อ๋องหมิงเล่าเรื่องทั้งหมดให้ฮ่องเต้ฟังอย่างไม่ปิดบังใดๆ ฮ่องเต้โมโหเป็นอย่างมากพาลไม่ชอบฝูเหวินมากขึ้นไปอีก
"จะอย่างไรเจิ้นก็ไม่มีทางยอมให้ฝูเหวินขึ้นเป็นพระชายาเอกของเจ้าแน่นอน ถึงแม้จะไม่มีคุณหนูหยาง เจิ้นก็จะหาชายาใหม่มาแต่งให้เจ้า เจ้าอย่าได้คิดยกฝูเหวินขึ้นมาแทนที่นาง เจิ้นไม่เห็นความเหมาะสมใดๆ "
เขารู้สึกไม่ถูกชะตากับฝูเหวินเท่าไหร่ แม้แต่องค์ไทเฮาเองก็เช่นกัน นางผูกติดชีวิตตนเองกับอ๋องหมิงมากเกินไป อีกทั้งร่างกายนางเองก็อ่อนแอ หมอหลวงที่เคยไปรักษานางเคยทูลเขาแล้วว่านางไม่สามารถมีบุตรได้และนางก็ไม่มีคุณสมบัติใดๆ ที่จะช่วยส่งเสริมอ๋องหมิงได้เลย
นางไม่สามารถมีทายาทให้แก่ราชวงศ์ได้ยังมิเท่าไหร่ แต่จะให้พระอนุชาของเขาผูกชีวิตติดอยู่กับนางเพียงผู้เดียวเช่นนี้ก็คงจะเป็นไปมิได้
"พระองค์อย่าได้บังคับกันมากจนเกินไปนัก หากหมดธุระแล้วเปิ่นหวางขอทูลลา"
อ๋องหมิงเดินออกไปอย่างไม่สบอารมณ์ ทำไมเสด็จพี่จะต้องบังคับเขาเรื่องนี้ด้วย หากไม่มีคุณหนูหยางก็จะยัดเยียดคนอื่นมาให้เขาอีกอย่างนั้นรึ ทำไมเขาจึงเลือกคู่ครองของตัวเองไม่ได้
"ทำไมถึงไม่เข้าใจความหวังดีของเราและเสด็จแม่เลย"
ฮ่องเต้ตบโต๊ะเสียงดังจนกงกงเฒ่าสะดุ้ง
ในอุทยานดอกไม้ของไทเฮานั้นเต็มไปด้วยดอกเหมยฮวาที่กำลังบานสะพรั่ง เป็นภาพที่งดงามตรึงใจยิ่งนัก เพ่ยเพ่ยถึงกับใจลอยชื่นชมความงามของดอกไม้
"หวางเฟยแต่งเข้าไปอยู่ในตำหนักอ๋องได้สองเดือนแล้วเป็นอย่างไรบ้าง เจ้าเริ่มคุ้นชินแล้วหรือยัง เจ้าคงจะคิดถึงบ้านมากสินะ"
ไทเฮาตรัสถามด้วยความสงสาร เพราะเห็นนางเหม่อลอยมองดูดอกไม้ สายตานางดูโศกเศร้า
"หม่อมฉันเริ่มชินแล้วเพคะเสด็จแม่ ในตำหนักเงียบสงบเพคะ ไม่วุ่นวายดี แต่ก็มีบางครั้งที่เบื่อๆ บ้างเพคะ"
"หากวันไหนเจ้าเบื่อเจ้าก็ตามเหยาหมิงเข้าวังมาสนทนากับแม่ในวังก็ได้นี่ แม่ก็จะได้มีเพื่อนคุยแก้เหงาด้วยเช่นกัน"
"เพคะเสด็จแม่ หากเสด็จแม่ไม่รำคาญหม่อมฉันไปเสียก่อน"
เพ่ยเพ่ยยิ้มรับ รู้สึกดีใจที่องค์ไทเฮานั้นเอ็นดูหยางเพ่ยเพ่ยอยู่ไม่น้อย เป็นโชคดีของนางจริงๆ ที่มีแต่ผู้ใหญ่ให้ความเอ็นดู จะมีก็เพียงแต่อ๋องหมิงนั่นที่แปลกแตกต่างจากผู้อื่น
"เจ้าคุยสนุก แม่ชอบพูดคุยกับเจ้า"
ไทเฮายิ้มพออกพอใจในตัวลูกสะใภ้ผู้นี้ยิ่งนัก เมื่อก่อนที่เคยพบกันยามนางติดตามบิดาเข้ามาในวังก็มีโอกาสได้เอ่ยทักทายปราศรัยเพียงคำสองคำเท่านั้น มาวันนี้ได้พูดคุยจริงจังจึงพบว่านางนั้นเลือกสะใภ้ไม่ผิดเลยจริงๆ
บุคลิกของนางงามสง่า ท่าทางอ่อนหวานอ่อนน้อมแต่กลับแฝงไปด้วยความมั่นใจ ยามนางเอ่ยคำพูดคำจาก็ดูฉะฉาน สายตาแน่วแน่เปี่ยมไปด้วยพลังดูเหมือนจะมิเกรงกลัวสิ่งใด แต่ก็มิได้ดูแข็งกร้าวหรือก้าวร้าวจนไร้มารยาท พระนางต้องยอมรับเลยว่าเสนาบดีหยางอบรมสั่งสอนบุตรีออกมาได้ดีจริงๆ
"เพ่ยเพ่ย"
ไทเฮาเอื้อมมือมากุมมือทั้งสองของเพ่ยเพ่ยเอาไว้
"เรื่องของฝูเหวินนั้นเจ้าอย่าได้เก็บเอามาใส่ใจ แม่เป็นผู้ใหญ่ผ่านร้อนผ่านหนาวมาก่อนแม่ย่อมดูออก แม่เชื่อว่าเหยาหมิงไม่ได้รักนางลึกซึ้งดังเช่นคนรัก แต่เหยาหมิงคงมิรู้ตัว"
"เพคะ? "
"ฝูเหวินนั้นเป็นสตรีเพียงคนเดียวที่เหยาหมิงรู้จักและสนิทสนมมาตั้งแต่เยาว์วัย เหยาหมิงคิดว่าเขารักนางอย่างคนรัก แต่แม่ดูออก สายตาที่เหยาหมิงมองนางเขาเพียงเอ็นดูและรักนางดั่งน้องสาวคนหนึ่งก็เท่านั้น เจ้าต้องเชื่อแม่ อย่าได้เก็บมาคิดมาก"
ไทเฮากระชับมือเพ่ยเพ่ยแน่นขึ้นราวกับต้องการให้กำลังใจและปลอบประโลมนางให้คลายเศร้า
"เอ่อ...เพคะ"
แล้วอย่างไร ไทเฮาจะให้ข้าทำอย่างไร เขาจะรักฝูเหวินแบบไหนก็ไม่ได้เกี่ยวอะไรกับข้าเสียหน่อย ข้าก็ไม่ได้รักเขานี่
เพ่ยเพ่ยได้แต่ส่งยิ้มตอบกลับไปให้พระองค์ นางไม่รู้ว่าควรจะกล่าวออกไปเช่นไรดี แต่พูดถึงโจโฉ โจโฉก็มา!
ยังไม่ทันที่ทั้งสองจะได้พูดอะไรกันมากไปกว่านี้ อ๋องหมิงก็เดินย่างสามขุมเข้ามาขัดจังหวะทั้งคู่เสียก่อน
"เสด็จแม่ ลูกเสร็จธุระกับเสด็จพี่แล้ว ขอตัวพาหวางเฟยกลับตำหนักเลยนะพะย่ะค่ะ"
"ทำไมถึงรีบกลับนักเล่า อยู่รับสำรับด้วยกันกับแม่เสียก่อน"
"วันนี้คงจะไม่สะดวกพะยะค่ะเสด็จแม่ ลูกยังมีงานที่ต้องสะสางอีกมาก วันหน้าจะมาถวายพระพรเสด็จแม่และอยู่รับสำรับด้วยอย่างแน่นอนพะย่ะค่ะ"
"หากว่ามีงานเร่งด่วนเช่นนั้นเจ้าก็กลับไปก่อนเถอะ แต่ว่าแม่เพิ่งจะได้พูดคุยกับสะใภ้คนเล็กแท้ๆ ให้นางอยู่รับสำรับเป็นเพื่อนแม่ที่นี่ เดี๋ยวแม่จะให้คนไปส่งนางเอง เจ้ามิต้องเป็นห่วง"
"ตามใจเสด็จแม่พะย่ะค่ะ เช่นนั้นลูกขอทูลลาเลยนะพะย่ะค่ะ"
"เจ้าอย่าได้ทำสิ่งใดให้เสด็จแม่ขุ่นเคือง"
อ๋องหมิงทูลลาไทเฮาแต่ก็ยังมิวายหันมากล่าววาจาส่งสายตาเป็นเชิงข่มขู่ใส่เพ่ยเพ่ย
ชิ...คงจะรีบกลับไปหาแม่นางฝูล่ะสินะ ใช้ประโยชน์จากข้าเสร็จแล้วก็รีบถีบหัวส่งเชียว แย่!
"หม่อมฉันจะจดจำใส่ใจเอาไว้อย่างดี น้อมส่งท่านอ๋องเพคะ"
เพ่ยเพ่ยยิ้มรับคำสั่งของเขา แต่ทำไมถึงดูเหมือนนางกำลังเอ่ยวาจาประชดประชันเขาเสียอย่างนั้น
"เจ้ากลับไปเสียเถอะ"
ไทเฮาเอ่ยน้ำเสียงน้อยใจ พร้อมสะบัดมือเป็นเชิงไล่ให้โอรสของตนกลับ
หึ ลาภปากจริงๆ จะได้ทานอาหารในวัง ตอนขากลับหาทางแวบออกไปเดินเล่นต่อดีกว่า
เพ่ยเพ่ยก้มหน้าส่งอ๋องหมิงแล้วแอบยิ้มให้กับไอเดียบรรเจิดของตนเอง
เวลาต่อมา
เพ่ยเพ่ยเลิกม่านหน้าต่างรถม้าและเห็นว่ารถม้าจากในวังนั้นเคลื่อนตัวใกล้จะถึงตำหนักอ๋องหมิงแล้ว เพ่ยเพ่ยจึงตะโกนสั่งให้คนบังคับรถม้าหยุดรถก่อนที่จะถึงที่หมาย
"หยุดก่อน!"
"ไปส่งเราที่ประตูหลังจวนอ๋องที"
"จะเป็นการดีหรือพะยะค่ะ"
กงกงที่ติดตามมาด้วยเอ่ยถามขึ้นด้วยความสงสัย
"ตำหนักของเราอยู่ใกล้ประตูหลังมากกว่า เราเหนื่อยมากแล้ว ไม่อยากจะเดินไกล ท่านกงกงช่วยให้คนบังคับรถม้าไปส่งเราด้านหลังที"
"พะย่ะค่ะ"
เมื่อมาถึงประตูหลังแล้ว เพ่ยเพ่ยก็ลงจากรถม้าโดยมีชิงชิงคอยประคอง นางกล่าวขอบอกขอบใจกงกงแล้วจึงเดินเข้าประตูหลังไป
"ชิงชิง เจ้ารอข้าอยู่ที่นี่เดี๋ยวข้ามา"
"เจ้าค่ะคุณหนู" ชิงชิงตอบรับเจ้านายอย่างงุนงง
เพ่ยเพ่ยแอบกลับเข้าไปในตำหนักของตน นางใช้วิชาพรางตัวที่ได้ฝึกฝนมาจากหน่วยทหารในโลกอดีตจนเข้ามาถึงในตำหนักได้โดยไม่มีใครเห็น หลังจากนั้นนางก็เปลี่ยนชุดให้ดูธรรมดาเหมือนคุณหนูทั่วไปไม่ใช่ชุดพระชายาเต็มยศอย่างตอนเข้าเฝ้า
เพ่ยเพ่ยใช้วิชาพรางตัวกลับออกมาที่ประตูท้ายตำหนักอย่างว่องไว และแน่นอนว่าไม่มีใครสังเกตเห็นนางอีกเช่นเคย
"ป่ะ ชิงชิง ไปกันเถอะ" เพ่ยเพ่ยดึงมือชิงชิงให้รีบเดินตามนางไปยังทิศทางของตลาดด้วยความตื่นเต้น
"คุณหนูจะไปไหนเจ้าคะ หากท่านอ๋องรู้เข้าจะโดนลงโทษเอานะเจ้าคะ"
ชิงชิงพยายามเอ่ยห้ามเจ้านายแต่ดูเหมือนว่าจะไม่ทันการเสียแล้ว เพ่ยเพ่ยแทบจะวิ่งกระโดดออกไปราวกับว่าตนเป็นกระต่ายน้อยที่หลุดรอดมาจากกับดักของนายพรานก็มิปาน ชิงชิงได้แต่ทำใจก่อนจะวิ่งตามคุณหนูของนางไปให้ทัน
"วันนี้คุณหนูจะไปซื้ออะไรหรือเจ้าคะ"
"ข้าอยากได้ตำราแพทย์ แล้วก็เข็มเงินสักชุดน่ะ"
"คุณหนูจะศึกษาวิชาแพทย์หรือเจ้าคะ"
ชิงชิงถามด้วยความสงสัย เพราะไม่เคยเห็นว่าเพ่ยเพ่ยจะสนใจเรื่องพวกนี้มาก่อน หรือว่าตั้งแต่โดนทำร้ายครั้งนั้นมันทำให้คุณหนูจำฝังใจและอยากที่จะเรียนรู้วิชาแพทย์เอาไว้เผื่อจะเกิดประโยชน์
คงจะเป็นเช่นนี้แน่ โถ…คุณหนูของข้า ท่านอ๋องก็ทำเกินไปจริงๆ ไม่ยอมให้หมอมาดูแลคุณหนูจนนางต้องหาทางรักษาตนเอง
"ใช่แล้ว ข้าต้องการศึกษาวิชาแพทย์เอาไว้เผื่อจะเป็นประโยชน์ในวันข้างหน้า อีกอย่างให้ข้าเอาแต่นั่งๆ นอนๆ อยู่แต่ในตำหนัก เจ้าไม่คิดว่ามันน่าเบื่อเกินไปหรือ"
เพ่ยเพ่ยพูดตอบชิงชิงขณะที่ยังคงเดินไปข้างหน้าไม่หยุด ระหว่างที่เดินไปยังร้านหนังสือเพ่ยเพ่ยก็ได้ยินเสียงคนผิวปากแว่วเข้าหู เดิมทีนางไม่ได้ใส่ใจอะไร แต่พอสักพักนางถึงกับต้องหันหลังขวับเพื่อตามหาที่มาของเสียงนั้นทันที
เพ่ยเพ่ยสอดส่ายสายตามองหาเจ้าของเสียงที่มาของบทเพลงนั้นด้วยใจที่เต้นแรงจนแทบจะหลุดออกมาจากอก คนผู้นั้นอยู่ที่ไหนกันนะ เสียงนี่มันมาจากใคร นางต้องหาเขาให้พบ
ใช่แน่ๆ ข้าได้ยินไม่ผิดแน่ๆ นี่มันเพลง ‘My heart will go on!’
เพ่ยเพ่ยรีบเดินพุ่งตรงเข้าไปหาต้นตอของเสียงนั้น และตอนนี้นางก็มาหยุดยืนอยู่ตรงหน้าของบุรุษผู้หนึ่ง
บุรุษร่างสูงกำยำ ลักษณะท่าทางดูภูมิฐานราวกับบัณฑิตผู้มีความรู้ หน้าตาจัดว่าหล่อ ผิวพรรณการแต่งกายก็ดูสะอาดสะอ้าน คงเป็นคุณชายจากจวนใดเป็นแน่
"คุณชาย! ท่านช่วยผิวปากเพลงนั้นอีกสักครั้งได้หรือไม่"
เพ่ยเพ่ยอยากจะมั่นใจว่านางไม่ได้หูเพี้ยนไปเองจนคิดอะไรเพ้อเจ้อ
"เอ่อ แม่นางชอบเพลงของข้าหรือ"
"ข้าชอบมาก ท่วงทำนองมันแปลกดี ท่านพอจะมีไอดีไลน์หรือไม่ ข้าอยากได้เนื้อเพลง"
บุรุษผู้นั้นเบิกตากว้าง หลังจากนั้นเขาก็ยิ้มกว้างตอบกลับมาให้นาง
"ข้ามีแต่เฟสบุค ใช้ได้หรือไม่เล่า"
กรี้ดๆ
เพ่ยเพ่ยได้แต่กรีดร้องดังดังในใจ น้ำตาใสเริ่มคลอที่เบ้าตาของตน
"จะร้องไห้ไปไย นี่มิใช่เรื่องน่ายินดีหรอกหรือ"
เขาเอ่ย แววตาเต็มไปด้วยความเข้าอกเข้าใจ แม้ว่าทั้งสองจะเพิ่งพบหน้ากันเป็นครั้งแรกก็ตาม
"ข้าดีใจที่ได้พบคนเช่นท่านเสียที ข้าเหงา ข้าว้าเหว่ รู้สึกเหมือนว่าตัวเองอยู่ตัวคนเดียวบนโลกใบนี้ ข้ารอคอยเวลานี้มานานแล้ว ไม่คิดเลยว่าจะได้เจอกันเร็วเช่นนี้"
เพ่ยเพ่ยทำหน้าดีใจอย่างสุดซึ้ง เอื้อมมือไปจับมือของเขาอย่างลืมตัว
"มิได้ๆ เจ้าปล่อยมือข้าก่อน ข้ารู้ว่าเจ้าดีใจ ข้าเองก็ยินดียิ่งนัก แต่ทำเช่นนี้มันดูไม่งาม เจ้าก็รู้ว่าคนที่นี่ไม่เหมือนที่บ้านเรา"
เพ่ยเพ่ยรีบปล่อยมือเขาทันทีที่ได้สติ
"ขอบใจที่เตือน ข้าลืมไปเลย ข้าดีใจเกินไปหน่อย ต้องขอโทษด้วย ข้ายังไม่ชินสักที"
"ข้าชื่อหยางเพ่ยเพ่ย เป็นบุตรีเสนาบดีหยาง แล้วเจ้าเล่าเป็นใครมาจากไหน"
"ข้าหลินเฟิงอี้ บุตรของท่านราชครูหลิน"
"เราไปหาที่นั่งคุยกันดีหรือไม่"
เพ่ยเพ่ยถามออกไปด้วยความตื่นเต้น นางมีเรื่องที่อยากจะสนทนากับเขามากมายเหลือเกิน
"คงต้องเป็นโอกาสหน้าแล้วแม่นางหยาง ตัวข้านั้นมีธุระเร่งรีบที่ต้องไปจัดการ น่าเสียดายยิ่งนัก"
"ไม่เป็นไรเฟิงอี้ ไว้โอกาสหน้าก็ได้ เจ้าเรียกข้าว่าเพ่ยเพ่ยเถอะ ส่วนข้าขอเรียกเจ้าว่าเฟิงอี้ได้หรือไม่"
เพ่ยเพ่ยพูดไปยิ้มไป นางยังดีใจไม่หายที่ได้เจอเขา คิดไม่ผิดเลยที่ออกมาตลาดวันนี้
"ย่อมได้"
"อ้อ...เฟิงอี้ หากว่าข้าอยากพบเจ้า ข้าต้องทำอย่างไร"
"ให้คนส่งสารไปที่จวนข้าก็ได้ แต่มันคงต้องมีรหัสลับกันเสียหน่อย มิเช่นนั้นมันจะดูไม่งาม เดี๋ยวคนอื่นจะเข้าใจว่าเจ้าลอบส่งจดหมายรักให้ข้าเอาได้"
เพ่ยเพ่ยครุ่นคิดอยู่สักพักก่อนหันไปเจอกับป้าย 'โรงเตี๊ยมมู่เหอ'
"งั้นเอาอย่างนี้ ข้าจะส่งข้อความไปว่า 'ชานมไข่มุก' ก็แล้วกัน แปลว่าให้ไปเจอกันที่โรงเตี๊ยมมู่เหอ ส่วนเวลาก็กำกับต่อท้ายข้อความไว้"
"ได้ ข้าต้องขอตัวก่อนเพ่ยเพ่ย วันนี้ข้าต้องรีบไปแล้วจริงๆ ยินดีเหลือเกินที่ได้พบเจ้า"
"ข้าก็เช่นกัน"
ทั้งสองมองสบตากันอย่างลึกซึ้ง มันไม่ใช่ความรักพวกเขาทั้งคู่รู้ดี แต่มันเป็นความตื้นตันของคนสองคนที่ต่างก็คิดว่าตัวเองอยู่ตัวคนเดียวบนโลกใบนี้ แล้วจู่ๆ ก็ได้พบว่าเราไม่ได้โดดเดี่ยวอีกต่อไป และนับจากนี้พวกเขาจะมีคนมาร่วมแบ่งปันความรู้สึกหนักอึ้งนี่แล้ว
ช่างดีจริงๆ ดียิ่งนัก
เพ่ยเพ่ยเดินแยกออกไปกับชิงชิง นางยิ้มร่าเริงอย่างที่ชิงชิงไม่เคยเห็นมาก่อน
"ใครกันหรือเจ้าคะคุณหนู ทำไมถึงดูสนิทสนมกันนัก"
"เพื่อนที่มาจากบ้านเกิดเดียวกันน่ะ"
เพ่ยเพ่ยตอบ แล้วก็หันหลังกลับไป เดินยิ้มหน้าบานไม่หุบ
คุณหนูมิใช่คนชางหลางโดยกำเนิดหรอกรึ อ่า...ยิ่งคิดข้าก็ยิ่งสับสน ช่างมันเถอะชิงชิง เจ้าไม่จำเป็นต้องรู้ทุกอย่างก็ได้ มันเป็นเรื่องของเจ้านาย
ชิงชิงได้แต่นึกสงสัย
-ชั้นสอง โรงเตี๊ยมมู่เหอ-
"หึ สตรีไร้ยางอาย วันก่อนเพิ่งจะเจอกับหลิงฟง วันนี้ก็ลอบพบกับชายอื่นเสียแล้ว"
แล้วนางยังมีหน้าไปขอร้องบิดาให้ทูลขอฝ่าบาทเรื่องสมรสพระราชทานกับเขาอีก นางคิดจะปั่นหัวบุรุษทุกคนหรืออย่างไร เขาคนหนึ่งล่ะที่จะไม่ยอมไปติดกับดักของนาง
"เหลยคัง เจ้าไปสืบมาว่าบุรุษผู้นั้นมันเป็นใคร"
ทำไมถึงได้รู้สึกคลับคล้ายคลับคลานัก
"พะย่ะค่ะ"
เหลยคังรับรู้ได้ถึงอารมณ์ที่ไม่ปกติของผู้เป็นนาย ไหนจะน้ำเสียงที่เย็นชานั่นอีก
พระชายาหนอพระชายา อ้ปป้านั่นข้าก็ยังหาไม่พบ ภารกิจใหม่ข้ามาอีกแล้ว แต่วันนี้เห็นทีท่านคงจะไม่รอดแน่
อ๋องหมิงดูจะโมโหมากทีเดียว ถึงจะไม่ได้กล่าวอะไรออกมา แต่คนสนิทเช่นเขาย่อมสามารถสัมผัสได้