Masukวันเวลาแห่งความสงบสุขล่วงเลยผ่านไปวันแล้ววันเล่า จนมาถึงคืนอันเงียบสงัดคืนหนึ่งในขณะที่ทุกคนหลับไหลกันหมดแล้ว แต่ยังมีบ้านหลังหนึ่งที่ตะเกียงยังคงสว่างไสว ภายในห้องมีคนนั่งอยู่เต็มไปหมด บ้างมีสีหน้าเคร่งเครียด บ้างหน้านิ่วคิ้วขมวด บ้างตื่นเต้นดีใจ หรือแม้กระทั่งรังเกียจเดียดฉันท์ ราวกับกำลังเกิดเรื่องบางอย่างขึ้น
เกิดอะไรขึ้นน่ะหรือ
“คุณหนู ท่านควรชี้แจงให้ชัดเจนนะขอรับ อย่างนี้ข้าจะบอกนายท่านว่าอย่างไร” ชายอาภรณ์สีเทาที่นั่งอยู่ฝั่งตรงข้ามกับเสี่ยวเซียงหันไปกล่าวกับหลี่หลิงเฟิ่งที่กึ่งนั่งกึ่งนอนอยู่บนเก้าอี้ไม้สลักตัวยาว ชายหนุ่มแย้มยิ้มจนแข็งเกร็งไปทั่วหน้า ในใจคิดอย่างขมขื่นที่ตนต้องมารับหน้าที่นี้ หากแต่ก็ไม่กล้าเผยสีหน้าไม่พอใจ
อย่างไรก็ดี เขาค่อนข้างแปลกตาและไม่คุ้นชินกับคุณหนูห้าผู้มีชื่อเสียไปทั่วแว่นแคว้นนางนี้สักเท่าไหร่ หญิงสาวไม่ได้อ่อนปวกเปียกเหมือนพลับนิ่มดังเช่นกาลก่อนอีกแล้ว นอกจากนี้เขายังสัมผัสถึงความน่าเกรงขามขึ้นหลายส่วนอีกด้วย
บุรุษชุดเทาปาดเหงื่อที่ผุดขึ้นบนใบหน้าเล็กน้อย อาจเป็นเขาที่คิดมากไปเอง จะเป็นไปได้อย่างไรที่หลี่หลิงเฟิ่งจะให้ความรู้สึกที่แค่สบสายตาก็เสียวสันหลังวาบได้แล้ว
ถ้าเป็นแบบนั้นจริง เจ้านายของเขาคงไม่ปวดหัว พยายามช่วยนางจนบ่อยครั้งที่ตัวเองก็พลอยลำบากไปด้วยอย่างนี้หรอก ถึงกับให้เขาเป็นคนมาคุ้มกันนางด้วยตัวเอง
“ข้าพูดไม่รู้เรื่องตรงไหน ข้าปฏิเสธได้งั้นหรือ นี่ข้าโง่หรือเจ้าเขลากันแน่” หลี่หลิงเฟิ่งแย้มรอยยิ้มประดับบนใบหน้า เหลือบหางตามอง อู๋เหยียน คนสนิทของ หลี่เฟยหยาง ผู้ที่เกิดจากอดีตฮูหยินที่ล่วงลับไปแล้ว ว่าที่นายน้อยผู้สืบทอดตระกูลคนต่อไป ถ้านางไม่เห็นแก่ตั๋วเงินเหล่านั้นที่ชายผู้นั้นให้คนสนิทส่งมาให้ระหว่างที่พวกนางถูกส่งมาที่นี่ล่ะก็ มีหรือที่คนเหล่านี้จะยังอยู่ในที่ของนางได้อย่างสุขใจเช่นนี้
“ข้าก็บอกไปแล้วไม่ใช่หรือว่าอีกสักหลายวัน พวกเจ้าไม่คิดว่าพวกข้าไม่ต้องจัดการอะไรเลยงั้นรึ ข้ามาอยู่ที่นี่สามปี ไม่ใช่แค่สามวัน ต่อให้พวกข้าไม่มีสหายสนิท แต่ก็ไม่เคยสร้างศัตรูเช่นกัน ที่ควรตอบแทนก็ตอบแทน ที่ควรอำลา ก็ขาดไม่ได้"
หลี่หลิงเฟิ่งกวาดสายตามองคนทั้งหลายด้วยสีหน้าคล้ายยิ้มคล้ายไม่ยิ้มไปรอบๆ ห้องโถงกลางหนึ่งรอบ จึงเอ่ยขึ้นอีกครั้ง "อีกอย่างพวกเจ้าเดินทางมาเหนื่อยๆ ก็ควรจะพักผ่อนกันก่อน เจ้าไม่สงสารตัวเอง ก็ควรเห็นใจผู้อื่นบ้าง ใช่ว่าทุกคนจะแข็งแกร่งเช่นเจ้า”
“ขออภัยคุณหนู ข้าไม่อาจสงสัยการตัดสินใจของคุณหนู โปรดลงโทษข้าน้อยด้วยขอรับ” อู๋เหยียนเจ้าบ้านี่ ปากก็บอกขอโทษ แต่การกระทำช่างไม่สอดคล้องเอาเสียเลย มีอย่างที่ไหนกล่าวขอโทษ เพียงแค่ลุกขึ้นประสานมือ จากนั้นนั่งลงเช่นเดิม
เฮอะ หากกล่าวอย่างจริงใจ ทำไมไม่คุกเข่าลงล่ะ
หลี่หลิงเฟิ่งลอบเบะปากอย่างรังเกียจ ไม่ว่าจะยุคสมัยใด การแบ่งชนชั้นก็ยังมีให้เห็นอยู่เสมอ แต่สถานะของนางออกจะเลวร้ายไปสักหน่อย ขนาดบ่าวยังกล้าข่มเหงนาย ถึงในใจอู๋เหยียนจะไม่พูดอันใดออกมา แต่มีหรือภายในใจจะยอมเคารพนาง แน่นอนว่าต้องไม่พอใจเศษขยะอย่างนางอยู่แล้ว
เห็นได้ชัดว่าเกรงใจนางเพราะแค่ฐานะคุณหนูห้าแห่งจวนเจ้าเมือง ถึงจะเป็นแค่ลูกอนุ แต่ก็ยังมีศักดิ์เป็นเจ้านาย อีกประการคงเป็นเพราะท่านพี่ชายใหญ่ของนางคนนั้น
นางไม่ต้องการให้คนพวกนั้นเคารพ แค่ต้องการการให้เกียรติซึ่งกันและกัน หลี่หลิงเฟิ่งมาจากยุคสมัยที่ทุกคนเท่าเทียมกันหมดแล้ว เพราะฉะนั้นไม่จำเป็นเลยที่นางจะต้องถือตนเองเป็นใหญ่ กดหัวคนเหล่านั้นไปด้วย
แต่แล้วอย่างไร นางก็ยังเป็นเจ้านาย ยังไม่ถึงเวลาที่บ่าวพวกนี้จะข้ามหัวนางไปได้ ใครเคารพนางหนึ่งฉื่อ* นางเคารพกลับหนึ่งจั้ง*
พี่ชายของนาง ช่างเลี้ยงคนได้ดีจริงๆ! เหอะ ว่ากันว่าเห็นลูกน้องก็เหมือนเห็นผู้เป็นนาย คนผู้นั้นก็คงไม่ได้ดีอะไรนักหรอก!
“ด้วยตำแหน่งของเจ้า หน้าที่ของเจ้า เจ้าย่อมรับรู้อะไรควรไม่ควร แม้สมองจะเข้าใจ แต่ใจกลับไม่ยอมรับฟัง” หลี่หลิงเฟิ่งผินหน้าไปมองอู๋เหยียนด้วยสีหน้าคล้ายยิ้มคล้ายไม่ยิ้ม พลางคลึงมือเล็กอย่างเชื่องช้า
ตุบ!
“บ่าวขออภัยขอรับคุณหนู บ่าวไม่ควรล่วงเกินคุณหนูขอรับ” ในคืนที่เงียบสงัด เสียงคุกเข่าและเสียงโขกศีรษะดังก้องกังวานไปทั่วห้อง ชั่วขณะนั้น ภายในห้องพลันเงียบกริบ แม้แต่เสียงลมหายใจแผ่วเบายังไม่เล็ดลอดออกมาให้ได้ยิน
“เจ้าทำอะไรของเจ้ากัน ถ้าเกิดว่าพี่ใหญ่รู้เรื่องเข้า จะไม่กล่าวหาว่าข้ารังแกคนใต้ปกครองของเขาหรอกหรือ” อู๋เหยียนยังคงคุุกเข่า ปากพลางพูด มิกล้า มิกล้า ติดๆ กันหลายครั้ง แต่ภายในใจนั้นเย็นเยียบ วันนี้เขาได้เห็นอีกมุมหนึ่งของคุณหนูห้าผู้นี้แล้ว หญิงสาวนางนี้หาใช่คนเรียบง่ายดังที่ตนเคยคิด
สัญญาณอันตรายแจ้งเตือนกับเขาว่า อย่าได้แม้แต่คิดจะไปแหย่นาง
แรกเริ่มเดิมทีชายหนุ่มยังไม่เข้าใจความคิดของคุณชายใหญ่ เหตุใดจึงปกป้องตัวไร้ค่าแถมยังเป็นแค่ลูกอนุภรรยาที่ไม่เป็นที่โปรดปราณ ไม่ได้มีความผูกพันอันใดด้วยเลย มาวันนี้อู๋เหยียนถึงได้รู้ว่าตนมองพลาดไป
เกรงว่าคนผู้นี้คงเป็นคนที่ซ่อนตัวได้ลึดที่สุดแล้ว หรือบางที…
อู๋เหยียนเงยหน้ามองหลี่หลิงเฟิ่งอย่างตะลึงพรึงเพลิดกับการคาดเดาของตัวเอง ปฏิกิริยาเหล่านั้นของคนตรงหน้าอยู่ในสายตาของหลี่หลิงเฟิ่งทั้งหมด ใครจะคิดยังไงกับนางก็ช่าง นางไม่คิดจะเก็บมาใส่ใจให้รกสมองหรอก แต่อย่ามายุ่งกับนางก็แล้วกัน
นางนั้นอะไรก็ไม่ดีสักอย่าง ดีอยู่อย่างเดียวคือจดจำความแค้นได้แม่น!
“เอาล่ะ ข้าก็ไม่ใช่คนใจร้ายอะไร เจ้าลุกขึ้นเถอะ ไหนบอกข้ามาให้ชัดเจนสิว่าทำไมพวกเขาถึงอยากให้ข้ากลับไป เจ้าคงไม่คิดว่าข้าจะเชื่อสิ่งที่เจ้าเล่ามาหรอกนะ ถ้าแค่จะถึงวัยปักปิ่นของข้าแล้วทางนั้นเลยส่งคนมารับข้าไปเข้าร่วมพิธีอย่างนั้นรึ ฮูหยินใหญ่เป็นกลายเป็นคนจิตใจดีขนาดนั้นได้ยังไง ให้ข้ากลายเป็นสาวเทื้อ*น่ะสิจึงจะเป็นแนวคิดของนาง หรือจวนเจ้าเมืองตระกูลหลี่ของพวกเจ้า จากถ้ำเสือได้กลายเป็นถ้ำแมวไปซะแล้ว” นางหยุดคลึงมือตัวเอง น้ำเสียงที่เปล่งออกมาเจือความรู้สึกอ่อนใจอยู่สองส่วน
อู๋เหยียนที่คุกเข่าถอนหายใจอีกครั้ง ลอบร้องโอดโอยในใจ ขนาดจวนเจ้าเมืองนางยังไม่นับตัวเองเข้าไปด้วยเลย เห็นทีภายภาคหน้าคงยากจะไม่ให้เกิดเรื่องวุ่นวายได้แล้ว
ตอนแรกเขายังแค่รู้สึกว่าคุณหนูห้าดูเปลี่ยนไปจากวันวาน แต่ไม่รู้ว่าเปลี่ยนในเรื่องใด มาวันนี้เขารู้แน่ชัดแล้ว ไม่ใช่แค่กิริยาท่าทางต่างออกไปจากเดิม หากแต่ยังเป็นสายตาที่แปลกไป ไหนเลยจะรวมถึงความคิดที่ซับซ้อนยากจะคาดเดาเหล่านั้น น่ากลัวว่าแม้แต่นายท่านก็เทียบนางไม่ได้
เขาที่เป็นคนสนิทของนายท่าน ย่อมต้องเคยเห็นหรือพูดคุยกับหลี่หลิงเฟิ่งมาหลายครั้ง แต่รู้สึกว่าคุณหนูห้าผู้นี้จะเปลี่ยนจากกระต่ายขาวขี้ตื่นกลัว กลายมาเป็นสุนักจิ้งจอกพ้นการจำศีลมานานปีเสียแล้ว
อู๋เหยียนถอนหายใจออกมาคำรบหนึ่ง ในใจพลางอดนับถือนางขึ้นมาไม่ได้ หญิงเฉลียวฉลาดมองสถานการณ์ได้อย่างทะลุปุโปร่งนางนี้ ไหนเลยจะเป็นคนไร้ความสามารถได้
“นั่นเป็นเพราะองค์ฮ่องเต้ต้องการเรียกตัวคุณหนูเข้าเฝ้า เพื่อจัดการเรื่องการหมั้นหมายกับองค์ชายรองขอรับ ฮ่องเต้มีรับสั่งให้คุณหนูเข้าเฝ้าหลังจากเสร็จสิ้นพิธิปักปิ่น แล้วยังทรงต้องการให้คุณหนูเข้าเรียนที่สำนักศึกษาหลวงอีกด้วย คุณชายใหญ่เป็นห่วงว่าคุณหนูจะไม่คุ้นเคย จึงสั่งให้ข้ากลับมารับคุณหนูกลับไปก่อนล่วงหน้าหนึ่งเดือน เพื่อเตรียมตัวเข้าสำนักศึกษาหลวงขอรับ”
หลี่หลิงเฟิ่งหลุบตาลง ความคิดแล่นไปมาอย่างรวดเร็ว นางคาดการณ์ไว้อยู่แล้วว่านางจะได้อยู่ที่นี่แค่ไม่กี่ปี เหตุเพราะด้วยอายุขององค์ชายรองคู่หมั้นของนางอยู่ในวัยยี่สิปปีแล้ว ถ้าฝ่ายนั้นต้องการที่จะถอนหมั้นก็ต้องเรียกตัวนางเข้าไปคุยเพื่อให้ตกลงกันทั้งสองฝ่าย
แต่จากที่อู๋เหยียนกล่าวมา ดูเหมือนฝั่งนั้นไม่ได้มีความประสงค์จะถอนหมั้นกับขยะอย่างนาง ไหนจะเรื่องสำนักศึกษาหลวงนั่นอีก หรือต้องการจะทำให้นางขายหน้าแล้วเป็นฝ่ายขอถอนหมั้นไปเอง
อืม มีความเป็นไปได้สูง ทุกยุคทุกสมัย พวกราชวงศ์ก็มีความหน้าบางกันอยู่แล้ว
“อย่างนั้นหรือ” หลี่หลิงเฟิ่งครุ่นคิดอยู่นาน พลันเงยหน้าขึ้นมองอู๋เหยียนด้วยแววตาเจ้าเล่ห์ "ข้าขอบใจในความหวังดีของพี่ใหญ่ แต่ข้าคงต้องทำให้พี่ใหญ่ผิดหวังแล้ว ข้ายังยืนยันคำเดิม ไม่รีบ พวกเราจะออกเดินทางกันอีกห้าวันให้หลัง" หลี่หลิงเฟิ่งพูดจบก็ลุกขึ้นยืน เตรียมตัวเดินออกจากห้องโถง เพื่อกลับไปพักผ่อน
“นี่…มันจะไม่ฉุกละหุกไปหรือขอรับ วันที่พวกเรากลับไปถึง คุณหนูไม่ต้องเข้าร่วมพิธีปักปิ่นเลยหรือ” อู๋เหยียนโพล่งออกมาอย่างเคร่งเครียด ชำเลืองมองหลี่หลิงเฟิ่งอย่างไม่เข้าใจ
“ก็ใช่น่ะสิ ทำไม หรือเจ้าสงสัยในการตัดสินใจของข้า”
“มิกล้า” เสียงของชายหนุ่มค่อยๆ แผ่วเบาลง หลังเกร็งแน่นฉับพลันเมื่อเผลอสบเข้ากับสายตาเย็นยะเยียบของนาง
“เช่นนั้นเจ้าก็แจ้งพี่ใหญ่ไปตามนั้น ถ้าเขาไม่วางใจก็ให้มาลากข้ากลับไปด้วยตัวเองก็แล้วกัน” พูดจบหลี่หลิงเฟิ่งก็สะบัดแขนเสื้อจากไปอย่างไม่แยแส
ฮึ คิดว่าตัวเองเป็นใคร ถึงได้มาสั่งให้ข้าทำตาม จู่ๆ หลี่หลิงเฟิ่งก็หงุดหงิดขึ้นมาอย่างไม่รู้สาเหตุ นางได้แต่คิดว่าเป็นเพราะคนพวกนั้นมารบกวนการพักผ่อนของนาง อารมณ์ถึงได้แปรปรวนเช่นนี้
อู๋เหยียนมองเงาหลังของหลี่หลิงเฟิ่งจนลับหายไป สีหน้าจนใจที่แสดงออกมาตั้งแต่ต้นจนจบยังไม่มีทีท่าว่าจะเลือนหายไปบ้างเลย
“หากนายท่านรู้เรื่องเข้า ไม่รู้ว่าโทสะจะพุ่งขึ้นสูงขึ้นอีกกี่จั้ง” ไฉนคุณหนูถึงได้ไปแหย่ยมบาลองค์นั้นกันเล่า
“เห้อ และทุกครั้งก็เป็นข้าที่ต้องรองรับมันทุกที” อู๋เหยียนได้แต่คร่ำครวญอยู่ในใจ
*สาวเทื้อ คือ สาวแก่ หญิงสาวที่อายุเลยวัยแต่งงาน
*ฉื่อ หรือเซียะ 1 ฉื่อเท่ากับ 10 ชุ่นหรือ 10 นิ้ว
*จั้ง 1 จั้ง เท่ากับ 10 ฉื่อ ประมาณ 2.5 เมตร
เสียงระเบิดของเปลวเพลิงปะทะกับแรงสั่นสะเทือนจากธาตุดินดังสะท้อนก้องไปทั่วผืนหิมะโลกสีขาวโพลนที่เคยเงียบงัน กลับกลายเป็นสนามรบระหว่างมนุษย์สามคนกับอสูรหมื่นปีหิมะละลายกลายเป็นไอร้อนในชั่วลมหายใจเดียว ลมหนาวที่เคยปกคลุมทั่วฟ้าถูกแรงกดดันจากใต้ดินกวาดหายจนหมดสิ้นโม่เจี้ยนหมิงตะโกน “ข้าจะเปิดช่องขวา!”ร่างของเขาเคลื่อนไหวรวดเร็วราวสายลม กระบี่ในมือหมุนวนก่อเกิดแรงกดอากาศเป็นเกลียว เหวินเจิ้งใช้กำลังผลักพลังยุทธ์เข้าฝ่ามือ ทุบพลังธาตุดินที่กระแทกเข้ามาแตกกระจาย“อย่าใช้แรงปะทะโดยตรง ไม่อย่างนั้นเจ้าจะเสียเปรียบ” เสียงของหลี่หลิงเฟิ่งดังขึ้นเรียบเย็น นางเหยียบพื้นหิมะแล้วทะยานขึ้นกลางอากาศ เส้นไหมแดงร้อยเส้นแตกตัวเป็นประกายเพลิง สะท้อนเข้ากับแสงของฟ้าหิมะจนเหมือนมีพระอาทิตย์อีกดวงลุกขึ้นตรงหน้าแต่ทว่าพลังที่พวกนางปล่อยออกไปนั้น กลับถูกบางสิ่งใต้พื้นดูดซับราวทะเลกลืนสายฝนแรงสั่นสะเทือนขนาดมหึมาแผ่ซ่านทั่วผืนปฐพี พื้นดินแตกออกเป็นเส้นรอยแผล ลาวาสีทองปนดำพวยพุ่งขึ้นมาพร้อมเสียงคำรามที่ทำให้ฟ้าสะเทือนจากใจกลางของความมืดนั้น ร่างยักษ์มหึมาผุดขึ้นจากดิน เกล็ดของมันมีลวดลายเหมือนรอยหินลาวา แต
กว่าสิบเดือนที่พวกนางเดินทางเข้าสู่ป่าต้องห้ามจนเข้าสู่ช่วงเหมันต์ ในช่วงห้าเดือนหลังนี้ หิมะเริ่มตกทำให้ทั่วทั้งดินแดนกลายเป็นสีขาวโพลน ทั้งสามได้ปักหลักฝึกยุทธ์อยู่ ณ ริมขอบค่ายกลที่โอบล้อมสัตว์อสูรไว้ภายใน ตอนนี้ทั้งสามคนรุดหน้าไปมากโม่เจี้ยนหมิงและเหวินเจิ้งตัดสินใจทำลายค่ายกลอีกครั้ง ตลอดหลายเดือนผ่านมาเช่นนี้ ค่ายกลพลังอสูรกลับไม่มีแม้แต่รอยขีดข่วนเนื่องจากอยู่มานาน อะไรที่ควรสัมผัสได้ล้วนรับรู้ได้หมด ตัวอันตรายใต้ดินนั่นเริ่มจะทนไม่ไหวอยากขึ้นหาพวกเขาเต็มแก่ ทั้งสามตึงเครียดยิ่งนักแม้ตอนนี้พลังยุทธ์จะเพิ่มขึ้นมาบ้าง แต่ก็ยังไม่พอต่อกรกับมัน ทว่าไม่มีทางเลือก สัตว์อสูรที่ถูกกักขังในค่ายกลเริ่มจะยืนหยัดไม่ไหวอีกต่อไป ขณะที่ยังไม่พร้อมพวกเขาจำเป็นต้องลงมือเพียงแต่ ตลอดเวลานั้นสิ่งที่อยู่ใต้ดินยังคงเฝ้ามองพวกเขาอยู่เงียบ ๆ รอเวลาตะปบเหยื่อ“เหยื่ออันโอชะของข้า อยากตายก่อนเวลาเช่นนั้นหรือ” เสียงแหบพร่าเปี่ยมอำนาจดังก้องเข้าโสตประสาตของทุกคน ก่อนแผ่นดินเริ่มสั่นไหว จนพวกนางต้องเหาะเหินหลบขึ้นกลางอากาศ เงาดำมหึมาครอบคลุมบริเวณแถบนี้
ในที่ซึ่งเงียบเกินไป บางครั้งเสียงของความเงียบก็ดังกว่าทุกสิ่ง เงียบจนอื้ออึงในโสตประสาท ราวกับโลกกลืนกินเสียงทั้งหมดไปจนหมดสิ้นเหวินเจิ้งตามมาด้านหลัง เขากระชับอาวุธที่พาดอยู่บนหลังไว้แน่น เสียงโลหะดังเคล้ากับลมหายใจที่สม่ำเสมอของโม่เจี้ยนหมิง ผู้เดินล้อมท้ายขบวนทั้งสามไม่ได้พูดกันสักคำ ราวกับรู้โดยสัญชาตญาณว่าคำพูดที่เล็ดลอดจะถูกบางสิ่งที่ซ่อนตัวอยู่ได้ยินอย่างชัดเจนระยะหนึ่ง หลี่หลิงเฟิ่งหยุดเท้า ดวงตาของนางกะพริบวูบหนึ่ง แสงแดงหม่นสะท้อนในม่านตากำลังรอการจุดประกาย“รู้สึกจะเป็นข้างหน้านี้” เสียงของนางเบาจนแทบกลืนไปกับลมหายใจโม่เจี้ยนหมิงชะงัก กระบี่ในมือตวัดลงมาตั้งรับโดยสัญชาตญาณ “ท่านรู้สึกได้?”นางไม่ตอบ แต่ค้อมตัวลงแตะปลายนิ้วกับพื้น แผ่นดินที่เย็นชื้นสะท้อนแรงสั่นแผ่วกลับมาราวหัวใจของสัตว์ยักษ์ที่เต้นอยู่ลึกลงไปใต้รากไม้ ไอพลังบางอย่างแผ่ออกจากจุดนั้น ไม่ใช่พลังของผู้ฝึกยุทธ์ หากแต่เป็นลมหายใจของสิ่งมีชีวิตตนอื่น ที่สูงส่งกว่ามนุษย์อย่างหาที่สุดมิได้หลี่หลิงเฟิ่งแผ่กระแสจิต คลื่นพ
ทั้งคู่เคลื่อนตัวฝ่าร่องเขาที่โล่งจนเห็นท้องฟ้าผืนดินที่เคยปกคลุมด้วยหมอกตอนนี้แห้งแตกระแหง กลิ่นคาวเลือดยังติดอยู่ในอากาศ ลมพัดฝุ่นคลุ้งขึ้นมาพร้อมเสียงระเบิดพลังยุทธ์แว่วไกลตูม!เสียงปะทะกันดัง ตามด้วยเสียงร้องคำรามของใครบางคน หลี่หลิงเฟิ่งหยุดชะงัก เงี่ยหูฟัง “มีการต่อสู้ข้างหน้า”โม่เจี้ยนหมิงชักกระบี่ขึ้น “พวกเงาโลหิตแน่ ข้าจำวิธีการของพวกมันได้”เขาหันไปมองหน้านาง “จะอ้อมหรือเข้าไปช่วย”หญิงสาวเงียบอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนเอ่ยเรียบ “เข้าไป”กลุ่มคนห้าหกคนกำลังสู้กับกลุ่มเงาโลหิตอีกฝั่ง กลิ่นคาวโลหิตคละคลุ้ง ดินใต้เท้าเปียกแฉะด้วยพลังยุทธ์ที่แตกกระจายชายร่างสูงในชุดดำที่เป็นหัวหน้าเงาโลหิตกำลังฟาดอาวุธใส่ชายอีกคนที่บาดเจ็บหนัก เขาเป็นหนึ่งในคนของสำนักพันธสาน เสื้อคลุมฉีกขาด แขนขวาไหม้เกรียมโม่เจี้ยนหมิงมองอยู่จากเนิน“พวกนั้นเป็นศิษย์ของหุบเขาชาง ดูนั่นมีตราโลหะอยู่บนคอเสื้อเด่นชัดมาก น่าจะเป็นคนของหนึ่งในสำนักใหญ่พวกนั้น อย่างนั้นข้าอยู่เฉยๆ ไม่ได้แล้ว ถ้
ห่างจากตำแหน่งของหลี่หลิงเฟิ่งไปไม่กี่ลี้ กลุ่มผู้ฝึกยุทธ์ห้าคนเดินเรียงกันบนทางดินที่ถูกเถาวัลย์กลืนกิน กำลังจะประสบกับเหตุการณ์คล้ายคลึงกับพวกนาง คนที่นำหน้าเป็นชายร่างใหญ่ในชุดเกราะหนา สวมปลอกแขนหนังงูอัสนี เขามีแผลเป็นลากจากขมับจรดปลายคาง ใบหน้าเต็มไปด้วยร่องรอยของความเคยชินกับความตาย ด้านหลังเขาเป็นหญิงสาวสองคน และชายอีกสองคนที่แบกหีบเครื่องมือบนหลัง“ข้าบอกแล้วว่าเส้นทางนี้มีพลังจิตประหลาด เจ้ายังจะเดินเข้ามาอีก” เสียงชายหนุ่มด้านหลังบ่น แต่ก็ไม่ได้หยุดเดินหัวหน้ากลุ่มหันมามองแวบหนึ่ง แววตาเฉียบคม “ในเขตจิตลวงนี้ ทุกย่างก้าวคือโอกาส ถ้าไม่เสี่ยง ก็ไม่มีวันได้อะไรกลับไป”หญิงสาวที่เดินข้างหลังเขายกคิ้ว “หมอกหนาแบบนี้ ขนาดจิตสัมผัสยังถูกสะท้อนกลับ ข้าว่าพวกเราคงโคร้ายมากกว่าโชคดี”“พอ” หัวหน้ากลุ่มพูดขัดเสียงเรียบ “หากกลัวก็กลับ แต่ทรัพยากรของวันนี้จะไม่มีส่วนแบ่งของพวกเจ้า”ครั้นพูดจบ เสียงโต้เถียงจึงหยุดลง ความเงียบกลับมาปกคลุมอีกครั้ง มีเพียงเสียงฝีเท้าที่กระทบดินแฉะเท่าน
ชั่วพริบตา ร่างเงานางพลันแตกแยกออกเป็นห้าสิบภาพในอากาศ แต่ละร่างจับท่าทางเดียวกัน แผ่นหลังตรงดุจคันศร เส้นไหมแดงในมือร่ายวนรอบตน ภาพทั้งหมดเคลื่อนไหวพร้อมกันราวระลอกคลื่นยักษ์“ภาพลวงห้าสิบ!”ระยะเวลาเพียงสิบลมหายใจเท่านั้น ทว่า พลังสะท้อนที่ส่งออกจากห้าสิบร่างกลับเทียบเท่าร่างจริงทุกประการ ประกายเพลิงจากเงาแต่ละร่างพุ่งเข้าใส่ฝูงยุงเลือดจากคนละทิศ ยุงเลือดหลายสิบตัวถูกแผดไหม้จนกลายเป็นเพียงธุลีธุลี ทว่าอีกนับร้อยกลับพุ่งเข้ามาแทนที่อย่างบ้าคลั่งโม่เจี้ยนหมิงสบช่อง ดวงตาเปล่งประกายบ้าบิ่น โผเข้าประชิดด้านข้าง เสียงฟ้าร้องระเบิดในอากาศอีกครั้ง"พายุเจ็ดดารา!" แรงลมหมุนเจ็ดชั้นกระแทกใส่ฝูงยุงจากด้านหลัง กระบี่ลมสับกลางอากาศเสียงฉึบฉับ"ถ้าจะตายขอให้ข้าตายพร้อมพวกเจ้าละกัน!" เสียงของโม่เจี้ยนหมิงดังขึ้นตามหลัง เขาร่ายกระบี่กวาดเป็นวง ก่อเป็นกระแสพายุอันบ้าคลั่งรอบตัวทั้งสองสายลมบ้าคลั่งพัดหมอกกระจายออก เผยให้เห็นร่างของยุงเลือดนับไม่ถ้วนที่แหวกเข้ามา ทว่า เพียงไม่นาน ฝูงอสูรระดับหกสองตัว พุ่งฝ่าเข้ามาอย่างดุดัน แรงคลื่นพลังของมันทำให้ร่างแยกของนางหายวับไปครึ่งหนึ่งในพริบตา หลี่หลิงเฟิ่







