Share

บทที่ 16

last update Terakhir Diperbarui: 2024-11-28 20:35:46

“เยว่เอ๋อร์”

เฉินเทียนอี้มองเรือนร่างงดงามดุจกิ่งหลิวในชุดฉลองพระองค์สีเหลืองทองลายพญาหงส์ห้าสี ศีรษะสวมมงกุฎหงส์ ติ่งหูบอบบางนุ่มนิ่มประดับกุณฑลไข่มุกเม็ดงาม ลำคอระหงใส่หลิ่งเยวีย[1] เส้นสวย พาดทับด้วยประคำไข่มุกเฉาจูเส้นยาวเต็มพิธีการ สายตาคมเข้มจับจ้องดวงหน้างดงามหมดจด บริสุทธิ์ อ่อนหวานดั่งดวงจันทราในฝากฟ้ายามรัตติกาลที่เขาคะนึงหาทุกวันคืนด้วยสายตารักใคร่หลงใหล

ร่างสูงทรุดตัวลงนั่งบนแท่นหยกน้ำแข็งพันปี โดยไม่สะทกสะท้านต่อความเย็นเยียบจับขั้วหัวใจ มือหนาสั่นเทาขณะเอื้อมไปสัมผัสแก้มนวลเย็นเฉียบของหลานซือเยว่ นิ้วเรียวยาวเขี่ยไล้แก้มอิ่มเบาๆ ก่อนจะเลื่อนขึ้นไปสัมผัสกับขนตางอนยาว หวังเหลือเกินว่าดวงตาหงส์ที่กำลังหลับพริ้มอยู่จะลืมตาตื่นขึ้นมาสบตากับเขาอีกครา

เฉินเทียนอี้รวบมือบางขึ้นมาลูบไล้เล่น ขณะพูดคุยกับหญิงสาวเหมือนเช่นเคย

“รู้หรือไม่เยว่เอ๋อร์ คนที่เคยทำร้ายเจ้ากำลังจะได้รับผลกรรมที่พวกมันเคยก่อ อีกไม่นานข้าจะส่งพวกมันทุกคนลงไปขอขมาเจ้าในปรโลก เจ้าว่าเช่นนี้ดีหรือไม่” ชายหนุ่มถามหญิงสาวด้วยน้ำเสียงนุ่มทุ้มอบอุ่น แต่พอนึกขึ้นมาได้ว่าพวกมันเคยทำอะไรกับเยว่เอ๋อร์ไว้บ้าง กลับรู้สึกว่ายังไม่สาแก่ใจพอ มือหนาบีบมือบางของหญิงสาวแน่นขึ้น สายตาเปลี่ยนเป็นอำมหิตเต็มไปด้วยจิตสังหารในชั่วพริบตา

“ไม่สิ! ข้าจะค่อยๆ แล่เนื้อเลาะกระดูกพวกมันทีละชิ้นๆ ให้พวกมันอยู่ไม่สู้ตาย ถูกผู้คนก่นด่าสาปแช่งไปนับพันหมื่นปีให้สาสมกับที่พวกมันเคยทำกับเจ้า แล้วค่อยส่งพวกมันลงนรกไปทีละคนๆ ไม่ให้เหลือรอดแม้แต่คนเดียว แบบนี้สิถึงจะสาสมกับสิ่งที่พวกมันทำ!” เฉินเทียนอี้เคียดแค้นจนดวงตาแดงก่ำ นึกย้อนถึงอดีตอันแสนเจ็บปวดที่ผ่านมาเนิ่นนาน

20 ปีก่อน

ตั้งแต่จำความได้ใครๆ ก็เรียกเขาว่า ‘องค์ชายเก้า’ ตอนแรกเฉินเทียนอี้คิดว่านั่นคือชื่อของเขา เด็กน้อยไม่รู้ว่าบิดามารดาของตนเองเป็นใคร แต่เขามีพี่ป้าน้าอาหลายคนอาศัยอยู่ด้วยกันในเรือนไม้ผุพังหลังหนึ่งท้ายวังหลัง ทุกวันเขาต้องรอทานเศษข้าวเหลือก้นชามจากคนพวกนั้น บางมื้อมีเหลือให้ทานน้อยนิด บางมื้อก็ไม่มีอะไรให้ทาน จนเด็กน้อยต้องหิ้วท้องรออาหารมื้อต่อไป ได้แต่ดื่มน้ำประทังชีวิต นานวันเข้าเขาก็กลายเป็นเด็กผอมแห้ง สามวันดีสี่วันป่วยไข้ เวลาที่เขาป่วยเด็กน้อยวัยเพียงสามหนาวอย่างเขาทำได้เพียงต้องดูแลตัวเอง จนเขาเกือบสิ้นชีพหลายครา

บางครั้งเด็กน้อยก็มักถามตนเองว่าเกิดมาทำไม ถ้าตายไปทั้งอย่างนี้จะสบายขึ้นบ้างไหมนะ แต่ทุกครั้งที่ความตายย่างกรายเข้ามา เด็กน้อยก็หวาดกลัวจนดิ้นรนที่จะมีชีวิตรอดต่อไป โดยการขุนดินถอนหญ้าข้างเรือนมาทาน โชคดีที่เรือนหลังนั้นปลูกจวี๋ฮวา[2] เอาไว้ทั่วเรือน เด็กน้อยเคยกินดอกไม้ดอกนี้แล้วอาการดีขึ้น เขาจึงมักจะไปเด็ดมากินทุกครั้งเวลาที่เขาป่วยไข้ จึงพอจะเอาชีวิตรอดต่อไปได้

บางคราวเฉินเทียนอี้ก็นึกน้อยใจ เหตุใดคนในเรือนนี้ถึงไม่รักใคร่เมตตาเขา พวกเขาเป็นญาติของเขาไม่ใช่หรือ พอเวลาผ่านไปอีกหลายปีเขาถึงได้รู้ว่าคนเหล่านี้เป็นเพียงนางกำนัลและขันทีประจำตำหนักของเขา นึกแล้วเจ็บแค้นใจยิ่งนัก บ่าวสุนัขเหล่านั้นไม่เพียงไม่ดูแลเขาให้ดี ยังกดขี่ข่มเหงเขาในทุกทาง คนที่ชอบตบตีทำร้ายเขา เฉินเทียนอี้ส่งมันลงนรกด้วยตัวเองในวัยเพียงหกหนาว ท่ามกลางอากาศหนาวเย็น เขายืนมองมันค่อยๆ จมหายไปในสระน้ำท้ายวังด้วยสายตาเย็นชา เผยรอยยิ้มเต็มหน้าด้วยความสาแก่ใจ ก่อนจะหัวเราะอย่างบ้าคลั่ง หลุดพ้นจากโซ่ตรวนที่คอยพันธนาการตัวตนของเขาเอาไว้ แสนจะปลอดโปร่งโล่งสบายจนร่างกายเบาหวิว

หลังจากเหตุการณ์นั้น เพราะนางกำนัลของตำหนักเขาตายไปคนหนึ่ง นางกำลังคนใหม่จึงถูกส่งมาแทนคนเก่า ทำให้เขาได้พบกับหลานซือเยว่เป็นครั้งแรก นางเป็นเพียงคนเดียวที่รักใคร่เอ็นดูเขาด้วยใจจริง ปกป้องเขาจากเหล่านางกำนัลและขันทีที่ชอบข่มเหงผู้อื่น ต่อให้นางอดนางก็จะไม่ปล่อยให้เขาหิว นางให้ความอบอุ่นในยามที่เขาหนาวเหน็บ เป็นแสงสว่างเพียงหนึ่งเดียวในชีวิตอันมืดมนของเขา นางไม่ได้เห็นเขาเป็นเพียงเจ้านายที่ต้องปฏิบัติต่อกันอย่างมีพิธีรีตอง แต่กลับรักใคร่เอ็นดูเขาเหมือนน้องชายของนางเอง

ทุกวันเขาเห็นนางตื่นเช้าลุกขึ้นมาตักน้ำในบ่อมาต้มให้เขาล้างหน้าล้างตาท่ามกลางหิมะตกหนัก ปรนนิบัติเขาเปลี่ยนชุด ก่อนจะออกไปหาอะไรมาให้เขากิน ทุกครั้งที่นำอาหารกลับมานางมักจะมีบาดแผลเล็กๆ น้อยๆ ตามตัวเสมอ เขาเองก็เห็นอยู่กับตาแต่ก็ไม่อาจช่วยอะไรได้ เพราะเขาไม่เป็นที่โปรดปรานของเสด็จพ่อ หรือไม่เสด็จพ่ออาจจะลืมไปแล้วด้วยซ้ำว่ามีบุตรชายคนนี้อยู่

เฉินเทียนอี้พยายามไม่คิดถึงเรื่องไร้สาระพรรค์นั้น เด็กชายจมจ่อมอยู่กับโลกใบเล็กที่มีแค่เขากับหลานซือเยว่ ไม่ได้สนใจเรื่องราวภายนอก ยามว่างหลานซือเยว่จะสอนเขาอ่านตำราคัดอักษร สี่ตำราห้าคัมภีร์ล้วนเป็นนางสอนเขาจนหมดสิ้น บางวันอากาศดีๆ นางจะพาเขาไปวาดภาพแต่งกลอนในอุทยานหลวง หรือไม่ก็เล่นหมากล้อมเป็นเพื่อนเขา นอกจากนี้นางยังสอนมารยาทในการวางตัวให้สมกับฐานะองค์ชาย ให้เขารู้จักเคารพในตัวเอง ให้เขารับรู้ถึงเกียรติยศและศักดิ์ศรีของโอรสแห่งองค์จักรพรรดิ ในสายตาของเขานางเก่งที่สุด แต่เฉินเทียนอี้ไม่เคยรู้เลยว่าทุกครั้งหลังจากที่เขาหลับไป หลานซือเยว่จะแอบจุดตะเกียงนอกห้องบรรทม ท่ามกลางบรรยากาศหนาวเหน็บ แอบศึกษาตำราที่จะสอนองค์ชายน้อยของนางในวันพรุ่ง

อยู่มาวันหนึ่งหลานซือเยว่พาองครักษ์นายหนึ่งมาพบเขา คนผู้นั้นคือ 'เฝิงไห่' เป็นหัวหน้าองครักษ์รักษาพระองค์ เฝิงไห่เคยถูกนักฆ่าที่ลอบเข้ามาปลงพระชนม์เสด็จพ่อทำร้ายเกือบสิ้นชีพตอนที่อีกฝ่ายไล่ตามจับกุมนักฆ่าคนนั้นนอกเขตพระราชฐาน ชายหนุ่มถูกแทงเข้าที่ท้องจนเกือบเอาชีวิตไม่รอด บังเอิญหลานซือเยว่ไปพบเข้าระหว่างเดินทางกลับไปเยี่ยมบ้านในวันหยุดจึงช่วยชีวิตเอาไว้ เฝิงไห่ติดค้างหนี้ชีวิตจึงรับปากจะช่วยสอนวรยุทธ์ให้แก่เขาเป็นการตอบแทนตามคำขอร้องของหลานซือเยว่

ทั้งสามชีวิตฝ่าคลื่นลมมรสุมในวังหลวงมาด้วยกัน กระทั่งเขาได้รับการแต่งตั้งขึ้นเป็นฮ่องเต้โดยไม่คาดฝัน

เฉินเทียนอี้ทราบในทันทีว่านี่เป็นโอกาสอันดีที่เขาจะได้ยิ่งใหญ่เหนือใคร เขาเดินไปในเส้นทางที่เต็มไปด้วยขวากหนาม ถูกชักเชิด ล่อลวง หลอกใช้ สารพัดเล่ห์เหลี่ยมที่ดาหน้าเข้ามา ทำให้เขาแสร้งทำตัวเป็นหมาป่าห่มหนังแกะอยู่นานปี โดยมีหลานซือเยว่คอยระวังหลังให้ นางถูกทำร้าย ถูกกดขี่ข่มเหง กระทั่งถูกพิษแทนเขาจนแทบเอาชีวิตไม่รอด ทุกอย่างที่นางทำเพื่อเขา เฉินเทียนอี้เห็นด้วยตารับรู้ด้วยใจ ไม่ว่าในฐานะฮ่องเต้กับข้ารับใช้ พี่สาวกับน้องชาย คนในครอบครัวหรือคนรัก เขาจะผูกมัดนางไว้กับตนเองให้ได้ ความรักของพวกเขาจึงเบ่งบานขึ้นท่ามกลางกลิ่นคาวเลือดในราชสำนัก

เฉินเทียนอี้จำได้ดีถึงวันแต่งงานของพวกเขา ในคืนที่ดวงจันทร์สุกสกาวไร้เมฆหมอกบดบัง พวกเขาหลวมรวมเป็นหนึ่งเดียวกันทั้งกายใจ แต่วันชื่นคืนสุขมักผ่านพ้นไปเร็วเสมอ ข่าวการศึกที่ด่านชายแดนส่งมาเมืองหลวงไม่เว้นแต่ละวัน เฉินเทียนอี้รู้ว่าเส้นสายในราชสำนักที่เขาสั่งสมได้ไม่กี่ปีมานี้ไม่เพียงพอที่จะทำให้บัลลังก์ของตนเองมั่นคง เขาจำเป็นต้องมีกำลังทหารอยู่ในมือ เพื่อคานอำนาจกับหลี่ไทเฮา ดังนั้นเขาจึงเสนอตัวนำทัพไปปราบปรามเผ่าซยงหนูด้วยตนเอง

เฉินเทียนอี้นำทัพออกศึกโดยมีเฝิงไห่ติดตามอยู่ข้างกาย ปล่อยให้หลานซือเยว่ซึ่งตอนนั้นดำรงตำแหน่งกุ้ยเฟยรั้งอยู่ในวังหลัง เขามั่นใจว่าหลานซือเยว่จะสามารถงัดข้อกับหลี่ไทเฮาได้ไม่มีทางปล่อยให้หลี่ไทเฮาดึงขั้วอำนาจของเขาไปได้อย่างแน่นอน แต่ร้อยคิดพันคิดก็ไม่นึกว่าหลานซือเยว่จะตั้งครรภ์บุตรของเขา นางไม่เพียงไม่เอ่ยปากบอก ยังทำตัวเข้มแข็ง มองส่งเขาจากไปด้วยรอยยิ้มอันงดงามตรึงใจเหนือกำแพงเมืองหลวง และเป็นรอยยิ้มสุดท้ายของนางที่เขาได้เห็นในชีวิตนี้

ขณะที่เขาล้มลุกคลุกคลานอยู่ในกองทัพ ต้องแสดงฝีมือให้เป็นที่ยอมรับของเหล่าแม่ทัพนายกอง หาทางดึงคนมาเป็นกำลังเสริมให้กับตัวเอง ทั้งยังต้องคอยต่อสู้กับการลอบสังหารของตระกูลหลี่ กระทั่งเขากำชัยเหนือเผ่าซยงหนู ยกทัพกลับเมืองหลวงด้วยความยินดีปรีดา กลับพบว่าภรรยาของเขานั้นได้จากไปแล้ว เหลือบุตรชายเพียงคนเดียวไว้ให้ดูต่างหน้า

เฉินเทียนอี้เสียใจจนแทบสิ้นสติ คล้ายกับดวงวิญญาณถูกกระชากออกไปจากร่าง ดวงใจถูกทุบทำลายจนแหลกเละ เมื่อรู้ว่าได้สูญเสียนางผู้เปรียบเสมือนทุกสิ่งทุกอย่างในชีวิตไป หลังจากผ่านพ้นความเสียใจมาได้ เขาเร่งสืบหาความจริงอย่างบ้าคลั่ง เขาไม่เชื่อหรอกว่านางจะจากเขาไปง่ายดายเช่นนี้

พอเขาสืบลึกลงไปถึงได้รู้ว่าระหว่างที่หลานซือเยว่กำลังคลอดบุตร มีคนแอบเล่นเล่ห์กับน้ำแกงบำรุงกำลังของนาง ทำให้หลานซือเยว่ตกเลือดจนเสียชีวิต ตอนเฉินเทียนอี้รู้ความจริงว่าคนที่ลงมือคือนังปีศาจเฒ่าเจ้าเล่ห์ผู้นั้น เขาเกือบจะทำลายทุกสิ่งทุกอย่างให้ตายตกตามนางไป

เฉินเทียนอี้ถึงขั้นยกทัพเข้าวังหลวงกะสังหารคนพวกนั้นให้สิ้นซาก แต่คนชั่วช้าเหล่านั้นกลับเอาบุตรชายเพียงคนเดียวมาขู่บังคับให้เขาวางมือ หลังจากคุมเชิงกันอยู่หลายวัน ทำทุกวิถีทางเพื่อช่วยบุตรชายออกมาแต่ก็ไม่สำเร็จ เฉินเทียนอี้จึงยื่นข้อเสนอแลกเปลี่ยนตัวบุตรชายโดยการแต่งตั้งหลี่ลู่เหลียนขึ้นเป็นฮองเฮา ทั้งยังส่งมอบหลักฐานการลอบสังหารที่เขาสู้อุตส่าห์รวบรวมมาอย่างยากลำบากเพื่อโค่นล้มหลี่ไทเฮาและพรรคพวก ยอมแม้กระทั่งดื่มยาพิษสะบั้นวิญญาณ พิษนี้ออกฤทธิ์กัดกร่อนชีพจร ทุกฤดูใบไม้ร่วงร่างกายจะอ่อนล้าโรยแรง ยามหลับจะเกิดภาพหลอนราวกับวิญญาณหลุดออกจากร่างตกลงไปในนรกโลกันตร์ อายุขัยถูกลดทอนไปสามปีในหนึ่งสารท สิบปีให้หลังเฉินเทียนอี้ก็ไม่อาจก่อคลื่นลมใดๆ ได้อีก เพื่อให้อีกฝ่ายมั่นใจว่าเขาจะไม่กระทำการใดที่เป็นภัยต่อตระกูลหลี่ ฝ่ายนั้นถึงยอมส่งตัวบุตรชายคืน

เฉินเทียนอี้เก็บความคั่งแค้นเอาไว้ในใจรอวันเอาคืน แล้วหันมาทุ่มเทให้กับเฉินซือหยาง บุตรชายเพียงคนเดียวของเขา

ครั้งหนึ่งเฉินเทียนอี้เคยฝันว่าจะได้ใช้ชีวิตอย่างสงบสุขกับภรรยา ได้จับมือคู่นี้เคียงข้างกันบนบัลลังก์ทอง ให้นางได้สวมมงกุฎหงส์สายสะพายเมฆ สูงศักดิ์ยิ่งกว่าผู้ใดในแผ่นดินนี้ ขณะที่ความฝันใกล้เป็นจริง เขากลับถูกผลักให้ตกลงไปในหุบเหวแห่งความสิ้นหวังนับหมื่นจั้งจนแทบเอาชีวิตไม่รอด นางอันเป็นที่รักได้กลายเป็นดวงจันทร์บนฟากฟ้าไกลที่เขาได้แต่คะนึงหาอยู่ทุกคืนวัน[3]

เฉินเทียนอี้วางแผนโค่นล้มตระกูลหลี่มานานปี เขาแสร้งผลักเรือตามน้ำ ผลักดันคนของหลี่ไทเฮาให้อยู่ในตำแหน่งที่สูงขึ้นเรื่อยๆ ให้พวกมันได้สัมผัสกับความยิ่งใหญ่ใกล้แค่เอื้อมคว้า จากนั้นเขาจะเป็นคนกระชากมันลงมาคลุกในโคลนตม แล้วกระทืบซ้ำเหมือนที่มันเคยทำกับเขา ให้พวกมันได้ลิ้มรสชาติของความเจ็บปวดสิ้นหวัง ทุกข์ทรมานเหมือนตายทั้งเป็น!

[1] หลิ่งเยวีย (领约) เรียกอีกอย่างว่า “เซี่ยงเชวียน” (项圈) เป็นเครื่องประดับของอิสตรีสมัยราชวงศ์ชิง ลักษณะเป็นเครื่องประดับทรงกลมใช้สวมคอ ทำจากโลหะประดับแผ่นทอง ไข่มุกตงจู และอัญมณีล้ำค่าต่างๆ

[2] จวี๋ฮวาหรือเก๊กฮวย เป็นวงศ์เดียวกับเบญจมาศ มีสรรพคุณเป็นยาช่วยขับลม รักษาอาการปากแห้ง ร้อนใน นัยน์ตาแห้ง ยับยั้งการเจริญเติบโตของเชื้อโรคหลายชนิดรวมทั้งสามารถปรับสมดุลและลดความดันโลหิตในร่างกาย

[3] หลานซือเยว่ ซือ มาจากคำว่า 思 แปลว่าคิดถึง คะนึงหา ส่วน เยว่ (月) แปลว่า ดวงจันทร์ แปลโดยรวมว่า คะนึงจันทร์
Lanjutkan membaca buku ini secara gratis
Pindai kode untuk mengunduh Aplikasi

Bab terbaru

  • ชายาข้าน่ารักเกินใคร   บทที่ 244

    ‘เปิดตำหนักลับฉบับวายป่วง’ สำนักข่าวเถียนเถียนรายงานสดจากตำหนักจินหลวน นักข่าวนิรนาม : “มีคนบ่นว่าพระเอกเรื่องนี้ไม่เหมือนพระเอกจริงหรือไม่ขอรับ” สวีจิ้งเฟิ่ง : “ผู้ใดบอกให้นักเขียนผู้นั้นให้บทเด่นกับท่านพ่อมากเกินไปเล่า” สวีจิ้งเฟิ่งแบมืออย่างช่วยไม่ได้ นักเขียน : “C £ C

  • ชายาข้าน่ารักเกินใคร   บทที่ 243

    "หยางหยาง! เจ้าไปไหน..." ไป่ชิงถงยังไม่ทันซักไซ้ไล่เลียง สวีจิ้งเฟิ่งก็ตรงดิ่งเข้าหาภรรยาด้วยความยินดี "ชีชี เจ้าอยู่นี่เอง ข้าตามหาเจ้าเสียทั่ว มากับข้าเร็วเข้า" สวีจิ้งเฟิ่งอุ้มสวีชิงเทียนให้ท่านย่า จูงมือภรรยาออกไปท่ามกลางเสียงโวยวายอย่างไม่รู้ต้นสายปลายเหตุของไป่ชิงถง "หยางหยางเจ้า

  • ชายาข้าน่ารักเกินใคร   บทที่ 242

    "เจ้าชอบแบบนี้เองหรอกหรือ" สวีจิ้งเฟิ่งขยับกายเข้าออกเนิบช้า บดคว้านโพรงรักจนถ้วนทั่วสลับกับตอกตรึงหนักเน้นลึกจนถึงแก่น "เปล่านะ ไม่ใช่อย่างนั้นสักหน่อ...ย อ่ะ" ไป่ชิงถงส่ายหน้าไม่อยากจะยอมรับเลยว่าสวีจิ้งเฟิ่งทำแบบนี้เขายิ่งเสียวซ่านมากกว่าเดิมขึ้นไปอีก "งั้นหรือ แล้วแบบนี้เล่า" สวีจิ

  • ชายาข้าน่ารักเกินใคร   บทที่ 241

    "อย่าว่าลูก! จ้ำม่ำแบบนี้สิดี กอดแล้วนุ่มนิ่มจะตาย แล้วที่ว่าไม่เหมือนเจ้า ไม่เหมือนตรงไหน ดูผมนี่สิ หน้าก็เหมือนกันแทบจะถอดเค้ามาจากเจ้า มีแค่ตาสีมรกตคู่นี้ที่เหมือนข้า" ไป่ชิงถงประท้วง มองสามีตาเขียว ลูกเหมือนสวีจิ้งเฟิ่งขนาดนี้ เขาไม่เห็นจะว่าอะไรเลย แค่ชอบกินเหมือนเขานิดหน่อยทำมาเป็นโวยวาย

  • ชายาข้าน่ารักเกินใคร   บทที่ 240

    ด้วยความเพียรพยายามมุมานะอุตสาหะกกไข่แทนภรรยาของสองพ่อลูกแซ่สวี ในที่สุดไข่ใบน้อยก็เริ่มกะเทาะเปลือกออกมาแล้ว "อีกนิด ลูกทำได้ เจาะเปลือกบนหัวออกก่อนแบบนั้นแหละ" เสียงพ่อลูกแซ่สวีให้กำลังใจลูกน้อยดังขึ้นเป็นระยะ ไม่นานหงส์ทองตัวน้อยกับมังกรเหมันต์ก็โผล่ศีรษะเล็กๆ ออกมา ดวงตาใสแจ๋วสองคู่มองคนน

  • ชายาข้าน่ารักเกินใคร   บทที่ 239

    "ไม่ค่อยดี" สวีเฟยหลงมีสีหน้าวิตกอย่างเห็นได้ชัด "ข้าจะเข้าไปดูหน่อย" "หยางเอ๋อร์..." สวีเฟยหลงห้ามไม่ทัน ร่างสูงของบุตรชายหายเข้าไปในห้องเสียแล้ว "ท่านตาเสร็จหรือยัง ชีชีจะคลอดแล้วเหมือนกันนะ" "รอก่อน ข้าทำคลอดมารดาเจ้าอยู่ อย่ามาวุ่นวาย" หลินไท่หน้าซีด ถ่ายพลังให้หลินเส

Bab Lainnya
Jelajahi dan baca novel bagus secara gratis
Akses gratis ke berbagai novel bagus di aplikasi GoodNovel. Unduh buku yang kamu suka dan baca di mana saja & kapan saja.
Baca buku gratis di Aplikasi
Pindai kode untuk membaca di Aplikasi
DMCA.com Protection Status