หลังองค์รัชทายาทเสด็จกลับ งานเลี้ยงยังคงดำเนินต่อไปตลอดทั้งบ่าย วันนั้นเกิดเรื่องราวมากมาย แน่นอนว่าเรื่องใหญ่ล้วนไม่พ้นเรื่องที่องค์รัชทายาทพึงใจในตัวบุตรชายของเจิ้งกั๋วกงจนถึงขั้นมอบของแทนใจให้ อีกไม่นานคงมีราชโองการพระราชทานสมรสตามมา แน่นอนว่าเรื่องเหลวไหลไร้สาระพรรค์นี้ล้วนถูกบิดเบือนจากการเล่าลือในหมู่ชาวบ้าน เรื่องราวลุกลามถึงขั้นมีเสียงลือเสียงเล่าอ้างถึงรูปโฉมของคุณชายตระกูลจ้าวว่างดงามดุจเทพเซียน งามสะท้านสะเทือนถึงสามภพ รูปงามเสียจนมัจฉาจมวารี ปักษีตกนภา จันทร์หลบโฉมภาดา มวลผกาละอายชาย?[1] เรื่องเหล่านี้เราจะไม่กล่าวถึงเป็นการชั่วคราว เพราะมีเรื่องราวเล็กๆ ที่น่าสนใจหลายเรื่องที่ยังไม่ได้กล่าวถึง
แน่นอนว่าเรื่องแรกคงหนีไม่พ้นจ้าวลี่จ้งที่ก่อนหน้านี้ออกตามหาน้องชายให้วุ่น ในระหว่างตามหาน้องชายอยู่นั้น บังเอิญพบกับจินซานปั๋งเหยี่ยนคนใหม่ที่นางเคยช่วยไว้เมื่อคราวก่อน ตอนแรกนางจำเขาไม่ได้เลยด้วยซ้ำ จิตใจจดจ่ออยู่กับการตามหาน้องชายด้วยความห่วงใย แต่บุรุษรูปงามดุจหยกยืนอยู่ท่ามกลางสวนดอกไม้นานาพรรณแข่งกันอวดโฉมเบ่งบาน จนกลิ่นหอมกำจายไปไกลดึงดูดเหล่าภมรให้มาดอมดม เป็นภาพชวนติดตราตรึงใจไม่รู้ลืม จ้าวลี่จ้งลืมตัวเหม่อมองเป็นครู่ ก่อนจะถูกเสียงเรียกดึงสติกลับมา
“คุณหนูจ้าว?”
“คุณชายท่านนี้ ท่านเรียกข้าหรือ” จ้าวลี่จ้งมองอีกฝ่ายด้วยความสนใจ ไม่คิดว่าตนเองจะมีวาสนาเป็นที่รู้จักของบุรุษรูปงามเช่นนี้ด้วย
“ขออภัยที่ไม่เอ่ยแนะนำตัว ข้าน้อยจินซาน ต้องขอบคุณที่วันนั้นคุณหนูมีน้ำใจช่วยชีวิต บุญคุณยิ่งใหญ่ กลับตอบแทนได้เพียงน้อยนิด ข้าน้อยละอายใจยิ่งนัก หากมีเรื่องใดที่ข้าน้อยสามารถช่วยเหลือได้ขอให้คุณหนูเอ่ยปากอย่าได้เกรงใจ ต่อให้ต้องบุกน้ำลุยไฟข้าน้อยก็ยินดี”
ฟังถึงตรงนี้จ้าวลี่จ้งถึงนึกขึ้นได้ว่าในงานเลี้ยงฉลองชัยตนได้ช่วยชีวิตคนผู้หนึ่งไว้จริงๆ ตอนนั้นเหตุการณ์วุ่นวายถึงได้ลืมเรื่องนี้ไปเสียสนิทใจ ในเมื่ออีกฝ่ายเสนอตัวอยากทดแทนบุญคุณนางถึงเพียงนี้ ถ้าไม่สนองตอบจะเป็นการไม่ควรยิ่ง ท่านพ่อเคยกล่าวว่าบัณฑิตพวกนี้มีแต่ความรู้เต็มท้อง ผายลมออกมาก็มีแต่หลักการ ยึดติดกับคุณธรรมเป็นที่สุด ช่างน่าเบื่อหน่าย
จ้าวลี่จ้งถอนหายใจ จู่ๆ ก็เหมือนจะคิดอะไรดีๆ ออก “หากเป็นเรื่องขอความช่วยเหลือจากคุณชายจินก็ใช่ว่าจะไม่มี แต่คุณชายแน่ใจหรือว่าจะสามารถทำตามที่ลั่นวาจาได้”
“ขอแค่ไม่เป็นเรื่องผิดศีลธรรมอย่างฆ่าคนวางเพลิง ข้าน้อยย่อมรับปากทุกเรื่องเพื่อทดแทนบุญคุณ”
“ดี! เช่นนั้นก็ดี อันว่าหญิงชายย่อมมีความแตกต่างไม่ควรใกล้ชิด หากข้าจำไม่ผิดวันนั้นข้ากับท่านแนบชิดกันถึงเพียงนี้ย่อมส่งผลต่อชื่อเสียง และจริยธรรมอันดีของข้า แต่ในเมื่อข้าทำไปเพราะช่วยชีวิตคุณชายนั่นย่อมละเลยได้ แต่บุญคุณช่วยชีวิตยิ่งใหญ่ดุจผู้ให้กำเนิด ท่านไม่คิดจะพลีกายถวายชีวิตตอบแทนข้าบ้างหรือ หืมมม” จ้าวลี่จ้งยิ้มร้าย ใบหน้าหล่อเหลาถอดเค้ามาจากเจิ้งกั๋วกงสมัยหนุ่มยิ่งน่ามอง แต่พอนึกว่านี่เป็นใบหน้าของหญิงสาวนางหนึ่งกลับทำให้จินซานรู้สึกแปลกๆ คล้ายยากจะยอมรับได้อยู่หน่อยๆ
“คุณหนูล้อเล่นแล้ว”
“ใครบอกว่าข้าล้อเล่น ข้าจริงจังมากต่างหาก หรือว่าคุณชายมีภรรยาแล้ว”
“หา! ภรรยา? ของแบบนั้นใช่จะมีก็มีง่ายๆ ได้อย่างไร”
“แล้วเหตุใดคุณชายจินไม่ยอมรับการสู่ขอจากข้า”
“สู่ขอ? ท่านน่ะหรือจะสู่ขอข้า?”
“ใช่ ท่านจะได้เป็นบุตรเขยคนรองของเจิ้งกั๋วกงอย่างไรเล่า และยังได้ตอบแทนบุญคุณข้าอีก เป็นอย่างไรเช่นนี้ดีหรือไม่”
จ้าวลี่จ้งหลอกล่อ สืบเท้าเข้าหาชายหนุ่มจนจินซานถอยร่น เห็นได้ชัดถึงความแตกต่างของคนทั้งสอง จ้าวลี่จ้งนั้นสูงโปร่งกำยำดุจนักรบ ในขณะที่จินซานผอมบางดุจกิ่งหลิว และยังเตี้ยกว่าจ้าวลี่จ้งถึงหนึ่งช่วงศีรษะ หนึ่งงดงามอ่อนหวาน? หนึ่งดุดันแกร่งกร้าว? เมื่อยืนเคียงกันในสวนสวยแล้ว ช่างเป็นคู่ที่เหมาะสมกันดุจกิ่งทองใบหยก
“คุณหนูหยอกล้อข้าเล่นแล้ว เรื่องใหญ่อย่างการแต่งงานคุณหนูควรปรึกษาญาติผู้ใหญ่ให้ดี เพราะมันคือความสุขชั่วชีวิตของคุณหนูเอง”
“เรื่องนั้นไม่ใช่ปัญหา เพียงแค่ท่านพยักหน้า อีกสามวันจะมีแม่สื่อไปสู่ขอท่านถึงเรือนทันที”
“หากข้าไม่ยินยอมเล่า”
“เช่นนั้นท่านก็ไม่ควรพูดว่าจะรับปากทุกเรื่องที่ข้าร้องขอตั้งแต่ทีแรก เพราะมันจะเป็นบ่วงรัดตัวท่านเอง”
ได้หยอกเย้าบัณฑิตหนุ่มหน้ามน อารมณ์ร้อนรุ่มกลุ้มใจของจ้าวลี่จ้งก็ดีขึ้นเป็นกอง ผิดกับท่าทางครุ่นคิดอย่างหนักของจินซาน
“ขอเวลาข้าน้อยคิดเรื่องนี้สักหน่อยได้หรือไม่” จินซานกล่าวด้วยท่าทีหนักใจ
“เช่นนั้นคุณชายจินก็ค่อยๆ คิดเถิด ข้ายังมีธุระอื่นต้องไปจัดการ ขอตัว”
“คุณหนูเดินระวังๆ ด้วย”
จินซานมองส่งจ้าวลี่จ้งจนลับสายตา เรื่องราวเล็กๆ นี้มีเพียงแค่พวกเขาสองคนที่รู้
อีกเรื่องคงหนีไม่พ้นฟางเซียนยอดหญิงงามแห่งหอผู่เยว่ อนุภรรยาคนใหม่ที่ไทเฮาพระราชทานแก่จ้าวมู่ นับตั้งแต่หญิงงามนั่งเกี้ยวสี่คนหามเข้าประตูข้างมา ฟางเซียนก็อยู่อย่างสงบเสงี่ยมเจียมตนไม่คิดแย่งชิงความรักกับฮูหยินใหญ่ ทำให้วันคืนของนางผ่านไปอย่างราบรื่นสงบสุข ตัวตนของฟางเซียนค่อยๆ เลือนหายไปจากใจทุกคน พอจวนไท่เว่ยวุ่นวายกับการจัดงานเลี้ยงฉลองทุกคนยิ่งลืมหญิงสาวไปเสียสนิทใจ ซึ่งฟางเซียนพอใจยิ่ง พอไม่มีคนคอยจับตามอง นางยิ่งเคลื่อนไหวได้ง่ายขึ้น
ฟางเซียนสังเกตเห็นความผิดปกติของจวนไท่เว่ยได้อย่างรวดเร็ว จากการคุ้มกันแน่นหนา วันนี้ข้ารับใช้และทหารในจวนต่างวิ่งวุ่นไปทั่วเหมือนตามหาอะไรบางอย่าง ทำให้การคุ้มกันหละหลวม นางเพิ่งสืบได้ความว่าคุณชายจ้าวลี่หมิงหายตัวไป หลี่เหยียนเจี๋ยที่มาร่วมงานเลี้ยงในวันนี้ด้วย แอบส่งสัญญาณให้หญิงสาวตามเขาออกมาหามุมลับตาผู้คนเพื่อพูดคุย
“นายท่าน”
“เรื่องที่ให้ทำตอนนี้ไปถึงไหนแล้ว”
“จวนไท่เว่ยคุ้มกันแน่นหนาดุจถังเหล็ก ผู้น้อยยังหาวิธีลอบเข้าห้องหนังสือของเจิ้งกั๋วกงไม่ได้เลยเจ้าค่ะ”
“เร่งมือเข้า ใช้ความงามของเจ้าให้เป็นประโยชน์ คราวหน้าข้าจะต้องได้ข้อมูลลับเฉพาะที่สามารถใช้ควบคุมจ้าวมู่ได้ ถ้าหากไม่ได้เจ้าคงรู้ใช่ไหมว่าจะเกิดอะไรขึ้นกับเจ้าและคนของเจ้า”
“ผู้น้อยจะพยายามสุดกำลังเจ้าค่ะ” ฟางเซียนแสร้งหวาดกลัวคำขู่ของหลี่เหยียนเจี๋ยจนตัวสั่น ก่อนจะอ้อมแอ้มถามไปอีกเรื่อง “เอ่อ... แล้วเรื่องที่นายท่านเคยรับปากผู้น้อย”
“เรื่องนั้นข้าจัดการให้เรียบร้อยแล้ว เจ้าแค่ตั้งใจทำตามคำสั่งของข้าเป็นพอ”
“ขอบคุณนายท่านเจ้าค่ะ”
“อย่าลืม ถ้าได้ของมาแล้วให้นำไปมอบให้คนเลี้ยงม้าที่ชื่อเสี่ยวโต้ว ถ้ามีเรื่องอะไรให้เจ้าติดต่อกับเขาโดยตรง”
“เจ้าค่ะ”
หลี่เหยียนเจี๋ยสั่งความเสร็จค่อยหันกายเดินจากไป ฟางเซียนเองก็ปลีกตัวกลับเรือนตัวเอง ทันทีที่ประตูเรือนปิดสนิท ชายชุดดำก็ปรากฏตัวขึ้นด้านหลังของฟางเซียน หญิงสาวไม่ได้หันกลับไปมองเพราะรู้อยู่แล้วว่าอีกฝ่ายจะมา
“มีรับสั่งจากฝ่าบาทหรือไม่”
“ไม่มีขอรับ”
“กลับไปรายงานฝ่าบาทว่าทางเจิ้งกั๋วกงไม่มีปัญหา หลี่เหยียนเจี๋ยรับองครักษ์เจาเข้ากองทัพลับแล้วคาดว่าน่าจะได้หลักฐานการซ่องสุมกำลังพล และแหล่งที่มาของทรัพย์สินที่ตระกูลหลี่ใช้บำรุงกองทัพลับ จับตาดูคนเลี้ยงม้าที่ชื่อเสี่ยวโต้วด้วย คาดว่าจะรู้ความเคลื่อนไหวของเสนาบดีหลี่จากคนผู้นี้”
“ต้องการให้สร้างข้อมูลลับของเจิ้งกั๋วกงตบตาหลี่เหยียนเจี๋ยหรือไม่”
“ต้องรบกวนแล้ว ตอนนี้การคุ้มกันจวนหละหลวมข้าจะไปค้นหาทางเข้าห้องลับของเจิ้งกั๋วกงเสียหน่อย หากได้ข่าวอะไรเพิ่มเติมจะรีบแจ้งให้ทราบทันที”
“ขอรับ”
องครักษ์เงาไปมาไร้ร่องรอยดุจภูตพราย ฟางเซียนกวาดตามองโดยรอบอย่างระแวดระวัง เมื่อเห็นว่าปลอดภัย หญิงสาวจึงถอดหน้ากากหนังมนุษย์ออกซ่อนไว้ในอกเสื้อ ใบหน้าคล้ายกู้ฟางเหนียงถูกแทนที่ด้วยใบหน้าเรียบนิ่งเฉยชาไร้ความรู้สึกของสตรีนางหนึ่ง ฟางเซียนถอดชุดกระโปรงยาวกรุยกรายออก เปลี่ยนเป็นชุดพรางกายสีดำสนิท นางคือหนึ่งในองครักษ์เงาที่แฝงตัวเข้ามาตามรับสั่งของฝ่าบาท ฟางเซียนตัวจริงและน้องชายผู้อาภัพที่ถูกนางและองครักษ์เจาสวมรอยถูกส่งไปไกลหลายพันลี้[2] นางได้รับภารกิจให้มาจับตาดูเจิ้งกั๋วกงและแฝงตัวเป็นสายให้หลี่เหยียนเจี๋ยเพื่อล้วงข้อมูลจากอีกฝ่าย เรียกว่าหมากตานี้ของฝ่าบาทร้ายกาจยิ่งนัก
หญิงสาวแต่งกายเสร็จก็อาศัยจังหวะที่บ่าวรับใช้ประจำเรือนยังไม่กลับมา ย่องออกจากเรือนนอน ก่อนจะหายไปทางทิศที่ตั้งห้องหนังสือของเจิ้งกั๋วกง
[1] ผู้แต่งดัดแปลงมาจากฉายาของสี่ยอดหญิงงาม โดยมัจฉาจมวารีได้บรรยายถึงความงามของไซซี ปักษีตกนภาคือ ฉายาหวังเจาจวิน จันทร์หลบโฉมสุดาคือ ฉายาเตียวเสียน และมวลผกาละอายนางคือ ฉายาของหยางกุ้ยเฟย
[2] ลี้ (里) เป็นหน่วยวัดของจีนมีความยาวเท่ากับ 500 เมตร