เฉิงหยวนค่อย ๆ หยดยาลงบนเลือดสีดำม่วง เขาจับจ้องมองสีเลือดที่ค่อย ๆ เปลี่ยนสีมีสีแดงแจมขึ้นมาบ้าง ชายหนุ่มถอนหายใจโล่งอกอย่างแรง แม้จะถอนพิษไม่ได้แต่นับว่ายังดี
เฉิงหยวนยุ่งอยู่กับการปรุงโอสถระงับพิษของกู้เซียวอวิ้น หลายวันแล้ว วันนี้คงได้มีเวลาผ่อนคลายบ้าง ขณะกำลังเอนกาย สายตาเหลือบไปเห็นตลับยาที่วางทิ้งเอาไว้ ขบคิดอยู่ครู่หนึ่งก็จำได้ว่าเป็นยาแก้พิษที่มู่เยี่ยนนำมา ชายหนุ่มไม่ได้ใส่ใจเอนกายกำลังจะหลับตาลงสายลมอ่อนพัดโชยกลิ่นหนึ่งเข้ามาแตะจมูก เขาพลันลืมตาเบิกกว้างขึ้น กระโดดลุกขึ้นแล้วเดินไปคว้าตลับยานั้นขึ้นมาดู
ดวงตาบอกว่าชายหนุ่มตกตะลึงสุดขีด รีบเอาเข็มมาทิ่มเม็ดยาจากนั้นก็รีบทดสอบบางอย่าง เขาจับจ้องมองปฏิกิริยาในถ้วยยาจนเหงื่อหยดเต็มใบหน้า
เลือดค่อย ๆ เปลี่ยนเป็นสีแดงฉาด อย่างที่ควรเป็น
“ไม่น่าเชื่อ...นี่คือยาตัวนั้นจริง ๆ หรือนี่”
เฉิงหยวนคว้าตลับตาแล้ววิ่งออกไป องค์รักษ์หน้าห้องมองหมอเทวดาที่มีท่าทีลุกลนด้วยแววตาฉงน
ห้องอักษร
“มู่เยี่ยน ๆ”
เสียงตะโกนเรียกอย่างไร้มารยาทในจวนอ๋องดังขึ้น
กู้เซียวอวิ้นเงยนหน้าขึ้นมา เอ่ย “นั่นเสียงของเฉิงหยวนมิใช่หรือ” มู่เยียนยกมือคารวะอีกฝ่าย แล้วก้าวฝีเท้าออกไปเกือบชนกับเฉิงหยวนที่เข้ามาอย่างเร่งรีบ
เฉิงหยวนเห็นมู่เยี่ยนก็จับแขนอีกฝ่ายถามด้วยน้ำเสียงตื่นเต้น “มู่เยี่ยน!! เจ้าบอกข้ามาเดี๋ยวนี้ ยานี่!!เจ้าได้มันมาจากที่ใด”
กู้เหยียงหงขมวดคิ้วมองดูแล้วเอ่ยตอบแทน “นั่นไม่ใช่ ยาแก้พิษที่พระชายาให้ข้าหรือ”
มู่หยางจ้องมองแล้วตอบรับ “ขอรับ...”
มู่เยี่ยนเองก็พยักหน้ายืนยัน เฉิงหยวนหันมาหากู้เซียวอวิ้นแล้วเอ่ย “เหตุใดพระชายาถึงมีโอสถรากพิษ”
คิ้วเรียวกระบี่ขมวดพลางเอ่ย “กล่าวให้ชัดเจนกว่านี้ได้หรือไม่” ชายหนุ่มเอ่ยพลางจับจ้องมองสีหน้าแตกตื่นของเฉิงหยวน
“ท่านหมอเทวดาเฉิง ท่าทางของท่านทำให้พวกข้าสับสนไปหมดแล้ว” มู่หยางกล่าวเสริม
เฉิงหยวนก้าวเข้ามากู้เซียวอวิ้นแล้วเอ่ย “โอสถเม็ดนี้ สามารถแก้พิษได้หมื่นพิษ กล่าวได้ว่าไม่มีพิษชนิดใดที่มันแก้ไม่ได้”
ได้ยินเช่นนั้น มู่เยี่ยนก็เบิกตากว้างถาม “ท่านหมายความว่า แม้กระทั่งพิษอยู่ที่อยู่ในกายของท่านอ๋องก็แก้ได้อย่างนั้นหรือ” น้ำเสียงของเขายังคงคลางแคลงใจต้องการคำยืนยัน
เฉิงหยวนพยักหน้าหงึก ๆ ต่อกันหลายที แล้วเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงสงสัย “โอสถนี้เป็นของสำนักหมื่นพิษ...เหตุใดพระชายาถึงได้มีครอบครอง”
มู่หยางได้ยินเช่นนั้นก็กล่าว “ไม่ใช่แค่ยาแก้พิษนี่!...แม้กระทั่งโอสถหยดโลหิตมังกรพระนางก็มี”
เฉิงหยวนหันไปหากู้เซียวอวิ้นอีกครั้ง“เป็นความจริงหรือ”
ใบหน้ากู้เซียวอวิ้นยังคงเรียบเฉย มีเพียงแววตาที่วูบไหวไปมาแสดงให้เห็นว่าเขาก็ค่อนข้างประหลาดใจ
“คุณหนูเจ็ดของสำนักหมื่นพิษมอบให้นาง...แล้วยังกล่าวอีกประโยคว่ายาชนิดนี้ นางมีอีกหลายเม็ด”
เฉิงหยวนเบิกตากว้างค้างกล่าวตะกุกตะกัก “อะไรนะ...ยังมีอีกหลายเม็ดอย่างนั้นหรือ...ไม่ได้การ ข้าจะไปหานางเดี๋ยวนี้”
เฉิงหยวนกำลังจะก้าวออกไป มู่หยางก็ขวางทางเอาไว้ “เดี๋ยวสิท่านหมอเฉิง หากยานั้นแก้พิษได้จริง...เรื่องด่วนในตอนนี้ไม่ใช่ต้องรีบแก้พิษให้ท่านอ๋องหรือ”
สำหรับคนเป็นหมอปรุงโอสถ การได้เจอโอสถล้ำค่านับว่าเป็นสิ่งสำคัญเหนือสิ่งอื่นใด
เฉิงหยวนเอาตลับยาไปวางไว้หน้ากู้เซียวอวิ้นแล้วเอ่ยอย่างรีบเร่ง “ข้าได้ทดสอบกับเลือดเจ้าแล้ว...สามารถทานได้เลย...ทานเลย ทานได้เลย”
จากนั้นชายหนุ่มก็วิ่งออกไป สักพักก็วิ่งกลับมา
“จริงสิ...พระชายาพักอยู่เรือนใด”
กู้เซียวอวิ้นยิ้มมุมปาก “ข้าจะพาท่านไปเอง”
เรือนสมุนไพร
เว่ยเยว่ซินนั่งอยู่ในโถงกลางนางถูกล้อมรอบด้วยบ่าวรับใช้ กัวผิงมองด้วยความไม่สบายใจเพราะสิ่งนี้ดูจะผิดธรรมเนียมไปบ้าง
เว่ยเยว่ซินไม่สนใจสายตาของกัวผิงนางเอ่ยกับบ่าวรับใช้ด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน “พวกเจ้าใช้ได้ผลข้าก็ดีใจ...ข้าเองก็เกรงว่ามันจะไร้ประโยชน์เสียอีก”
บ่าวรับใช้คนหนึ่งเอ่ยขึ้น “จะเป็นเช่นนั้นได้อย่างไรเจ้าคะ...ตั้งแต่เกิดมาผู้น้อยก็เพิ่งจะเคยเห็นขี้ผึ้งที่วิเศษเช่นนี้ ใช้ไปไม่กี่คืนผิวพรรณก็เรียบเนียนสดใสขึ้น”
อีกคนก็เสริมขึ้น “แม้กระทั่งแผลเป็นที่คิดว่าชาตินี้จะไม่มีทางหายก็กลับมาเป็นผิวเนียบเรียบกว่าเดิมอีกเจ้าค่ะ”
เสียงยกยอดั่งสนั่นไปทั่วบริเวณ เว่ยเยว่ซินยิ้มอย่างพอใจแล้วกล่าว “ตอนนี้ข้าเองก็กำลังปรุงโอสถรักษาโรค...เดิมว่าจะเอาไว้ใช้กับตนเอง...ในเมื่อพวกเจ้ายกย่อข้าเช่นนี้จะแบ่งให้พวกเจ้าไปลองใช้”
บ่าวรับใช้เบิกตากว้าง โอสถที่มาจากสมุนไพรชั้นดีอย่างไรก็ต้องดี พวกเขารีบกล่าว “ขอบคุณพระชายา”
เยว่ซินคลี่ยิ้มอย่างงดงาม เพียงเท่านี้ก็ทำให้เหล่าบ่าวรับใช้งานสวนเชื่อสนิทใจว่ายาเป็นของชั้นเลิศ พวกเขาต่อคิวเข้ามาบอกอาการป่วย ทว่าบ่าวรับใช้อาจจะเป็นเพราะกริ่งเกรงหรือยังไม่มั่นใจ ไม่เอ่ยถึงโรคที่รักษายากหรือร้ายแรง บ้างก็เจ็บคอ บ้างก็ปวดหัว ต่างจากเหยาชุน นางเชื่อมั่นในตัวพระชายายิ่งจึงได้เอ่ยขอยารักษาโรคที่รักษายาก
“เจ้าต้องการยาแบบใด” น้ำเสียงพระชายาเสนาะสะท้อนถึงใจ เหยาชุนเหม่อลอยไปชั่วขณะพอได้สติก็รีบตอบ
“เรียนพระชายา พี่สะใภ้ข้าแต่งงานมาหลายปีไม่มีวี่แววตั้งครรภ์เลยเจ้าค่ะ”
กำนัลกัวผิงเพ่งมองบ่าวชั้นต่ำในสวนด้วยสายตาดูแคลน โรคมีบุตรยาก ขนาดหมอหลวงยังจนใจ เหตุใดจึงกล้าเอ่ยปากขอยากับพระชายา ความคิดนี้ได้แต่คิดในใจไม่กล้าเอ่ย นางเฝ้ารอให้เว่ยเยว่ซินตำหนิอีกฝ่าย
ทว่า เว่ยเยว่ซินกลับคลี่ยิ้มอย่างมีนัยแฝง
โรคมีบุตรยาก นับว่าสร้างชื่อเสียงได้ดี
“มีบุตรยากหรือ? ถ้าอย่างนั้นก็ต้องให้ทานทั้งสตรีและบุรุษ เจ้านำยานี้ไปให้พวกเขาทาน...รับรองว่าภายในสามเดือนต้องมีข่าวดี”
เสียงอื้อฮาดังขึ้น มีบุตรยากก็รักษาได้หรือนี่?
โรคที่บ่าวรับใช้เอ่ยกลายเป็นโรคที่รักษายากขึ้นเรื่อย ๆ กระนั้นเว่ยเยว่ซินก็ยังคลี่ยิ้มมียาในมือที่รักษาได้ทุกโรค
กัวผิงมองดูพลางคิดในใจอย่างตกตะลึง
พระชายาคงไม่ใช่พวกต้มตุ๋นกระมัง
ตอนที่ 75 พระราชทานรางวัล ข่าวเรื่อง รัชทายาทก่อกบฏ แผ่สะเทือนไปทั่วทั้งวังหลวงราวกับเสียงฟ้าผ่ากลางวัน ตำหนักต่าง ๆ ปิดเงียบ ขุนนางในราชสำนักพากันเฝ้ารอฟังรับสั่งอย่างกระวนกระวายภายในตำหนักหลิงฮวา ซูเยียนฮองเฮา สั่งปิดตำหนักทันทีหลังเสด็จกลับประกาศว่าทรง ขอทบทวนความผิดของตนในฐานะมารดา ตลอดหลายวันไม่มีผู้ใดได้รับอนุญาตให้เข้าออก ฮองเฮาเพียงประทับนิ่งอยู่ในห้องพระอักษร เสียงท่องพระสูตรแผ่วเบา...แทนที่เสียงบัญชาการอันเฉียบขาดที่เคยก้องเหล่าสนมในตำหนักอื่นต่างพากันหวาดผวา ไม่มีใครกล้าขยับ แม้เพียงกระซิบก็คล้ายมีหูเงาเฝ้าฟังทว่าในตำหนักจื่อหลัว กลับแตกต่างโดยสิ้นเชิงภายในห้องบรรทมที่หอมกรุ่นไปด้วยกลิ่นสมุนไพรเวินกุ้ยเฟย ประทับพิงหมอนสูงอย่างสงบ บุตรชายแรกเกิดหลับใหลอยู่ในอ้อมแขนของนาง เสียงลมหายใจเบา ๆ แผ่วชิดอกนางกำนัลคนสนิทเดินเข้ามาช้า ๆ ก่อนคุกเข่าลงเสียงของนางแผ่วเบาแต่ชัดถ้อยชัดคำ“รัชทายาทถูกปลดแล้วเพคะ ตอนนี้ถึงแม้จะบาดเจ็บ แต่ก็ถูกคุมตัวไว้ในคุกหลวงเรียบร้อย”เวินกุ้ยเฟยพยักหน้าเบา ๆไม่ได้เอ่ยคำใด ริมฝีปากมีรอยยิ้มจางแต่สายตายังคงมองบุตรในอ้อมแขนอย่างอ่
ตอนที่ 74 ก่อกบฏตำหนักจื่อหลัว ห้องรอประสูติ ยามสายบรรยากาศภายในห้องสงบนิ่ง ทุกสายตากำลังจับจ้องที่ประตูด้านในเสียงของทารกยังไม่ดังขึ้น แต่สายลมเย็นแปลกประหลาดกลับไหลเข้ามาผ่านบานหน้าต่างที่เปิดไว้ฮ่องเต้กู้เสียนหรง ประทับอยู่เงียบ ๆ เบื้องหน้าพระโต๊ะชาซูเยียนฮองเฮา และ พระสนมสองนาง นั่งสงบเรียบร้อยเคียงข้าง ทุกคนต่างจับตาเวลานาทีสำคัญที่กำลังจะมาถึง เสียงร้องของทารกน้อยก็ดังขึ้นจากห้องด้านใน สักพักหมอหลวงก็เปิดประตูออกก้มศีรษะลงลึกแล้วเอ่ยเสียงดังชัด “ทรงประสูติพระโอรสพ่ะย่ะค่ะ!” ซูเยียนกำลังจะลุกขึ้นกล่าวคำแสดงความยินดีทว่า เสียงฝีเท้าหนัก และเสียงเปิดประตูอย่างไร้มารยาท ก็ดังขึ้นจากภายนอกประตูตำหนักเปิดผาง ดึงดูดความสนใจนางไปก่อนจะปรากฏร่างสูงในอาภรณ์ตะวันออกเดินเข้ามาอย่างไม่รีบร้อน เบื้องหลังคือกำลังองครักษ์ติดตามนับสิบองค์รัชทายาท กู้ซ่งหยวน เดินตรงเข้ามากลางตำหนักแล้วทรุดกายคำนับแต่ท่าทีกลับไม่แฝงความเคารพแม้แต่น้อย“เสด็จพ่อ เสด็จแม่ ลูกมาเยี่ยมกุ้ยเฟยที่คลอดบุตรในวันนี้”น้ำเสียงของเขานุ่มนวล หากแฝงความเย้ยหยันเจืออยู่ลึก ๆ อย่างไม่ปิดบังฮองเฮ
ตอนที่ 73 กลิ่นคาวเลือดตำหนักเสวียนหยาง ห้องทรงอักษรยามค่ำ “ฝ่าบาท...ผู้บัญชาการเหลียนเหวินจื่อ ขอเข้าเฝ้าพ่ะย่ะค่ะ” ไป๋อี้กล่าวรายงานเสียงแผ่วเบา ฮ่องเต้ละสายพระเนตรจากเอกสารกล่าว “ให้เข้ามา” ร่างสูงในชุดดำก้าวเข้ามาอย่างเงียบงัน ก่อนจะคุกเข่าลงด้วยความเคารพ“ฝ่าบาท...กระหม่อมมีเรื่องเร่งด่วนต้องกราบทูลพ่ะย่ะค่ะ” พระขนงขมวดเพียงเล็กน้อยเป็นเชิงอนุญาตให้พูดต่อเหลียนเหวินจื่อ ก้มหน้าก่อนเอ่ยเสียงนิ่งเรียบ “ช่วงไม่กี่วันที่ผ่านมา...มีการเคลื่อนไหวผิดปกติขององค์รักษ์บางส่วนภายในวังหลวงพ่ะย่ะค่ะเส้นทางลาดตระเวนมีการสลับกำลังโดยไม่ผ่านคำสั่งตรง และบางคนมีติดต่อบุคคลนอกวังในยามวิกาล”ฮ่องเต้ทรงนิ่งฟังโดยไม่แทรก เหลียนเหวินจื่อกล่าวต่อด้วยน้ำเสียงหนักแน่นกว่าเดิม “กระหม่อมเห็นว่าป้องกันไว้ดีแก้ เมื่อสักครู่จึงได้เรียกหน่วยเสริมจากหน่วยเงานอกเมืองเข้าวังพ่ะย่ะค่ะ”บรรยากาศในห้องทรงอักษรเยียบลงอย่างชัดเจนแสงคบเพลิงยังคงไหวอยู่ข้างฝา แต่พระเนตรของฮ่องเต้กลับนิ่งลึกดั่งทะเลไร้คลื่น กล่าวมาถึงนี้ เหลือเพียงคำว่า มีคนคิดก่อกบฏเท่านั้นที่เหลียนเ
ตอนที่ 72 รอลมบูรพาสารชัยชนะจากชายแดนตะวันออกระบุชัดเจนว่า ทั้งแคว้นเฟิงเหลียนและแคว้นหลงซีส่งทูตมอบตัว ยอมจำนน พร้อมบรรณาการล้ำค่าบรรยากาศในท้องพระโรงไม่เคร่งขรึมดังเช่นเคย เหล่าขุนนางฝ่ายบุ๋นและฝ่ายบู๊ยืนเรียงกันอย่างมีระเบียบ แววตาหลายคู่เปล่งประกายด้วยความยินดีกล่าวพูดคุยกันอย่างสนิทสนม หลังจากเสด็จออกจากท้องพระโรง ฮ่องเต้ก็บอกกับขันทีข้างกาย “ไปตำหนักจื่อหลัวก่อน”ตำหนักจื่อหลัว เวินกุ้ยเฟยประทับอยู่บนตั่งไม้แกะลาย ลูบถ้วยชาร้อนเบา ๆ พลางทอดพระเนตรไปยังสวนด้านนอกอย่างสงบเมื่อเสียงขันทีหน้าตำหนักเอ่ยรายงานว่า ฮ่องเต้เสด็จมา นางก็กำลังขยับพระวรกายหมายจะลุกขึ้นทำความเคารพโดยพลันแต่ยังไม่ทันลุกเต็มที่ ฮ่องเต้กู้เสียนหรงก็เสด็จเข้ามาด้วยพระพักตร์แจ่มใส พระหัตถ์ยกขึ้นเล็กน้อยเป็นเชิงห้าม“ช่วงนี้เจ้าไม่ต้องทำความเคารพแล้ว”เวินกุ้ยเฟยชะงัก แล้วรีบโน้มพระวรกายเล็กน้อย“หม่อมฉันขอบพระทัยในพระเมตตาเพคะ”น้ำเสียงอ่อนน้อมของนางเต็มไปด้วยความสำนึกในพระกรุณา ฮ่องเต้ทรงก้าวเข้าไปประคองพระนางให้ประทับลงอย่างอ่อนโยน“ช่วงนี้เจ้าควรพักมากกว่าเคลื่อนไหว”พระสุร
ตอนที่ 71 ยอมจำนนตำหนักรัชทายาท ยามค่ำแสงโคมส่องใบหน้าของรัชทายาทกู้ซ่งหยวน ที่กำลังทอดพระเนตรสารจากชายแดนตะวันออกพระขนงขมวดแน่นขณะอ่านจบนิ้วเรียวยาวบีบกระดาษในมือแน่นขึ้นโดยไม่รู้ตัว“เมืองซือกวงตกภายในวันเดียว…”พระสุรเสียงทุ้มต่ำคล้ายรำพึง หากในนัยน์ตากลับมีแต่ความร้อนรนไม่ใช่เพราะความยินดี แต่เพราะความหวั่นไหว“...ตำแหน่งของข้า คงไม่มั่นคงอีกต่อไปแล้ว”ครั้งนี้ รัชทายาทไม่เร่งเสด็จไปตำหนักของฮองเฮาเฉกเช่นเคย พระองค์ลุกขึ้นยืนช้า ๆ พระวรกายสูงโปร่งเคลื่อนไปยังหน้าต่าง มือประสานหลังแน่นราวกดกลั้นบางอย่างไว้ในอกพระเนตรทอดมองออกไปนอกหน้าต่าง เห็นเพียงความมืดที่ล้อมรอบตำหนักครู่หนึ่ง พระองค์หันกลับมาสายตาคมวาบไปยังองครักษ์ลับที่ยืนเงียบอยู่มุมห้อง“จัดการแผนที่เตรียมไว้ได้เลย”องครักษ์โค้งศีรษะรับคำ ก่อนจะหายไปในความเงียบของเงามืดชายแดนตะวันออก ค่ายบัญชาการใหญ่ของทัพเยี่ยนโจว ภายในกระโจมบัญชาการอันสงบงัน แสงคบเพลิงส่องสว่างรอบด้าน เงาทหารยามยืนตรงแน่นิ่งหน้าทางเข้าชินอ๋องกู้เซียวอวิ้นประทับอยู่บนตั่งไม้สูง สีหน้าเรียบเฉยขณะทอดพระเนตรไปยังแขกรับเชิญสองกลุ่มต
ตอนที่ 70 ตีเมืองชายแดนตะวันออก นอกเขตเมืองซือกวงเสียงโลหะปะทะดังกระหึ่มทั่วสนามรบธงรบของแคว้นเยี่ยนโจวโบกสะบัดอยู่กลางกลุ่มควันฝุ่นคลุ้งเสียงฝีเท้าทหารกระทืบพื้นพร้อมเสียงโห่ร้องแผดลั่นเสียงตะโกนของทหารจากแคว้นเฟิงเหลียนดังลอดควันไฟ สายตาแตกตื่นจับจ้องกองกำลังที่เคลื่อนทัพอย่างเป็นระเบียบ ราวกับไม่เหน็ดเหนื่อยแม้ผ่านศึกหนักการเคลื่อนไหวของทัพเยี่ยนโจวรวดเร็ว ประสานกันอย่างแม่นยำ ราวกับมองเห็นการเคลื่อนทัพของศัตรูล่วงหน้าทหารบางนายจากแคว้นหลงซียังไม่ทันตั้งโล่ก็ถูกซัดล้มราวถูกมืออสูรตวัดใส่“พวกมันคือกองทัพปีศาจ...ของชินอ๋อง!”ภายในเวลาไม่นาน ศึกแนวหน้าก็แตกพ่ายแตรศึกของแคว้นเฟิงเหลียนดังขึ้นเป็นสัญญาณถอยแต่ก็สายเกินไปทั้งที่เป็นกับดักของแคว้นเฟิงเหลียนกับแคว้นหลงซี ทั้งที่รวมมือกัน แต่ก็ไม่อาจจะต้านกองทัพเยี่ยนโจวและในเช้าวันถัดมากองทัพของชินอ๋องก็บุกเข้าประชิดประตูเมืองซือกวงเสียงค้อนเหล็กกระแทกประตูเมืองดังระลอกแล้วระลอกเล่าก่อนจะถูกแทนที่ด้วยเสียงโซ่เหล็กขาดสะบั้นทัพปีกซ้ายของเจาอวี๋พุ่งทะลวงเข้าด้านข้างขณะที่ชินอ๋องนำกองหน้าตรงบุกเข้าใจกลางประตูทหารบนกำแพง