เพ่ยเพ่ยตื่นขึ้นมาด้วยอาการปวดหัวจากฤทธิ์สุราที่ดื่มเข้าไปเมื่อวาน นางยังคงนั่งหลับตาอยู่บนเตียงด้วยความง่วงเต็มเปี่ยม
เพ่ยเพ่ยตื่นได้สักพักแล้วเพราะชิงชิงเข้ามาปลุกก่อนหน้านี้ หากปล่อยให้นางตื่นเองอย่างไรก็คงไม่มีมีทางเป็นไปได้แน่
"คุณหนูรับน้ำชาสักหน่อยไหมเจ้าคะ จะได้สดชื่นขึ้นเจ้าค่ะ"
ชิงชิงยกกาน้ำชาเข้ามา ก่อนจะรินน้ำชาเตรียมไว้ให้ผู้เป็นนาย
"อืม ดีเหมือนกันชิงชิง"
ชิงชิงส่งจอกชาให้เพ่ยเพ่ยแล้วจึงหันกลับไปจัดการเตรียมข้าวของไว้สำหรับเช็ดเนื้อเช็ดตัวให้เพ่ยเพ่ย
เช้านี้เพ่ยเพ่ยนั่งเป็นหุ่นให้ชิงชิงจัดการทุกอย่างตามใจชอบ วันนี้ถือว่านางเป็นหุ่นที่ดีมากกว่าทุกวัน ชิงชิงเองก็รู้สึกพอใจเป็นอย่างมาก
เพราะปกติแล้วเพ่ยเพ่ยจะคอยห้ามนู่นห้ามนี่ตลอดเวลาที่ชิงชิงโหมประโคมแต่งตัวและเครื่องประดับให้นาง เพ่ยเพ่ยมักจะบ่นเสมอว่านาง ‘หนักหัว’ หรือ ‘มันเยอะจนเกินไป ข้ามิใช่นางเอกงิ้ว’ แต่วันนี้นางไม่สามารถต่อสู้กับความง่วงได้ เพ่ยเพ่ยไร้ซึ่งแรงต่อต้านใดจริงๆ
"คุณหนูจะแต่งหน้าเองหรือไม่เจ้าคะ"
ชิงชิงเอ่ยถาม เพราะตั้งแต่แต่งเข้าตำหนักอ๋องมา เพ่ยเพ่ยมักจะขอแต่งหน้าเองเสมอ
"ไม่ล่ะชิงชิง วันนี้ข้าตามใจเจ้า แต่ข้าขอเบาๆ พอนะ เจ้ารู้จักหรือไม่ แต่งหน้าอย่างไรให้ดูเหมือนไม่แต่ง"
เพ่ยเพ่ยกล่าวแม้ว่าตาทั้งสองยังคงปิดสนิทอยู่
"ข้าคิดว่าพอจะเข้าใจเจ้าค่ะ ข้าจะพยายามนะเจ้าคะ"
ชิงชิงพอจะรู้ว่าที่คุณหนูของนางพูดนั้นหมายถึงอะไร เพราะนางคอยดูเพ่ยเพ่ยแต่งหน้าเองมาตลอดเกือบสองเดือนมานี้ ชิงชิงแอบสังเกตและจดจำมาไม่น้อยว่าคุณหนูของนางนั้นชอบการแต่งหน้าแบบไหน
ชิงชิงยิ่งคิดก็ยิ่งแปลกใจ ปกติคุณหนูไม่เคยแต่งหน้าเองและมักจะพอใจยามที่นางแต่งหน้าให้เสมอ แต่พักหลังมานี้เพ่ยเพ่ยมักจะบอกว่าใบหน้าของนางนั้นงดงามอยู่แล้ว ยิ่งแต่งเยอะก็ยิ่งบดบังความงามเสียหมด ยิ่งไปกว่านั้นบางวันคุณหนูก็ไม่แต่งหน้าเลย ผิดวิสัยคุณหนูนักที่ปกติจะชอบการแต่งหน้าแบบเข้มๆ
แม้จะแปลกใจกับความชอบที่เปลี่ยนไปของเจ้านายแต่ชิงชิงก็เห็นจริงดังที่เพ่ยเพ่ยพูดทุกคำ คุณหนูของนางนั้นสวยอยู่แล้ว ไม่ต้องแต่งหน้านางก็ยังดูสวย
"คุณหนูดูกระจกก่อนนะเจ้าคะ ต้องการให้ข้าเพิ่มเติมตรงไหนหรือไม่เจ้าคะ"
ชิงชิงถามผู้เป็นนาย ลุ้นยิ่งในคำตอบ นางคาดหวังว่าผู้เป็นนายจะพึงใจในฝีมือตนไม่มากก็น้อย
"อืม ไม่เลวเลยชิงชิง เจ้าเรียนรู้ได้รวดเร็วนัก"
เพ่ยเพ่ยพออกพอใจจนยิ้มกว้างออกมา
"รีบไปกันเถอะเจ้าค่ะคุณหนู เดี๋ยวท่านอ๋องจะรอนะเจ้าคะ"
เพ่ยเพ่ยเกาะแขนชิงชิงแล้วจึงพากันเดินออกมาจากตำหนักจันทรา นางแทบอยากจะลอยออกไปเสียเลยด้วยซ้ำหากว่าสามารถทำได้
สุรายุคสมัยนี้ทำไมถึงได้แรงขนาดนี้เนี่ย ยังรู้สึกแฮงค์อยู่เลย เฮ้อ
เหลยคังเดินตามหลังอ๋องหมิงจนมาหยุดอยู่ที่รถม้าที่จอดรออยู่หน้าจวนอ๋องแล้ว แต่เขากลับไม่เห็นพระชายาและสาวรับใช้คนสนิทของนางเลย
แย่แล้ว พระชายาคงยังเสด็จมาไม่ถึง ท่านอ๋องต้องกริ้วแน่
ชั่วครู่หนึ่งเหลยคังก็เห็นชิงชิงเดินจ้ำอ้าว รีบก้าวออกมาจากประตูตำหนัก
"นายของเจ้าอยู่ที่ใด นี่มันยามใดแล้ว ทำไมถึงต้องให้เปิ่นหวางรอ เหลวไหลสิ้นดี!"
นี่เขาอุตส่าห์ไปแจ้งนางถึงตำหนัก ยังจะให้เขาเสียเวลามารอนางอีกงั้นรึ
ไร้มารยาทนัก
"ขออภัยเพคะท่านอ๋อง หม่อมฉันเพิ่งกลับมาจากโรงครัว ขออภัยที่ทำให้ท่านอ๋องต้องเสียเวลารอเพคะ หม่อมฉันกลัวว่าพระชายาจะหิวระหว่างทางไปวังหลวงจึงไปเตรียมของว่างไว้ให้พระชายาและท่านอ๋องเพคะ"
"แล้วนายของเจ้าอยู่ที่ใด"
"เอ่อ...พระชายารออยู่บนรถม้าแล้วเพคะ"
ชิงชิงตอบคำถามอ๋องหมิงตัวสั่น คุณหนูของนางง่วงนอนเกินกว่าที่จะยืนรอไหว นางเลยดึงดันจะเข้าไปนั่งรอท่านอ๋องข้างในรถม้า
อ๋องหมิงเลิกม่านบนรถม้าก็เห็นเพ่ยเพ่ยนั่งหลับสบายอยู่ในรถม้าเรียบร้อยแล้ว เขาก้าวขึ้นไปบนรถม้าก่อนจะสั่งการ
"ไปได้! เสียเวลามามากแล้ว"
"พะย่ะค่ะ"
น่าแปลก ท่านอ๋องไม่ยักจะบ่นอันใด
เหลยคังแปลกใจอย่างมาก โดยปกติแล้วท่านอ๋องของเขาค่อนข้างเคร่งครัดเรื่องมารยาท พระชายาที่เป็นผู้น้อยกว่ามิเพียงไม่ยืนรออยู่ด้านนอกตามธรรมเนียมแต่กลับไปนั่งหลับอยู่บนรถม้าเสียนี่ แต่ท่านอ๋องกลับปล่อยผ่านเรื่องนี้ไปเฉยๆ เสียอย่างนั้น ช่างผิดวิสัยของท่านอ๋องนัก
อ๋องหมิงนั่งลงตรงข้ามกับเพ่ยเพ่ย เขานั่งกอดอกจ้องมองดูใบหน้างามที่มองเห็นได้ชัดเจนเสียยิ่งกว่าเมื่อคืนมาก
หึ คงจะยังไม่สร่างเมาล่ะสินะ
นั่นไม่ใช่ปัญหาของเขาที่นางต้องแบกร่างไร้วิญญาณนี้ให้ลุกตื่นขึ้นมาแต่เช้า ช่วยไม่ได้ ใครใช้ให้นางอยากไปร่ำสุรากันล่ะ
อ๋องหมิงมองพิจารณาไปบนใบหน้างามของร่างบางตรงหน้า แพขนตางอนสอดรับกับดวงตากลมโต จมูกเชิดรั้นที่ดูเข้ากับใบหน้าเรียวเล็กรูปไข่ของนางเป็นอย่างดี ผิวของนางขาวเนียนละเอียดดุจหิมะตัดกันกับสีปากแดงระเรื่อ แก้มขึ้นสีชมพูอ่อนๆ อย่างคนมีเลือดฝาด ยามนางหลับเช่นนี้ดูไร้พิษสงและน่ามองกว่ายามตื่นเป็นไหนๆ
เขาไม่เคยพิจารณาดูนางชัดเจนเช่นนี้มาก่อน เพราะทุกคราที่ได้พบเจอกับนางนั้นก็มีแต่เรื่องที่ทำให้เขาต้องหงุดหงิดใจตลอดเวลา อ๋องหมิงอดที่จะยกยิ้มขึ้นมาไม่ได้
นี่ข้าเป็นอันใดไป ทำไมถึงรู้สึกเพลิดเพลินกับการนั่งจ้องมองดูนางเช่นนี้
แม้จะรู้สึกสับสนในใจแต่อ๋องหมิงกลับยื่นมือออกไปข้างหน้าเสียอย่างนั้น เขาหมายจะเอากลุ่มผมที่หล่นลงมาปรกบนใบหน้าของนางออก มือของเขายังไม่ทันจะสัมผัสโดนผมของนาง ทันใดนั้นล้อรถม้าก็สะดุดกับหินก้อนใหญ่จึงทำให้รถม้าโยกโคลงเคลงอย่างแรง
คนตัวเล็กที่นอนเอาหัวพิงหน้าต่างรถม้าอยู่ถึงกับหัวโขกกับขอบหน้าต่าง อ๋องหมิงรีบชักมือกลับอย่างรวดเร็วตามสัญชาตญาณราวกับว่ากำลังหลบซ่อนความผิด
"โอ้ย!"
เพ่ยเพ่ยส่งเสียงร้องเบาๆ ออกมา มือบางยกขึ้นถูหัวตรงตำแหน่งที่ถูกกระแทกก่อนจะค่อยๆ ลืมตาขึ้นมาและรับรู้ได้ถึงการเคลื่อนตัวของรถม้า
อ้าว นี่เราออกเดินทางแล้วหรอ
"เอ่อ…อรุณสวัสดิ์เพคะท่านอ๋อง"
นางเอ่ยทักทายเขาอย่างประหม่าทันทีที่หันหน้าไปสบตาเขา
ทำไมชิงชิงไม่ยอมปลุกข้ากันนะ น้ำลายหกยืดหรือเปล่าก็ไม่รู้ น่าอายสิ้นดี
"อืม"
อ๋องหมิงพยักหน้ารับเรียบนิ่งไร้ซึ่งอารมณ์ใดก่อนจะหันหน้าออกไปมองข้างนอกหน้าต่างแทน
วันนี้มาแปลกแฮะ ไม่ด่าข้าสักคำ เป็นไปได้ด้วยหรือเนี่ย
เพ่ยเพ่ยคิดในใจพร้อมกับหันหน้าออกไปเปิดม่านหน้าต่างฝั่งตนขึ้น แต่เป็นเช่นนี้ก็ดีแล้ว วันนี้นางขี้เกียจจะต่อล้อต่อเถียงกับเขาอยู่พอดี
เพ่ยเพ่ยมองดูบรรยากาศครึกครื้นสองข้างทาง ผู้คนมากมายบนท้องถนน เสียงพูดคุยดังจอแจของผู้คนตามทาง นางมองดูบรรยากาศภายนอกรถม้าอย่างตื่นเต้นจนเก็บอาการไว้ไม่อยู่ สายตาเป็นประกายขึ้นมาราวกับเด็กที่บิดามารดาพามาเที่ยวนอกบ้าน
เหอะ จะตื่นเต้นอะไรถึงเพียงนี้ ทำยังกับมิเคยออกมานอกจวนอย่างนั้นแหละ
อ๋องหมิงลอบมองดูเพ่ยเพ่ยไม่วางตา รถม้าเคลื่อนตัวผ่านถนนสายหลักที่ทอดยาวก่อนจะถึงหน้าประตูวังหลวง
เมื่อผ่านประตูวังหลวงอันสูงตระหง่าน รถม้าก็เคลื่อนตัวผ่านตำหนักแล้วตำหนักเล่า จนมาหยุดลงที่หน้าท้องพระโรง
"ท่านอ๋อง ฝ่าบาททรงประทับรอพระองค์อยู่ที่ตำหนักของไทเฮาพะยะค่ะ"
กงกงผู้เฒ่าเอ่ยทักทายขึ้น
"อืม เช่นนั้นก็ไปตำหนักเสด็จแม่"
รถม้าเคลื่อนตัวออกไปยังหน้าตำหนักขององค์ไทเฮาตามคำสั่งของเขา
อ๋องหมิงลงจากรถม้าแล้วยื่นมือส่งไปให้เพ่ยเพ่ยหมายจะรับตัวนางลงจากรถม้า เพ่ยเพ่ยจ้องมองมือหนาสลับกับมองหน้าอ๋องหมิง พร้อมกับทำหน้าตางุนงง
"จะลงมาหรือไม่ หรือจะรออยู่บนนี้" อ๋องหมิงทำเสียงดุใส่นาง
"หม่อมฉันลงเองได้เพคะ ไม่รบกวนท่านอ๋องจะดีกว่า"
ประสาท! ถ้าให้นั่งรออยู่บนรถม้านี่ได้แล้วจะต้องให้ข้าลากสังขารมาทำไมกันล่ะ เสียเวลานอนของข้าจริงๆ
"ดี!"
อ๋องหมิงชักมือกลับ สะบัดหน้าเดินตรงเข้าในประตูตำหนักทันทีโดยไม่อยู่รั้งรอหรือสนใจว่านางจะเดินตามเขาทันหรือไม่
อะไรเนี่ย แค่นี้ก็งอนหรอ มาแปลกขึ้นทุกวันละอีตาอ๋อง
เพ่ยเพ่ยได้แต่อึ้งไป นางกระโดดจากรถม้าลงมาอยู่บนพื้นอย่างมั่นคง พลางเร่งฝีเท้าเพื่อตามไปให้ทันอ๋องหมิง
ภายในตำหนักองค์ไทเฮาและฮ่องเต้ประทับรอทั้งสองคนอยู่ภายใน เพ่ยเพ่ยพยายามเดินอย่างสำรวมที่สุดเท่าที่จะทำได้
นางเหลือบสายตามองพวกเขาเพื่อเรียกความทรงจำของหยางเพ่ยเพ่ยกลับคืนมา เพ่ยเพ่ยพบว่าในความทรงจำของแม่นางหยางนั้นนางเคยเห็นทั้งสองพระองค์มาก่อนแล้วเมื่อตอนที่นางติดตามบิดาเข้ามางานเลี้ยงที่จัดขึ้นภายในวังและองค์ไทเฮาเองก็เป็นญาติห่างๆ ของมารดาหยางเพ่ยเพ่ยอีกด้วย
"ถวายพระพรเสด็จพี่ ถวายพระพรเสด็จแม่พะย่ะค่ะ"
อ๋องหมิงเอ่ยนำก่อน เพ่ยเพ่ยรีบแสดงความเคารพบุคคลทั้งสองตามทันทีโดยไม่ต้องให้บอก
"หม่อมฉันหยางเพ่ยเพ่ย น้อมถวายพระพรฝ่าบาทและองค์ไทเฮาเพคะ ขอพระองค์จงทรงพระเจริญยิ่งยืนนานเพคะ"
"ไยจึงกล่าววาจาห่างเหินเช่นนั้นหมิงหวางเฟย เรียกเราว่าเสด็จแม่อย่างที่เหยาหมิงเรียกเถอะ"
ไทเฮากล่าวออกมาด้วยน้ำเสียงอบอุ่นและสีหน้าท่าทางที่ดูก็รู้ว่าพระนางต้องเป็นคนที่ใจดีมากผู้หนึ่ง
"เพคะเสด็จแม่ ขอบพระทัยในพระกรุณาเพคะ"
เพ่ยเพ่ยพอเห็นว่าฮองเฮาใจดีกับนางเช่นนี้ก็รู้สึกผ่อนคลายลงไปได้หลายส่วน
"ไม่สบายหายดีแล้วหรือ แม่รบเร้าให้เหยาหมิงพาเจ้ามาเข้าเฝ้าหลายครั้งแล้ว แต่เหยาหมิงก็เอาแต่บอกว่าเจ้าไม่สบาย ยังมิหายดี"
"หม่อนฉันหายดีแล้วเพคะ ขอบพระทัยที่ทรงเป็นห่วง หม่อมฉันต้องขอประทานอภัยทั้งสองพระองค์ ลูกสะใภ้อกตัญญูยิ่งนัก ยังไม่ได้ยกน้ำชาให้เสด็จแม่และฝ่าบาทเลยเพคะ"
เพ่ยเพ่ยทำหน้าเศร้าสลดเรียกคะแนนเห็นใจจากพวกเขา
"น้องสะใภ้เรียกเจิ้นว่าเสด็จพี่เถอะ อย่าได้เป็นกังวลไป เสด็จแม่ไม่ถือสาหาความกับคนเจ็บไข้ได้ป่วยหรอก แล้วเจ้าเป็นอย่างไรบ้าง หมอหลวงบอกหรือไม่ว่าเจ้าเป็นอันใด" ฮ่องเต้เอ่ยถามด้วยความเป็นห่วง
เพ่ยเพ่ยส่งสายตาไปให้อ๋องหมิง เป็นเชิงถามคำถาม
จะให้ข้าบอกคนอื่นมั้ยล่ะว่าข้าเป็นอันใด ทำไมไม่เตี๊ยมมาก่อนล่ะเจ้าบ้านี่
อ๋องหมิงมองนางตาขวางราวกับว่าเรื่องนี้เป็นความผิดของนางอย่างไรอย่างนั้น
"เกิดอุบัติเหตุเล็กน้อยในคืนส่งตัวเพคะ หม่อมฉันพลาดพลั้งไม่ทันระวังตัวเองเพคะ จึงเกิดอุบัติเหตุเชือกบาดมือเป็นแผลใหญ่เพคะ แผลเห็นได้ชัดนักหม่อมฉันจึงเกรงว่าจะพลอยทำให้เสด็จแม่รู้สึกไม่ดีไปกับหม่อมฉันด้วย จึงไม่ได้เข้าวังมายกน้ำชาให้พระองค์เพคะ"
เพ่ยเพ่ยเอ่ยตอบฝ่าบาทฉะฉาน ตากลมโตมองสลับไปมาระหว่างฮ่องเต้และอ๋องหมิง
"ร้ายแรงถึงเพียงนั้นเชียว อุบัติเหตุอันใดไยจึงถูกเชือกบาดมือได้"
ฮ่องเต้ถามอย่างสงสัย มันดูไม่สมเหตุสมผลเอาเสียเลย เชือกจะบาดมือได้อย่างไร แล้วเหตุใดจึงไม่สบายไปเป็นเดือน เช่นนี้ มันมิแปลกเกินไปหน่อยหรือ ยิ่งเมื่อเขาเหลือบไปเห็นใบหน้ากระอักกระอ่วมของอนุชาตน เขาก็พอจะเดาออกว่าต้องไม่ใช่อุบัติเหตุทั่วไปอย่างแน่นอน เพราะน้องชายตัวดีของเขานั้นไม่ได้เต็มอกเต็มใจที่จะแต่งงานกับนางเสียเท่าไหร่
"หม่อมฉันจำเหตุการณ์มิค่อยได้แล้วเพคะ หม่อมฉันสลบไปหลายวัน ฝ่าบาทคงต้องถามท่านอ๋องแล้วเพคะ"
เพ่ยเพ่ยเอ่ยเสียงใส ส่วนอ๋องหมิงยามนี้นั้นหน้าตาบูดเบี้ยวไม่น่ามองอย่างยิ่ง
"เอาล่ะ เอาล่ะ ตอนนี้ไม่เป็นอะไรก็ดีแล้ว แม่จะสั่งให้คนจัดยาและโสมบำรุงกำลังชั้นดีให้เจ้า หวางเฟยเจ้าเข้ามาใกล้ๆ แม่"
"เพคะ"
เพ่ยเพ่ยเดินเข้าไปหาไทเฮาตามที่พระองค์รับสั่ง
"เราออกไปเดินเล่นในอุทยานกัน ปล่อยให้พวกบุรุษเขาคุยราชกิจกันไปเถิด แม่มีเรื่องจะพูดคุยกับเจ้าเยอะเลยทีเดียว"
"เพคะ"
เพ่ยเพ่ยช่วยประคององค์ไทเฮาออกไปตามรับสั่ง
หลังจากที่ทั้งสองเดินหายลับตาไปแล้ว ฮ่องเต้ก็หันมาตรัสกับอ๋องหมิงให้คลายข้อสงสัย
"บอกเจิ้นมา เจ้าทำอันใดนาง มันมิใช่อุบัติเหตุทั่วไปใช่หรือไม่แล้วเสนาบดีหยางทราบเรื่องนี้แล้วหรือยัง" ฮ่องเต้เอ่ยถามอ๋องหมิงอย่างไม่สบอารมณ์