…” นางพึมพำกับตัวเองเสียงเบา “แต่สุดท้ายก็เป็นเพียงแค่ความฝันที่ข้าหลอกตัวเองมาตลอด”ซือเหยาหลับตาลง ความทรงจำไหลย้อนกลับมาครั้งหนึ่งหญิงสาวเคยอยู่ในอีกยุค เพราะขับรถฝ่าพายุจึงทำให้เธอมาโผล่ที่ยุคนี้ วันแรกที่นางมาถึง นางทั้งสับสนและหวาดกลัว นางเป็นเพียงหญิงสาวจากยุคที่ไกลออกไป แต่เพราะความรู้และทักษะจากยุคเดิม นางจึงสามารถช่วยเขาได้ ตอนแรกคิดว่าเป็นโชคชะตา ที่สวรรค์เมตตาพามาพบกับคนที่มีด้ายแดง แต่ไม่นึกเลย ต่อให้นางทำดีแค่ไหน